ด้วยการที่ไม่คุ้นเคยกับคำพูดนั้น เมิ่งฮ่าวถามขึ้น “ต้าซือหลง (จ้าวมังกร) คืออะไร?” เขาเดินเข้าไปหาผู้ฝึกตนทะเลทรายตะวันตก ซึ่งตอนนี้กำลังตัวสั่นไปมา ขณะที่มันเริ่มเกรงขามและหวาดกลัวเมิ่งฮ่าว
บุคคลที่กล่าวตอบเขาไม่ใช่ผู้ฝึกตนทะเลทรายตะวันตกที่กำลังสั่นสะท้าน แต่เป็นหญิงสาวชุดขาว, หานเสวี่ยชาน “ต้าซือหลง เป็นตำแหน่งสูงสุดของซือหลงทะเลทรายตะวันตก เหมือนกับเทพศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งตำแหน่งทั้งสองนี้เป็นตัวแทนของพลังอันสูงสุด ต้าซือหลงเลี้ยงสัตว์ปีศาจ เทพศักดิ์สิทธิ์ควบคุมภาพศักดิ์สิทธิ์มากกว่าห้าภาพขึ้นไป พลังการต่อสู้ของผู้ก่อตั้งทั้งสองเทียบเท่ากับขั้นตัดวิญญาณ และคนรุ่นหลังต่อมาก็มีพลังเกือบจะใกล้เคียงกัน”
เกราะป้องกันที่รายล้อมหญิงสาวได้หายไปแล้ว และนางก็เก็บตัวไหมที่อ่อนแรงไว้
เมิ่งฮ่าวหันหน้าไปมองนาง ครั้นแล้วนางก็ประสานมือและโค้งตัวให้
“ข้าคือหานเสวี่ยชาน แห่งตระกูลหานเสวี่ย ขอขอบคุณท่านเป็นอย่างมากที่เมตตาช่วยชีวิตข้าไว้, ผู้อาวุโส” ผู้ฝึกตนที่เหน็ดเหนื่อยหมดแรงข้างกายนางมองมายังเมิ่งฮ่าวด้วยความสำนึกในบุญคุณ แต่ก็ยังคงมีความระมัดระวังอยู่ในแววตา
นอกจากนี้ พลังที่เขาเพิ่งจะแสดงออกมาเมื่อครู่นี้ ไม่เพียงแต่จะทำให้ผู้ฝึกตนทะเลทรายตะวันตกขวัญหนีดีฝ่อเท่านั้น พวกมันก็เป็นเช่นเดียวกัน
ด้วยการโบกสะบัดชายแขนเสื้อ เมิ่งฮ่าวก็สังหารสุนัขป่าไปมากมาย เปลี่ยนโลหิตของพวกมันให้กลายเป็นกลุ่มหมอก ซึ่งทำให้เกิดเป็นสายฝนตกลงมาภายในรัศมีหนึ่งร้อยจ้าง ไร้สิ่งมีชีวิตใดๆ หลงเหลืออยู่ภายในพื้นที่บริเวณนั้น
วิธี่การเช่นนั้น ทำให้พวกมันเต็มไปด้วยความตกตะลึง ยิ่งไปกว่านั้น พวกมันก็ไม่สามารถมองเห็นพื้นฐานฝึกตนของเมิ่งฮ่าวได้อีกด้วย เขาแผ่พุ่งพลังอันลึกลับออกมา ทำให้คนทั้งหมดไม่อาจจะแสดงสิ่งใดๆ ต่อเขาได้นอกจากความเคารพนับถือ
“ข้าไม่ใช่ต้าซือหลง” เมิ่งฮ่าวกล่าว ส่ายหน้า “แต่เจ้าก็ติดหนี้ข้าหนึ่งครั้ง” เขาชี้นิ้วลงไปบนพื้น และในเวลาเดียวกันนั้น ก็กดลงไปบนหน้าผากของผู้ฝึกตนทะเลทรายตะวันตก
ร่างของมันเริ่มสั่นสะท้านขึ้นในทันที และดวงตาก็เต็มไปด้วยความว่างเปล่า ราวกับว่าทันใดนั้น มันสูญเสียความสามารถในการขบคิดไป
“พื้นฐานฝึกตนของมันอยู่เพียงแค่ขั้นต้นสร้างแกนลมปราณ” เมิ่งฮ่าวคิด “แต่มันก็สามารถควบคุมฝูงสัตว์ได้มากมาย นี่…ก็คือซือหลงทะเลทรายตะวันตก?” ตอนนี้เมิ่งฮ่าวเข้าใจถึงสถานการณ์แล้ว แต่เขาก็ยังคงอยากรู้อยากเห็นเกี่ยวกับซือหลง ดังนั้นจึงมองกลับไปยังหญิงสาวชุดขาว “ข้าไม่ได้ช่วยเจ้าโดยไร้เหตุผล” เขากล่าว
ดวงตาของสองผู้ฝึกตนที่ยืนอยู่ข้างกายนาง สาดประกายด้วยความระมัดระวังตัวมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะหลังจากที่พวกมันเห็นเมิ่งฮ่าวกดนิ้วลงไปที่หน้าผากของผู้ฝึกตนทะเลทรายตะวันตก ไม่รู้ว่าเขาได้ใช้วิธีการอะไร ทำให้บุรุษผู้นั้นจู่ๆ ก็ดูงุนงงเหม่อลอยไป เห็นได้ชัดว่าเป็นวิชาที่น่ากลัวเป็นอย่างมาก และทำให้พวกมันเริ่มกังวลใจมากยิ่งขึ้น
“โปรดบอกความต้องการของท่านมาโดยไม่ต้องลังเลใจ, ผู้อาวุโส” หานเสวี่ยชานกล่าว ด้วยเสียงแผ่วเบา
“ข้าต้องการตัวไหมหิมะเยือกเย็น” เขากล่าวตอบในทันที
สองผู้ฝึกตนที่ยืนอยู่ข้างกายนางขมวดคิ้ว ในเวลาเดียวกันนั้น พวกมันก็พยายามที่จะปกปิดความไม่พอใจที่มีต่อเมิ่งฮ่าวซึ่งปรากฎขึ้นในดวงตาไว้
หานเสวี่ยชานลังเลชั่วขณะ
“ผู้อาวุโส, ตัวไหมหิมะเยือกเย็นผูกมัดกับเจ้านายตั้งแต่เพิ่งจะถือกำเนิดขึ้นมา จากที่ข้าเคยกล่าวไว้ ตอนนี้ตระกูลหานเสวี่ยไม่ได้มีตัวไหมแรกกำเนิดเช่นนั้น แน่นอนว่า ข้าไม่ได้ปกปิดข้อมูลใดๆ ไว้ ถ้าท่านกลับไปพร้อมกับข้าที่เมืองเซิ่งเสวี่ย ข้าจะไปตรวจสอบเรื่องราวทั้งหมด และทำอย่างดีที่สุดเพื่อตอบแทนความเมตตาของท่าน” นางมองมายังเมิ่งฮ่าวด้วยดวงตาที่สวยงามเป็นอย่างยิ่งของนาง ซึ่งดูเหมือนจะไม่ได้มีเล่ห์เหลี่ยมใดๆ แอบซ่อนอยู่ นางรู้สึกขอบคุณที่เมิ่งฮ่าวได้ช่วยชีวิตนางไว้ แต่ก็ยังคงหวาดกลัวเขาด้วยเช่นกัน ทุกสิ่งทุกอย่างที่นางได้เห็นเมื่อครู่นี้ทำให้นางรู้สึกหวาดกลัวอย่างลึกล้ำ
คำพูดของนางฟังดูไม่เหมือนเป็นการบังคับ แต่จริงๆ แล้วก็ใช่ นางรู้สึกว่าถ้าไม่อาจจะให้คำตอบที่ถูกต้องแล้วละก็ ความเมตตาของคนผู้นี้ก็จะเปลี่ยนเป็นปฏิปักษ์ขึ้นในทันที
ยิ่งไปกว่านั้น นางก็ไม่แน่ใจว่าที่เขาปรากฎตัวขึ้นในที่แห่งนี้ตอนนี้เป็นเหตุบังเอิญ หรือว่าเขาได้จัดเตรียมเหตุการณ์ทั้งหมดไว้ แต่อย่างไรก็ตาม เขาก็ได้ช่วยชีวิตนางไว้อย่างแน่นอน หลังจากที่กลับไปยังเมืองเซิ่งเสวี่ย นางจะพยายามตอบแทนเขาให้ได้
เมิ่งฮ่าวครุ่นคิดชั่วครู่ ขณะที่มองไปยังหญิงสาว ดวงตาเต็มไปด้วยความลึกล้ำ จากนั้นเขาก็ส่งยิ้มน้อยๆ ให้และพยักหน้า
หญิงสาวชุดขาวแอบถอนหายใจด้วยความโล่งอก พร้อมกับการฝืนยิ้ม นางถอยไปด้านหลังสองสามก้าว สองผู้ฝึกตนสังเกตดูเมิ่งฮ่าวด้วยความระมัดระวังตัวมากขึ้นกว่าเดิมอย่างต่อเนื่อง ขณะที่พวกเขาออกไปจากผืนป่าด้วยกัน
ซือหลงทะเลทรายตะวันตก ติดตามเมิ่งฮ่าวไปพร้อมกับสีหน้าที่ว่างเปล่า ดูเหมือนมันจะไม่อาจควบคุมตัวเองได้ ซึ่งแน่นอนว่า ทำให้หานเสวี่ยชานและสองผู้ฝึกตนนั้นเต็มไปด้วยความแปลกใจ
เมืองเซิ่งเสวี่ย อยู่ในส่วนทิศเหนือของดินแดนสีดำ ถึงแม้มันจะอยู่ห่างไกลจากทะเลทรายตะวันตก แต่ก็ไม่ถือว่าไกลกันมากนัก พื้นดินในบริเวณนั้นถูกปกคลุมด้วยน้ำแข็งและหิมะตลอดปี ทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างกลายเป็นสีขาวโพลน
เมืองเซิ่งเสวี่ยค่อนข้างห่างไกลจากเมืองตงลั่ว ถึงแม้ทั้งสองเมืองจะเป็นสมาชิกของจิ่วเหมิง แต่ก็ไม่ค่อยได้ติดต่อกันเท่าใดนัก นอกจากนั้น ศักดิ์ฐานะของทั้งสองเมืองในจิ่วเหมิงก็เสื่อมโทรมลงเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา ถึงแม้ว่าพลังของตระกูลหานเสวี่ยจะลดน้อยลงไปเมื่อเร็วๆ นี้ ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นผู้นำของสหพันธ์ แต่พวกมันก็ยังคงมีความภาคภูมิใจและศักดิ์ศรีหลงเหลืออยู่
ยิ่งไปกว่านั้น ก็ยังมีข่าวลือเกี่ยวกับปรมาจารย์ขั้นตัดวิญญาณของพวกมัน ว่ายังคงเข้าฌาณตามลำพังอยู่อย่างต่อเนื่อง มันไม่ได้ปรากฎกายมาหลายร้อยปีแล้ว ทำให้ไม่มีใครมั่นใจว่ามันยังคงมีชีวิตอยู่หรือตายไปแล้ว
ถ้ามันยังมีชีวิตอยู่ ก็มั่นใจได้ว่าเมืองเซิ่งเสวี่ยคงไม่ประสบกับภัยร้ายแรงใดๆ
ดังนั้น ถึงแม้เมืองเซิ่งเสวี่ยจะไม่ได้รุ่งเรืองเหมือนเมื่อครั้งอดีต แต่ก็ยังคงสาดประกายด้วยศักดิ์ศรี
ตอนนี้ ทุกคนในเมืองเซิ่งเสวี่ยเต็มไปด้วยความโศกเศร้า แรงกดดันอันหนักอึ้งกดทับลงมาที่พวกมัน ราวกับว่ามีกลุ่มเมฆสีดำปกคลุมไปทั่วท้องฟ้าและกดลงมาบนพื้น กำแพงเมืองแก้วผลึกที่สดใสเป็นประกายราวกับน้ำแข็ง ยืนเต็มไปด้วยผู้ฝึกตนเมืองเซิ่งเสวี่ย พวกมันทั้งหมดจ้องมองไปยังโลกด้านนอกด้วยความระมัดระวัง
อาณาเขตที่ด้านนอกของเมืองเต็มไปด้วยความทุกข์ยาก ตอนนี้ ท้องฟ้าเต็มไปด้วยมังกรวารีสีดำสนิทมากมายจนนับไม่ถ้วน พวกมันบิดตัวไปมาในอากาศ ดวงตาสีแดงสาดประกายอย่างดุร้าย ส่งเสียงแผดร้องแหลมเล็กออกมา ทำให้จิตใจของผู้ฝึกตนที่เฝ้ามองดูสั่นสะท้าน
ตอนที่ดูแค่แวบแรก ดูเหมือนมังกรวารีจะมีมากมายจนนับไม่ถ้วน แต่จริงๆ แล้ว ก็มีเพียงแค่ห้าสิบตัวที่บินเป็นวงกลมไปรอบๆ เมืองเซิ่งเสวี่ย ที่พื้นด้านล่างสามารถมองเห็นสิงโตสีฟ้าขนาดใหญ่เจ็ดสิบถึงแปดสิบตัว แต่ละตัวยาวเกือบสิบจ้าง ไม่ว่าพวกมันจะเดินไปที่ไหน พื้นดินที่อยู่ใต้เท้าพวกมันก็จะเปลี่ยนเป็นน้ำแข็งสีฟ้า
นอกเหนือจากสัตว์เหล่านี้ ก็ยังมีผู้ฝึกตนอีกนับพัน ซึ่งยืนอยู่ด้านหลังของเหล่าสัตว์ร้าย จ้องมองไปยังเมืองเซิ่งเสวี่ย พวกมันสวมใส่ชุดสีดำ และใบหน้าถูกปิดบังไว้ด้วยหน้ากาก พวกมันส่วนมากจะมีพื้นฐานฝึกตนอยู่ที่ขั้นพื้นฐานลมปราณ และสวมใส่หน้ากากสีขาว ท่ามกลางผู้ฝึกตนนับพัน มีเพียงสามสิบคนที่สวมใส่หน้ากากสีฟ้า
ผู้นำเป็นชายชราที่มีผมสีขาวปลิวไปมาและสวมหน้ากากสีเงิน จากกลิ่นอายพื้นฐานฝึกตนของมัน ก็เห็นได้ว่ามันอยู่ในขั้นวิญญาณแรกก่อตั้ง
ไกลออกไปยังภูเขาที่ถูกปกคลุมไปด้วยหิมะ มีบุรุษร่างสูงใหญ่นับร้อยยืนอยู่ ใบหน้าพวกมันไร้ความรู้สึก และมองเห็นรอยสักภาพศักดิ์สิทธิ์อยู่บนร่าง บางคนก็มีมากกว่าคนอื่นๆ กลิ่นอายของพวกมันดูแตกต่างไปจากผู้ฝึกตนอื่นๆ ดูท่าทางดุร้ายและแปลกประหลาดมากกว่าเล็กน้อย
นี่เป็นผู้ฝึกตนทะเลทรายตะวันตก
ระหว่างกองทัพของเมืองเซิ่งเสวี่ย และโม่ถู่กง เป็นที่ราบซึ่งยืดยาวกว้างใหญ่ซึ่งเต็มไปด้วยสายลมและหิมะ แยกพวกมันทั้งสองออกจากกัน
ที่ห่างไกลออกไปมีศิษย์ของโม่ถู่กงนับหมื่น กระจายออกไปก่อตัวเป็นกำแพงมนุษย์อยู่รอบๆ เมืองเซิ่งเสวี่ย ล้อมเมืองนี้เป็นรูปวงกลมไว้โดยสิ้นเชิง
ดูเหมือนสงครามอันยิ่งใหญ่ใกล้จะเกิดขึ้นแล้ว
ในเวลาเดียวกันนี้เองที่เมิ่งฮ่าวและคนอื่นๆ ปรากฎตัวขึ้นห่างไกลออกไป และมองเห็นภาพที่กระจายออกไปนี้ที่เบื้องหน้า สีหน้าเมิ่งฮ่าวยังคงสงบนิ่งเหมือนเช่นเคย แต่ใบหน้าของหานเสวี่ยชานและสองผู้ฝึกตนสลดลงในทันที
พวกเขาเดินทางมามากกว่าหนึ่งวัน และตลอดช่วงเวลานั้น เมิ่งฮ่าวไม่เคยถามนางเลยว่าทำไมนางถึงได้ออกไปจากเมืองเซิ่งเสวี่ย และหานเสวี่ยชานก็ไม่เคยบอกเล่าถึงรายละเอียดใดๆ
แต่จากการพูดคุยบางส่วนที่เขาได้ยินจากสองผู้ฝึกตน เขาก็รับรู้ได้ว่ากลุ่มของพวกมันในตอนแรกมีอยู่มากกว่าสามสิบคน แต่ในตอนนี้ มีเพียงพวกมันสองคนเป็นผู้คุ้มกันที่เหลืออยู่
“ดูเหมือนพวกเราไม่อาจจะเข้าไปในเมืองได้” เมิ่งฮ่าวกล่าวเสียงราบเรียบ ขุมกำลังของโม่ถู่กงตั้งแถวเรียงกันจนปิดกั้นเมืองเซิ่งเสวี่ยไว้โดยสิ้นเชิง ในตอนนี้ ยังไม่ได้ทำสงครามกัน ทำให้ไม่อาจจะบอกอะไรได้ แต่เมื่อพิจารณาจากกลุ่มคนที่อยู่ในขั้นวิญญาณแรกก่อตั้งอันแข็งแกร่ง ก็เห็นได้ชัดว่านี่ไม่ใช่การต่อสู้ที่ทัดเทียมกัน แต่เป็นการโจมตีโดยฝ่ายเดียว
หานเสวี่ยชานกำลังจะกล่าวคำพูดบางอย่าง แต่ทันใดนั้น เสียงของเขาวัวสงครามก็ดังก้องไปทั่ว มังกรวารีพุ่งตรงไปยังเมืองเซิ่งเสวี่ย สิงโตสีฟ้ายักษ์ก็พุ่งตรงไปด้วยเช่นกัน ร่างกายของพวกมันเรืองแสงออกมา ราวกับว่าเป็นลูกศรสีฟ้าขนาดใหญ่
ขณะที่เสียงเป่าหลอดเขาดังออกมา ผู้ฝึกตนโม่ถู่กงก็บินขึ้นไปในอากาศ ด้านหลังพวกมัน พื้นดินสั่นสะเทือนขณะที่ยักษ์สองตนปรากฎขึ้น แต่ละตนสูงเกือบสามสิบจ้าง ไม่แน่ชัดว่าพวกมันมาจากที่ไหน แต่พวกมันก็เดินตรงไปทำให้เกิดเป็นเสียงสั่นสะเทือนราวกับเสียงฟ้าคำราม ที่สะพายอยู่ด้านหลังของยักษ์ทั้งสองตนเป็นดาบขนาดใหญ่ที่ยาวเกือบหนึ่งร้อยจ้าง
ดูเหมือนจะเป็นดาบที่เก่าแก่โบราณ แต่พลังที่กระจายออกมาก็น่าประหลาดใจเป็นอย่างยิ่ง
ถ้าทั้งหมดนี้มีอยู่แค่นั้น ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอันใด แต่ขณะที่เสียงเป่าหลอดเขาดังออกมา ทะเลสีดำก็ปรากฎขึ้น ทะเลสีดำนี้เกิดขึ้นจากสุนัขป่าสีดำหลายหมื่นตัว ซึ่งกระจายออกไปทั่วทั้งพื้นดิน ขณะที่พวกมันพุ่งตรงไปยังเมืองเซี่งเสวี่ย
เกราะป้องกันรอบๆ เมืองเซิ่งเสวี่ยเปล่งประกายขึ้นมา ขณะที่ผู้ฝึกตนนับพันบินออกมาจากภายในเมือง พวกมันใช้วิชาและอาวุธเวทต่างๆ มากมาย ทำให้เกิดเป็นพลังที่พุ่งผ่านเกราะป้องกัน กรีดเฉือนเข้าไปในร่างสัตว์และผู้ฝึกตนที่ใกล้เข้ามา
นอกจากนี้ ลำแสงอันเจิดจ้าสีขาวก็พุ่งขึ้นมาจากในเมือง สูงขึ้นไปเหนือเมือง มีลำแสงอันเจิดจ้าห้าสายที่ดูคล้ายกับเป็นดวงดาวปรากฎขึ้น หมุนวนไปมา ด้วยการหมุนแต่ละครั้ง พวกมันก็กระจายแสงเป็นรูปทรงโค้งสีขาว กวาดผ่านกำแพงเมืองออกไป
เสียงระเบิดดังกึกก้องจนทำให้สวรรค์สะเทือนปฐพีสะท้าน ทุกสิ่งทุกอย่างสั่นไปมา เมิ่งฮ่าวไม่เคยได้เห็นการต่อสู้ระหว่างผู้ฝึกตนด้วยกันเช่นนี้มาก่อน
ขณะที่การต่อสู้เริ่มขึ้น เมิ่งฮ่าวยังได้สังเกตเห็นผู้คนนับสิบบินออกมาจากภายในเมือง ตรงไปยังเกราะป้องกันเรืองแสงนั้น ทันทีที่พวกมันพุ่งผ่านออกไป ดาวห้าดวงที่ลอยอยู่ก็ปรากฎที่ด้านบนพวกมัน ดาวทั้งห้าหมุนวนไปมา กระจายแสงสีขาวเป็นทรงโค้ง พุ่งไปยังสัตว์อสูรที่อยู่ตรงหน้าพวกมันจนส่งเสียงร้องโหยหวนออกมา ร่างกายสัตว์อสูรถูกฉีกออกเป็นชิ้นๆ ด้านบนขึ้นไป มังกรวารีหลบหนีออกไป ไม่อาจจะเข้าใกล้พวกมันได้
ไม่ใช่มีเพียงกลุ่มเดียวที่ปรากฎขึ้นเช่นนั้น แต่มีมากกว่าสิบกลุ่มที่พุ่งออกมาจากภายในเมือง เพื่อเข้าร่วมการต่อสู้กับขุมกำลังของโม่ถู่กงที่อยู่ด้านนอกกำแพงเมือง เสียงระเบิดดังก้องไปทั่วในอากาศ ตามมาด้วยเสียงแผดร้องแหลมเล็กโหยหวน และการต่อสู้ก็ยังคงดำเนินต่อไป
ไม่ใช่ว่าเมิ่งฮ่าวไม่เคยได้ร่วมเป็นสักขีพยานกับการต่อสู้ขนาดใหญ่ระหว่างผู้ฝึกตนด้วยกันเช่นนั้น แต่การต่อสู้เช่นนี้เป็นสิ่งที่เขาไม่เคยได้เห็นมาก่อน ภาพที่เห็นทำให้จิตใจเขาเริ่มหนักอึ้ง เขาไม่ใช่ผู้มาใหม่ในโลกการฝึกตนแห่งนี้ ดังนั้นจึงทำจิตใจให้เยือกเย็นลงได้อย่างรวดเร็ว
สิ่งที่สร้างความสนใจให้เขามากที่สุดก็คือ ยักษ์ขนาดใหญ่สองตนที่เดินเข้าไปในสนามรบ การเคลื่อนไหวของพวกมันเชื่องช้า แต่ในแต่ละก้าวที่พวกมันเดินไป ได้ทำให้พื้นดินสั่นสะเทือน และดาบเล่มใหญ่ที่พวกมันกวัดแกว่งไปมา ก็กระจายรังสีอันน่าตกใจออกมา
ทันใดนั้น หนึ่งในกลุ่มผู้ฝึกตนจากในเมืองก็เปลี่ยนทิศทาง มุ่งหน้าตรงมายังเมิ่งฮ่าวและกลุ่มของเขา เขาคิดว่าอาจจะเป็นความบังเอิญ แต่เมื่อได้เห็นแววยินดีที่เปล่งประกายอยู่ในดวงตาของหานเสวี่ยชาน เขาก็รู้ว่าคนกลุ่มนี้กำลังมานำนางกลับเข้าไปในเมือง