วันอังคารที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2560

ตอนที่ 319 : เสียงจากเศษซากศิลา

Posted By: wuxiathai - 00:21
ต้องใช้เวลาสักพักสำหรับผู้ฝึกตนขั้นพื้นฐานลมปราณ กว่าจะเดินทางมาถึงในระยะทางหนึ่งร้อยหลี่
ขณะที่เขารอคอยพวกมัน เมิ่งฮ่าวก็นั่งเข้าฌาณ ตอนนี้เขามีความรู้มากขึ้นในการศึกษาค้นคว้าวิชาผนึกความเที่ยงธรรม เช่นเดียวกับความรู้แจ้งที่เกี่ยวข้องกับดินเซียน ไม่จำเป็นที่จะต้องกระวนกระวาย เขาค่อยๆ ก้าวหน้าไปอย่างช้าๆ แต่มั่นคง ด้วยการเก็บรวบรวมดินเซียนให้มากขึ้น เขาก็จะมีเวลาในการศึกษามันตามความเหมาะสม ด้วยวิธีการเช่นนี้ เขาก็จะสามารถเสริมสร้างสัญลักษณ์เวทที่ขาดแคลนได้อย่างช้าๆ
ตอนนี้เขานั่งขัดสมาธิตรวจสอบแกนสีม่วง ขณะที่มันค่อยๆ หมุนไปมา เพียงชั่วพริบตา มันก็ส่งกลิ่นอายอันทรงพลังออกมาจากร่าง ซึ่งจากนั้นก็จะถูกดึงกลับไป
เหมือนกับสายฟ้า ที่ยืดขยายออกไปและหดตัวลง หมุนเวียนเป็นวัฏจักร ช่วยให้เขาระเบิดพลังพื้นฐานฝึกตน ซึ่งแตกต่างและน่ากลัวกว่าขั้นพื้นฐานลมปราณโดยสิ้นเชิงออกมา
“ท่านอาจารย์บอกว่า หลังจากบรรลุขั้นสร้างแกนลมปราณ ข้าก็สามารถหลอมรวมเปลวไฟอมตะเข้ากับแกนของข้า จากนั้นข้าก็จะสามารถใช้มันเป็นเปลวไฟปรุงยาส่วนตัว…” ดวงตาเมิ่งฮ่าวสาดประกาย การทำเรื่องนี้ให้สำเร็จแน่นอนว่าต้องใช้ความพากเพียรอุตสาหะ ในการนั่งเข้าฌาณเพียงลำพัง
ถึงแม้เขายังอยู่ในดินแดนสีดำได้ไม่ถึงปี แต่การใช้เวลาในการฟื้นฟูอาการบาดเจ็บ ด้วยการนั่งเข้าฌาณเพียงลำพัง ก็ทำให้เขาไม่ได้เพ่งสมาธิไปที่ศึกษาค้นคว้าอย่างเต็มที่ แต่ด้วยเรื่องของดินเซียน, วิชาผนึกความเที่ยงธรรม, เปลวไฟแห่งการปรุงยา และถุงสมบัติของจี้หงตง ทั้งหมดนี้ต่างก็ต้องใช้เวลาในช่วงที่เขาอยู่ในขั้นสร้างแกนลมปราณ
เนื่องจากเขากังวลเรื่องการถูกติดตามโดยตระกูลจี้ ทำให้ต้องระมัดระวังตัวอยู่เสมอ ตลอดเวลาที่ผ่านมาเขาไม่อาจจะผ่อนคลายได้ แต่ก็เฉลียวใจไว้แล้วว่าทำไมถึงยังไม่มีคนจากตระกูลจี้ไล่ล่าติดตามมา
เขาได้ข้อสรุปอยู่ในใจ “ดูเหมือนข้าจำเป็นต้องนั่งเข้าฌาณเพียงลำพังให้นานขึ้นอีกเล็กน้อย เมื่อข้าสำเร็จทุกอย่างตามที่ต้องการ ข้าก็สามารถออกไปตามหาสมุนไพรต้นสุดท้าย ที่จำเป็นต้องใช้ในการปรุงเม็ดยาแกนสีทองสมบูรณ์”
เขาเงยหน้าขึ้น ภายในดวงตาสามารถมองเห็นแสงอันเย็นชา ริมฝีปากบิดขึ้นเป็นรอยยิ้มอย่างมีเลศนัย เขาสัมผัสได้ถึงบรรยากาศที่ผิดปกติ ซึ่งดูเหมือนจะเต็มไปด้วยความหนาวเย็น
ในตอนนี้ ผู้ฝึกตนพื้นฐานลมปราณทั้งสี่กำลังบินผ่านอากาศตรงมายังภูเขาเตี้ย พวกมันเข้ามาใกล้โดยไม่ลังเล และไม่ช้าก็มาถึงรอยแยกในภูเขา จากนั้นพวกมันก็พุ่งลงไปด้านใน
ใบหน้าหวงต้าเซียนซีดขาว และจิตใจก็เต็มไปด้วยความหวาดกลัว แต่ก็ยังมีความคิดอ่าน มันกัดฟันแน่น พูดออกมาดังๆ ด้วยสุ้มเสียงสั่นสะท้าน “แค่…แค่ลงไปที่ตรงนี้…”
ผู้ฝึกตนพื้นฐานลมปราณมองมาที่มัน พร้อมรังสีสังหารที่พุ่งออกมาจากดวงตา “เงียบ!” หนึ่งในนั้นพูดขึ้น
คนทั้งสี่ลงไปที่ด้านล่างของรอยแยกในทันที พวกมันมองไปยังประตูถ้ำ และสีหน้าก็เต็มไปด้วยความระมัดระวังตัว
นี่เป็นเพราะประตูถ้ำไม่ได้ปิดไว้ แต่มันเปิดอ้ากว้าง ปล่อยให้พวกมันมองเห็นเมิ่งฮ่าวที่กำลังนั่งขัดสมาธิอยู่ เขาค่อยๆ เงยหน้าขึ้น สีหน้าเยือกเย็นโดยสิ้นเชิง
เขาสวมชุดสีเขียวธรรมดา แต่เมื่อพิจารณาจากเส้นผมสีขาวของเขา ก็ทำให้พวกมันรู้สึกหวาดกลัวอย่างรุนแรงขึ้นมาในทันที
นอกจากนี้ ใบหน้าเขาก็ซีดขาวจนไร้สีเลือด รวมถึงสายตาที่เย็นเยียบดุจน้ำแข็ง ทำให้อากาศในบริเวณนั้นดำดิ่งลงไปยิ่งกว่าโดนแช่แข็งในทันที
ผู้ฝึกตนพื้นฐานลมปราณทั้งสี่ต่างก็อ้าปากค้าง การปรากฎกายของเมิ่งฮ่าว ทันใดนั้นก็ทำให้พวกมันรู้สึกถึงจุดวิกฤตในทันที พวกมันรู้สึกว่าบุรุษที่กำลังนั่งอยู่ที่เบื้องหน้าไม่ใช่ผู้ฝึกตน แต่เป็นสัตว์อสูรโบราณ สายตาของเขาดูราวกับว่าจะกลืนกินพวกมันทั้งหมดลงไป
เหงื่อเย็นๆ เริ่มไหลลงมาจากหน้าผากพวกมัน ปากคอแห้งผาก ราวกับว่าเกือบจะสูญเสียจิตใจ พวกมันยืนอยู่ที่นั่น ไม่ขยับเคลื่อนไหวใดๆ
เมิ่งฮ่าวไม่ได้กล่าวอะไรออกมา ความเงียบราวความตายปกคลุมไปทั่วรอยแยกภูเขา ไม่มีแม้แต่เสียงสูดลมหายใจให้ได้ยิน
ความเงียบค่อยๆ เปลี่ยนเป็นแรงกดดันอันลึกล้ำ ราวกับว่าภูเขาทั้งลูกกำลังกดทับลงมาบนจิตใจ ทำให้พวกมันมีความรู้สึกเหมือนยืนอยู่บนเส้นแบ่งแยกระหว่างความเป็นและความตาย สายตาเมิ่งฮ่าวที่มองมายังพวกมันเต็มไปด้วยความรู้สึกอย่างลึกล้ำ ราวกับว่าถ้าพวกมันขยับตัวก็จะตกตายไปในทันที
ในที่สุด หนึ่งในสี่ของผู้ฝึกตนขั้นพื้นฐานลมปราณ ซึ่งเป็นผู้ที่มีพื้นฐานฝึกตนต่ำที่สุด ก็ไม่อาจทนรับแรงกดดันนี้ได้อีกต่อไป ไม่อาจจะยืนอยู่ที่นั่นได้ มันส่งเสียงแผดร้องและพุ่งขึ้นไปจากรอยแยกของภูเขา
แม้ในขณะที่มันเริ่มบินขึ้นไป เมิ่งฮ่าวก็ยกนิ้วมือข้างขวาขึ้น “หุบปาก”
สองคำ หนึ่งประโยค และเสียงแผดร้องแหลมเล็กก็ดังขึ้น ซากศพตกลงมาที่พื้นตรงหน้าของผู้ฝึกตนขั้นพื้นฐานลมปราณที่เหลืออีกสามคน ทำให้ใบหน้าพวกมันซีดขาวมากยิ่งขึ้น และร่างกายก็สั่นสะท้านมากกว่าเดิม
ซากศพที่เพิ่งตกลงมานั้น มีรูโลหิตอยู่ที่หน้าผาก บนใบหน้าเต็มไปด้วยโลหิตที่ไหลออกมา ดวงตาเบิกโพลง เห็นได้ชัดว่าเต็มไปด้วยความหวาดกลัวและสิ้นหวัง
ภาพตรงหน้ากลายเป็นแรงกดดันใหม่ ทำให้ผู้ฝึกตนขั้นพื้นฐานลมปราณที่ยังเหลืออยู่สามคนเต็มไปด้วยความหวาดกลัว ถึงแม้พวกมันจะรุมกันสังหาร ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะกำจัดฝึกตนขั้นพื้นฐานลมปราณได้เช่นนี้ พวกมันทั้งหมดเริ่มตัวสั่นอย่างรุนแรงในทันที
“สร้างแกนลมปราณ…คนผู้นี้ต้องอยู่ในขั้นสร้างแกนลมปราณอย่างแน่นอน!”
“บัดซบ, ทำไมพวกเราถึงได้มาตอแยกับผู้เชี่ยวชาญสร้างแกนลมปราณ!”
พวกมันทั้งสามสบตากัน สายตาเต็มไปด้วยความขมขื่นและสิ้นหวัง
หวงต้าเซียนกำลังสั่นสะท้านไปทั้งร่างรุนแรงกว่าพวกมัน และความกังวลใจก็เต็มอยู่บนใบหน้า มันคาดว่าเมิ่งฮ่าวเป็นผู้แข็งแกร่ง แต่ก็ไม่เคยคิดว่าเขาจะมีพลังที่บรรลุถึงระดับที่สามารถกำจัดผู้ฝึกตนขั้นกลางพื้นฐานลมปราณได้อย่างง่ายดายเช่นนี้
เวลาผ่านไป และผู้ฝึกตนขั้นพื้นฐานลมปราณทั้งสามคน ก็เริ่มวิตกและหวาดกลัวมากขึ้น เหมือนจิตใจพวกมันจะระเบิดออกมา การถูกกดดันให้รอคอยเป็นเวลานาน ภายใต้เส้นใยแห่งความตาย เป็นสิ่งที่ผู้คนธรรมดาทั่วไปยากที่จะกล้ำกลืนฝืนทน
ในที่สุด ท่ามกลางคนทั้งสามที่เหลืออยู่ ก็ไม่อาจจะทนได้อีกต่อไป เมื่อเห็นเมิ่งฮ่าวหลับตาลงไปเป็นเวลานานแล้ว บุรุษวัยกลางคนก็กัดฟันแน่น และบินขึ้นไปในอากาศทันที เวลาเดียวกันนั้น มันก็บดขยี้แผ่นหยก ทำให้มีกลุ่มหมอกปกคลุมไปรอบๆ ตัว และความเร็วก็เพิ่มขึ้นอย่างรุนแรง ขณะที่ดูเหมือนว่ามันกำลังจะหลบหนีไปได้ เมิ่งฮ่าวไม่ได้ขยับตัว ไม่แม้แต่จะลืมตาขึ้นมา ความตื่นเต้นปรากฎขึ้นบนใบหน้าของคนที่กำลังหลบหนี ทำให้ที่เหลืออีกสองคนลังเลอยู่ชั่วครู่ กำลังคิดว่าจะติดตามมันออกไป
ทันใดนั้น ก้อนศิลาที่ด้านข้างของรอยแยกบนภูเขาก็ดูเหมือนจะหลุดออกมา เถาวัลย์สีม่วงคล้ำพุ่งขึ้นไป กระจายความดุร้ายอย่างรุนแรง ตรงปลายของเถาวัลย์แยกออกเป็นซี่ฟัน กลายเป็นปากสีโลหิตอ้ากว้าง ผู้ฝึกตนพื้นฐานลมปราณส่งเสียงแผดร้องด้วยความประหลาดใจในทันที ขณะที่มันเหมือนจะถูกอสรพิษยักษ์กลืนลงไปทั้งตัว หลังจากกลืนบุรุษผู้นั้นลงไป ของเหลวที่เหนียวเหนอะหนะจำนวนมากไหลลงมาจากเถาวัลย์ ในเวลาเดียวกันนั้น ก็มีเส้นเถาวัลย์โผล่ออกมาจากก้อนศิลาของภูเขามากขึ้น
มีประมาณสิบสองเส้นบิดไหวไปมา พวกมันปิดผนึกรอยแยกของภูเขา และจากนั้นก็ยืดออกไป ตรงมายังทิศทางของหวงต้าเซียน และผู้ฝึกตนพื้นฐานลมปราณที่เหลืออีกสองคน
ใบหน้าหวงต้าเซียนซีดขาว และว่างเปล่าโดยสิ้นเชิง
สองผู้ฝึกตนพื้นฐานลมปราณหอบหายใจถี่รัว ภาพที่เห็นเมื่อครู่นี้ฉายซ้ำไปมาในจิตใจ และทันใดนั้น พวกมันก็รู้สึกอย่างแรงกล้าว่า พวกมันกำลังตกอยู่ในขุมนรก
“ท-ท-ท่านผู้อาวุโส…ไว้ชีวิตข้าด้วย…” ผู้ฝึกตนขั้นวงจรอันยิ่งใหญ่ของพื้นฐานลมปราณกล่าว เสียงของมันสั่นสะท้าน ขณะที่มันคุกเข่าลงและโขกศีรษะให้กับเมิ่งฮ่าว
“ผู้อาวุโส ข้าผิดไปแล้ว ได้โปรดไว้ชีวิตข้าด้วย” ผู้ฝึกตนพื้นฐานลมปราณอีกคนกล่าว คุกเข่าลงไปบนพื้นและโขกศีรษะด้วยเช่นกัน
คนทั้งสองต่างก็แสดงถึงความหวาดกลัวออกมาจากจิตใจ
เมิ่งฮ่าวค่อยๆ ลืมตาขึ้น และมองไปยังคนทั้งสองอย่างเยือกเย็น รวมถึงหวงต้าเซียนด้วย เขาได้สังเกตเห็นรอยสักภาพศักดิ์สิทธิ์บนร่างของพวกมันนานแล้ว มันไม่เหมือนกับรอยสักของผู้ฝึกตนทะเลทรายตะวันตก แต่ก็เห็นได้ชัดว่ารอยสักนั้นสามารถเคลื่อนไหวราวกับเป็นของเหลว
“พวกเจ้ามายังที่นี่เพื่อร้องขอเม็ดยา?” เมิ่งฮ่าวถาม ยกมือขึ้น และยาสองเม็ดก็ปรากฎขึ้นอยู่ในฝ่ามือ พวกมันเป็นสีน้ำเงินดำ และไม่ได้กระจายกลิ่นหอมของตัวยาออกมา อันที่จริง ที่เห็นเป็นรอยจางๆ บนพื้นผิวของยาแต่ละเม็ด เป็นภาพของตะขาบที่บิดตัวไปมาอย่างดุร้าย
เพียงมองแค่แวบแรกก็รู้ว่านี่เป็นยาพิษ
ก่อนที่สองผู้ฝึกตนพื้นฐานลมปราณจะตอบคำถาม เมิ่งฮ่าวก็โบกสะบัดแขนเสื้อ และยาทั้งสองเม็ดก็พุ่งตรงไปที่ปากของพวกมันราวกับสายฟ้า พวกมันไม่ทันมีปฏิกิริยาใดๆ เม็ดยาก็กระแทกเข้าไปที่ฟัน และจากนั้นก็ไหลผ่านเข้าไปในลำคอ เพียงชั่วพริบตา พวกมันก็ละลายไป
ใบหน้าของคนทั้งสองเปลี่ยนไปในทันที แต่พวกมันก็ไม่ทำการต่อต้านใดๆ ทำได้เพียงแค่ถอนหายใจอย่างขมขื่นออกมา รู้ว่าอย่างน้อยพวกมันก็ยังมีชีวิตอยู่
“นี่เป็นเม็ดยาสำหรับการลงโทษ” เมิ่งฮ่าวกล่าวเสียงเยือกเย็น “ข้าต้องการให้พวกเจ้าทั้งสอง นำหวงต้าเซียนไปรอบๆ บริเวณนี้ เพื่อค้นหาดินที่เหมือนกับดินก้อนนี้ ยิ่งพวกเจ้าหาได้มากเท่าใด ข้าก็จะขจัดพิษให้เร็วมากขึ้นเท่านั้น อันที่จริง ถ้าพวกเจ้าหาได้มากพอ ข้าก็จะมอบเม็ดยาให้พวกเจ้าบ้าง” เขาชำเลืองมองไปยังหวงต้าเซียนชั่วขณะ
หวงต้าเซียนเริ่มส่งเสียงตอบรับเขาด้วยสุ้มเสียงอันดังในทันที
เมิ่งฮ่าวโบกสะบัดแขนเสื้อ ส่งก้อนดินสีม่วงแกมเขียวออกไปให้คนทั้งสามเล็กน้อย จากนั้น ถ้ำแห่งเซียนก็ปิดประตูเป็นเสียงดัง เส้นเถาวัลย์ที่ปิดรอยแยกก็ถอนตัวกลับไป ทุกสิ่งทุกอย่างกลับเป็นปกติเหมือนเดิม พร้อมรอยยิ้มอันขมขื่น สองผู้ฝึกตนพื้นฐานลมปราณส่งเสียงถอนหายใจออกมาเบาๆ พวกมันไม่แน่ใจว่าดินที่พวกมันได้มาจากบุรุษที่แข็งแกร่งภายในถ้ำ จะมีคุณสมบัติพิเศษเช่นไร แต่จริงๆ แล้ว ก็ดูเหมือนว่าพวกมันจะโชคดีบ้างเล็กน้อย สายตาพวกมันส่องประกาย สบตากัน จากนั้นก็พุ่งออกจากถ้ำนำหวงต้าเซียนไปด้วยความสุภาพ
จากความต้องการของเมิ่งฮ่าว พวกมันไปทำการค้นหาดินชนิดนั้น
เวลาผ่านไป ในที่สุด ก็เป็นเวลาครึ่งเดือนหลังจากนั้น ในช่วงเวลานั้น เมิ่งฮ่าวก็เริ่มคุ้นเคยกับวิชาผนึกความเที่ยงธรรมมากขึ้น พลังของวิชานี้แตกต่างจากความเข้าใจของเขาในตอนแรก มันคล้ายคลึงกับการสามารถแตะสัมผัสบางสิ่ง และทำให้มันกลายเป็นปีศาจ แต่แทนที่จะใช้คำว่า “สัมผัส” กลับใช้คำว่า “ผนึก!” แทน
ผนึกพลังของปีศาจไปที่สิ่งมีชีวิตใดๆ และใช้มัน วิชานี้ยังประกอบด้วยคำว่า “เที่ยงธรรม” ซึ่งเป็นสิ่งที่ตรงข้ามกับคำว่า “ปีศาจ” และด้วยวิชานี้เอง ก็เห็นได้ชัดว่ามันก้าวร้าวรุนแรงเป็นอย่างยิ่ง มันดูเหมือน…การได้รับผนึกความเที่ยงธรรมของผู้ผนึกอสูร ทำให้เกิดเป็นประโยชน์บางอย่างจากการอนุมัติของเจ้าหน้าที่ทางการ
ยิ่งไปกว่านั้น ทุกครั้งที่เมิ่งฮ่าวโคจรพลังพื้นฐานฝึกตน เขาก็รู้สึกว่ามีกลุ่มควันจางๆ เกิดขึ้น ดูเหมือนวาถ้าเขาต้องการ…ก็สามารถใช้กลุ่มควันนี้ก่อตัวเป็นวิชาผนึกความเที่ยงธรรมและวิชาแปลงปีศาจ
ปีศาจที่ถูกกลายร่างนี้ไม่มีวิญญาณ มีเพียงแต่กลุ่มควัน แต่เมิ่งฮ่าวก็สามารถควบคุมมันได้ เป็นความรู้สึกที่แปลก คล้ายกับการฉายภาพของดวงดาวที่เมิ่งฮ่าวเคยอ่านมาจากบันทึกโบราณของสำนักจื่อยิ่น
“บังคับให้สิ่งมีชีวิตใดๆ กลายเป็นปีศาจ…” ดวงตาเมิ่งฮ่าวสาดประกายด้วยแสงลี้ลับ ยกมือขึ้นมาและจ้องไปที่นิ้ว หลังจากครุ่นคิดอยู่สักพัก เขาก็กดนิ้วลงไปบนพื้นของถ้ำแห่งเซียน
“ผนึกความเที่ยงธรรม!” เขากล่าว ทันใดนั้น ภาพภูติผีก็พุ่งขึ้นมาจากทั่วทุกแห่งในถ้ำ เขาสามารถสัมผัสได้ถึงกลุ่มควันอันเบาบางที่อยู่ด้านในถ้ำ ลอยออกมาจากภายในภูเขาเตี้ยๆ นี้
กลุ่มควันนี้ดูแปลกๆ และเต็มไปด้วยความหลากหลาย เมิ่งฮ่าวสัมผัสได้ไม่ชัดเจนนักว่ามันคืออะไรกันแน่ แต่ไม่นานนักเขาก็เข้าใจว่านี่คือ…ปราณอสูรของสิ่งมีชีวิต!
ดวงตาเขาสาดประกาย ขณะที่ส่งจิตสัมผัสเข้าไปในกลุ่มควัน เสียงแผดร้องเต็มอยู่ในจิตใจ และทันใดนั้น สายตาเขาก็ขยายออกไปกว้างมากขึ้นอย่างรวดเร็ว ตอนนี้เขาสามารถมองเห็นทุกสิ่งทุกอย่างภายในรัศมีสามร้อยถึงสี่ร้อยหลี่รอบๆ ภูเขาเตี้ยลูกนี้
ด้วยการเพ่งสมาธิไปที่การรวมตัวกันของจิตสัมผัสและปราณอสูร เขาก็สัมผัสได้ถึงทุกสิ่งทุกอย่างในบริเวณนั้น ขณะที่เขากำลังจะถอนสายตากลับคืนมา ทันใดนั้น เขาก็มองเห็นบางสิ่งที่ไกลออกไปยังทิศตะวันตกเฉียงเหนือ สิ่งที่เห็นเป็นเศษซากศิลา โดยปกติทั่วไปเขาไม่ได้สนใจมัน แต่เมื่ออยู่ในขั้นตอนที่พิเศษนี้ จู่ๆ เขาก็ได้ยินเสียงกำลังดังออกมาจากภายในเศษซากศิลานั้น
เสียงอันโศกเศร้าเก่าแก่โบราณ ทันใดนั้น ก็ดังออกมา “ถ้าสวรรค์แห่งจี้ไม่ได้ตายไป; ข้าก็จะไม่ยอมตาย…สวรรค์แห่งจี้…เจ้าได้สะกดข้าไว้ถึงสามหมื่นปี, แต่ข้าก็ยังคงปฏิเสธที่จะก้าวเข้าไปสู่ความเป็นอมตะนั้น!” ขณะที่เสียงนั้นดังก้องออกมา จู่ๆ มันก็กล่าวว่า “เจ้าเป็นใคร!?” เมิ่งฮ่าวรู้สึกราวกับว่าสายตาที่มองมานั้นมีพลังราวกับสวรรค์ ซึ่งจู่ๆ ก็ตกลงมาบนร่างเขา

About wuxiathai

Organic Theme is officially developed by Templatezy Team. We published High quality Blogger Templates with Awesome Design for blogspot lovers.The very first Blogger Templates Company where you will find Responsive Design Templates.

Copyright © 2015 ผนึกสวรรค์ สยบมาร สะท้านเทพ

Designed by Templatezy | Distributed By Gooyaabi Templates