วันอังคารที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2560

ตอนที่ 321 : ครอบคลุมหลี่ด้วยสวรรค์!

Posted By: wuxiathai - 00:23
นอกถ้ำแห่งเซียน นกแก้วกำลังบินขึ้นไปในท้องฟ้า ส่งเสียงแหลมเล็กออกมา
“พวกเจ้าทุกคนฟังข้า อู่เหยีย (ท่านปู่ห้า) ก็คือปักษาเซียน, เป็นปักษาเซียนโบราณ ข้ารู้เรื่องสวรรค์ และข้าก็รู้เรื่องของอเวจี เพราะไม่มีอะไรที่อู่เหยียไม่รู้ ถ้าข้าอารมณ์ดี ข้าก็จะสอนเวทเซียนให้กับพวกเจ้า เวทเซียน! เจ้ารู้หรือไม่ว่ามันหมายถึงอะไร? ตอนนี้กล่าวตามข้า ให้เสียงดังมากที่สุดเท่าที่จะทำได้: เชื่อมั่นในอู่เหยีย, มีชีวิตนิรันดร์! เมื่ออู่เหยี่ยปรากฎ ใครกล้ามาต่อกร!” ขณะที่มันพูดจบ ก็ร่อนลงไปเกาะบนศีรษะหวงต้าเซียน สีหน้ามันทรนงและภาคภูมิใจ ราวกับว่ามันอยู่เหนือทุกคนมาแต่กำเนิด
“เจ้ามันไม่มีอะไรนอกไปจากเป็นนกสีฉูดฉาด!” ผีโต้งกล่าวเสียงเคร่งขรึม มันกำลังเกาะอยู่บนศีรษะของผู้ฝึกตนที่อยู่ในขั้นวงจรอันยิ่งใหญ่พื้นฐานลมปราณ “เจ้าเรียกตัวเองว่าเซียน แต่จริงๆ แล้ว เจ้าก็เป็นแค่นก และเจ้าหมายถึงอะไรท่านปู่หมายเลขห้า? อะไรคือหมายเลขห้า อย่างมากที่สุดเจ้าก็เป็นแค่อี้เหยีย (ท่านปู่หมายเลขหนึ่ง)!” ผู้ฝึกตนที่อยู่ด้านล่างมันยิ้มอย่างเต็มฝืน สีหน้าซีดขาว
“กี่ชาติมาแล้วที่ข้าพยายามจะสอนเจ้าเรื่องนี้!?” นกแก้วกล่าว จ้องมายังผีโต้งด้วยความชิงชัง “เจ้ายังไม่สามารถนับหลังจากเลขสาม? เจ้าไม่คู่ควรที่จะมาพูดกับอู่เหยีย!”
“แล้วเจ้านับได้ถึงเท่าไหร่?” ผีโต้งถาม เป็นเสียงที่มีทั้งโทสะและรู้สึกอัปยศ
“ข้านับได้ถึงเก้า!” นกแก้วกล่าวตอบอย่างวางมาด จ้องมาด้วยดวงตาเบิกกว้าง ทันใดนั้น ผีโต้งก็จ้องมาด้วยความตกตะลึง ขณะที่มันพยายามจะทำความเข้าใจว่าเลขเก้าสูงมากแค่ไหน มันอยากจะพูดอะไรบางอย่างกลับไป แต่เมื่อได้เห็นท่าทางวางมาดของนกแก้ว ผีโต้งก็ตระหนักว่าเก้าต้องเป็นตัวเลขที่สูงมากเป็นอย่างยิ่ง จู่ๆ มันก็เริ่มรู้สึกนับถือตัวเองน้อยลงเล็กน้อย
ผู้ฝึกตนที่อยู่รอบๆ ทั้งหมดมีสีหน้าแปลกๆ แต่ก็ไม่มีใครกล้าชักช้าในการพูดตามนกแก้ว ซึ่งทำให้โลหิตของพวกมันแทบจะแข็งตัวเมื่อได้ยินคำพูดเหล่านั้น นอกจากนี้ พวกมันก็รู้ว่าทั้งผีโต้งและอู่เหยียแปลกพิลึกประหลาดขนาดไหน
ผีโต้งเป็นสิ่งที่ไม่อาจทำลายลงไปได้ สองเดือนก่อน มีกลุ่มคนโลภที่อยู่ใกล้เคียงพื้นที่แถบนี้มาถึง แต่ผีโต้งก็ได้กลายร่างเป็นฟองอากาศขนาดใหญ่ล้อมพวกมันไว้ภายใน ไม่ว่าผู้ฝึกตนสิบกว่าคนที่อยู่ด้านในจะทำอะไร ก็ไม่อาจจะทำให้ฟองอากาศนั้นเกิดเป็นรอยขีดข่วนได้แม้แต่น้อย
ในที่สุด พวกมันก็ไม่มีทางเลือก ได้แต่มองออกมาอย่างสิ้นหวัง สุดท้ายผีโต้งก็ปล่อยพวกมันไป มองยั่วไปยังนกแก้วในเวลาเดียวกัน
ต่อมา มีผู้ฝึกตนอีกกลุ่มได้มาถึง และผู้ฝึกตนเหล่านั้นก็ได้เห็นในสิ่งที่ควรจะถูกเรียกว่าความวิกลจริตและความทุกข์ยากอย่างแท้จริง
หนึ่งในผู้ฝึกตนกลุ่มนั้นจบลงด้วยการด่าทอสาปแช่งนกแก้ว ครั้นแล้วนกที่มีสีสันสดใสดูไร้พิษภัยก็ได้…มุดเข้าไปในรูใดๆ ก็ตามที่มันมองเห็น ด้วยความรวดเร็ว เพียงชั่วพริบตา เสียงกรีดร้องโหยหวนที่ชวนให้โลหิตต้องแข็งตัวด้วยความหวาดกลัวก็ดังเต็มอยู่ในอากาศ ขณะที่ผู้ฝึกตนที่บุกรุกเข้ามานั้นเหลืออยู่ครึ่งร่างที่เต็มไปด้วยรูโลหิต เมื่อนกแก้วพุ่งทะลุผ่านมันออกมา
ขณะที่มีบางคนโชคร้าย นกแก้วจบลงด้วยการพุ่งเข้าไปและออกมาจากดวงตาของพวกมัน แสงแผดร้องอย่างน่ากลัวดังออกมา ทำให้ผู้คนไม่อาจลืมเลือนไปได้
บางคนที่ด่าทอนกแก้ว, เจ้านกแก้วก็ไปข่มขู่บังคับให้ผีโต้งเปลี่ยนร่างคนผู้นั้นให้กลายเป็นลิงที่มีขนเงางาม
จากนั้น…ทุกคนที่มุงดูก็เริ่มฝันร้ายกับมหันตภัยในครั้งนี้
ด้วยเสียงร้องแหลมเล็ก นกแก้วพุ่งไปราวกับสายฟ้าตรงไปยังลิงขนยาว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ตรงก้นของมัน…
เสียงแผดร้องที่ชวนให้ขนลุกดังออกมาจากปากของผู้ฝึกตนนั้น เช่นเดียวกับเสียงความตื่นเต้นอย่างน่ากลัวและชั่วร้ายของนกแก้ว ทันใดนั้น ก็ทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างถูกปกคลุมไปด้วยความเงียบอย่างแน่นหนา…
หลังจากการต่อสู้ทั้งสองครั้งนั้น กลุ่มผู้แข็งแกร่งก็ถูกจัดตั้งขึ้นมาในพื้นที่แถบนี้ และไม่มีใครกล้ามาหาเรื่องกับพวกมันอีก
ความหยิ่งยโสของนกแก้วเริ่มเป็นที่รู้จักกันมากขึ้น เช่นเดียวกับที่ทุกคนรู้ว่ามันชอบจัดการคนที่ชอบด่าทอมันมากที่สุด รวมถึงความใจแคบและความไม่ยินดีที่จะลืมเรื่องขุ่นข้องหมองใจของมัน
สำหรับหวงต้าเซียน ทุกครั้งที่มันเห็นผีโต้งหรือนกแก้ว มันก็จะประจบประแจงเลียแข้งเลียขาพวกมัน จนในที่สุด คนอื่นๆ ก็เลียนแบบมัน สุดท้ายทั่วทั้งบริเวณนี้ก็เป็นอาณาเขตของนกแก้วและผีโต้ง
นับจากนั้นเป็นต้นมา ทุกๆ วันก็จะมีเสียงตะโกนของกลุ่มผู้ฝึกตนว่า “เชื่อมั่นในอู่เหยีย, มีชีวิตนิรันดร์! เมื่ออู่เหยี่ยปรากฎ ใครกล้ามาต่อกร!”
จำนวนคนที่มาเข้าร่วมเพิ่มมากขึ้น ทำให้พวกมันแผ่อิทธิพลได้กว้างออกไป ด้วยเช่นนั้น ดินเซียนก็ถูกรวบรวมได้มากขึ้นไปเรื่อยๆ เช่นกัน
เมิ่งฮ่าวถอนจิตสัมผัสกลับมา และตรวจสอบถุงสมบัติของเขา อันที่จริง การมีผู้คนมากมายอยู่ที่นี่ก็มีเรื่องให้ปวดหัวอยู่บ้าง ถ้ามีคนมาเข้าร่วมมากไปกว่านี้ ถึงแม้เมิ่งฮ่าวจะมีเม็ดยามากมาย มันก็ยังคงไม่เพียงพออยู่ดี
หลังจากนั่งครุ่นคิดถึงเรื่องนี้สักพัก เมิ่งฮ่าวก็ยืนขึ้นและออกไปจากถ้ำแห่งเซียน ทันทีที่เขาปรากฎกาย ผีโต้งก็ลอยมา นกแก้วดูเหมือนจะไม่ค่อยเต็มใจ แต่ก็บินเข้ามาใกล้และเริ่มวนเป็นวงกลมรอบๆ เมิ่งฮ่าว เถาวัลย์พุ่งขึ้นมาจากพื้นดิน เอนไหวส่ายไปมา ดูเหมือนว่ามันรู้สึกดีใจที่ได้เห็นเขา ผู้ฝึกตนบางคนที่เคยเห็นพลังของเขามาก่อนหน้านี้ ก็โค้งตัวคารวะเขาเช่นเดียวกัน
ในที่สุดทั่วทั้งบริเวณก็ค่อนข้างจะปั่นป่วนวุ่นวาย ผู้คนส่วนใหญ่ที่อยู่ที่นี่ไม่เคยพบเห็นเมิ่งฮ่าวมาก่อน แต่เคยได้ยินเรื่องราวของเขา และตอนนี้พวกมันก็ยืดคอมองมา
เมิ่งฮ่าวมองไปยังกลุ่มคนพร้อมขมวดคิ้ว จากนั้นก็เดินไปยังบึงน้ำที่ตั้งอยู่ใกล้ถ้ำแห่งเซียน ทันใดนั้น เขาก็มีแรงบันดาลใจเกิดขึ้น ตบไปที่ถุงสมบัติ ส่งยาสามเม็ดให้ลอยออกมา
ก่อนที่ทุกคนจะทันได้เห็นอย่างชัดเจนว่านั่นคือเม็ดยาอะไร เมิ่งฮ่าวก็ส่งยาทั้งสามเม็ดลงไปในบึงน้ำ ต่อมา เขาก็ขยับมือขวาร่ายเวทอาคมอย่างรวดเร็ว และจากนั้นก็ชี้ไปยังบึงน้ำ น้ำในบึงเริ่มพลุ่งพล่านราวกับว่ามันกำลังเดือดอยู่ และรู้สึกได้ถึงความร้อนอย่างรุนแรง ราวกับว่ามีไฟที่มองไม่เห็นกำลังลุกไหม้อยู่
หลังจากผ่านไปสักพัก พลังลมปราณอันหนาแน่นก็ลอยออกมาจากบึงน้ำ ปกคลุมไปทั่วทั้งบริเวณ ใบหน้าของผู้ฝึกตนทุกคนเปลี่ยนไปในทันที เต็มไปด้วยความตกตะลึงและตื่นเต้น
จากความเข้มข้นของพลังลมปราณ ก็ดูเหมือนว่าการได้ดื่มน้ำในบึงนี้ ก็เหมือนกับการได้ดื่มน้ำยา
“ทุกคนสามารถดื่มน้ำจากบึงยานี้ได้หนึ่งครั้ง!” เมิ่งฮ่าวกล่าว มองไปยังหวงต้าเซียน และผู้ฝึกตนที่มีขั้นวงจรอันยิ่งใหญ่ของพื้นฐานลมปราณ เมื่อสายตาเขากวาดผ่านไป จิตใจพวกมันก็สั่นสะท้าน เสาแห่งเต๋าของผู้ฝึกตนพื้นฐานลมปราณสั่นไปมา ราวกับว่าพวกมันสัมผัสได้ถึงความจริงจังและน่ากลัวของเมิ่งฮ่าว
ทุกคนก้มหน้าลงอย่างช้าๆ และจากนั้นเมิ่งฮ่าวก็หมุนตัว นำดินเซียนที่รวบรวมได้ในเร็วๆ นี้กลับเข้าไปในถ้ำแห่งเซียนเพื่อศึกษามันให้ได้รับความรู้แจ้งเพิ่มขึ้น
อีกหนึ่งเดือนได้ผ่านไป ในตอนนี้ เมิ่งฮ่าวสามารถศึกษาดินเซียนได้อย่างต่อเนื่อง เป็นเวลาเท่ากับธูปไหม้หมดไปครึ่งดอก ตลอดช่วงเวลานี้ เขาสังเกตเห็นเงาร่างจางๆ ก่อตัวขึ้นมาจากสัญลักษณ์เวทสีทอง และลวดลายยันต์อาคมของพวกมัน
จากการคิดคำนวนของเมิ่งฮ่าว จริงๆ แล้วเขาเพียงรวบรวมได้แค่หนึ่งในร้อยส่วน ถ้าจะได้รับความรู้แจ้ง เขาจำเป็นต้องรวบรวมดินเซียนให้มากกว่านี้อีก
ไม่นานมานี้ เมิ่งฮ่าวยังได้สะกดการเติบโตของแกนลมปราณของเขาไว้ เหตุผลก็คือเมื่อไหร่ที่แกนปราณของเขาปรากฎขึ้น มันก็จะบ่งชี้ว่าแกนของเขาได้ตกผลึกอย่างสมบูรณ์แล้ว ขั้นตอนต่อไปก็คือต้องบรรลุแกนสีทองสมบูรณ์เท่านั้น
จากความเข้าใจของเมิ่งฮ่าว น่าจะดีกว่าถ้าเขาพัฒนาแก่นแท้ของแกนปราณ หลังจากที่มีแกนสีทองสมบูรณ์แล้ว เขาเชื่อมันว่าเมื่อถึงเวลานั้น พลังการต่อสู้ของเขาก็จะเพิ่มขึ้นอย่างน่าเหลือเชื่อในพริบตา
ในวันพิเศษวันหนึ่ง หลังจากที่เมิ่งฮ่าวสรุปผลการค้นคว้าวิจัย เขาพักผ่อนอยู่สักพัก จากนั้นก็พยายามใช้วิชาผนึกความเที่ยงธรรมอีกครั้ง วันเวลาที่ผ่านมาเขาได้ฝึกฝนเฉพาะสองความสามารถศักดิ์สิทธิ์นี้ แน่นอนว่า เมื่อไหร่ที่เขาใช้วิชาผนึกความเที่ยงธรรม เขาก็จะไม่เข้าไปใกล้สถานที่ซึ่งมีเศษซากศิลานั่น
ยิ่งเขาใช้วิชานี้มากเท่าใด เขาก็ยิ่งเข้าใจมันลึกซึ้งมากขึ้นเท่านั้น เขาสามารถควบคุมแบบพื้นฐานได้แล้ว และสามารถหลอมรวมเจตจำนงของเขาเข้ากับปราณอสูรเพื่อสร้างเป็นกายทิพย์ขึ้นมา
เขาวางมือลงไปบนพื้นดิน และภาพภูติผีก็พุ่งออกมาทั่วทุกที่ เพียงครู่เดียวก็หลอมรวมจิตสัมผัสเข้าไปในปราณอสูรบริเวณนั้น และส่งมันออกไปทั่วทุกทิศทาง ในตอนนี้ มันสามารถปกคลุมทุกสิ่งทุกอย่างภายในรัศมีหกร้อยหลี่ ซึ่งเท่ากับจิตสัมผัสของขั้นสุดท้ายสร้างแกนลมปราณ
การจะผ่านเข้าไปถึงหนึ่งพันหลี่ มีเพียงผู้พิสดารวิญญาณแรกก่อตั้งเท่านั้นที่ทำได้
ขณะที่จิตสัมผัสของเมิ่งฮ่าวหลอมรวมเข้ากับปราณอสูรกระจายออกไป ก็ราวกับว่าเขามีร่างที่มองไม่เห็นอยู่ด้านนอกถ้ำแห่งเซียน ร่างล่องหนนี้สามารถไปได้ทุกที่ภายในรัศมีหกร้อยหลี่ ด้วยเจตจำนงของเขาโดยตรง
เขาเห็นผู้ฝึกตนที่ด้านนอกถ้ำแห่งเซียน พวกมันมีประมาณเจ็ดสิบถึงแปดสิบคน มีเกือบทุกระดับขั้นการฝึกตน พวกมันถูกมอบหมายให้ทำงานเพียงอย่างเดียว ทุกวันพวกมันต้องออกจากที่พัก และกลับมาพร้อมกับดินเซียนสีม่วงอมเขียว พวกมันจะทำเช่นไรก็ได้ ยิ่งมีดินเซียนกลับมามากเท่าใด พวกมันก็จะยิ่งได้ดื่มน้ำจากบึงยามากขึ้นเท่านั้น
เมิ่งฮ่าวมองพวกมันทั้งหมด จากนั้นก็ไม่สนใจอีก ดำดิ่งลงไปในขั้นแปลกๆ สำรวจไปยังบริเวณรอบๆ ซึมซับประสบการณ์ในการใช้ปราณอสูร
ก่อนที่เขาจะตระหนักถึงมัน ครึ่งชั่วยามก็ผ่านไป จากประสบการณ์ของเมิ่งฮ่าว กายทิพย์ที่เขาสร้างขึ้นมาโดยการใช้วิชาผนึกความเที่ยงธรรม จะใช้ได้เกินครี่งชั่วยามเล็กน้อย เขากำลังจะยกเลิกวิชานี้ แต่ทันใดนั้น เขาก็หันหน้า มองออกไปยังที่ห่างไกล ดวงตาหดเล็กลง เขาไม่ได้ตกใจ มีแต่ความเยือกเย็น
ที่นั่นไกลออกไป เป็นสถานที่ซึ่งเป็นเศษซากศิลา อย่างน่าตกใจ เขามองเห็นกลุ่มหมอกของปราณสีดำลอยออกมา รวมตัวกันเป็นภาพของชายชราตัวใหญ่มหึมา
ชายชราผู้นั้นใหญ่โตราวกับยักษ์ และกำลังมองมายังเมิ่งฮ่าว
ครึ่งท่อนล่างของมันก่อตัวขึ้นมาจากกลุ่มหมอกสีดำ ด้านบนมันสวมใส่ชุดสีดำ เส้นผมสีขาวพริ้วไปมา และดวงตาเจิดจ้าราวสายฟ้า สีหน้าเต็มไปด้วยความลึกซึ้งเก่าแก่โบราณ และมีรอยแยกอยู่ตรงกึ่งกลางหน้าผาก ภายในรอยแยกนั้นมีอสรพิษสีดำบิดตัวดิ้นไปมายั้วเยี้ยส่งเสียงอย่างน่ากลัวออกมา
“ขอคารวะ, ผู้อาวุโส” เมิ่งฮ่าวกล่าว ประสานมือและโค้งตัวลง
ชายชรามองมายังเมิ่งฮ่าวชั่วครู่ “ข้ามองดูเจ้ามานานแล้ว” มันกล่าว จากนั้นก็พูดต่อด้วยน้ำเสียงไร้มารยาท “ทำไมเจ้าถึงมีเส้นใยกรรมของตระกูลจี้ติดอยู่? ตอบข้ามา!”
“นั่นไม่เกี่ยวกับท่าน” เมิ่งฮ่าวกล่าวตอบพร้อมขมวดคิ้ว
“หือ?” ชายชรากล่าวพร้อมสายตาที่แหลมคม กลิ่นอายมันทันใดนั้นก็กระจายออก ทั่วร่างของมันดูเหมือนจะพรุ่งพรูพลังอำนาจอันสุดยอดออกมา หมอกสีดำพลุ่งพล่านปั่นป่วน และอสรพิษสีดำก็โผล่ออกมาจากหน้าผากของมันจ้องมายังเมิ่งฮ่าว ลิ้นสองแฉกของพวกมันแวบเข้าออกอย่างรวดเร็ว ขณะที่ส่งเสียงกรีดร้องอย่างดุร้ายออกมา
ในเวลาเดียวกันนั้น งูเหลือมสีดำมากกว่าร้อยตัวก็ปรากฎขึ้นที่เบื้องหน้าชายชรา ดูเหมือนจะมีผลสะท้อนกับอสรพิษตัวเล็กๆ ที่อยู่บนหน้าผากของมัน หลังจากที่พวกมันปรากฎตัวขึ้น ก็กระจายออกไปทั่วทุกทิศทาง ช่างเป็นภาพที่น่าตกใจอย่างแท้จริง
แน่นอนว่า ไม่มีใครนอกจากเมิ่งฮ่าวที่มองเห็น และสีหน้าเขาก็เยือกเย็นเหมือนเช่นเคย
“เจ้ามาที่นี่แล้วครั้งหนึ่งก่อนหน้านี้” ชายชรากล่าว มองมายังเมิ่งฮ่าว “เจ้ามองเห็นผนึกที่สะกดข้าไว้ นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ทำไมเจ้าถึงได้เชื่อมั่นในตัวเองนัก, ใช่หรือไม่?” เสียงของมันดังก้องราวกับเสียงฟ้าฟาด ทำให้แม้แต่ท้องฟ้าก็ยังดูเหมือนจะเริ่มมืดลง
“ถูกต้อง” เมิ่งฮ่าวกล่าวตอบอย่างไม่ค่อยใส่ใจ
ชายชราจ้องมาที่เขาชั่วครู่ จากนั้นก็หัวเราะเสียงดังขึ้นในทันที “ตอบได้ดีมาก เจ้ามีเส้นใยกรรมของตระกูลจี้ติดอยู่ที่ตัว ก็หมายความว่าเจ้าจะมีปัญหาในหลบหนีกรรมของพวกมันในชีวิตนี้ ผู้ฝึกตนที่บรรลุความรู้แจ้งเกี่ยวกับแก่นแท้ของเก้าขุนเขาหนึ่งทะเลจะตกเป็นเหยื่อของตระกูลจี้”
“เจ้ายังเยาว์ แต่ก็สามารถสัมผัสได้ถึงแก่นแท้ของเก้าขุนเขาหนึ่งทะเล นั่นก็หมายความว่า เจ้าต้องอยู่บนวิถีทางของผู้สืบทอดที่ยิ่งใหญ่บางอย่าง แต่วิถีทางเช่นนั้น…จะนำเจ้าให้ไปขัดแย้งกับตระกูลจี้ เจ้าจะเป็นเหมือนข้าอีกไม่นานแล้ว” ด้วยเสียงหัวเราะอีกครั้ง มันหันหลังไป และกลุ่มหมอกสีดำก็เริ่มจางหายไป
เมื่อได้ยินคำพูดของชายชรา ก็ทำให้เมิ่งฮ่าวรู้สึกสับสนเล็กน้อย เมื่อเห็นว่าชายชรากำลังจะหายไป จู่ๆ เขาก็รีบกล่าวขึ้น “อะไรคือแก่นแท้ของเก้าขุนเขาหนึ่งทะเล? ตระกูลจี้ต้องการอะไรกับแก่นแท้นี้?”
“มีเก้าขุนเขาอยู่ในความกว้างใหญ่ไพศาล แต่ละขุนเขาก็มีสี่ดวงดาว รวมถึงตะวันและจันทราที่โคจรอยู่รอบๆ ขุนเขาทะเล หนึ่งขุนเขา, หนึ่งทะเล, หนึ่งแก่นแท้ การได้ครอบครองแก่นแท้ของขุนเขาทะเล จะกลายเป็นราชันของขุนเขาทะเล…ราชันของเก้าขุนเขาหนึ่งทะเลแซ่หลี่ (李) แต่มันได้เสียชีวิตไปในภัยพิบัติอันยิ่งใหญ่ จากนั้นขุนเขาก็ไม่มีราชัน ดังนั้นเหล่าเซียนทั้งหมดต่างก็แย่งชิงเพื่อให้ได้ตำแหน่งนี้มาครอบครอง…”
“ราชันหลี่มีนักรบเซียนเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาอยู่สองกลุ่ม กลุ่มที่ทรงพลังแข็งแกร่งมากที่สุดได้เปลี่ยนแซ่ของพวกมัน ใช้สวรรค์ (天) ปกคลุมอยู่เหนือหลี่ (李) และเรียกตัวเองว่าจี้ (季) นับจากนั้นมา บรรพบุรุษของตระกูลจี้ก็ได้ครอบครองพระราชวังสวรรค์ พวกมันไล่ล่าและสังหารกลุ่มแซ่โบราณ เปลี่ยนตำแหน่งของสวรรค์ และปิดผนึกเหล่าเซียนทั้งหลาย…”
“มหันตภัยของเก้าขุนเขาหนึ่งทะเลก็เริ่มขึ้น! สงครามอันยิ่งใหญ่ระหว่างดวงดาว เหล่าเซียนได้ตายไป โลหิตไหลนองเป็นท้องธารอย่างไร้ขอบเขต เมื่อสิ่งมีชีวิตทั้งหมดเงยหน้าขึ้น แทนที่พวกมันจะมองเห็นดวงดาว แต่กลับกลายเป็นว่าพวกมันมองเห็นสวรรค์แห่งจี้!” เสียงอันทรงพลังของชายชรา ดูเหมือนจะเต็มไปด้วยความเยาะเย้ยและบ้าคลั่ง ขณะที่มันค่อยๆ จางหายไป
เมิ่งฮ่าวลอยอยู่กลางอากาศจ้องมองไปด้วยความงุนงง จิตใจหมุนเคว้งคว้าง คำพูดของชายชราและเสียงหัวเราะอย่างขมขื่นของมันดังก้องไปมา ราวกับว่าเป็นส่วนหนึ่งของทำนองเพลงและความบ้าคลั่ง

About wuxiathai

Organic Theme is officially developed by Templatezy Team. We published High quality Blogger Templates with Awesome Design for blogspot lovers.The very first Blogger Templates Company where you will find Responsive Design Templates.

Copyright © 2015 ผนึกสวรรค์ สยบมาร สะท้านเทพ

Designed by Templatezy | Distributed By Gooyaabi Templates