มังกรวารีเป็นอาหารของมังกรปีกวารีในสมัยโบราณ ซึ่งชอบขบเคี้ยวพวกมันอย่างเพลินเพลินใจ!
ภูติผีมังกรปีกวารีของเมิ่งฮ่าวบินผ่านอากาศ ภาพลวงตาอันใหญ่โตของมันทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างสั่นสะเทือน
มังกรวารีสิบกว่าตัวที่อยู่ใกล้ๆ ส่งเสียงแผดร้องอย่างดุร้ายแหลมเล็กออกมา ซึ่งเต็มไปด้วยความหวาดกลัว ร่างของพวกมันสั่นสะท้าน และกำลังจะกระจายหลบหนีออกไปทั่วทุกทิศทาง เมื่อภาพลวงตาของมังกรปีกวารีส่งเสียงคำรามอย่างไร้เสียงออกมาอีกครั้ง สุนัขป่าที่อยู่บนพื้นดินเริ่มตัวสั่น และจากนั้นก็นอนหมอบลงไป สิงโตสีฟ้าขนาดใหญ่ก็ก้มศีรษะที่สั่นสะท้านของพวกมันลงไป และส่งเสียงแสดงความจำนนออกมาด้วยเช่นกัน
มังกรวารีดูเหมือนจะเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง แต่พวกมันก็ไม่กล้าจะขยับตัวเคลื่อนไหว ภูติผีมังกรปีกวารีของเมิ่งฮ่าวโฉบลงไป และกลืนกินพวกมันเข้าไป
สนามรบเงียบกริบราวป่าช้า ทุกคนอ้าปากหอบหายใจด้วยความตกตะลึงต่อภาพที่เห็น ซึ่งกำลังเกิดขึ้นในท้องฟ้า มังกรปีกวารีกลืนกินมังกรวารีตัวแล้วตัวเล่าลงไป
ในที่สุด มังกรวารีทุกตัวก็ถูกกลืนลงไป หลังจากนั้น มังกรปีกวารีก็บินกลับไปยังเมิ่งฮ่าวและหายตัวไป
ทุกสิ่งทุกอย่างเงียบกริบราวตกอยู่ในความตาย
เมิ่งฮ่าวกระแอมไอออกมาเบาๆ และจากนั้นก็เดินตรงไปยังหานเสวี่ยชาน เมือเขาไปถึงเบื้องหน้านาง ก็มองเห็นใบหน้าของนางเต็มไปด้วยความไม่อยากจะเชื่อและหวาดกลัว เช่นเดียวกับสีหน้าของบุรุษหนุ่มที่กำลังยืนอยู่ข้างกายนาง
“ข้าช่วยชีวิตเจ้า” เขากล่าว ดูท่าทางอึดอัดใจเล็กน้อย “เจ้ายังไม่ได้ตอบแทนข้า ก่อนที่จะได้ทำเช่นนั้น มันเหมาะสมแล้วที่เจ้าจะวิ่งหนีไป?” เขารู้สึกเคอะเขินอยู่เล็กน้อยที่จะต้องกล่าวคำพูดเช่นนี้กับหญิงสาวเยาว์วัย
หานเสวี่ยชานตัวสั่นสะท้าน ดวงตาที่สวยงามของนางสาดประกายความหวาดกลัวออกมา ด้วยความกระวนกระวาย นางไม่แน่ใจว่าต้องกล่าวตอบเยี่ยงไร
ในตอนนี้เองที่ดวงตาของนาง ทันใดนั้นก็เบิกกว้างขึ้น ไม่เพียงแต่นาง ทุกคนในสนามรบที่กำลังมุ่งความสนใจมาที่เมิ่งฮ่าวในตอนนี้ ต่างก็อ้าปากหอบหายใจออกมา
เสียงแผดร้องดังก้องอยู่ด้านหลังเมิ่งฮ่าว ขณะที่ยักษ์สูงเกือบสามสิบจ้างพุ่งตรงมาที่เขา กวัดแกว่งดาบเล่มใหญ่ของมันอยู่ในอากาศ
ดาบนี้ดูเหมือนจะสามารถผ่าอากาศให้แยกเป็นสองส่วนได้ เสียงแหลมเล็กดังเต็มอยู่ในอากาศ ขณะที่มันกรีดลงมายังเมิ่งฮ่าว มันไม่ได้กระจายระลอกคลื่นออกมา แต่ดูเหมือนจะดูดกลืนอากาศรอบๆ ข้างเข้าไป กลุ่มหมอกที่อยู่รอบๆ ตัวเมิ่งฮ่าวเริ่มเดือดพล่าน
ทั้งหมดนี้ต้องใช้เวลาในการอธิบาย แต่จริงๆ แล้วก็เกิดขึ้นในทันทีที่เมิ่งฮ่าวพูดจบ ดาบขนาดใหญ่ก็อยู่ห่างจากศีรษะเขาเพียงแค่สิบจ้าง!
ดาบเล่มนี้มีความยาวทั้งหมดหนึ่งร้อยจ้าง ยักษ์ตนนั้นสูงสามสิบจ้าง และเต็มไปด้วยพละกำลัง ถึงแม้มันจะไม่มีพื้นฐานฝึกตน ก็เห็นได้ชัดว่าแข็งแกร่งเพียงพอที่จะทำให้ใครก็ตามสั่นสะท้านด้วยความหวาดกลัว
ดาบตกลงมายังศีรษะเมิ่งฮ่าว ทำให้กลุ่มหมอกรอบๆ ตัวเขาพลุ่งพล่านปั่นป่วนกระจายออกไปทั่วทุกทิศทาง ยิ่งทำให้เมิ่งฮ่าวกลายเป็นจุดเด่นอยู่ในสนามรบ
แต่ในขณะที่ดาบใกล้เข้ามา เมิ่งฮ่าวไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้น เขายื่นมือขวาออกไป และคว้าจับดาบนั้นไว้ด้วยมือเปล่า เสียงระเบิดขนาดใหญ่ดังก้องออกไป
พลังมหาศาลพุ่งออกมาจากดาบเข้าไปในร่างเมิ่งฮ่าว ทำให้กระดูกของเขาเกิดเป็นรอยร้าว และบนพื้นดินรอบๆ ตัวเขาก็มีรอยร้าวปรากฎขึ้นมากมาย พลังอันมากมายมหาศาลนั้น ทำให้แม้แต่เท้าของเขายังต้องจมลงไปในพื้นดินถึงเจ็ดแปดชุ่น (1 ชุ่น = 2.3 เซนติเมตร)
สีหน้าเมิ่งฮ่าวไม่เปลี่ยนไป เขาหันร่างมองไปที่ยักษ์ตนนั้น
“กาลเวลา!” เขากล่าวเสียงราบเรียบ และกระบี่ไม้แห่งกาลเวลาสิบเล่มก็ลอยออกมาจากถุงสมบัติ เพื่อก่อตั้งเป็นค่ายกลกระบี่ดอกบัว หมุนวนอยู่ในอากาศเป็นวงกลมรอบๆ ยักษ์ตนนั้น
ยักษ์ส่งเสียงแผดร้องและพยายามจะกระชากดาบของมันกลับไป แต่ต้องพบกับความประหลาดใจ ไม่ว่ามันจะใช้กำลังมากมายแค่ไหน ดาบนั้นก็ยังคงติดอยู่ที่ปลายนิ้วของเมิ่งฮ่าว ไม่มีทางที่มันจะดึงกลับไปได้
ดวงตายักษ์ส่องประกายเป็นแสงสีเขียวขณะที่มันส่งเสียงแผดร้อง มันปล่อยมือจากดาบ และจากนั้นก็กำมือเป็นหมัด กระแทกลงมายังเมิ่งฮ่าว
“น่าสนใจนัก” เมิ่งฮ่าวกล่าวพร้อมกับหัวเราะ “น่าเสียดายจริงๆ ที่ต้องสังหารเจ้า” เขาโยนดาบยักษ์ไปที่ด้านข้าง บังคับกระบี่ไม้แห่งกาลเวลา และใช้วิชาระเบิดโลหิตชั่วพริบตา เพื่อหายตัวไปที่ด้านขวา ก่อนที่กำปั้นขนาดใหญ่มหึมาจะกระแทกลงมา เมื่อปรากฎตัวขึ้นอีกครั้ง เขาก็ไปอยู่ที่ด้านบนศีรษะของยักษ์ตนนั้น ใช้นิ้วชี้ข้างซ้ายชี้ลงไป
“ผนึกความเที่ยงธรรม!”
ทันใดนั้น เมิ่งฮ่าวก็มองเห็นภาพภูติผีพุ่งขึ้นมาจากทุกที่ในสนามรบ มีเขาคนเดียวที่มองเห็น ขณะที่เส้นใยปราณเส้นแล้วเส้นเล่าพุ่งเข้าไปในศีรษะของยักษ์ตนนั้นอย่างรวดเร็ว
ยักษ์ส่งเสียงแผดร้อง ใช้สองมือกระแทกตรงเข้ามายังเมิ่งฮ่าว แต่วิชาระเบิดโลหิตชั่วพริบตาก็แวบขึ้น และเขาก็หายตัวไปโดยสิ้นเชิง ไม่ว่ายักษ์จะพยายามจับตัวเขากี่ครั้ง มันก็ไม่สามารถจับได้ และเขายังคงใช้วิชาผนึกความเที่ยงธรรมอย่างต่อเนื่อง ภาพที่เห็นนี้ทำให้ดวงตาของพวกที่มองดูอยู่เต็มไปด้วยความตกตะลึง
“ได้รับการผนึกความเที่ยงธรรม เป็นสิ่งที่โชคดีสำหรับเจ้า, ถ้าเจ้ายังเอาแต่ต่อต้าน…” เขากดมือลงไปบนศีรษะยักษ์ ดวงตาสาดประกายด้วยแสงแปลกๆ สัมผัสได้ถึงเจตจำนงที่ต่อต้านกลับมาของยักษ์ตนนั้น แต่ก็รู้สึกได้ถึงความประสงค์ของปราณอสูรที่เขาส่งเข้าไปในตัวมันด้วยเช่นกัน ด้วยสีหน้าที่ลังเลจนบิดเบี้ยวดูเหมือนจะทำให้มันหยุดชะงักลง
เมิ่งฮ่าวบอกได้ว่ายักษ์ตนนี้ไม่เหมือนกับมนุษย์ทั่วไป แต่คล้ายกับพวกสัตว์ป่ามากกว่า มันมีร่างกายที่ใหญ่โต แต่จริงๆ แล้วก็ไม่อาจจะพูดเป็นภาษาออกมาได้ ความรับรู้ของมันค่อนข้างจำกัด และไม่อาจจะฝึกฝนวิถีเซียนได้
แต่เมื่อมันโจมตี ความแข็งแกร่งของร่างกายก็ระเบิดออกมา เทียบเท่ากับวงจรอันยิ่งใหญ่ขั้นสุดท้ายพื้นฐานลมปราณ ในบางครั้ง ความแข็งแกร่งล้วนๆ ของร่างกายมัน จริงๆ แล้วก็ยังน่ากลัวกว่าพลังพื้นฐานฝึกตนซะอีก
ดังนั้นเมิ่งฮ่าวจึงตัดสินใจที่จะทดสอบวิชาผนึกความเที่ยงธรรม เขาต้องการจะเห็นว่าการคาดเดาที่เกี่ยวกับผลกระทบของมันถูกต้อง…ด้วยการเป็นผู้ผนึกอสูร เขาควรจะสามารถใช้ผนึกความเที่ยงธรรมกับสิ่งมีชีวิตใดๆ ก็ได้ในสวรรค์และปฐพีแห่งนี้ ด้วยข้อพิสูจน์นี้ก็ช่วยให้มันกลายเป็นอสูร!
ขณะที่คำพูดดังออกมาจากปาก ยักษ์ตัวใหญ่ก็เริ่มสั่นสะท้าน แสงสีเขียวในดวงตาจางหายไป ราวกับว่าทันใดนั้น มันสามารถคิดได้ สีหน้าของมันไม่ได้ดุร้ายป่าเถื่อนอีกต่อไป แต่แสดงถึงการเชื่อฟังในคำสั่ง ตอนนี้มันกระจายปราณอสูรออกมาจากร่างกาย
ผู้ฝึกตนดินแดนสีดำไม่เข้าใจอย่างถ่องแท้ถึงสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นนี้ แต่ภาพที่เห็นก็ทำให้ทุกคนตกตะลึง ถึงแม้ว่าพวกมันดูเหมือนจะไม่ค่อยรู้สึกน่าเหลือเชื่อเท่ากับสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้กับมังกรปีกวารี
สำหรับผู้ฝึกตนทะเลทรายตะวันตก สิ่งที่เกิดขึ้นนี้ทำให้จิตใจพวกมันหมุนคว้างอย่างไม่อาจจะควบคุมตัวเองได้
โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับสามซือหลง ใบหน้าพวกมันเต็มไปด้วยความไม่อยากจะเชื่ออย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ราวกับว่าจิตใจพวกมันพังทลายลงไปโดยสิ้นเชิง สมองพวกมันหมุนไปมาจนถึงจุดที่ว่างเปล่าโดยสิ้นเชิง
“ยักษ์เถื่อนยอมจำนนจริงๆ…นั่นเป็นไปไม่ได้! ยักษ์เถื่อนไม่เคยยอมจำนน! แม้แต่ต้าซือหลงก็ไม่อาจจะทำเช่นนี้ได้ แม้เผ่าสวรรค์เถื่อนของพวกเราจะสามารถใช้พวกมันได้ แต่ก็เนื่องมาจากการจัดเตรียมอย่างพิเศษที่พวกเรามีกับพวกยักษ์เถื่อน นอกจากพวกเราแล้ว ก็ไม่มีใครในทะเลทรายตะวันตกทั้งหมดจะสามารถทำให้ยักษ์เถื่อนยอมจำนนได้!”
“ไม่มีอะไรที่เกี่ยวข้องกับพื้นฐานฝึกตน มันเหมือนกับเป็นกฎของยักษ์เถื่อน ศักดิ์ศรีและโลหิตของพวกมันไม่ยอมให้ทำเช่นนั้น แล้ว…แล้วเกิดอะไรขึ้น…?”
ซือหลงทะเลทรายตะวันตกต่างก็ตกตะลึง ขณะที่พวกมันมองเห็นเมิ่งฮ่าวยืนอยู่บนศีรษะของยักษ์ตนนั้น ไม่ได้สนใจในความปั่นป่วนวุ่นวายที่เขาได้สร้างขึ้นในสนามรบนี้เท่าใดนัก ไม่ได้สนใจต่อความตกตะลึงซึ่งผู้คนกำลังมองมา ไม่แม้แต่จะสังเกตว่ากลุ่มหมอกที่เขาสร้างขึ้น ได้ลอยขึ้นไปในอากาศและกลายเป็นสายฝนพิษตกลงมา
แต่เขากำลังมองลงไปยังหานเสวี่ยชานที่มีใบหน้าซีดขาวแทน
“ข้าช่วยชีวิตเจ้าไว้เป็นครั้งที่สองแล้วในตอนนี้” เขากล่าวพร้อมรอยยิ้ม “เจ้าต้องคิดหาวิธีตอบแทนข้า ขึ้นมาบนนี้ ข้าจะนำเจ้ากลับบ้าน” ทันใดนั้น ยักษ์ก็ก้มตัวลงไปบนพื้น แบฝ่ามือลงไปที่เบื้องหน้าหานเสวี่ยชาน
ทุกคนที่อยู่รอบๆ ตัวนางมองมา ขณะที่นางอ้าปากค้างมองขึ้นไปยังเมิ่งฮ่าว ไม่แน่ใจว่าทำไมนางถึงได้ทำเช่นนั้น จู่ๆ นางก็ยกเท้าขึ้น และก้าวไปบนฝ่ามือยักษ์ มันยกร่างนางขึ้นไป และวางไว้บนศีรษะของมัน เมื่อนางไปยืนอยู่ข้างกายเมิ่งฮ่าว ยักษ์ก็ส่งเสียงแผดร้อง และเริ่มเดินตรงไปยังกำแพงเมืองเซิ่งเสวี่ย
ด้านบนขึ้นไปในท้องฟ้า สองผู้ฝึกตนวิญญาณแรกก่อตั้งที่เคยต่อสู้กันอยู่ ตอนนี้ต่างก็จ้องไปยังภาพแปลกๆ ที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ด้านล่าง เมิ่งฮ่าวก็สังเกตเห็นความสนใจของพวกมันด้วยเช่นกัน
ยักษ์พุ่งตรงไป ทำให้เกิดเป็นสายลมส่งเสียงหวีดหวิวออกมา และพื้นดินก็สั่นสะเทือน ในที่สุด มันก็เข้าไปใกล้เกราะป้องกันของเมืองเซิ่งเสวี่ย ผู้ฝึกตนที่อยู่ด้านในมองเห็นทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้น แต่ตอนนี้ก็ไม่แน่ใจว่าควรจะเปิดเกราะป้องกันหรือปิดมันไว้ต่อไป
ในตอนนี้เองที่เสียงเป่าหลอดเขาสงคราม ทันใดนั้นก็ดังขึ้นมา โม่ถู่กงและผู้ฝึกตนทะเลทรายตะวันตกเริ่มถอยกลับไป รวมถึงขุมกำลังทั้งหมดที่อยู่รอบๆ เมือง ทั้งสัตว์ปีศาจและสัตว์อสูร หลังจากชั่วธูปไหม้หมดไปหนึ่งดอก ก็ไม่เห็นขุมกำลังของศัตรูอยู่รอบๆ เมืองเซิ่งเสวี่ยอีกต่อไป
สงครามครั้งแรกนี้เป็นการลองเชิงดูขุมกำลังของทั้งสองฝ่าย การต่อสู้ถูกจำกัดอยู่ที่ต่ำกว่าขั้นวิญญาณแรกก่อตั้ง แต่การปรากฎตัวของเมิ่งฮ่าวก็ทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างปั่นป้วนขึ้นมา ความเชื่อมั่นของกองกำลังโม่ถู่กงถูกทำลายไป ดังนั้นพวกมันจึงไม่ลังเลใดๆ ที่จะล่าถอยออกไปก่อน
เสียงโห่ร้องด้วยความยินดีดังขึ้นมาจากภายในเมืองเซิ่งเสวี่ย เมื่อโม่ถู่กงล่าถอยกลับไป ผู้คนมากมายก็เข้าใจว่าสงครามครั้งนี้เพิ่งจะเริ่มต้นขึ้นเท่านั้น
สำหรับหญิงชราวิญญาณแรกก่อตั้ง นางบินลงไปลอยอยู่เบื้องหน้าเมิ่งฮ่าว ขณะที่นางมองมา ความเงียบปกคลุมไปรอบๆ พวกเขา เกราะป้องกันยังคงไม่ได้เปิดออก สายตาทุกคู่จ้องมายังเมิ่งฮ่าว
“เจ้าต้องการอะไร?” หญิงชราถาม
“ตัวไหมหิมะเยือกเย็น” เมิ่งฮ่าวกล่าวตอบพร้อมรอยยิ้ม
“เจ้ามีข้อดีอะไร?” หญิงชราย้อนกลับมาด้วยน้ำเสียงที่ไม่รีบร้อน
“ข้าช่วยนางไว้” เมิ่งฮ่าวกล่าว ชี้ไปยังหานเสวี่ยชาน
หญิงชราส่ายหน้า “นั่นไม่เพียงพอ”
“ข้าช่วยนางสองครั้ง!” เมิ่งฮ่าวกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“ยังไม่เพียงพอ” หญิงชรามองมายังเมิ่งฮ่าวอย่างเยือกเย็น
เมิ่งฮ่าวลังเลชั่วครู่ “ข้าคิดว่าข้าคงต้องช่วยนางอีกครั้งเป็นครั้งที่สาม” เขากล่าว
“แม้แต่เจ้าจะแต่งงานกับนาง ก็ยังคงไม่เพียงพอ” หญิงชรากล่าวเสียงราบเรียบ “ต้องใช้เวลาหลายปีเพื่อเลี้ยงตัวไหมหิมะเยือกเย็นตามขั้นตอนของตัวไหมทั้งหมด ตอนนี้ตระกูลพวกเรามีดักแด้เหลืออยู่เพียงแค่สองตัวเท่านั้น!”
เมิ่งฮ่าวครุ่นคิดชั่วครู่ “ข้าชำนาญเรื่องพิษ” เขากล่าว
หญิงชรามองเขาอย่างลึกซึ้ง “ถ้าเจ้าปรุงยาพิษให้กับตระกูลหานเสวี่ยหนึ่งปี ข้าก็จะมอบตัวไหมหิมะเยือกเย็นให้แก่เจ้า แต่ถ้าข้าพบว่าเจ้ามีเจตนาอื่นอีก เจ้าก็จะไม่มีทางรอดชีวิตออกไปจากเมืองนี้ได้” ด้วยเช่นนั้น นางก็ชี้มือขวาไป ทำให้หานเสวี่ยชานบินตรงไปที่นาง คนทั้งสองบินตรงกลับไปยังเกราะป้องกัน
ก่อนที่จะผ่านทะลุเกราะป้องกันเข้าไป หานเสวี่ยชานมองกลับมายังเมิ่งฮ่าว
“ท่านยายรักษาคำพูดของนางเสมอ!” นางกล่าว “ถ้าท่านมีเจตนาร้ายใดๆ สายฟ้าสวรรค์ก็จะทำลายวิญญาณท่านไป ระมัดระวังตัวด้วย!”
เมิ่งฮ่าวยิ้ม และกำลังจะกล่าวคำพูดบางอย่าง แต่สีหน้าเขาก็เปลี่ยนไปในทันที โดยไม่หยุดชะงักลง เขายกมือขึ้นไปในอากาศ มีวิญญาณของปรมาจารย์ตระกูลหลี่อยู่ในมือ เสียงฟ้าร้องดังก้องกังวานออกมา และสายฟ้าก็พุ่งลงมากระแทกเข้าไปยังร่างวิญญาณ เสียงแผดร้องอย่างน่าอนาถใจดังออกมา ติดตามด้วยเสียงก่นด่าสาปแช่งอย่างดุร้าย เมิ่งฮ่าวรีบเก็บวิญญาณกลับเข้าไปในทันที
เขามองไปรอบๆ ดูทุกคน แม้แต่หญิงชราก็จ้องมาที่เขาด้วยความตกตะลึง
“อืม, น่าแปลกใจจริงๆ” เขากล่าวพร้อมกับส่งเสียงไอออกมา มีสีหน้ากระอักกระอ่วนอยู่เล็กน้อย “ช่างคาดไม่ถึงนัก”