“เจ้ามั่นใจว่าค่ายกลเวทนี้ สามารถกักผู้ฝึกตนวิญญาณแรกก่อตั้งไว้ได้?” เมิ่งฮ่าวถามเสียงราบเรียบ ขณะที่เขาเดินผ่านเข้าไปในกลุ่มหมอก
“แน่นอน, ไม่มีปัญหา” นกแก้วตอบ ตบไปที่หน้าอกของมันด้วยปีก กล่าวว่า “ค่ายกลเซียนพลังมนุษย์ของอู่เหยียเป็นหนึ่งในเก้าขุนเขาทะเลทั้งหลาย มันดึงเอาพลังออกมาจากผู้คน เมื่อมีมากกว่าหนึ่งพันคน ถึงไม่อาจจะสังหารผู้ฝึกตนวิญญาณแรกก่อตั้ง แต่ก็สามารถกักไว้ด้านในได้อย่างแน่นอน แค่การละเล่นของเด็กๆ” เสียงของมันฟังแล้วสูงส่งสง่า ราวกับว่าพูดจาเช่นนี้จะทำให้มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นทบเท่าทวีคูณ
“ค่ายกลนี้เคลื่อนที่ได้หรือไม่?” เมิ่งฮ่าวถาม ดวงตาสาดประกาย หยุดเดินชั่วครู่ขณะที่มองเห็นผู้ฝึกตนขั้นต้นสร้างแกนลมปราณของตระกูลตงลั่ว ที่อยู่ห่างออกไปในกลุ่มหมอก มันกำลังโจมตีไปยังกลุ่มหมอกรอบๆ ตัวอย่างบ้าคลั่ง ด้วยสีหน้าหวาดกลัวและสิ้นหวัง
มันไม่อาจจะมองเห็นเมิ่งฮ่าว แต่เมิ่งฮ่าวมองเห็นมันได้อย่างชัดเจน เขาก้าวเดินไปอีกครั้ง เพียงครู่เดียวก็ไปยืนอยู่ด้านข้างมัน โบกสะบัดมือ และกลุ่มหมอกก็รวมตัวกันอยู่รอบๆ ผู้ฝึกตนตระกูลตงลั่วผู้นั้น ปกคลุมมันไว้ภายใน เมื่อกลุ่มหมอกกระจายไป เมิ่งฮ่าวก็เดินจากไป ด้านหลังเขา ผู้ฝึกตนตระกูลตงลั่วนั้นนอนแน่นิ่งอยู่บนพื้นหมดสติไป
“แน่นอนมันเคลื่อนที่ได้ ตราบเท่าที่คนของพวกเราวิ่งไป ค่ายกลเซียนของอู่เหยียก็สามารถไปได้ทุกที่ และนำคนที่อยู่ด้านในตามไปด้วย” สีหน้าหยิ่งยโสภาคภูมิใจปกคลุมไปทั่วใบหน้านกแก้ว
เมิ่งฮ่าวพยักหน้า เดินตรงต่อไป ไม่นานเขาก็พบตงลั่วฮั่น ซึ่งมีใบหน้าซีดขาวและเต็มไปด้วยความระมัดระวังตัว มันมองดูไปรอบๆ กลุ่มหมอก แกนปราณเตรียมพร้อมโจมตีได้ทุกเมื่อ
เมิ่งฮ่าวมองไปที่มันอย่างครุ่นคิดภายในไม่กี่อึดใจ จากนั้นก็พุ่งเข้าไป กลุ่มหมอกเริ่มม้วนตัวไปมา และสีหน้าตงลั่วฮั่นก็เปลี่ยนไป ก่อนที่มันจะทันมีปฏิกิริยาใดๆ ก็มีมือพุ่งออกมาจากกลุ่มหมอกด้านข้างกายมัน และกดลงไปบนหลังของมัน
พลังมหาศาลพุ่งเข้าไปในร่างมัน ปิดผนึกพื้นฐานฝึกตนของมันไว้ มันไร้กำลังไม่อาจแม้แต่จะหันหน้าไปในตอนนี้ แต่ตกลงไปบนพื้น หมดสติไป
เมิ่งฮ่าวเดินออกมาจากกลุ่มหมอก และมองลงไปยังตงลั่วฮั่น เขาไม่ได้สังหารมัน การทำให้มันหมดสติไปก็เพียงพอแล้วในตอนนี้
เมิ่งฮ่าวหันหลัง และเดินตรงไปยังที่ห่างไกลต่อไป เมื่อไหร่ที่เขาพบสมาชิกตระกูลตงลั่ว เขาก็จะทำให้พวกมันหมดสติไป
พวกมันบางคน จบลงในเส้นทางของเงาร่างที่วิ่งไปมา ตกตายไปพร้อมกับเสียงแผดร้องโหยหวน ภายใต้พลังของค่ายกล
หลังจากเวลาชั่วธูปไหม้หมดหนึ่งดอกผ่านไป เมิ่งฮ่าวก็พบตงลั่วหลิงอยู่ในกลุ่มหมอก เส้นผมของนางยุ่งเหยิง ใบหน้าที่สวยงามเต็มไปด้วยความสิ้นหวังและกระวนกระวาย นางใช้วิธีการทุกอย่างที่มี พยายามที่จะกำจัดกลุ่มหมอก แต่ก็ไม่อาจจะหลบหนีออกไปได้ แล้วนางจะไม่รู้สึกสิ้นหวังได้อย่างไร?
นางไม่อาจจะมองเห็นกลุ่มคนของตระกูลที่ติดตามมา ราวกับว่าทั่วทั้งโลกได้กลายเป็นกลุ่มหมอก และมีนางเพียงผู้เดียวที่หลงเหลืออยู่ เมื่อเงาร่างจำนวนมากวิ่งไปมา พวกมันก็กระจายแรงกดดันอันมหาศาลออกมา ทำให้จิตใจนางเต็มไปด้วยความหวาดกลัว
นางจะคาดคิดได้อย่างไรว่า บุคคลที่ทำให้นางโกรธแค้นเป็นอย่างมาก จะมีค่ายกลที่น่าหวาดกลัวได้เช่นนี้? นางไม่กล้าจะเข้าไปใกล้เงาร่างที่กำลังวิ่งไปมานั้น นางเพิ่งจะเห็นสมาชิกในตระกูลบางคนวิ่งเข้าไป และถูกเหยียบจนตายไปในทันที
อันที่จริง นางยังได้กลิ่นคาวของโลหิตพุ่งขึ้นมาในอากาศอีกด้วย
เมิ่งฮ่าวมองไปที่นาง ดวงตาเย็นเยียบ ยกมือขวาขึ้น ทำให้กลุ่มหมอกม้วนตัวไปมา และพุ่งตรงไปยังนาง ปกคลุมนางไว้ในทันที จากนั้นก็ค่อยๆ กระจายออกไป ตอนนี้นางหมดสตินอนอยู่บนพื้นเรียบร้อยแล้ว
นอกเหนือจากผู้ฝึกตนวิญญาณแรกก่อตั้งของตระกูลตงลั่วแล้ว ก็ยังมีสมาชิกของตระกูลเหลืออยู่ในกลุ่มหมอกอีกมากกว่าเจ็ดสิบคน ตอนนี้เมิ่งฮ่าวได้ทำให้หมดสติไปเกือบครึ่งแล้ว
หลังจากเวลาชั่วธูปไหม้หมดไปครึ่งดอก เมิ่งฮ่าวก็ค่อยๆ ยกมือขึ้นมาจากกลางหลังของคนตระกูลตงลั่วที่หมดสติไปอีกผู้หนึ่ง มันกระอักโลหิตออกมา และจากนั้นก็นอนหมดสติไป
“นั่นเป็นคนสุดท้าย” เมิ่งฮ่าวกล่าว หันหลังมองผ่านสายหมอกไปยังเส้นใยของผู้เชี่ยวชาญวิญญาณแรกก่อตั้ง ตอนนี้มันกำลังใช้ความสามารถศักดิ์สิทธิ์ออกมาอย่างต่อเนื่อง รวมถึงพยายามใช้การเคลื่อนย้ายทางไกลย่อย ในจิตใจของมัน กำลังคิดว่ากำลังเคลื่อนที่ไปข้างหน้าอย่างช้าๆ แต่จากมุมมองของเมิ่งฮ่าว มันกำลังเคลื่อนที่เป็นรูปวงกลม
การเคลื่อนที่เป็นวงกลม ทำให้มันไม่อาจจะหลบหนีออกไปจากกลุ่มหมอกนี้ได้
“ตระกูลตงลั่วมาพร้อมกับเจตนาร้าย” เมิ่งฮ่าวกล่าว “พวกเรามาสอนบทเรียนให้พวกมันกันเถอะ เคลื่อนค่ายกล” ทันใดนั้น นกแก้วที่เกาะอยู่บนไหล่ก็ชูคอขึ้น และส่งเสียงแผดร้องอันทรงพลังออกมา
กลุ่มหมอกที่อยู่รอบๆ พวกเขาเริ่มม้วนตัวไปมาในทันที ผู้ฝึกตนนับพันที่กำลังวิ่งอยู่ ก็ไม่ได้วิ่งวนเป็นวงกลมอีกต่อไป ตาของพวกมันปิดลง ขณะที่เจตจำนงของพวกมันหลอมรวมเข้ากับนกแก้ว เนื่องจากความคิดของนกแก้ว ค่ายกลก็เริ่มเคลื่อนที่ตรงไปยังเมืองตงลั่ว
ถ้ามองดูกลุ่มหมอกจากด้านนอก มันก็เหมือนกับคลื่นทะเลที่ม้วนตัวไปมา ขณะที่มันพลุ่งพล่านปั่นป่วน ก็ค่อยๆ เริ่มเคลื่อนที่ไปอย่างช้าๆ ไต่ออกมาจากบึงน้ำ ขยายตัวออกไปในเวลาเดียวกัน
ทะเลกลุ่มหมอกขนาดใหญ่มหาศาล มีเส้นผ่าศูนย์กลางนับหมื่นจ้าง ขณะที่มันเคลื่อนที่ผ่านไป ก็ราวกับเป็นสัตว์อสูรขนาดใหญ่ที่ถูกสร้างขึ้นมาจากกลุ่มหมอก กลืนกินทุกสิ่งทุกอย่างที่ขวางทางมันไป
ทะเลหมอกเคลื่อนที่ตรงไป และขณะที่เป็นเช่นนั้น เงาร่างยักษ์ก็ค่อยๆ มองเห็นได้ชัดเจน เสียงกระหึ่มกึกก้องของมันเริ่มฟังได้ชัดมากขึ้นเรื่อยๆ
“เชื่อมั่นในอู่เหยีย, มีชีวิตนิรันดร์…”
เสียงนี้กระจายออกไป ดังมากขึ้นและได้ยินชัดขึ้นเรื่อยๆ ในที่สุด ก็ดังจนสวรรค์สะเทือนปฐพีสะท้าน สร้างความสนใจให้กับผู้ฝึกตนเร่ร่อน ที่อยู่ด้านข้างในอาณาเขตรอบๆ เมืองตงลั่ว พวกมันจ้องนิ่งมาด้วยดวงตาที่เบิกกว้าง ยังภาพของกลุ่มหมอกที่ม้วนตัวไปมาอย่างไม่อยากจะเชื่อ
ผู้คนเริ่มมองมายังกลุ่มหมอกขนาดใหญ่นี้มากขึ้นเรื่อยๆ กลุ่มหมอกนี้ดูเหมือนจะเคลื่อนที่อย่างช้าๆ แต่จริงๆ แล้วก็เคลื่อนที่ไปอย่างรวดเร็ว บางคนก็ลอยอยู่กลางอากาศเพื่อมองมา อ้าปากค้าง ดวงตาเบิกกว้าง
ตอนนี้ กลุ่มหมอกอยู่ห่างจากเมืองตงลั่วประมาณหนึ่งพันหลี่ ค่อยๆ เคลื่อนที่ตรงไป พวกที่มุงดูไม่รู้ว่านั่นคืออะไร แต่พวกมันก็ได้ยินเสียงที่ดังออกมาจากด้านในอย่างเลือนลาง เป็นเสียงที่ทำให้พวกมันตกตะลึง
“มันหมายความว่าอะไร?”
“ช่างเป็นกลุมหมอกที่ใหญ่โตนัก ดูเหมือนจะมีกลุ่มคนกำลังวิ่งอยู่ด้านใน…”
“ไม่ใช่, สิ่งที่อยู่ด้านในนั้นใหญ่โตกว่าคน ดูเหมือนจะสูงถึงสิบจ้าง! นี่เป็นหมอกอะไรกันแน่?”
ตอนนี้ มีผู้ฝึกตนนับร้อยกำลังลอยอยู่ในอากาศมองมา นี่เป็นกลุ่มผู้ฝึกตนเร่ร่อนทั้งหมด ที่ไม่ได้เข้าร่วมกับขุมกำลังรอบๆ อาณาเขตดินแดนสีดำ พวกมันจ้องมองมาด้วยดวงตาที่เบิกโพลง พวกมันอยู่ห่างออกไปไกลด้วยความหวาดกลัว ทำให้กลุ่มหมอกไม่อาจจะปกคลุมไปถึง
กลุ่มหมอกเคลื่อนที่ไปเรื่อยๆ ค่อยๆ เข้าใกล้เมืองตงลั่วไปทีละนิด หนึ่งพันหลี่, แปดร้อยหลี่, ห้าร้อยหลี่, สามร้อยหลี่…
กลุ่มหมอกกระจายขึ้นไปสูงในท้องฟ้า และขณะที่มันเคลื่อนที่ไป ก็กระจายเสียงกระหึ่มกึกก้องราวเสียงฟ้าผ่าซึ่งทำให้พื้นดินสะเทือนออกมา เกิดเป็นฝุ่นผงฟุ้งตลบอบอวลไปทั่วในอากาศ และกระจายแรงกดดันอันมหาศาลออกมาด้วยเช่นกัน ผู้ฝึกตนที่ติดตามมาในกลางอากาศต้องหลบหนีออกไปไกลด้วยความหวาดกลัว
ในเวลาเดียวกันนั้น ในเมืองตงลั่วทุกสิ่งทุกอย่างค่อนข้างเงียบเหงา นอกจากสมาชิกของตระกูลตงลั่วแล้ว ก็มีเพียงผู้ฝึกตนเร่ร่อนอื่นๆ อีกเล็กน้อย ขณะที่พวกมันทั้งหมดเริ่มรู้ตัวว่ากำลังเกิดอะไรขึ้น จิตใจก็เริ่มเต็มไปด้วยความอกสั่นขวัญแขวน
พวกมันไม่รู้ว่ากลุ่มหมอกนี้คืออะไร รู้แต่เพียงว่าเมืองตงลั่วตั้งอยู่บนเส้นทางที่กลุ่มหมอกนั้นเคลื่อนที่ตรงมา เมื่อดูจากความเร็วของกลุ่มหมอก ก็คงจะมาถึงหลังจากธูปไหม้หมดไปหนึ่งดอก
ขณะที่มันใกล้เข้ามา ผู้คนที่อยู่ภายในเมืองตงลั่วก็เริ่มตกอยู่ในความหวาดกลัว ราวกับว่าพวกมันต้องการจะหลบหนีจากไป
“เกิดอะไรขึ้น? มันคือโม่ถู่กงหรือไม่?”
“บัดซบ, ทำไมมันถึงเคลื่อนที่ได้รวดเร็วเช่นนี้? นี่เป็นวิชาอะไรของโม่ถู่กง? หมอกนี้ช่างใหญ่โตจนน่ากลัวนัก…”
สมาชิกส่วนใหญ่ของตระกูลตงลั่ว ได้รวมตัวกันที่ชั้นสองของเมือง มีผู้คนประมาณห้าร้อยคน สีหน้าทุกคนต่างก็บิดเบี้ยวอย่างน่าเกลียด ที่ยืนอยู่เบื้องหน้าคนทั้งหมดเป็นชายชราสองคนที่มีใบหน้าเคร่งเครียด
ชายชราทั้งสองนี้ เป็นสามในผู้ฝึกตนขั้นวิญญาณแรกก่อตั้งของตระกูลตงลั่ว ที่กำลังยืนอยู่ด้านข้างพวกมันเป็นผู้นำตระกูลตงลั่วในตอนนี้ มันกำลังขมวดคิ้ว ด้วยสีหน้ากระวนกระวายใจ
ที่ด้านบนพวกมัน มีนกยูงสีแดงสามตัวบินวนเป็นวงกลมอยู่ในอากาศด้วยท่าทางไม่ค่อยสบายใจ พวกมันส่งเสียงร้องคร่ำครวญออกมา ขณะที่มองไปยังกลุ่มหมอกที่ใกล้เข้ามา
บรรยากาศอันเคร่งเครียดหนักอึ้งกดดันไปทั่วทั้งเมืองตงลั่ว
หนึ่งในผู้ฝึกตนวิญญาณแรกก่อตั้ง ที่กำลังยืนอยู่ข้างผู้นำตระกูล เป็นบุรุษวัยกลางคนกล่าวขึ้น “จากการตรวจสอบของข้า ขุมกำลังทั้งหมดที่พี่สามนำไปยังวิหารจินกวงได้หายไป…หลังจากนั้น วิหารจินกวงก็ว่างเปล่าโดยสิ้นเชิง…ซึ่งเป็นตอนที่หมอกประหลาดนั้นปรากฎขึ้น เป้าหมายของมันก็เห็นได้ชัดว่าคือเมืองตงลั่ว!” มันหยุดชะงักชั่วขณะ ความขมขื่น, หวาดกลัว และเกรงขามปรากฎขึ้นบนใบหน้า “ข้าจัดเตรียมให้เจ็ดคนไปตรวจสอบกลุ่มหมอกจากทั่วทุกทิศทาง ขณะที่มันใกล้เข้ามา แต่…ทันทีที่พวกมันแตะสัมผัสกลุ่มหมอก ก็ถูกดูดเข้าไปในทันที หลังจากนั้น พวกเราก็ไม่อาจติดต่อกับคนเหล่านั้นได้อีก”
ผู้นำตระกูลแอบถอนหายใจ มันอาจจะเป็นผู้นำ แต่ถ้ามีความเห็นแตกต่างไปจากผู้อาวุโส มันก็ยังคงต้องยอมทำตามความประสงค์ของพวกมัน ความเห็นของมันที่เกี่ยวข้องกับวิหารจินกวง ก็คือให้ร่วมมือกัน และก่อตั้งเป็นพันธมิตร
แต่สามผู้อาวุโสมองว่าวิหารจินกวงไม่มีอะไรมากไปกว่ากลุ่มผู้ฝึกตนเร่ร่อน ปรมาจารย์จินกวง ผู้ก่อตั้งวิหาร ก็เป็นแค่ผู้ฝึกตนขั้นสร้างแกนลมปราณ ดังนั้นจึงไม่มีคุณสมบัติเพียงพอที่จะกลายมาเป็นพันธมิตรกับตระกูลตงลั่ว ได้แต่ต้องยอมจำนนหรือถูกกดขี่เท่านั้น ซึ่งเป็นเพียงทางเลือกเดียวของมัน
นี่เป็นสมมุติฐานที่ผู้อาวุโสสามได้กำหนดไว้
ตอนนี้ ก็เห็นได้ชัดว่าวิหารจินกวงกำลังโจมตีพวกมันกลับมา ด้วยวิธีที่ไกลเกินกว่าความคาดหมายของตระกูลตงลั่ว โม่ถู่กงยังไม่ได้บุกมา แต่พวกมันก็ต้องเผชิญหน้ากับจุดวิกฤตแล้วในตอนนี้
ผู้อาวุโสวิญญาณแรกก่อตั้งอีกคนกล่าวเสียงราบเรียบ “แสงหิ่งห้อยกล้าที่จะมาประชันกับแสงจันทร์? ก่อตั้งค่ายกลอันยิ่งใหญ่ของตระกูลขึ้น ถ้าวิหารจินกวงต้องการโจมตีพวกเราด้วยหมอก ตระกูลตงลั่วก็จะทำลายมันด้วยค่ายกลของพวกเรา!”
ในตอนนี้ กลุ่มหมอกอยู่ห่างจากเมืองประมาณห้าสิบหลี่
ลำแสงสีเขียวเริ่มกระจายออกมาจากเมืองตงลั่ว กลายเป็นแผ่นผืนของใบไม้ปกคลุมไปทั่วทั้งเมือง
ภายในกลุ่มหมอก เมิ่งฮ่าวมองออกไปยังเมืองตงลั่ว ดวงตาสาดประกายด้วยความเย็นชา ด้านบนศีรษะ มีค่ายกลกระบี่ดอกบัวหมุนวนไปมา รอบๆ ตัวเขา มีสมาชิกตระกูลตงลั่วมากกว่าเจ็ดสิบคน ซึ่งก่อนหน้านี้หมดสติไป แต่ตอนนี้รู้สึกตัวตื่นขึ้นมาแล้ว ดวงตาพวกมันเต็มไปด้วยความว่างเปล่า ดูเหมือนความรู้สึกของพวกมันจะหายไป ราวกับว่าร่างกายไม่ได้อยู่ในการควบคุมของตัวเอง
เมิ่งฮ่าวได้ใช้วิชาผนึกความเที่ยงธรรมเพื่อควบคุมพวกมันไว้
“ผนึกอสูรมักจะไม่ได้ผนึกกับผู้คนโดยตรง” เมิ่งฮ่าวพึมพำ “การผนึกเช่นนั้นก็คือผนึกความเที่ยงธรรม” เขายกมือขวาขึ้นมา และโบกสะบัดออกไปยังเบื้องหน้า
——————-
เมืองก่านเชวี่ย ในที่นี้น่าจะแปลว่า เมืองทะลวง (ตูด) นก ครับ