ยามพลบค่ำในดินแดนสีดำ เมิ่งฮ่าวพุ่งผ่านอากาศไปอย่างรวดเร็วจนเกิดเป็นเสียงแหลมเล็กขึ้น ราวกับเป็นดาวตกสีเขียว ที่หายลับตาไปยังเส้นขอบฟ้า
นี่เป็นการเดินทางวันที่เจ็ดของเขาหลังจากที่ออกจากเมืองมา เขาได้เดินทางตามแผนที่ในแผ่นหยก บินไปตลอดเวลาโดยไม่มีการหยุดพัก เป็นเรื่องผิดปกติถ้าจะเห็นประตูเคลื่อนย้ายทางไกลอยู่ในดินแดนสีดำ ถ้าต้องการเดินทางไปที่ไหนสักแห่ง ก็จำเป็นต้องเดินทางด้วยพลังของตัวเอง
ตลอดเจ็ดวันที่ผ่านมา สายฟ้าจะฟาดลงมาเป็นระยะ ตามมาด้วยเสียงแผดร้องอย่างโหยหวนของปรมาจารย์ตระกูลหลี่ เมิ่งฮ่าวไม่ได้รับบาดเจ็บแม้แต่น้อย ในตอนนี้ เขากำลังบินอยู่เหนือซากปรักหักพังที่มีกลุ่มควันลอยขึ้นมา ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นบ้านเมืองของกลุ่มคนที่มีพลังขนาดเล็ก ท่ามกลางซากปรักหักพังนั้น เมิ่งฮ่าวมองเห็นซากศพอยู่บ้างเล็กน้อย
นี่เป็นภาพเหตุการณ์ครั้งที่ห้า ซึ่งเมิ่งฮ่าวได้เผชิญพบมาในช่วงเจ็ดวันนี้ เขามองลงไปชั่วครู่ และกำลังจะบินผ่านไป ทันใดนั้น เขาก็แค่นเสียงเย็นชาออกมา ดวงตาสาดประกายด้วยความเย็นเยียบ และโบกสะบัดมือขวา กระบี่บินพุ่งออกไป ตอนนี้มันหยุดชะงักห่างไกลออกไปสิบจ้าง
เสียงร้องอย่างดุร้ายทันใดนั้นก็ดังออกมาจากภายในซากปรักหักพังนั้น “โจมตี!”
แปดลำแสงปรากฎขึ้น พุ่งตรงมายังเมิ่งฮ่าว ท่ามกลางกลุ่มคนทั้งแปด มีหนึ่งคนอยู่ในขั้นสุดท้ายสร้างแกนลมปราณ สองคนอยู่ในขั้นกลางสร้างแกนลมปราณ และที่เหลือต่างก็อยู่ในขั้นต้นสร้างแกนลมปราณ กลุ่มคนที่มีพื้นฐานฝึกตนระดับนี้เมื่อโจมตีพร้อมกัน ก็ไม่ใช่เรื่องอันเล็กน้อย ขณะที่พวกมันบินออกมา ก็กระจายพลังอันน่าตกตะลึงมาพร้อมกันด้วย
แต่อย่างไรก็ตาม นอกจากผู้ฝึกตนขั้นสุดท้ายสร้างแกนลมปราณแล้ว บุรุษทั้งหมดต่างก็มีแววตาที่เซื่องซึม พื้นฐานฝึกตนของพวกมันแข็งแกร่ง แต่การเคลื่อนไหวก็แข็งกระด้าง ราวกับว่าเป็นหุ่นกระบอก
พวกมันกระแทกลงมายังเมิ่งฮ่าว ใช้อาวุธและวิชาเวทที่มีสีสันเจิดจ้า กระบี่บิน และขวดเวทเต็มอยู่ในอากาศ ในตอนที่กำลังจะกระแทกลงมาบนร่างเมิ่งฮ่าว เขาก็ขมวดคิ้ว จากนั้นก็ใช้วิชาระเบิดโลหิตชั่วพริบตา ทันใดนั้น ร่างกายเขาก็แวบขึ้นและหายไป เมื่อปรากฎตัวขึ้นอีกครั้ง เขาก็อยู่ห่างออกไปไกล
นี่ไม่ใช่การเคลื่อนย้ายทางไกลย่อย แต่การเคลื่อนที่ไปยังที่ห่างไกลเช่นนี้ในช่วงเวลาสั้นๆ ก็ทำให้น่าตกใจเป็นอย่างยิ่ง
เสียงระเบิดดังเต็มอยู่ในอากาศ ขณะที่ตำแหน่งที่เขาอยู่เมื่อครู่นี้ระเบิดออกเป็นแสงเจิดจ้า ซึ่งเป็นผลมาจากการโจมตีที่รวมกำลังกัน
สีหน้าเมิ่งฮ่าวเริ่มเคร่งเครียดขึ้น การโจมตีเมื่อครู่นี้เต็มไปด้วยความต้องการสังหาร แต่เขาก็แน่ใจว่าไม่เคยพบเห็นบุคคลกลุ่มนี้มาก่อน
“ความวุ่นวายในดินแดนสีดำได้บรรลุถึงระดับนี้แล้ว” เขาคิดพร้อมกับขมวดคิ้วไปด้วย ในตอนนี้เองที่กลุ่มบุรุษทั้งแปดได้ตระหนักว่าเมิ่งฮ่าวหายตัวไป พวกมันหมุนตัวไปรอบๆ และมองเห็นเขาอีกครั้ง ผู้ฝึกตนขั้นสุดท้ายสร้างแกนลมปราณส่งเสียงแค่นอย่างเย็นชา และความดุร้ายก็ปรากฎขึ้นในแววตา
“ผู้ฝึกตนขั้นต้นสร้างแกนลมปราณอันต่ำต้อย ดูเหมือนว่าเจ้าจะมีวิชาเวทอันยอดเยี่ยมบางอย่าง แต่ตอนนี้เจ้าก็มาพบเจอข้าแล้ว เจ้าไม่มีทางเลือกนอกจากจะมาเป็นเด็กดี และกลายเป็นหุ่นกระบอกของข้า ยิ่งข้ามีหุ่นกระบอกมากเท่าใด ข้าก็ยิ่งปลอดภัยมากขึ้นเท่านั้น” บุรุษผู้นั้นยกมือขวาขึ้น และทันใดนั้น ผู้ฝึกตนอีกเจ็ดคนที่เหลือก็พุ่งตรงมายังเมิ่งฮ่าว สีหน้าพวกมันนิ่งเรียบราวกับเป็นท่อนไม้
เมิ่งฮ่าวกระพริบตาหลายครั้งติดต่อกัน เพ่งพลังพื้นฐานฝึกตนเข้าไปในดวงตาข้างขวา ทันใดนั้น ภาพของโลกนี้ก็เปลี่ยนไป ด้วยการใช้วิชาสายตาเซียน เมิ่งฮ่าวก็สามารถมองเห็นเส้นใยบางๆ จำนวนมากมายติดอยู่ที่ร่างกายของผู้ฝึกตนทั้งเจ็ด เส้นใยเหล่านั้นเชื่อมต่อกลับไปยังกำปั้นของผู้ฝึกตนขั้นสุดท้ายสร้างแกนลมปราณ
ดูเหมือนบุคคลเหล่านี้จริงๆ แล้วก็เป็นหุ่นกระบอกภายใต้การควบคุมของมันทั้งหมด
ขณะที่พวกมันเร่งความเร็วตรงมาที่เขา เมิ่งฮ่าวก็ยกมือขึ้น กรีดไปที่นิ้ว ทำให้โลหิตไหลซึมออกมา ใบหน้าเขาเคร่งเครียด ชี้นิ้วตรงไป และทุกสิ่งทุกอย่างในขอบเขตการมองเห็นของเขาก็เปลี่ยนเป็นสีของโลหิต เสียงกระหึ่มกึกก้องดังเต็มอยู่ในอากาศ ตามมาด้วยปราณโลหิตซึ่งกลายเป็นการโจมตีพุ่งตรงออกไปยังเจ็ดผู้ฝึกตนที่ใกล้เข้ามา
เสียงกระหึ่มกึกก้องนั้นดังรุนแรงมากขึ้น ขณะที่ปราณโลหิตทำให้อากาศสั่นสะเทือนด้วยพลังที่เหมือนกับเป็นพลังของมังกร เจ็ดผู้ฝึกตนกระอักโลหิตออกมา ร่างกายของพวกมันปลิวละลิ่วไปด้านหลัง สีหน้าของผู้ฝึกตนขั้นสุดท้ายสร้างแกนลมปราณเปลี่ยนไป เมิ่งฮ่าวพุ่งตรงไปอีกครั้งด้วยการใช้วิชาระเบิดโลหิตชั่วพริบตา แค่เพียงกระพริบตา เขาก็ไปอยู่ตรงหน้าศัตรู โดยไม่ลังเลหรือมีเมตตาใดๆ เขายกนิ้วที่ชุ่มโชกไปด้วยโลหิตขึ้นมา และกดลงไปบนหน้าผากของมัน
ปราณโลหิตไหลเข้าไปในร่างของมัน ทำให้ตัวมันสั่นสะท้าน เส้นเลือดโผล่ขึ้นมาจากผิวหนัง และเส้นสีแดงๆ ก็ปรากฎขึ้นในดวงตา มันบิดตัวไปมาเล็กน้อย และจากนั้นก็ระเบิดออก
เมิ่งฮ่าวสะบัดชายแขนเสื้อ ป้องกันไม่ให้เศษเลือดเนื้อมาเปรอะเปื้อนตัว เขาสังหารฝึกตนขั้นสุดท้ายสร้างแกนลมปราณอย่างเรียบง่ายและรวดเร็ว หลังจากที่มันตายไป บุคคลทั้งเจ็ดก็เริ่มตัวสั่นสะท้าน โลหิตไหลซึมออกมาจากดวงตา, จมูกและปากของพวกมัน ขณะที่ค่อยๆ ตายไปอย่างช้าๆ
เมิ่งฮ่าวขมวดคิ้ว เก็บรวบรวมถุงสมบัติของพวกมันไว้ การต่อสู้ทั้งหมดนี้ค่อนข้างแปลกเล็กน้อย
“ดูเหมือนว่าทุกคนในดินแดนสีดำกำลังมีชีวิตอยู่ด้วยความหวาดกลัว ผู้อ่อนแอก็ปรารถนาจะเข้มแข็ง และจะสังหารโดยไร้ความเวทนา ถ้ากำจัดคู่ต่อสู้ได้ก็จะทำให้ตัวเองเข้มแข็งมากขึ้น” เขาหันหลัง หายตัวไปยังที่ห่างไกล ขณะที่มุ่งหน้าตรงไปยังเมืองเซี่งเสวี่ยต่อไป
“หวังว่าคงจะไม่มีอะไรรุนแรงเกิดขึ้นกับตระกูลหานเสวี่ย แห่งเมืองเซิ่งเสวี่ย พวกมันเป็นบุคคลเพียงกลุ่มเดียวที่สามารถเพาะเลี้ยงตัวไหมหิมะเยือกเย็น ถ้ามีการเปลี่ยนแปลงใดๆ แผนการของข้าก็คงจะพังพินาศสิ้น” ในตอนนี้เมิ่งฮ่าวได้เข้าใจอย่างถ่องแท้ถึงความวุ่นวายในดินแดนสีดำแล้ว เขามุ่งหน้าต่อไปด้วยความรวดเร็วสูงสุด
ไม่กี่วันต่อมา เขากำลังเดินทางผ่านเทือกเขา ทันใดนั้น เสียงระเบิดก็ดังขึ้น ดวงตาเมิ่งฮ่าวสาดประกายด้วยรังสีสังหาร ขณะที่ผู้ฝึกตนสิบกว่าคนเข้ามาใกล้ เขามุ่งหน้าบินต่อไป หลังจากเวลาชั่วธูปไหม้หมดไปหนึ่งดอก เมิ่งฮ่าวก็จากไป ทิ้งไว้เพียงความตายในเส้นทางที่ผ่านมา
การโจมตีเมื่อครู่นี้เกิดมาจากเหตุการณ์เมื่อไม่กี่วันก่อน เมื่อเมิ่งฮ่าวได้กลืนกินเม็ดยาเพื่อเพิ่มพื้นฐานฝึกตน ภาพเหตุการณ์นั้นถูกพบเห็นโดยผู้ฝึกตนบางคน ซึ่งนำไปสู่ความโลภท่ามกลางกลุ่มผู้ฝึกตนคนอื่นๆ และในตอนนี้ พวกมันทั้งหมดก็ตกตายไป
เวลาผ่านไปอย่างช้าๆ ครึ่งเดือนหลังจากนั้น เมิ่งฮ่าวก็ยังคงเดินทางต่อไปอย่างโดดเดี่ยว เขาได้เผชิญหน้ากับเหตุการณ์ค่อนข้างอันตรายตลอดเส้นทางที่ผ่านมา แต่สุดท้าย ด้วยกลยุทธ์อันน่ากลัวของเขาก็ทำให้ใครก็ตามที่มาหาเรื่องตกตายไป หลังจากนั้น เขาก็ใช้วิชาเวททำให้ศีรษะของพวกมันลอยตามมาด้านหลัง ขณะที่เขาเดินทางไป มันเป็นเส้นทางแห่งความตายและศีรษะที่ถูกตัดออกมา
ในที่สุด ศีรษะที่ถูกตัดมาก็เริ่มมีจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ มีอยู่หลายสิบหัว ซึ่งส่วนใหญ่ก็แห้งเหี่ยวไปแล้ว แต่ก็ยังมีบางส่วนที่ยังคงมีหยดโลหิตติดอยู่
ภาพที่เห็นนี้สร้างความตกตะลึงให้กับจิตใจของพวกคนร้ายต่างๆ มากมาย และทำให้เมิ่งฮ่าวเดินทางได้ปลอดภัยมากขึ้นเล็กน้อย ผู้คนที่ตั้งใจจะมาหาเรื่องเขาน้อยลงไปเรื่อยๆ
ผู้ฝึกตนที่มีสมองใดๆ ก็ตาม ถ้าได้มาเห็นศีรษะที่ลอยอยู่ ก็จะรีบขจัดความคิดที่จะมาตอแยเมิ่งฮ่าวออกไปในทันที
ผ่านไปอีกไม่กี่วัน เวลาหนึ่งเดือนกว่าก็ผ่านไป ตั้งแต่ที่เมิ่งฮ่าวได้ออกมาจากเมืองตงลั่ว เขาก็แทบจะเดินทางข้ามดินแดนสีดำมาทั้งหมด และได้เห็นเมืองที่ถูกปล้นและยึดไปมากมาย โดยไร้คำสั่ง ขุมกำลังของโม่ถู่กง และนักรบของจิ่วเหมิง ได้ทำสงครามกันนับครั้งไม่ถ้วน ทำให้ดินแดนสีดำถูกห่อหุ้มด้วยเปลวไฟแห่งสงคราม
ความวุ่นวายโกลาหลนี้ทำให้เห็นกฎแห่งป่าได้อย่างชัดเจนมากขึ้น ไม่มีความจำเป็นต้องปกปิดการกระทำใดๆ ไม่จำเป็นต้องหวั่นวิตกใดๆ มีเพียงผู้เข้มแข็งเท่านั้นที่จะอยุ่รอดได้ ขณะที่พวกอ่อนแอตกเป็นเหยื่อของผู้เข้มแข็ง
ภายในเวลาหนึ่งเดือน เก้าเมืองที่รวมตัวกันเป็นจิ่วเหมิง (เก้าสหพันธ์) มีเหลืออยู่เพียงแค่สี่เมือง ตระกูลในเมืองอื่นๆ ต่างก็ถูกกำจัดไปโดยโม่ถู่กง หรือไม่ก็ถูกบังคับให้หลบหนีไปหลบซ่อนตัวไว้ เป็นเรื่องยากสำหรับจิ่วเหมิงที่จะต่อต้านขุมกำลังที่รวมตัวกันของทะเลทรายตะวันตกและโม่ถู่กง (ราชวังดินแดนสีดำ)
ในวันหนึ่งก่อนที่เมิ่งฮ่าวจะได้ข่าวว่าเมืองเซิ่งเสวี่ยได้ถูกปิดล้อมไว้ ซึ่งทำให้จิตใจเขาจมดิ่งลงไป
“หวังว่าคงจะไม่มีสิ่งใดมาขวางทางข้าในที่นั่น” เขากล่าว ส่ายศีรษะ พุ่งตรงไปให้เร็วทีสุดเท่าที่จะทำได้ จากการคาดคำนวน ด้วยความรวดเร็วในตอนนี้ เขาก็คงจะไปถึงเมืองเซิ่งเสวี่ยที่อยู่ใกล้ๆ บริเวณนี้ได้ภายในเวลาสองวัน
ตอนนี้ เขาพุ่งผ่านพื้นดินที่ด้านล่างในท้องฟ้ายามสนธยา พื้นดินด้านล่างไม่ได้มีสีดำสนิทอีกต่อไป แต่ค่อนข้างจะซีดขาว มันไม่ใช่ดินสีขาว แต่เป็นหิมะ
อากาศเย็นมากจนเมิ่งฮ่าวสามารถมองเห็นลมหายใจของเขาเองได้
สายลมเย็นยะเยือกเสียดกระดูก และเริ่มมีหิมะตกลงมา
เป็นเวลานานมากแล้ว ตั้งแต่ที่เขาเคยเห็นหิมะตกลงมา อันที่จริง จากความทรงจำของเขา ครั้งสุดท้ายที่เขาเห็นหิมะก็คือยามราตรีที่มีหิมะตกหนักในแคว้นจ้าว เป็นตอนที่เขาได้ร่วมทางกับนักศึกษาในรถม้า และสนทนาด้วยกันอย่างออกรสชาติ
เกล็ดหิมะโปรยปรายลงมาจากท้องฟ้า และดวงตาเมิ่งฮ่าวก็สาดประกายขณะที่เขาเห็นหิมะกองสุมอยู่บนพื้น ที่ด้านล่างเป็นแนวป่า ถึงแม้จะไม่มีใบไม้บนต้นไม้แต่ละต้น แต่กิ่งก้านอันเหี่ยวแห้งของพวกมันก็กองสุมเต็มไปด้วยหิมะที่ซ้อนทับกัน
เมิ่งฮ่าวมองออกไปยังที่ห่างไกล และทันใดนั้นสีหน้าเขาก็เปลี่ยนไป เขาร่อนลงไปบนพื้นและหยุดบิน ชุดยาวสีเขียวพริ้วไปมาในสายลม ขณะที่เขาเดินผ่านแนวป่าเข้าไป
ลึกเข้าไปในผืนป่า มีผู้ฝึกตนอยู่สองคน ร่างกายแปดเปื้อนโลหิตและมีใบหน้าซีดขาว ยืนปกป้องอยู่เบื้องหน้าหญิงสาวเยาว์วัยอายุประมาณสิบเจ็ดสิบแปดปี นางสวมใส่เสื้อคลุมยาวสีขาว และมีความสวยงามเป็นอย่างยิ่ง แต่ก็ดูเหมือนจะตกอยู่ในสถานการณ์อันเลวร้าย ใบหน้าซีดขาวด้วยเช่นกัน และเต็มไปด้วยสีหน้าทุกข์ใจ มือขวาของนางถือตัวไหมที่ดูเหมือนจะสร้างมาจากแก้วผลึก มันกำลังปั่นเส้นไหมอยู่ในตอนนี้ ซึ่งกลายเป็นแสงเจิดจ้าล้อมรอบกลุ่มคนทั้งสามไว้ โชคร้ายที่ดูเหมือนว่าตัวไหมนั้นค่อนข้างจะอ่อนแอ ราวกับว่ามันใกล้จะตกตายไปแล้ว
คนกลุ่มนี้ถูกล้อมรอบไปด้วยสุนัขป่านับร้อยตัว ซึ่งกระจายกลุ่มควันสีดำออกมา และมีดวงตาสีแดงเจิดจ้า ด้านหลังสุนัขป่าเป็นผู้ฝึกตนทะเลทรายตะวันตก ร่างของมันตกแต่งด้วยรอยสักภาพศักดิ์สิทธิ์ กำลังจ้องมองอย่างตะกละตะกลามไปยังหญิงสาวในชุดขาวนางนั้น
ผู้ฝึกตนที่คุ้มครองหญิงสาวเป็นบุรุษและสตรี บุรุษส่งเสียงแหบแห้งร้องออกมา “เจ้าผู้ฝึกตนทะเลทรายตะวันตกอันต่ำช้า! เจ้าไม่กลัวพลังของปรมาจารย์ตัดวิญญาณแห่งตระกูลหานเสวี่ยของพวกข้า?!”
“ไม่จำเป็นที่จะพูดถึงว่าปรมาจารย์ตัดวิญญาณของพวกเจ้ายังมีชีวิตอยู่หรือไม่” ผู้ฝึกตนทะเลทรายตะวันตกกล่าวตอบด้วยเสียงแหบแห้ง “ถ้ามันยังมีชีวิตอยู่ มันก็คงจะให้ความสนใจกับสงครามของเมืองเซิ่งเสวี่ยแล้ว แต่ตอนนี้…เจ้าก็เป็นแค่สมาชิกของตระกูลหานเสี่ยแก่ๆ ธรรมดาคนหนึ่ง การที่เจ้าจะมีชีวิตอยู่หรือตายไป ก็ไม่มีความหมายใดๆ ต่อมัน”
บุรุษผู้นั้นโบกสะบัดมือขวา และสุนัขป่าสีดำนับร้อยก็กระโจนพุ่งเข้าใส่ กระแทกเข้าไปในเกราะป้องกันที่ถูกถักทอขึ้นมาโดยตัวไหม เสียงระเบิดดังก้องออกไป และดวงตาของผู้ฝึกตนทะเลทรายตะวันตกก็สาดประกายด้วยความโลภ
“ตระกูลหานเสวี่ย (寒雪 = หิมะเยือกเย็น) ของพวกเจ้า เปลี่ยนตัวอักษร ‘เซี่ย’ (血 = โลหิต) ในแซ่ด้วยตัวอักษร ‘เสวี่ย’ (雪 = หิมะ) แต่เจ้าคิดว่านั่นจะทำให้ทะเลทรายตะวันตกลืมพวกเจ้าไปแล้วจริงๆ?” มันหัวเราะขณะที่จ้องมองไปยังหญิงสาวนางนั้น