เยี่ยเฟยโม่ยิ้มอย่างเศร้าเสียใจ ขณะที่มองไปยังเมิ่งฮ่าว ความรู้สึกสูญเสียภายในจิตใจได้มาถึงจุดสูงสุด เพื่อที่จะเติมเต็มความต้องการในการกลายเป็นเทพกระถางม่วง มันได้ละทิ้งการฝึกฝนพื้นฐานฝึกตน และได้ใช้เวลาทั้งหมดในการไล่ตามเต๋าแห่งการปรุงยาอย่างดื้อรั้น
มันเชื่อมั่นอยู่เสมอมาว่า ด้วยความพากเพียรในทักษะด้านเต๋าแห่งการปรุงยาที่เพียงพอ จะช่วยรับประกันได้ว่ามันจะกลายเป็นเทพกระถางม่วง เยี่ยหยุนเทียนก็ได้ให้การรับรอง แม้แต่เทพกระถางม่วงคนอื่นๆ ก็ให้การยอมรับ
“ทำไม…ทำไมมันถึงได้แสดงตัวขึ้น…? ทำไมแผนกเม็ดยาบูรพาสำนักจื่อยื่น เมื่อมีเฟยโม่แล้ว ถึงได้มีฟางมู่อีก…? ด้วยเสียงหัวเราะอย่างขมขื่น มันโซเซถอยไปด้านหลัง และกระอักโลหิตออกมา
ไม่ใช่ว่ามันไม่มั่นใจ ทันทีที่มันรู้ว่าฟางมู่ก็คือเจ้าโอสถจอมกระถาง มันก็รู้ว่าทั้งหมดนี้เป็นเรื่องจริง มันไม่อาจตำหนิคนอื่นๆ ได้ว่าให้การสนับสนุนฟางมู่ ทำได้แต่เพียงหัวเราะ และรู้สึกขมขื่นอยู่เช่นนั้น
มันบอกตัวเองอย่างภาคภูมิใจว่า ถ้าไม่ใช่เพราะว่าคู่แข่งของมันแข็งแกร่ง และเป็นเจ้าโอสถจอมกระถางแล้วละก็ เยี่ยเฟยโม่ ผู้ซึ่งอยู่ในจุดสูงสุดของเจ้าแห่งเตา แผนกเม็ดยาบูรพา ก็จะไม่เป็นที่สองรองจากใคร มันต้องประสบความสำเร็จ และได้เป็นอันดับหนึ่งในการทดสอบเทพกระถางม่วงอย่างแน่นอน
แต่ตอนนี้ มันก็พ่ายแพ้แล้ว มันยังจินตนาการได้ว่า ต่อไปผู้คนในสำนักก็จะมองมาที่มันด้วยความดูถูก ไม่ใช่การดูถูกในเรื่องเต๋าแห่งการปรุงยาของมัน แต่ดูถูกเพราะมันได้ยอมรับโดยกลายๆ ว่ามันเป็นเจ้าโอสถจอมกระถาง
ดังนั้น มันได้แต่หัวเราะด้วยความขมขื่น ท้อแท้อย่างถึงที่สุด
โลหิตไหลซึมออกมาจากมุมปากของมัน “เต๋าแห่งการปรุงยาของข้า ต้องไม่พ่ายแพ้…แพ้ครั้งแรก, ข้ายอมรับได้ หรือแม้แต่ครั้งที่สอง แต่การล้มเหลวครั้งแล้วครั้งเล่า…จะเป็นการทำลายเต๋าแห่งการปรุงยาของข้า ไม่ สิ่งที่พ่ายแพ้ไม่ใช่เต๋าแห่งการปรุงยาของข้า แต่เป็นตัวข้าเอง!” มันปาดเช็ดโลหิตออกจากมุมปาก และดวงตาก็สาดประกายด้วยความมุ่งมั่นขึ้นมาอีกครั้ง “เต๋าแห่งการปรุงยาของข้าต้องไม่มีทางพ่ายแพ้ มันเป็นต้นกำเนิดของสวรรค์และปฐพี อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน! นี่คือเต๋าแห่งการปรุงยาอันยิ่งใหญ่ของข้า!” ลมหายใจของมันเร่งร้อนขึ้น ขณะที่มองไปยังเมิ่งฮ่าว
ฉู่อวี้เยียนไม่พูดอะไร ค่อยๆ สะกดข่มจิตใจที่กำลังสั่นสะท้านของนางลง ขณะที่จ้องไปยังเมิ่งฮ่าว ความขมขื่นอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน พุ่งขึ้นมาในจิตใจ นางพ่ายแพ้มานานแล้ว ตั้งแต่ตอนที่นางก้าวเข้าไปในโลกแห่งแดนสวรรค์…นางก็แพ้แล้ว
ถ้าฟางมู่ หรือเยี่ยเฟยโม่ไม่ได้อยู่ที่นั่น นางก็จะกลายเป็นเทพกระถางม่วงอย่างแน่นอน นางยังคงต้องการจะพิสูจน์ตัวเอง แต่ในตอนนี้ ก็ไม่มีโอกาสอีกแล้ว
ในการทดสอบเทพกระถางม่วง มีนักปรุงยาเพียงคนเดียวเท่านั้น ที่จะกลายมาเป็นเทพกระถางม่วง
การพลาดโอกาสนี้เพียงแค่ครั้งเดียว ก็ไม่สำคัญว่าความสำเร็จที่ทำได้ในภายหลังจะน่าตกตะลึงสักเพียงใด ก็ได้แต่มีชีวิตอยู่ด้วยความเสียใจ ไม่มีโอกาสที่จะทดสอบเป็นครั้งที่สองอีกแล้ว
“ก็เหมือนกับเต๋าแห่งการปรุงยาของข้า ซึ่งค้นหาประกายไฟที่หายไปของชีวิต วันนี้ ประกายแห่งชีวิตได้หายไปโดยสิ้นเชิง และไม่มีทางที่จะค้นหามันได้อีกครั้ง เหมือนกับเต๋าแห่งการปรุงยาของข้า…” ภายในความขมขื่นของนาง โลหิตไหลซึมออกมาจากมุมปาก ความเจ็บปวดที่นางรู้สึกอยู่ด้านในก็เนื่องมาจากเต๋าแห่งการปรุงยา
ทุกคนตกอยู่ในความเงียบ เยี่ยหยุนเทียนมองไปด้วยความเจ็บปวดใจ ไม่อาจพูดอะไรได้มากไปกว่านี้ มันรู้สึกเจ็บปวดราวกับว่าหัวใจโดนกรีด และได้แต่คิดว่า เส้นทางของเยี่ยเฟยโม่ในตอนนี้ก็จบลงแล้ว อนาคตของมันไม่มีอะไรนอกไปจากหลุมฝังศพ
ผู้ฝึกตนที่อยู่รอบๆ มองภาพที่เห็นด้วยความคิดที่หลากหลายอยู่ในจิตใจ พวกมันทั้งหมดได้ยอมรับในเส้นทางของเต๋าแห่งการปรุงยาของตัวเอง นี่เป็นเพราะทุกคนมีความคิดเกี่ยวกับความหมายของความดื้อรั้นที่แตกต่างกัน ทุกคนต่างก็มีเส้นทางเดินของตัวเอง
ไม่ง่ายนักที่จะเปรียบเทียบเรื่องเช่นนั้น นอกจากนี้ สิ่งที่พ่ายแพ้ไม่เพียงแต่เป็นตัวบุคคล แต่เป็นเต๋าแห่งการปรุงยา เพราะความดื้อรั้นกลายเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ การพังทลายลงจึงเป็นสิ่งที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้
ขณะที่ความเงียบปกคลุมบริเวณนั้นไปทั่ว เสียงถอนหายใจอย่างแผ่วเบาก็ได้ยินมา ดูเหมือนจะดังมาจากสถานที่อันห่างไกลออกไป เจ้าโอสถจอมปีศาจลุกขึ้นยืนช้าๆ สายตากวาดผ่านนักปรุงยาไป ทุกคนที่สบสายตากับท่าน ก็ค่อยๆ ก้มศีรษะลง ใบหน้าเต็มไปด้วยความเคารพนับถือ
ในที่สุด สายตาของท่านก็มาหยุดอยู่ที่เยี่ยเฟยโม่
“เต๋าแห่งการปรุงยาเป็นสิ่งนิรันดร์” ท่านกล่าว “แต่สิ่งที่เป็นอมตะมากไปว่านั้นก็คือ ความมุ่งมั่นในการฝึกฝนเต๋าแห่งการปรุงยา ถ้ามีความมุ่งมั่นเช่นนั้น แม้แต่พ่ายแพ้มาแล้วหมื่นครั้ง เต๋าแห่งการปรุงยาของเจ้าก็จะคงอยู่ที่นั่นตลอดไป เจ้าทำได้ดีมากแล้ว ตั้งแต่ตอนที่เจ้าเข้าสังกัดสำนัก เจ้าก็ไล่ตามเส้นทางของเจ้ามาโดยตลอด”
“เส้นทางของเจ้าก็คือสายลม และเต็มไปด้วยขวากหนาม ทำให้ก้าวหน้าได้อย่างเชื่องช้า มีแต่ความมุ่งมั่นที่ไม่รู้จบ เจ้าถึงจะมีความกล้าหาญในการเผชิญหน้ากับความพ่ายแพ้ และดำเนินการต่อไปเพื่อให้บรรลุถึงเป้าหมาย เดินไปบนเส้นทางเช่นนั้น และเส้นทางของเจ้าก็จะเป็นนิรันดร์ ความหวาดกลัวไม่ใช่ความพ่ายแพ้ แต่ความหวาดกลัวทำให้ยอมแพ้!”
เยี่ยเฟยโม่สั่นไปทั้งร่าง ขณะที่มันจ้องไปยังตานกุ่ยด้วยสายตาที่ว่างเปล่า อย่างเงียบๆ มันประสานมือ และโค้งตัวลง “ขอบคุณมากสำหรับความรู้แจ้งนี้ ท่านปรมาจารย์”
“เจ้าจะเป็นเทพกระถางม่วง” ตานกุ่ยกล่าวเสียงราบเรียบ “นับจากวันนี้เป็นต้นไป เจ้าก็คือศิษย์ในนามของข้า”
เยี่ยเฟยโม่สั่นสะท้าน ใบหน้าเต็มไปด้วยความตื่นเต้น นี่คือความฝันของมัน ในที่สุดก็กลายเป็นความจริง เส้นทางได้เปิดกว้างขึ้น แต่การกลายเป็นเทพกระถางม่วง เป็นสิ่งสำคัญมากที่สุดในชีวิต ที่มันพยายามไล่ตามมาหลายปีแล้ว
จิตใจของนักปรุงยาแผนกเม็ดยาบูรพาที่อยู่รอบๆ บริเวณนั้นหมุนคว้างไปมาขณะที่พวกมันมองไป ไม่มีใครรู้ว่า ขณะที่สายตาของตานกุ่ยตกกระทบไปที่ฉู่อวี้เยียน ท่านจะกล่าวอะไรบ้าง
“เจ้าได้ค้นหาเต๋าแห่งการปรุงยาซึ่งโอบอุ้มชีวิต, ชีวิตก็เหมือนกับสิ่งที่พวกเราเป็น เจ้าปรารถนาจะค้นหาประกายแห่งชีวิตซึ่งไม่มีอยู่จริง มันยากเกินกว่าที่จะบรรลุถึงจุดสูงสุดของเต๋าแห่งการปรุงยา มันไม่ใช่เส้นทางแห่งสายลม แต่คือสิ่งที่ยากเป็นอย่างยิ่ง”
“อันที่จริง บางครั้งก็ไม่มีประกายแห่งชีวิต เมื่อเกิดขึ้นเช่นนั้น เจ้าจะทำอย่างไร? เส้นทางในเต๋าแห่งการปรุงยาของเจ้า ไม่ได้ตั้งอยู่บนการปรุงเม็ดยา แต่อยู่ในการกลั่นสกัดจิตใจ เจ้าเป็นศิษย์ของข้ามาโดยตลอด แต่ก็ไม่เหมือนกับคนอื่นๆ เจ้าเป็นศิษย์ส่วนตัวของข้า เจ้า…ก็เป็นเทพกระถางม่วงด้วยเช่นกัน” ขณะที่เสียงของตานกุ่ยดังออกไป น้ำตาก็เริ่มไหลลงมาจากใบหน้าฉู่อวี้เยียน นางโค้งตัวลงให้กับตานกุ่ยในทันที
นักปรุงยาทุกคนของแผนกเม็ดยาบูรพาไร้คำพูด มีแต่เทพกระถางม่วงที่ดูเหมือนต้องการจะพูดขึ้นมา แต่ก็หยุดชะงัก
หลินไห่หลง ลังเลอยู่ชั่วครู่ มันเป็นผู้อาวุโสมากที่สุดของเทพกระถางม่วง พยายามควบคุมตัวเอง เปิดปากพูดว่า “ท่านอาจารย์ จากประเพณีของการทดสอบคัดเลือกเทพกระถางม่วง มีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่จะถูกเลือก…”
“ตั้งแต่ซานจิ่ว (ภูผานิรันดร์) จากไป, เจ้าก็ไม่มีความก้าวหน้าในเต๋าแห่งการปรุงยาอีก เจ้าไม่มีความคืบหน้าใดๆ ตั้งแต่ปีนั้นเป็นต้นมา เจ้ารู้หรือไม่ว่าเป็นเพราะเหตุใด?” ตานกุ่ยมองไปยังหลินไห่หลงด้วยความสงบนิ่ง “ที่ข้าไม่เคยบอกเจ้า ก็เพราะข้าต้องการให้เจ้าคิดได้ด้วยตัวเอง แต่เจ้าก็ยังคงไม่เข้าใจ ประเพณี…เป็นสิ่งสำคัญจริงๆ ?”
ด้วยความรู้สึกอึดอัดใจเล็กน้อย หลินไห่หลงพยายามฝืนยิ้ม และกล่าวว่า “แต่…ท่านเป็นคนเริ่มประเพณีนี้มา, ท่านอาจารย์”
“เมื่อข้าเป็นคนเริ่ม ก็เป็นธรรมดาที่ข้าจะเปลี่ยนมันได้ ให้มันเป็นเช่นนี้เถอะ!” ท่านโบกสะบัดชายแขนเสื้อ ไม่สนใจหลินไห่หลงอีกต่อไป และหันหน้ามามองยังเมิ่งฮ่าว
หลินไห่หลงถอนหายใจอย่างโล่งอกออกมา และก้าวถอยหลังไปทันที อันที่จริง มันพูดก็เพราะว่า มีบุคคลภายนอกได้มาสังเกตการณ์งานพิธีนี้อยู่ การเป็นผู้อาวุโสสูงสุดของเทพกระถางม่วง ทำให้มันต้องกล่าวบางอย่างออกมา แม้ว่าจะเป็นวิธีการที่อ้อมค้อมไปบ้างก็ตาม
ตานกุ่ยมองมายังเมิ่งฮ่าว “ด้วยการใช้ร่างกายเหมือนเป็นกระถาง และจิตใจเหมือนเป็นสูตรยา กลั่นสกัดดวงตะวันและจันทรา กลั่นสกัดความเก่าแก่โบราณของดวงดาว ด้วยเต๋าแห่งการปรุงยาเช่นนี้…” ท่านหยุดชะงักไปชั่วครู่ “อาจารย์จะคอยเฝ้าดูว่าเส้นทางในอนาคตของเจ้าจะนำไปถึงจุดไหน” รอยยิ้มกระจายออกมาทั่วใบหน้าของท่าน
ขณะที่ท่านพูด พวกที่มุงดูก็บอกได้ว่า มีบางอย่างที่แตกต่างไปเกี่ยวกับคำพูดของท่าน นี่เป็นเพราะตานกุ่ยกำลังเรียกตัวเองว่าอาจารย์!
“เทพกระถางม่วง เป็นศิษย์ในนามของข้า และเพียงโขกศีรษะแค่หนึ่งครั้ง เมื่อเจ้าเป็นตานติ่ง เจ้าก็สามารถเป็นศิษย์ส่วนตัวของข้าด้วยการโขกศีรษะสองครั้ง”
“แต่…ข้าได้รับค่าเล่าเรียนของศิษย์จากเจ้าแล้ว ดังนั้นนับจากวันนี้เป็นต้นไป ข้าจะมีศิษย์ผู้สืบทอดเป็นคนที่สอง ตอนนี้ ให้โขกศีระษต่อข้าสามครั้ง!” ขณะที่ท่านยิ้มให้เมิ่งฮ่าว ความเมตตาในดวงตาของท่านก็ซ้อนทับกับท่านอาจารย์ที่อยู่ในโลกแห่งภาพลวงตาของเขา
เมิ่งฮ่าวมีสีหน้าแปลกๆ คำว่า ‘ค่าเล่าเรียนของศิษย์’ ทันใดนั้น ก็ทำให้เขานึกถึง สองร้อยล้านหินลมปราณ…
ก่อนที่เขาจะทันได้กล่าวอะไรออกมา ตานกุ่ยก็ยกมือขวาขึ้น และโบกสะบัดแขนเสื้อ ทันใดนั้น ระลอกคลื่นก็กระจายออกไปในอากาศ ล้อมไปรอบตัวเมิ่งฮ่าว และทันใดนั้นก็หายเข้าไปในร่างของเขา
“ไห่หลง” ตานกุ่ยกล่าว “โปรดช่วยอาจารย์ให้การต้อนรับสหายทั้งหมดจากสำนักต่างๆ ประกาศต่อดินแดนด้านใต้ทั้งหมดว่า ข้าได้รับฟางมู่เป็นศิษย์ผู้สืบทอดทายาท!”
ขณะที่คำพูดของท่านดังก้องไปทั่ว ทุกคนก็ลุกขึ้นยืน และประสานมือตรงไปยังสวรรค์ หลินไห่หลงสะท้านอยู่ด้านใน เมื่อได้ยินคำพูดนั้น สายตาของมันมาหยุดอยู่ที่เมิ่งฮ่าว เทพกระถางม่วงคนอื่นก็เช่นเดียวกัน พวกมันทั้งหมดรู้ว่าศิษย์ผู้สืบทอดทายาทคืออะไร
ความอิจฉาส่องประกายอยู่ในดวงตาหานเป้ย นางรู้ว่านับจากวันนี้เป็นต้นไป ฟางมู่จะเป็นผู้ที่แตกต่างจากทุกคนในดินแดนด้านใต้
เจ้าอ้วนแอบถอนหายใจอยู่ภายใน พยายามเตือนตัวเองว่าพี่ใหญ่ของมันเป็นผู้ที่น่าเกรงขามถึงเพียงไหน เขาได้พยายามจนกลายเป็นศิษย์ผู้สืบทอดทายาทของตานกุ่ย
เมื่อกลายมาเป็นศิษย์ ก็มีอยู่สามระดับ, ศิษย์ในนาม, ศิษย์ส่วนตัว และ ศิษย์ทายาท
ศิษย์ในนาม เพียงได้รับคำแนะนำอย่างง่ายๆ ศิษย์ส่วนตัว จะติดตามอยู่ข้างกายท่านอาจารย์ พวกมันจะได้รับคำสั่งด้วยวาจาและได้เห็นตัวอย่าง ทักษะส่วนตัวจะถูกถ่ายทอดลงมา รวมถึงวิชาลับบางอย่าง
ศิษย์ทายาท มีความสำคัญมากที่สุดในทั้งหมด พวกมันได้รับความรู้ไปตลอดชีวิต พวกมันมีความหวังต่ออนาคต ความหวังที่ถูกส่งต่อมาทั้งหมด ไม่มีอะไรที่ถูกเก็บกักไว้สำหรับศิษย์เช่นนี้ ซึ่งเป็นศิษย์ที่มีความสำคัญมากกว่าบุตรชาย!
——-
ในมุมส่วนลึกสุดของสำนักจื่อยิ่น ด้านในของแผนกเม็ดยาบูรพา ซึ่งก็คือภูเขาลูกเตี้ยๆ เป็นภูเขาที่ถูกห้อมล้อมไปด้วยภูเขาที่สูงกว่าอยู่รอบๆ แต่ภูเขาลูกนี้ก็ดูเหมือนจะเป็นตัวตนของความลึกซึ้งและทรงเกียรติ ราวกับว่ามันเป็นพี่ใหญ่ของภูเขาทั้งหมด
ภูเขาลูกนี้จริงๆ แล้วก็เป็นยอดสูงสุดของภูเขาทั้งหมดในแผนกเม็ดยาบูรพา!
มีบ้านสร้างอยู่บนยอดเขา ซึ่งตานกุ่ยนำเมิ่งฮ่าวเข้าไป ทันทีที่เมิ่งฮ่าวเห็นมัน เขาก็อ้าปากค้าง บ้านหลังนี้ดูเหมือนกับบ้านของท่านอาจารย์ในโลกแห่งภาพลวงตาของเขา
ตานกุ่ยผลักประตูให้เปิดออก และเดินเข้าไปด้านใน หันหลังให้เมิ่งฮ่าว ขณะที่ท่านเดิน ก็อธิบายว่า “เจ้าเคยโขกศีรษะของความบริสุทธิ์ เจ้าโขกศีรษะของการท่องเที่ยวไป ในสุดท้าย เจ้าก็เลือกที่จะโขกศีรษะของการจ้องมองไปยังวาระสุดท้ายของชีวิต ด้วยการโขกศีรษะทั้งสามครั้งนี้ เจ้าก็นับถือข้าเป็นอาจารย์”
เมิ่งฮ่าวติดตามเข้าไป มองดูหลังชายชรา ขณะที่เขาเดินตามไป ทันใดนั้น เขาก็ตระหนักว่า ชายชราผู้นี้ดูไม่เหมือนคนแปลกหน้าอีกต่อไป ชีวิตของเขาในโลกแห่งภาพลวงตา กำลังซ้อนทับกับความเป็นจริง เมิ่งฮ่าว ทันใดนั้น ก็ประสานมือ และโค้งตัวลงต่ำให้กับตานกุ่ย
“ศิษย์ขอคารวะท่านอาจารย์” เขากล่าว
“ในแดนสวรรค์ อาจารย์บอกเจ้าว่า เจ้าต้องโขกศีรษะเพียงแค่สองครั้ง โขกศีรษะครั้งแรก ได้แบ่งเป็นสามส่วน อาจารย์ได้หว่านเมล็ดกรรมไว้แล้ว และเป็นเพราะเจ้าไม่ได้ทำลายมัน และข้าก็เช่นกัน! ขณะที่การโขกศีรษะครั้งที่สอง ข้ายังไม่ได้อธิบายหลังจากนั้น”
“ตอนนี้ก็ถึงเวลาที่เจ้าจะเข้าใจ การโขกศีรษะครั้งที่สองจะมาถึงในวันที่ข้ากลายเป็นเถ้าธุลี ซึ่งเจ้าต้องโขกศีรษะเพื่อทำลายกรรมของพวกเรา ด้วยเช่นนั้นโชคชะตาของพวกเราก็จะไม่ผูกพันกันอีกต่อไป ข้าจะเป็นอาจารย์ที่เจ้าพอใจไปตลอดชีวิต สิ่งที่เจ้าต้องทำให้ข้าทั้งหมดก็คือ ให้ข้าสามารถยิ้มได้ก่อนข้าตายไป นั่นเป็นรอยยิ้มที่ข้ารู้ว่า ผู้สืบทอดของข้าในชีวิตนี้จะได้รับการสืบสานต่อไป”
“ถ้าในการกลายเป็นศิษย์ของข้า เจ้าได้เลือกเส้นทางเดียวกับศิษย์ผู้สืบทอดคนแรกของข้า หลิ่วหรูเฟิง และจากข้าไป เช่นนั้น ก็ไม่จำเป็นสำหรับการโขกศีรษะครั้งที่สอง”
“เท้าเป็นของเจ้า และเส้นทางก็ทอดยาวไปภายใต้ฝ่าเท้าของเจ้า เจ้าต้องเลือกเส้นทางเองในอนาคต” ตานกุ่ยทันใดนั้นก็หันมามองเมิ่งฮ่าว
“แต่อย่างไรก็ตาม” ท่านกล่าวช้าๆ ต่อไป “ถ้าข้าบอกเจ้าว่า ข้าไม่อาจจะขจัดพิษของดอกปี่อ้านได้ เจ้ายังคงต้องการให้ข้าเป็นอาจารย์ของเจ้าหรือไม่?”