หนึ่งล้านหินลมปราณปรากฎขึ้น สะท้อนแสงแดดเกิดเป็นแสงระยิบระยับ นี่เป็นยามบ่ายในดินแดนสีดำ ความบ้าคลั่งพุ่งขึ้นมาท่ามกลางกลุ่มผู้ฝึกตนมากกว่าร้อยคน
โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ฝึกตนที่อยู่ด้านหลัง ซึ่งติดตามมาเพื่อดูความสนุกสนาน ดวงตาพวกมันกลายเป็นสีแดงขณะที่ใช้วิชาทุกอย่างที่พวกมันรู้ เพื่อเพิ่มความเร็วในทันที แยกย้ายกันไปทั่วทุกทิศทางเพื่อคว้าจับหินลมปราณ
ผู้คนจากสำนักฮั่นสุ่ยอยู่ใกล้มากที่สุด ชายชราหน้าฝีดาษลังเลอยู่ชั่วขณะ มันรู้สึกว่ามีบางสิ่งไม่ถูกต้อง คิดย้อนกลับไปในช่วงงานประมูล และการแสดงท่าทางขาดแคลนหินลมปราณของเมิ่งฮ่าว แต่ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะบอกว่าหินลมปราณเหล่านี้เป็นภาพลวงตาหรือของจริง เมื่อได้เห็นศิษย์ทั้งหมดที่อยู่รอบๆ ตัวมันต่างก็หายใจอย่างหนักหน่วง มันจึงกัดฟันแน่น ไม่สนใจการไล่ล่า แต่ไปคว้าจับหินลมปราณแทน มันสะบัดแขนเสื้อขณะที่พยายามรวบรวมหินเข้าด้วยกันให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
ศิษย์สำนักฮั่นสุ่ยคนอื่นๆ พุ่งตรงไปอย่างบ้าคลั่ง ขณะที่ศิษย์จากอีกสองสำนักใหญ่เริ่มดิ้นรนเพื่อให้ได้ครอบครองหินลมปราณ ใช้เวลาเพียงไม่นานผู้ฝึกตนนับร้อยก็บินไปมาทั่วทุกทิศทางไล่คว้าจับหินลมปราณ ในที่สุด พวกมันก็เริ่มต่อสู้กัน
“บัดซบ, นั่นเป็นหินลมปราณของข้า!”
“เจ้าคนที่แย่งชิงของในงานประมูลโยนหินลมปราณเหล่านี้ออกมา เพื่อความปลอดภัยของมัน! หินเหล่านี้ไม่ได้เป็นของผู้ใด ใครมาก่อนก็ได้ก่อน!”
เสียงระเบิดดังก้องออกมา หนึ่งล้านหินลมปราณดูเหมือนจะมาก แต่เมื่อเห็นผู้ฝึกตนนับร้อยต่อสู้แย่งชิงกัน หินเหล่านั้นก็ถูกแบ่งออกไปอย่างรวดเร็ว โดยไม่ลังเลเหล่าผู้ฝึกตนโยนหินเข้าไปในถุงสมบัติในทันที
ทันใดนั้น ความตื่นเต้น, ความอิ่มเอมใจของพวกมันก็เปลี่ยนไป และพวกมันก็มองออกไปยังทิศทางที่เมิ่งฮ่าวเพิ่งจะบินจากไป
ในความคิดของพวกมัน การที่เขาโยนหินลมปราณออกมาก็เพียงเพื่อใช้ซื้อเวลา ซึ่งเป็นการบ่งชี้ให้เห็นว่า เขาต้องมีหินลมปราณเหลืออยู่ติดตัวอีกมากนัก
แสงแปลกๆ ปรากฎขึ้นในดวงตาของผู้ฝึกตนสำนักฮั่นสุ่ย พวกมันคว้าหินลมปราณส่วนใหญ่ไว้ได้ อาจจะมากกว่าสองแสนก้อน สีหน้าของชายชราหน้าฝีดาษแสดงออกให้เห็นว่ามันมุ่งมั่นจะรวบรวมให้ได้มากที่สุด มันรู้ว่าหินลมปราณเหล่านี้ไม่ใช่ของปลอม หลังจากที่หยิบขึ้นมาดู และตรวจสอบอย่างรอบคอบ มันหัวเราะเสียงดัง พุ่งไล่ตามเมิ่งฮ่าวไปพร้อมกับศิษย์ของมัน
ผู้ฝึกตนเกือบทั้งหมดในบริเวณนั้นทำเช่นเดียวกัน มีเพียงไม่กี่คนที่ยังคงลังเล กังวลว่าจะมีสิ่งร้ายแรงเกิดขึ้นถ้าพวกมันโลภมากไป บางคนก็คิดจะจากไป นอกจากนั้นทุกคนก็ได้รับหินลมปราณแล้ว ซึ่งก็หมายความว่าทุกคนอย่างน้อยก็ได้กำไร บางคนก็แอบตรวจสอบถุงสมบัติเพื่อนับว่าได้หินลมปราณมาทั้งหมดเท่าไหร่
ในตอนนี้เองที่เสียงหอบหายใจด้วยความตกตะลึงก็ได้ยินออกมา
“หือ? หินลมปราณอยู่ไหน? ข้าเพิ่งจะไล่คว้าได้หมื่นก้อน, พวกมันหายไปไหน?”
“ของข้าก็หายไปด้วย! เกิดอะไรขึ้น…?”
คนอื่นๆ ที่ได้ยินเสียงแปลกใจนั้น ต่างก็มองลงไปเพื่อตรวจสอบถุงสมบัติของพวกมัน จากนั้นใบหน้าของพวกมันก็สลดลงในทันที
“หินลมปราณของข้าหายไป! เป็นไปไม่ได้! ข้าคว้ามาได้อย่างน้อยก็แปดพันก้อนเมื่อครู่นี้!!”
“มีเรื่องแปลกๆ เกิดขึ้น…”
เสียงพูดคุยดังขี้นไปทั่ว ผสมรวมกับเสียงแผดร้อง ขณะที่พวกมันตรวจสอบถุงสมบัติ ใบหน้าของผู้ฝึกตนทั้งหมดเริ่มซีดขาวราวคนตาย บางคนเริ่มตัวสั่น และเส้นเลือดก็เริ่มโป่งพองอยู่บนใบหน้าของพวกมัน โทสะอันรุนแรงและความบ้าคลั่งพุ่งออกมาจากดวงตา
“อาวุธเวทของข้าหายไปแล้ว!!”
“บัดซบ ยาน้ำของข้า! ไม่เหลืออยู่เลยในถุงสมบัติของข้า!!”
“อ๊ากกกก! ถุงสมบัติของข้าไม่มีอะไรอยู่ด้านในเลย! เกิดอะไรขึ้น!? มันว่างเปล่าโดยสิ้นเชิง! แม้แต่อาวุธเวทที่ข้าเพิ่งจะซื้อมาจากงานประมูลก็หายไป!”
ขณะที่คำพูดเหล่านั้นกระจายออกไป เสียงแผดร้องก็ดังออกมามากขึ้น ชายชราหน้าฝีดาษจากสำนักฮั่นสุ่ยหน้าเปลี่ยนไป ขณะที่มันมองลงไปยังถุงสมบัติ จากนั้น ใบหน้ามันก็เปลี่ยนเป็นสีเทาราวกับขี้เถ้า มันเงยหน้าขึ้นไปในท้องฟ้า และส่งเสียงกู่ร้องอย่างหดหู่ใจออกมา
ร่างของมันสั่นสะท้าน และกลุ่มควันก็เริ่มลอยขึ้นมาจากด้านบนศีรษะ เส้นเลือดฝอยเต็มอยู่ในดวงตา เปล่งประกายความบ้าคลั่งอย่างน่ากลัวออกมา มันจะไม่คลุ้มคลั่งได้อย่างไร? หัวใจของมันราวกับมีโลหิตไหลหยดลงมา จากการที่มีใครบางคนมากรีดเฉือนมัน
ถุงสมบัติมันเดิมทีมีหินลมปราณอยู่หนึ่งแสนก้อน แต่ตอนนี้ก็หายไปในสายลม พร้อมทั้งยาน้ำ, อาวุธเวท, เม็ดยา…ทุกสิ่งทุกอย่างหายไปหมด แม้แต่สิ่งของจิปาถะที่มันรวบรวมไว้ก็หายไปด้วยเช่นกัน
ถุงสมบัติของมันถูกกวาดไปจนเกลี้ยงเกลา ตอนนี้มันไม่เหลืออะไรอยู่เลย
สิ่งของที่มันสะสมไว้หลายปี ครึ่งหนึ่งของความมั่งคั่งของสำนักฮั่นสุ่ย ทั้งหมดนี้ต่างก็อยู่กับมันเพียงคนเดียว แต่ตอนนี้…หายไปหมดแล้ว
ปรมาจารย์หน้าฝีดาษกู่ร้องอย่างเศร้าเสียใจ ด้านหลังมัน ปรมาจารย์จากหนึ่งในสำนักใหญ่อื่น ก็กำลังตัวสั่นสะท้านและกู่ร้องอย่างบ้าคลั่งออกมา ถุงสมบัติของมันว่างเปล่าด้วยเช่นกัน
ถุงสมบัติของผู้ฝึกตนทั้งหมดนับร้อยต่างก็ว่างเปล่าโดยสิ้นเชิง บางคนก็ไม่รู้ว่าอะไรหายไปบ้าง ทิ้งให้เกิดการคาดเดากันไปต่างๆ นาๆ…
“เจ้าโจรร้ายบัดซบนั่น! ข้าจะไม่ยอมหยุดจนกว่ามันจะตายไป!” คำพูดเหล่านี้ดังออกมา ก่อนที่ปรมาจารย์หน้าฝีดาษจะทันได้กล่าวอะไรที่เหมือนกันนี้ออกมา เป็นเสียงที่ดังมาจากชายชราผมสีแดงซึ่งตลอดทั้งร่างของมันสั่นสะท้าน ความบ้าคลั่งในดวงตาของมันมากเกินกว่าของปรมาจารย์หน้าฝีดาษ คนผู้นี้เป็นปรมาจารย์จากหนึ่งในตระกูลอื่น
สาเหตุของความบ้าคลั่งของมันมาจากความจริงที่ว่า ก่อนที่จะมีงานประมูล ถุงสมบัติของมันเต็มไปด้วยหินลมปราณหนึ่งล้านก้อน นั่นเป็นราคาที่มันได้มาจากการเข้าร่วมกับตระกูลตงลั่ว
นอกจากหินลมปราณ ยังมีวิชาเวทจากตระกูลตงลั่วซึ่งมันกระหายใคร่ได้มานานแล้ว ตอนนี้…พวกมันได้หายไปทั้งหมด แล้วมันจะไม่คลุ้มคลั่งได้อย่างไร?
ผู้ฝึกตนดินแดนสีดำเหล่านี้ไม่ได้โง่เขลา ถ้าพวกมันไม่รู้ว่าเมิ่งฮ่าวเป็นคนร้าย การฝึกฝนในหลายปีที่ผ่านมาของพวกมันก็คงจะสูญเปล่า และรากเหง้าของปัญหาก็คือหินลมปราณเหล่านั้น…
ผู้ฝึกตนนับร้อยต่างก็มีโทสะอยู่ในตอนนี้ ดวงตาพวกมันกลายเป็นสีแดงก่ำ และพวกมันก็ใช้พลังทั้งหมดที่สามารถรวบรวมได้พุ่งออกไปด้วยความเร็วสูงสุดเพื่อไล่ติดตามเมิ่งฮ่าวไป
ต้องล้างแค้นให้ได้! แต่อย่างไรก็ตาม พวกมันมองไม่เห็นเมิ่งฮ่าวอีกต่อไป ด้วยความกลัวว่าเขาจะหลบหนีไปได้ ผู้ฝึกตนนับร้อยก็ใช้วิธีการต่างๆ เพื่อเรียกหาสหายของพวกมัน
บางคนก็บอกให้ผู้คนไปอยู่ด้านหน้าเพื่อปิดกั้นเมิ่งฮ่าว บางคนก็ติดต่อกับผู้คนจากกลุ่มอันแข็งแกร่งที่ด้านหน้า ขอให้พวกมันมาช่วยเหลือโดยตรง หรือขอยืมแผ่นหยก หรือหินลมปราณ
แน่นอนว่า ไม่มีใครในพวกมันที่ตระหนักว่าจริงๆ แล้ว เมิ่งฮ่าวไม่ได้เป็นคนหลอกลวงพวกมัน แต่เป็นเจ้านกแก้ว อย่างไรก็ตามนี่ไม่ใช่เรื่องสำคัญ เมื่อพวกมันคิดว่าเมิ่งฮ่าวและนกแก้ว ได้ทำเรื่องราวเช่นนี้มาหลายครั้งแล้วในอดีตที่ผ่านมา
เมื่อคิดว่ามีผู้คนมากมายเท่าใดที่เมิ่งฮ่าวได้หลอกลวง ตลอดเวลาที่เขาอยู่ในโลกแห่งการฝึกตนนี้ ก็อาจจะกล่าวได้ว่า เขาได้หลอกลวงผู้คนมาตลอดทาง…
ยกตัวอย่างเล็กๆ เช่น มีกลุ่มของวิญญาณไร้ร่างในสำนักชิงหลัว ซึ่งเมิ่งฮ่าวสามารถทำให้พวกมันเกิดความลำบากได้ทันทีที่เขาต้องการ…
ขณะที่เมิ่งฮ่าวพุ่งผ่านอากาศเป็นเสียงแหลมเล็ก ผีโต้งก็นอนซมไปอย่างเกียจคร้านบนศีรษะของเขา ดูท่าทางค่อนข้างหยิ่งผยอง
“นี่เป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง…” มันไออกมาเป็นอาวุธเวทสิบกว่าชิ้น
“นี่มันผิดศีลธรรม…” มันจามออกมาเป็นหินลมปราณจำนวนมากมาย
“นี่มันชั่วร้ายเป็นอย่างยิ่ง…” เพียงชั่วพริบตา มันก็พ่นขวดน้ำยา และแผ่นหยกนับร้อยออกมา
“เจ้าทั้งสองกำลังเปลี่ยนข้าให้กลายเป็นคนชั่ว…” ด้วยเสียงถอนหายใจ ผีโต้งกระแอมไอสิ่งของออกมาอีก
เมิ่งฮ่าวยัดเอาของทั้งหมดจากผู้ฝึกตนนับร้อยนั้นเข้าไปในถุงจักรวาล มีแต่ถุงนี้เท่านั้นที่จะใหญ่เพียงพอในการบรรจุสิ่งของมากมายเช่นนั้นได้
เมื่อได้เห็นสิ่งของมากมายเช่นนี้ ก็ทำให้ปากคอเมิ่งฮ่าวแห้งผาก เมื่อได้เห็นหินลมปราณมากกว่าหนึ่งล้านก้อนก็ทำให้ดวงตาเขาลุกวาว จากนั้นก็เป็นแผ่นหยก ซึ่งแน่นอนว่าประกอบไปด้วยข้อมูลมากมาย สำหรับอาวุธเวท ไม่มีอะไรที่ดึงดูดความสนใจของเขา แต่ถ้านำไปขาย เขาก็จะมีหินลมปราณเพิ่มขึ้นอีกมากโข
จากนั้นก็เป็นสิ่งของจิปาถะอื่นๆ หนึ่งในนั้นที่สะดุดตาเมิ่งฮ่าวก็คือสมุด ซึ่งถักทอมาจากบางสิ่งที่ดูคล้ายทองคำ มีอยู่เพียงแค่สามหน้า และเป็นรูปภาพประกอบทั้งสามหน้า
ภาพแรกเป็นรูปกระบี่สิบเล่มจัดวางเรียงกัน ปลายกระบี่ชี้ออกไปด้านนอกก่อตัวเป็นบางสิ่งที่ดูคล้ายกับดอกบัว
ภาพที่สองเป็นรูปกระบี่หนึ่งร้อยเล่ม ก่อตัวเข้าด้วยกันเป็นดอกบัวสิบดอก ซึ่งจัดเรียงกันเป็นรูปวงกลมขนาดใหญ่
ภาพที่สามเป็นรูปกระบี่หนึ่งพันเล่ม จัดเรียงกันเป็นดอกบัวหนึ่งร้อยดอก สร้างเป็นค่ายกลขนาดใหญ่ พวกมันเรียงตัวกันเป็นรูปวงกลมซ้อนกันสิบชั้น ซึ่งดูเหมือนจะหมุนวนกันไปในทิศทางที่แตกต่างกัน ภาพที่เห็นนี้ดูน่าประหลาดใจเป็นอย่างยิ่ง
“ค่ายกลกระบี่?” เมิ่งฮ่าวคิด เขามองมันอยู่สักพัก จากนั้นก็เก็บเอาไว้ เหินบินต่อไปด้วยจิตใจเต้นรัว ครั้งนี้เขาร่ำรวยขึ้นอย่างแท้จริง จากการขโมยความมั่งคั่งมาจากผู้ฝึกตนนับร้อย
“แย่ยิ่งนัก…” เขากำลังกระซิบคำนี้อยู่ในจิตใจ เมื่อนกแก้วที่ด้านข้างมองมา และพูดในสิ่งที่เขากำลังคิดเป็นเสียงดังออกมา
“แย่ยิ่งนักที่มีผู้คนไม่ค่อยมากเท่าไหร่” นกแก้วกล่าว “ถ้ามีมากกว่านี้ ก็คงได้กำไรอย่างแท้จริง”
“อย่าแม้แต่จะคิดที่จะให้ข้าทำเรื่องเช่นนี้อีกครั้ง!” ผีโต้งร้องไห้ฟูมฟาย พร้อมกับเสียงปะทุ มันกลายเป็นระฆังเล็กๆ อีกครั้ง และผูกตัวเองติดอยู่กับขาของนกแก้ว
เมิ่งฮ่าวมองไปยังนกแก้ว และนกแก้วก็มองกลับมาที่เขา หนึ่งคน, หนึ่งนก ทันทีที่มองเห็นแสงในดวงตาของกันและกัน ก็ทำให้คนทั้งสองรู้สึกถึงมิตรภาพซึ่งกันและกัน
“นับจากนี้ไป, เจ้าเป็นเจ้านายของอู่เหยีย!” นกแก้วกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงใจ
“ในวันข้างหน้า ข้าจะหาสิ่งที่มีขนสวยงามให้กับเจ้า”
หลังจากที่แลกเปลี่ยนคำพูดกัน หนึ่งคนหนึ่งนกก็มองลงไปยังระฆังผีโต้ง, ผีโต้งตัวสั่นลืมตาขึ้นมา ราวกับว่ามันเพิ่งจะรู้สึกถึงความเย็นเยียบบางอย่าง หลังจากลืมตาขึ้นมา มันก็เห็นเมิ่งฮ่าวจ้องมองขึ้นไปในท้องฟ้า และนกแก้วกำลังมองลงไปยังพื้นดินด้านล่าง
“เจ้าทั้งสองเป็นผู้ชั่วร้าย…” ผีโต้งกล่าวเสียงดัง
“อืม, วันนี้อากาศดีจัง” เมิ่งฮ่าวกล่าว มองขึ้นไปยังก้อนเมฆสีขาวด้วยความตกตะลึง ราวกับว่าเขาไม่เคยเห็นมันมาก่อน
“อี๋!” นกแก้วกล่าว มองลงไปบนพื้นดินด้วยความปลาบปลื้มใจ “ดอกไม้ที่ด้านล่างนั่นช่างสวยงามนัก! พวกมันดูเหมือนจะถูกปกคลุมเต็มไปด้วยขน!”
ในที่สุด สามวันก็ผ่านไป เมิ่งฮ่าวมุ่งหน้าไปด้วยความเร็วสูงสุดตลอดเวลา ด้านหลังเขา ผู้ฝึกตนนับร้อยไล่ตามมา ห่างไกลออกไปขึ้นกับระดับพื้นฐานฝึกตนของพวกมัน
ดวงตาพวกมันเต็มไปด้วยรังสีสังหาร ความเกลียดชังที่มีต่อเขา ถึงจะไม่บรรลุถึงจุดที่ไม่ยอมอยู่ร่วมฟ้าเดียวกัน แต่ก็ใกล้เคียง
ผู้ฝึกตนดินแดนสีดำคุ้นเคยกับการมีชีวิตอยู่ท่ามกลางอันตรายอยู่เสมอ และด้วยเช่นนั้น ก็มักจะเก็บสิ่งของของพวกมันไว้ในถุงสมบัติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีที่…ไปร่วมงานประมูล
สามารถกล่าวได้ว่า เป็นช่วงที่ถุงสมบัติของพวกมันกำลังเต็มเปี่ยมในตอนที่พบกับเมิ่งฮ่าว ด้วยเช่นนั้น ความเกลียดชังที่มีต่อเขาก็รุนแรงมากมายอย่างน่าเหลือเชื่อ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับสามสำนักใหญ่ ปรมาจารย์ผมแดงเป็นผู้ที่คลุ้มคลั่งมากที่สุดในพวกมันทั้งหมด มันกลายเป็นผู้นำของคนกลุ่มนี้ หลังจากมันก็เป็นปรมาจารย์หน้าฝีดาษ ดวงตาพวกมันเต็มไปด้วยรังสีสังหารอันดุร้าย ขณะที่จ้องตรงไปยังเมิ่งฮ่าว พวกมันแทบไม่อาจทนรอที่จะฉีกกระชากเขาออกเป็นชิ้นๆ และกินเขาลงไปทั้งที่ยังมีชีวิตอยู่
“เจ้าบัดซบน้อย, ข้าจะไล่ล่าเจ้าจนสุดขอบโลก เจ้าต้องตาย!” ปรมาจารย์ผมสีแดงแผดร้องออกมา กัดฟันแน่นขณะที่คิดไปถึงหินลมปราณของมัน หัวใจมีโลหิตหยดหยาดลงมา