เมิ่งฮ่าวสูดลมหายใจเข้าไปลึกๆ แสงสว่างในมือของเขาคงอยู่เป็นเวลานาน ก่อนที่ในที่สุดเขาก็เก็บหินลมปราณระดับสูงพิเศษกลับเข้าไป หลังจากนั้น สัญลักษณ์เวทสีเงินก็ปรากฎขึ้นเหนือฝ่ามือ มันเริ่มส่องแสงสีเงินเจิดจ้า เช่นเดียวกับมีกลิ่นอายจางๆ ลอยขึ้นไปในท้องฟ้า และกลายเป็นสัญลักษณ์เวทมากขึ้นกว่าเดิม ทำให้เมิ่งฮ่าวรู้สึกว่าช่างเหมือนกับดินเซียนเป็นอย่างยิ่ง
สัญลักษณ์เวทกระจายพลังออกมาเป็นระลอกคลื่น ซึ่งทำให้เมิ่งฮ่าวรู้สึกถึงอันตรายในทันที เขาตรวจสอบทุกสิ่งอย่างละเอียดก่อนที่จะทำให้สัญลักษณ์นั้นหายไป
“จากการคาดการณ์ของข้า การจะสังหารบุตรของตระกูลจี้ ต้องไม่ทำการศึกที่ยืดเยื้อ ต้องจัดการให้รวดเร็วดุจสายฟ้า ทำให้มันไม่มีโอกาสใช้อาวุธเวทใดๆ…ถ้าข้าไม่ได้ตัดสินใจใช้หน้ากากสีโลหิต ข้าก็คง…” ความหวาดกลัวเต็มอยู่ในจิตใจ ขณะที่เขาคิดย้อนกลับไปในการต่อสู้ครั้งนั้น ถ้าเขาลังเลแม้เพียงน้อยนิด ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นก็คงจะแตกต่างออกไปเป็นอย่างมาก
ตระกูลจี้ช่างน่ากลัวอย่างแท้จริง เมิ่งฮ่าวไม่อยากจะเชื่อว่า พวกมันจะไม่มีกลยุทธ์อันทรงพลังใดๆ แอบซ่อนอยู่ เหตุผลหลักที่เขาประสบชัยชนะก็เป็นเพราะ เขาได้โจมตีราวกับสายฟ้าฟาด ทำให้จี้หงตงไม่มีเวลาในการตอบโต้
เมื่อมองไปยังสัญลักษณ์เวทสีเงิน เมิ่งฮ่าวก็บอกได้ว่ามันจำเป็นต้องมีเวลาในการเตรียมตัวก่อนใช้งาน
“ด้วยความอ่อนแอที่สุดของมัน ของสิ่งนี้ก็ยังแข็งแกร่งกว่าพื้นฐานฝึกตนของข้า แต่ก็ไม่รู้ว่าต้องใช้มันอย่างไร” หลังจากขบคิดสักพัก มือเขาก็ขยับอีกครั้ง ครั้งนี้ขวดยาโปร่งใสก็ปรากฎขึ้น
มองเห็นได้อย่างชัดเจนว่ามีเม็ดยาขนาดเท่าผลลำใย ซึ่งถูกประทับตราเป็นรูปมืออยู่ด้านใน ดวงตาเมิ่งฮ่าวสาดประกายขณะที่เขาเปิดฝาขวดยาออก หลังจากดมกลิ่นหอมของตัวยา เขาก็ตื่นเต้นอย่างเห็นได้ชัด
“นี่ไม่ใช่เม็ดยาธรรมดา! นี่คือ…เม็ดยาระดับเลิศสิบส่วนเต็ม!” เขาสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ขณะที่ตรวจสอบเม็ดยานี้อย่างละเอียด เวลาผ่านไปสักพัก ความประหลาดใจก็เต็มอยู่ในดวงตา
“เม็ดยาจัดหาวิญญาณ! หนี่งในสามเม็ดยาอันยิ่งใหญ่สมัยโบราณ! เม็ดยาจัดหาวิญญาณ!” เขาสูดลมหายใจลึกๆ ตรวจสอบมันอีกครั้งเพื่อยืนยันว่าเขาคิดถูกไม่ผิดพลาด สีหน้าเขาเต็มไปด้วยความแปลกใจ
ในสามเม็ดยาอันยิ่งใหญ่สมัยโบราณ เมิ่งฮ่าวได้ครอบครองเม็ดยาแรกเสริมฟ้าแล้ว ดังนั้น เขาสามารถใช้มันชดเชยอายุขัยที่เขาใช้อย่างสิ้นเปลืองไปก่อนหน้านี้ได้ และท่านอาจารย์ก็ยังได้มอบเม็ดยาเทียนฟางให้เขาไว้สามเม็ด เพื่อใช้สะกดข่มดอกปี่อ้าน รวมถึงเพิ่มอายุขัยด้วย
“วิญญาณแรกเริ่มของผู้ฝึกตนขั้นวิญญาณแรกก่อตั้งขึ้นอยู่กับธาตุทั้งห้า และถูกแบ่งออกเป็นห้าสี วิญญาณแรกเริ่มที่มีสี่สีจริงๆ แล้วก็ถือว่าอยู่ในขั้นสูงสุด ด้วยพื้นฐานไร้ตำหนิ และแกนสีม่วง รวมถึงเม็ดยาจัดหาวิญญาณหนึ่งสี ทำให้เป็นไปได้ที่จะเพิ่มได้อีกหนึ่งธาตุ!”
“ถ้าข้ามีอยู่สี่ธาตุ, เม็ดยานี้ก็จะช่วยเพิ่มให้กลายเป็นห้า แต่ถ้าข้ามีอยู่แล้วห้าธาตุ เช่นนั้น…จะเป็นไปได้หรือไม่ว่ามันจะกลายเป็นวิญญาณแรกเริ่มหกสี? โชคร้ายที่ไม่ว่าจะกลืนยาเม็ดนี้ไปมากมายเท่าไหร่ก็ตาม มันจะมีประสิทธิภาพเพียงแค่หนึ่งครั้งเท่านั้น” เขาถือเม็ดยาจัดหาวิญญาณหนึ่งสีและมองไปที่มัน ดวงตาสาดประกาย ในที่สุด ก็เก็บมันไว้อย่างระมัดระวัง
เขามีความรู้สึกอย่างแรงกล้าว่า ยาเม็ดนี้จะต้องมีความสำคัญต่อเขาเป็นอย่างมากในวันข้างหน้า!
ต่อมา เขามองลงไปยังถุงสมบัติ ขณะที่ดึงเอาคันเบ็ดออกมา
มันมีขนาดเรียวยาวและเป็นสีเขียวมรกต ถืออยู่ในมือโดยที่ไม่แน่ใจว่ามันเอาไว้ทำอะไรกันแน่ มันเป็นเงาวาววับและโปร่งแสง ดูแหลมคมเป็นอย่างมากด้วยเช่นกัน ตะขอที่ตรงส่วนปลายสาดประกายด้วยแสงอันเย็นเยียบ
“ของสิ่งนี้…” หลังจากชะงักไปชั่วขณะ เขาก็สะบัดคันเบ็ด ภาพลวงตาของสระน้ำก็ปรากฎขึ้นตรงหน้าเขาในทันที ตะขอลอยลงไปในสระน้ำ และขณะที่เป็นเช่นนั้น แรงสั่นสะเทือนก็วิ่งผ่านร่างเมิ่งฮ่าว เขาได้ยินเสียงของเด็กทารกร่ำไห้, ลมหายใจเหนื่อยหอบของคนชราก่อนที่จะตายไป, เสียงหัวเราะของชายฉกรรจ์, คำสบถอย่างกระด้างกระเดื่องของวัยรุ่น เขาได้ยินเสียงของสิ่งมีชีวิตทั้งหมด
เสียงเหล่านั้นผ่านเข้ามาในจิตใจจนรู้สึกสั่นสะท้าน ราวกับว่าเขาแทบจะถูกฉีกออกเป็นชิ้นๆ รีบปล่อยมือในทันที คันเบ็ดตกลงไปบนพื้น และทุกสิ่งทุกอย่างก็หายไป
เพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ ร่างเมิ่งฮ่าวก็เต็มไปด้วยหยาดเหงื่อ ลมหายใจเร่งร้อนเหนื่อยหอบ
“ของสิ่งนี้คืออะไร?” เขาคิด มองลงไปยังคันเบ็ด ตอนแรกมันก็ดูเหมือนสิ่งของธรรมดาทั่วไป แต่ตอนนี้ดูเหมือนมันจะมีความลี้ลับเป็นอย่างมาก
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเขาคิดว่าตระกูลจี้ช่างน่ากลัวถึงเพียงไหน เห็นได้ชัดว่า คันเบ็ดนี้ต้องเป็นสิ่งของที่สำคัญอย่างแน่นอน
เวลาผ่านไป หลังจากที่เมิ่งฮ่าวเก็บคันเบ็ดไว้ เขาก็มองกลับไปยังถุงสมบัติ นอกจากหินลมปราณธรรมดาจำนวนหนึ่งแล้ว ก็ดูเหมือนจะมีของอีกชิ้นหนึ่งที่ดูเด่นสะดุดตา
มันเป็นกล่อง
เป็นกล่องสี่เหลี่ยม ที่ดูเหมือนจะแกะสลักมาจากชิ้นหยกแต่ก็อาจจะไม่ใช่ มีสีดำสนิท และที่บนมุมขวาก็มีเครื่องหมายเป็นตัวอักษร
方 (ฟาง)
กล่องนี้ดูโบราณ ส่งกลิ่นอายเก่าแก่ออกมา ดวงตาเมิ่งฮ่าวสาดประกายขณะที่ค่อยๆ เปิดมันออก ด้านในมีถุงมืออยู่หนึ่งข้าง ซึ่งอ่อนนุ่มบางเบาราวกับปีกของจั๊กจั่นขณะที่เขาหยิบมันขึ้นมา
เขาใช้จิตสัมผัสตรวจสอบมันอย่างระมัดระวังชั่วครู่ ก่อนที่จะสวมใส่เข้าไปที่มือขวา ทันทีที่เขาสวมมัน ก็สัมผัสได้ถึงพลังอันน่าเหลือเชื่อระเบิดออกมาจากด้านในของถุงมือ ไหลเข้าไปในมือขวาของเขา
เขาสูดลมหายใจลึกๆ และจ้องไปที่มือ มองไม่เห็นถุงมือ แต่เมื่อกำมือ เสียงแตกร้าวก็ได้ยินออกมา ราวกับว่าอากาศถูกดูดเข้าไป ทุกสิ่งทุกอย่างในถ้ำแห่งเซียนสั่นสะเทือน จากนั้นก็ลอยเข้าไปในอากาศที่ตรงมายังหมัดของเมิ่งฮ่าว แม้แต่อากาศก็ดูเหมือนจะลดน้อยลงไปครึ่งหนึ่ง ถูกดูดเข้าไปในหมัดนี้
“นี่เป็นพลังอะไรกัน…?” ทันใดนั้น ภาพของหญิงสาวตระกูลฟาง และหมัดที่น่ากลัวของนางก็ปรากฎขึ้นในจิตใจ
“ฟาง…ของชิ้นนี้ต้องเกี่ยวข้องกับตระกูลฟาง ถ้าใช่ แล้วทำไมมันถึงได้มาอยู่ในถุงสมบัติของตระกูลจี้? ยิ่งไปกว่านั้น ทำไมจี้หงตงถึงไม่ใช้มัน?” หลังจากที่ขบคิดเรื่องราวมากมาย เขาก็ยังคงงงงัน สิ่งของอื่นๆ ทั้งหมดนี้, หินลมปราณระดับสูงพิเศษ, คันเบ็ด, แม้แต่สัญลักษณ์เวทสีเงิน ต่างก็เป็นสิ่งที่ต้องการเวลาในการใช้มัน จี้หงตงไม่มีเวลาที่จะใช้สิ่งของเหล่านี้
และมันก็ไม่ได้สวมถุงมือ ซึ่งเห็นได้ชัดว่าเป็นของวิเศษอย่างยิ่ง ถ้ามันสวมถุงมือนี้ ก็คงไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะสังหารมัน
“ข้ายังมีโลหิตของมัน” เมิ่งฮ่าวคิด “เมื่อข้าสามารถสร้างวิญญาณโลหิต จิตสำนึกของมันก็จะเชื่อมต่อกับข้า และข้าก็จะมองเห็นความทรงจำของมัน บางทีข้าอาจจะค้นหาคำตอบได้” เขาใช้เวลาสักพักในการรับรู้ถึงพลังของมือขวา จากนั้นก็ค่อยๆ แบมือออก มองลงไปยังถุงสมบัติอีกครั้ง ด้านในเป็นสิ่งของจิปาถะอื่นๆ สำหรับหินลมปราณธรรมดา มีประมาณสองหมื่นถึงสามหมื่นก้อน ไม่เพียงพอที่จะนำมาคัดลอกเม็ดยาที่เขาต้องการ
เขาเก็บถุงสมบัติไว้ด้วยดวงตาที่วาววับ
ด้วยสิ่งของเหล่านี้ ทำให้เขามีพลังแข็งแกร่งอยู่ที่ด้านนอกของดินแดนด้านใต้ ในตอนนี้เขามีอิสระที่จะท่องเที่ยวไปได้อย่างแท้จริง
“แต่ว่า ข้าไม่อาจไปในตอนนี้” เขาคิด ส่ายศีรษะ หยิบเอาระฆังของจี้หงตงออกมา จากนั้นก็พ่นปราณออกมาจากแกนลมปราณของเขา และหลอมรวมทั้งสองเข้าด้วยกัน จากนั้นก็ศึกษามันอยู่สักพัก พยายามค้นหาว่าจะใช้มันได้อย่างไร เหมือนกับสิ่งของชิ้นอื่นๆ ดูเหมือนว่าการจะใช้มัน จำเป็นต้องศึกษาค้นคว้าเพิ่มเติมอีกเล็กน้อย
“ไม่จำเป็นต้องรีบร้อน บาดแผลข้าเพิ่งจะหายดี เวลาที่จะออกไปก็ใกล้เข้ามาแล้ว อันดับแรกข้าจำเป็นต้องคัดลอกเม็ดยาแรกเสริมฟ้าก่อน!” เดิมทีเขายังคงลังเลอยู่เล็กน้อย รู้ว่าเม็ดยาจัดหาวิญญาณหนึ่งสีสามารถใช้ได้เพียงครั้งเดียวเท่านั้น โชคร้ายที่ไม่มีทางจะทดสอบได้ว่า เม็ดยาแรกเสริมฟ้าจะมีข้อจำกัดเหมือนกันหรือไม่
ถ้าใช่ การคัดลอกมันก็จะเป็นการสูญเปล่า แต่ถ้าเขาไม่คัดลอก แล้วสามารถใช้มันได้มากกว่าหนึ่งครั้ง ก็จะยิ่งเป็นการสูญเสียอย่างใหญ่หลวง
เขาตัดสินใจเด็ดขาดแล้ว ดังนั้น ด้วยดวงตาที่สาดประกาย เขาหยิบเอากระจกทองแดง และเม็ดยาแรกเสริมฟ้าออกมา สูดลมหายใจเข้าลึกๆ จากนั้นก็เริ่มทำการคัดลอกมันด้วยหินลมปราณระดับสูงพิเศษ
สามเม็ดยาอันยิ่งใหญ่สมัยโบราณ เป็นสิ่งที่หาได้ยากในโลกปัจจุบันนี้ และตอนแรกเขาก็ไม่แน่ใจว่าการคัดลอกจะทำได้หรือไม่ เขารู้สึกเจ็บปวดใจอยู่เล็กน้อย ที่ต้องใช้หินลมปราณระดับสูงพิเศษห้าก้อนในการคัดลอกยาหนึ่งเม็ด
เขาหยิบยาที่คัดลอกมาได้ หย่อนลงไปในปากทันที
เวลาเลื่อนผ่านไป หลายวันหลังจากนั้น สีผมของเขาก็ค่อยๆ เปลี่ยนไป ไม่ใช่สีขาวอีกแล้ว แต่เป็นสีดำ ใบหน้าเริ่มมีสัญญาณของสีเลือดขึ้นมาบ้าง และในที่สุดก็ส่องประกายแห่งชีวิตออกมา ตลอดทั้งร่างเปล่งแสงเจิดจ้า และในความเป็นจริง พื้นฐานฝึกตนของเขาก็เพิ่มขึ้นด้วย อีกไม่นานก็จะสามารถทะลวงผ่านเข้าไปในขั้นกลางของสร้างแกนลมปราณ
ถึงเมิ่งฮ่าวจะฟื้นฟูกลับคืนมา แต่เป้าหมายหลักของเขาก็คือแกนสีทองสมบูรณ์ เขาไม่อาจจะย้อนกลับไป ถ้าเมื่อไหร่ที่แกนปราณปรากฎขึ้น และเข้าไปสู่ขั้นกลางของสร้างแกนลมปราณ
อีกสองสามวันผ่านไป ก่อนที่เขาจะลืมตาขึ้น พวกมันสาดประกายด้วยแสงเจิดจ้าและคมกริบ อายุขัยของเขาก็ฟื้นคืนกลับมาอย่างสมบูรณ์ เขาส่งจิตสัมผัสออกไปด้านนอก ซึ่งกำลังอยู่ในช่วงรุ่งอรุณ ภายใต้ดวงตะวันที่เริ่มทอแสง นกแก้วกำลังบินเป็นวงกลมอยู่ในท้องฟ้า ส่งเสียงเรียกผู้คนร้อยกว่าคนที่ด้านล่างอย่างต่อเนื่อง
“อู่เหยียจะสอนเวทเซียนให้พวกเจ้า นี่เป็นเวทเซียนขั้นพื้นฐาน! ข้ารับรองว่าเมื่อพวกเจ้าควบคุมมันได้ พวกเจ้าก็จะไร้ผู้ต่อต้าน! ตอนนี้ ตะโกนพูดพร้อมกับข้า!”
“เชื่อมั่นในอู่เหยีย, มีชีวิตนิรันดร์! เมื่ออู่เหยียปรากฎ, ใครกล้ามาต่อกร!” เสียงกระหึ่มกึกก้องของผู้ฝึกตนมากกว่าร้อยคนราวกับเสียงฟ้าคำราม…
ผีโต้งนั่งห่างออกไปที่ด้านข้าง สีหน้าเต็มไปด้วยการดูถูกเหยียดหยาม แต่ก็ไม่อาจจะปกปิดความอิจฉาริษยาที่มันรู้สึกอยู่ภายในไว้ได้
เมิ่งฮ่าวได้เห็นภาพเช่นนี้มาหลายครั้งในเร็วๆ นี้ เขาได้แต่ยิ้มอย่างแห้งแล้งและไม่สนใจพวกมัน ขณะที่เขากำลังจะถอนจิตสัมผัสกลับมา ทันใดนั้นก็ขมวดคิ้วขึ้น เขาใช้สองนิ้วกดลงไปบนพื้นดิน และเริ่มใช้วิชาผนึกความเที่ยงธรรม ปราณที่อยู่ในบริเวณนี้ก็ไหลเข้าไปในร่าง เขาเพ่งสมาธิไปที่ดวงตา หลอมรวมสายตาเข้ากับจิตสัมผัส กวาดมองผ่านไปทั่วทั้งอาณาเขตแถบนั้น ที่นั่น ไกลออกไปหลายร้อยหลี่ มีขบวนของผู้ฝึกตนกำลังบินมาทางด้านนี้
ผู้นำเป็นบุรุษและหญิงสาว บุรุษสวมใส่หน้ากากสีทอง และเมิ่งฮ่าวก็จดจำมันได้ นี่เป็นเต้าจื่อของดินแดนสีดำ หลัวชง!
หญิงสาวที่ข้างกายมันสวมใส่ผ้าคลุมหน้าตาข่าย แทบจะมองไม่เห็นเค้าหน้าที่สวยงามของนางหลังผ้าคลุมนั้น ดูเหมือนความสวยงามของสวรรค์และปฐพีทั้งหมดจะถูกรวบรวมมาไว้ที่ตัวนาง
นางมีช่วงขาที่เรียวยาว และหน้าอกที่อวบอิ่ม ทำให้ดูค่อนข้างยั่วยวนน่าดึงดูดใจเป็นอย่างยิ่ง
เสื้อผ้าของนางรัดแน่นขับเน้นให้เห็นเอวที่คอดกิ่ว สะโพกที่กลมกลึง บนหน้าผากมีรอยสักภาพศักดิ์สิทธิ์เป็นรูปผีเสื้อ ยิ่งทำให้นางมีรูปโฉมที่น่ามองมากขึ้นไปอีก
แขนของนางดูราวกับถูกแกะสลักออกมาจากหยกเนื้อดี และถูกตกแต่งด้วยรอยสักภาพศักดิ์สิทธิ์ที่เรืองแสงด้วยเช่นกัน ด้านหลังคนทั้งสองยังมีอีกสี่คน สองคนสวมใส่หน้ากากของผู้ฝึกตนขั้นกลางสร้างแกนลมปราณดินแดนสีดำ
อีกสองคนมีรูปร่างสูงใหญ่ เพียงมองแค่แวบแรก ก็เห็นได้ว่านี่เป็นผู้เชี่ยวชาญอันแข็งแกร่งของทะเลทรายตะวันตก เห็นได้ชัดว่าบุคคลทั้งสี่เป็นผู้ติดตามของหลัวชงและหญิงสาวนางนั้น
“นี่คือหนึ่งในอาณาเขตอันแห้งแล้งมากที่สุดภายในดินแดนสีดำ” หลัวชงกล่าว “ผู้คนที่อาศัยอยู่ในที่แห่งนี้เป็นแค่ผู้ฝึกตนเร่ร่อนชั้นต่ำ ไม่มีค่าเพียงพอที่จะให้ท่านมองดู ตั่วหลันเซียนจื่อ (นางเซียนตั่วหลัน) ทำไมท่านถึงจากทะเลทรายตะวันตกเพื่อมายังที่แห่งนี้?” ใบหน้าหลัวชงถูกซ่อนไว้หลังหน้ากาก แต่ตอนที่มันพูดก็สัมผัสได้ถึงรอยยิ้มที่อบอุ่น ดวงตามันสาดประกายด้วยความเคารพอันเข้มข้น ขณะที่มันมองไปยังหญิงสาวนางนั้น
นางส่งยิ้มที่ดูคล้ายกับดอกไป่เหอเบ่งบานให้กับมัน ไม่ต้องสงสัยเลยว่านางเป็นผู้ที่มีความงามตามธรรมชาติมาตั้งแต่กำเนิด รอยยิ้มของนางทำให้ลมหายใจของหลัวชงเร่งร้อนขึ้นเล็กน้อย นางกำลังจะกล่าวตอบมัน แต่ทันใดนั้นเอง ที่ดวงตาหงส์ของนางก็แวบแสงขึ้น ภาพศักดิ์สิทธิ์รูปผีเสื้อบนหน้าผากเปล่งแสงราวกับว่ามันกำลังจะโบยบินออกมา
“ใคร?”