“ไข่มุกสวรรค์สามใบ, รากลมฝุ่นเก้าก้าน, หยดน้ำกระแสวิญญาณเก่าเก็บหกสิบปี…” เมิ่งฮ่าวค่อยๆ แจกแจงรายการต้นสมุนไพรที่แตกต่างกันเกือบร้อยชนิดออกมาอย่างช้าๆ โจวเต๋อคุนที่อยู่ด้านข้างเขาก็รีบหยิบออกมาจากถุงสมบัติ และยื่นส่งให้เขาในทันที
ก้อนผลึกไฟปฐพีระเบิดเปลวเพลิงออกมา และกระถางปรุงยาที่ลอยอยู่ด้านบนก็เปลี่ยนเป็นสีแดงจ้าขึ้นในทันใด กลิ่นหอมของตัวยาอันเข้มข้นลอยออกมาจากกระถางหมื่นปราณีต เมิ่งฮ่าวใส่ต้นสมุนไพรเข้าไปด้วยสัดส่วนที่เหมาะสม เขาใส่เข้าไปด้วยความระมัดระวัง เพื่อให้มั่นใจว่าไม่มีการสูญเสียสิ่งใดๆ จากนั้นเขาก็กรีดนิ้วตัวเองจนเกิดเป็นบาดแผล และหยดโลหิตของเขาลงไปในกระถางปรุงยา
เขาทำการควบคุมขั้นตอนการปรุงยาอย่างดีที่สุด ซึ่งต้องใช้เวลาถึงสามวันกว่าจะปรุงสำเร็จ
หลังจากสามวันผ่านไป เม็ดยาสีแดงเจิดจ้าก็โผล่ขึ้นมา โดยไม่ลังเล เมิ่งฮ่าวหยิบมันใส่เข้าไปในปากของบุรุษเยาว์วัยผู้นั้น
ทันทีที่เม็ดยาเข้าไปในปาก ร่างของมันก็เริ่มกระตุก มันไม่ได้แผดร้อง แต่ขณะที่ร่างของมันสั่นสะท้าน ความงุนงงเต็มอยู่ในดวงตา เริ่มพยายามดิ้นรนตะเกียกตะกายมากขึ้น เวลผ่านไปชั่วธูปไหม้หมดหนึ่งดอก ในที่สุด มันก็สั่นเทิ้มไปทั้งร่าง จากนั้นก็สงบลงในทันที
มันก้มหน้าลงและไม่ขยับตัว หายใจเข้าออกสิบครั้งผ่านไป หลังจากที่ลมปราณเริ่มกระจายไปทั่วร่างกาย ในที่สุด มันก็เงยหน้าขึ้นมา ความงุนงงสับสนไม่ได้มีอยู่ในดวงตาอีกต่อไป มีแต่ความเศร้าหมองมาแทนที่
“ขอบคุณมาก ต้าชือ” บุรุษวัยเยาว์กล่าวขึ้นช้าๆ ถึงแม้มันจะกล่าวว่าขอบคุณ แต่ก็มีน้ำเสียงที่หยิ่งยโสอย่างน่าเหลือเชื่อ ราวกับว่าการพูดจาเช่นนั้นก็เหมือนกับการให้ทานวนิพก มันลุกขึ้นยืน ไม่สนใจเมิ่งฮ่าว จากนั้นก็หันหลังและค่อยๆ เดินออกไปจากที่พักอย่างช้าๆ
โจวเต๋อคุนขมวดคิ้วด้วยความไม่พอใจ
สีหน้าเมิ่งฮ่าวสงบนิ่งเหมือนเช่นเคย แต่ภายในใจ เขาหัวเราะด้วยความเย็นชาออกมา ดูเหมือนความสมดุลย์ระหว่างร่างกายของบุรุษเยาว์วัย และวิญญาณไร้ร่างที่ด้านในของมันได้ฟื้นฟูกลับมาแล้ว เนื่องจากหยดโลหิตของเมิ่งฮ่าว ตอนนี้เขามีพลังขั้นสูงสุด ถ้าจำเป็นเขาก็สามารถทำลายวิญญาณไร้ร่างได้โดยตรง
แค่โลหิตเพียงหยดเดียวของผู้ผนึกอสูร ก็สามารถกำจัดวิญญาณไร้ร่างได้อย่างง่ายดาย!
ปรมาจารย์จื่อหลัว, สตรีผู้สวยงาม และชายชราหน้าแดงก่ำ กำลังรอคอยบุรุษวัยเยาว์อยู่ที่เชิงเขาของยอดเขาต้อนรับเขียวขจี เมื่อมองเห็นมันใกล้เข้ามา พวกมันก็เริ่มสูดลมหายใจเข้าไปอย่างหนักหน่วง พวกมันรีบประสานมือและโค้งตัวลงคารวะ
“ยินดีด้วยสำหรับการฟื้นกลับมา, ท่านปรมาจารย์รอง!”
แน่นอนว่า พวกมันไม่ปล่อยให้ใครมองเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นนี้ พวกมันได้ปิดผนึกพื้นที่บริเวณรอบๆ นี้มานานแล้ว
บุรุษวัยเยาว์ชำเลืองมองมายังผู้ฝึกตนวิญญาณแรกก่อตั้งทั้งสาม “เจ้าซากศพที่ตกลงมาจากท้องฟ้าเป็นตัวสร้างปัญหาอย่างยิ่ง จริงๆ แล้ว นายท่านของพวกเราต้องหลับลึกอีกครั้งหนึ่งสืบเนื่องจากมัน ถึงพวกเราจะกลับมายังโลกมนุษย์อีกครั้ง แต่ก็ยังคงไม่อาจทำภารกิจให้สำเร็จลุล่วงได้ตามคำสั่งของนายท่าน…พวกเจ้าทั้งสามทำได้ดีมากที่ใช้บุคคลเช่นนั้น นอกจากนี้ มันยังสามารถช่วยให้ข้าฟื้นคืนได้ง่ายขึ้น ตอนนี้ พวกเรายังคงมีโอกาสอยู่”
“จัดเตรียมวิญญาณของปรมาจารย์คนอื่นๆ ให้ฟื้นคืนชีพกลับมา สำหรับบุคคลที่เป็น…เฟิ่งจู่ต้าเหริน (พญาหงส์ผู้ยิ่งใหญ่), ต้องไม่มีความผิดพลาดใดๆ เกิดขึ้นกับนาง ถ้าคนอื่นๆ ไม่มีปัญหา ก็ส่งนางไปด้วย” เมื่อพูดจบ ร่างของบุรุษวัยเยาว์ก็เปล่งประกาย กลายเป็นกลุ่มควันสีดำ จากนั้นก็หายตัว ละลายกลับเข้าไปในพื้นดิน
ปรมาจารย์จื่อหลัว และคนอื่นๆ โค้งตัวคารวะ ขณะที่มันจากไป จากนั้นพวกมันก็ยืนมองสบตากันด้วยความขมขื่น และจากไป จัดเตรียมส่งบุคคลอีกสิบสองคนไปให้เมิ่งฮ่าว ทีละคน
เวลาผ่านไปอย่างช้าๆ เมิ่งฮ่าวทำการรักษาคนอื่นๆ หลังจากผู้ที่ถูกเรียกว่าปรมาจารย์รองต่อไป ในตอนนี้ ยอดเขาต้อนรับเขียวขจี กลายเป็นสถานที่สำคัญในสำนักชิงหลัวไปแล้ว
ไม่ว่าเมิ่งฮ่าวจะร้องขออันใด ก็จะได้รับการตอบสนองในทันที แน่นอนว่า เขาจะไม่ยอมใช้โอกาสเช่นนี้ได้อย่างไร? สิ่งที่เขาต้องทำก็คือ พูดชื่อต้นสมุนไพรออกมา และมันก็จะถูกส่งมาให้เขาในทันใด ส่วนผสมหลายอย่างที่เขาจำเป็นต้องใช้ สำหรับการปรุงเม็ดยาสำหรับสร้างแกนลมปราณสีทอง ก็เริ่มเต็มอยู่ในถุงสมบัติของเขา เมื่อได้เห็นสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นนี้ โจวเต๋อคุนก็เริ่มรู้สึกอิจฉาขึ้นเล็กน้อย และก็เริ่มร้องขอต้นสมุนไพรบางอย่างด้วยเช่นกัน
ขณะที่พวกเขาปรุงเม็ดยา, คนทั้งสองก็ค่อยๆ เก็บเกี่ยวผลตอบแทนไปด้วย
ด้วยวิธีการเช่นนี้ เมิ่งฮ่าวก็ยังสามารถรวบรวมโลหิตสามชั่วคนได้บางส่วน โลหิตพวกนี้ไม่เกี่ยวกับการปรุงยาในครั้งนี้ แต่เอาไปใช้สำหรับสร้างเป็นร่างจำแลงโลหิต ซึ่งเขาไม่ยอมพลาดโอกาสที่จะทำเช่นนั้น
ถ้าไม่ได้โลหิตที่มาจากบรรพบุรุษ เมิ่งฮ่าวก็ไม่กดดันมากเกี่ยวกับเรื่องนี้ เขาก็เพียงแต่ยืดเวลาในการปรุงเม็ดยาออกไป
ในที่สุดของวันหนึ่ง โจวเจี๋ยที่มีสีหน้าซีดขาวก็เดินเข้ามา นี่เป็นครั้งแรกที่เมิ่งฮ่าวเห็นมัน ตั้งแต่เหตุการณ์ที่เขามาถึงสำนักชิงหลัวในตอนแรกๆ โจวเจี๋ยนั่งลงขัดสมาธิ เมิ่งฮ่าวเงียบไปสักพัก จากนั้นก็เริ่มปรุงเม็ดยา
หลังจากที่โจวเจี๋ยจากไป หานเป้ยก็เดินเข้ามาด้วยสีหน้าระมัดระวัง เมื่อนางนั่งลงตรงหน้าเขา เมิ่งฮ่าวมองไปที่นาง และจากนั้นก็หัวเราะเบาๆ
“ฟางต้าชือ…” นางกล่าวพร้อมรอยยิ้ม ทันใดนั้น นางรู้สึกกังวลใจเป็นอย่างยิ่ง เสียงของปรมาจารย์ตระกูลหาน ทันใดนั้น ก็ดังขึ้นมาในจิตใจ
“ระวังบุคคลผู้นี้ให้ดี! มันเป็นคนที่ลึกลับ และดูเหมือนจะรับรู้ถึงการคงอยู่ของข้า!!” นี่ไม่ใช่เป็นครั้งแรกที่นางได้ยินเสียงจากบรรพบุรุษของนางเช่นนี้ เหตุผลที่นางรู้สึกกังวลในวันแรก ที่นางได้พบกับฟางมู่ ที่ด้านนอกสำนักชิงหลัว ก็เนื่องมาจากเสียงของปรมาจารย์ตระกูลหานนี่เอง
สีหน้าเมิ่งฮ่าวสงบนิ่งเหมือนเช่นเคย เขายิ้ม จากนั้นก็เริ่มปรุงยา เมื่อเม็ดยาลอยออกมา เมิ่งฮ่าวก็มองไปยังหานเป้ย สีหน้าของนางก็เป็นปกติเช่นเดียวกัน แต่จิตใจของนางกำลังสั่นสะท้าน ด้านในจิตใจ นางได้ยินเสียงสั่นเครือของปรมาจารย์ตระกูลหานดังออกมา
“ยาเม็ดนี้…เจ้าต้องไม่กลืนมันลงไป!! บุคคลผู้นี้…มัน…”
“ฟางต้าชือ” นางกล่าวเสียงแผ่วเบา ลุกขึ้นยืนอย่างใจเย็น “ข้าจะนำยานี้ไป และจะกลืนมันในภายหลัง”
เมิ่งฮ่าวหันหน้าไปหาโจวเต๋อคุน ประสานมือ และกล่าวว่า “ศิษย์พี่โจว, ข้ามีเรื่องส่วนตัวเล็กน้อย ที่ต้องคุยกันตามลำพังกับสหายเต๋าหาน”
โจวเต๋อคุนหัวเราะ มันรู้สึกได้ว่ามีบางสิ่งผิดปกติมานานแล้ว แต่การรวบรวมต้นสมุนไพรได้มากมายในวันที่ผ่านๆ มา ทำให้มันไม่ใส่ใจเรื่องราวเหล่านี้ และมันก็ออกจากที่พักไปในทันที
เมื่อเห็นโจวเต๋อคุนจากไป จิตใจหานเป้ยก็เต้นระทึก “ฟางต้าชือ…” นางกล่าว รักษาสีหน้าให้น่าดูราวกับบุปผาเหมือนตามปกติ นางกำลังจะกล่าวต่อไป แต่เมิ่งฮ่าวก็พูดแทรกขึ้นมา
“ถ้าท่านไม่ต้องการกลืนยาเม็ดนี้ ก็ดี แต่ท่านจะติดค้างบุญคุณข้า และต้องชดใช้ให้ข้าในอนาคต” เขามองไปที่หานเป้ยด้วยแววตาที่ลึกซึ้ง จนดูเหมือนจะเจาะลึกเข้าไปในจิตใจของนางได้
หานเป้ยมองเขากลับไป และกัดฟันแน่น นางเป็นผู้ที่เต็มไปด้วยเล่ห์เหลี่ยม แต่ในตอนนี้ ก็ไม่สามารถคิดแผนการใดๆ ออกมาได้ ความสับสนปรากฎขึ้นในดวงตาของนาง
“ฟางต้าชือ” นางกล่าว “ข้าไม่ค่อยเข้าใจนักถึงสิ่งที่ท่านพูด แต่ข้าคิดว่า ข้าเห็นด้วยสำหรับบุญคุณครั้งนี้”
“ข้าไม่ต้องการให้ท่านเป็นหนี้บุญคุณ” เมิ่งฮ่าวตอบเสียงราบเรียบ “แต่ต้องการวิญญาณดวงที่สามซึ่งอยู่ภายในร่างของท่าน!”
คำพูดนี้ผ่านเข้าไปในหูของหานเป้ยราวกับเสียงฟ้าฟาด สีหน้าของนางเปลี่ยนไปในทันที
นางกำลังจะกล่าวบางอย่างออกมา แต่ทันใดนั้น ปราณสีฟ้าก็โผล่ออกมาจากด้านบนศีรษะของนาง รวมตัวกันที่ด้านบนเป็นรูปร่างของบุรุษ มันจ้องนิ่งมายังเมิ่งฮ่าวสักพัก ก่อนที่จะพยักหน้าให้ในที่สุด
“ตระกูลหานเป็นหนี้บุญคุณของท่านแล้ว” มันกล่าวด้วยเสียงโบราณคร่ำครึ
เมิ่งฮ่าวประสานมือ และโค้งตัวลง เงาร่างนั้นจางหายไป และหานเป้ยก็จ้องมายังเมิ่งฮ่าว ด้วยสีหน้าตกตะลึง และหวาดกลัว หลังจากเวลานานผ่านไป นางก็หันหลัง และจากไปอย่างรวดเร็ว ก่อนจะออกจากอาคารที่พัก นางก็สงบสติอารมณ์ จากนั้นก็เปลี่ยนแววตาให้เย็นชาและเศร้าหมอง เมื่อคนภายนอกมองมา ก็ไม่พบเห็นสิ่งผิดปกติใดๆ เกี่ยวกับตัวนาง ในไม่ช้า นางก็หายลับไปในที่ห่างไกล
การปรุงยาดำเนินการติดต่อกันเป็นเวลาหนึ่งเดือนผ่านไป จนกระทั่งในที่สุด สำนักชิงหลัวก็ส่งคนสุดท้ายมาให้เมิ่งฮ่าว ไม่ใช่ใครอื่นนอกจาก…ฉื่อชิง
จากประสบการณ์ทั้งหมดของเมิ่งฮ่าว ความจริงที่นางถูกส่งมาเป็นคนสุดท้ายได้บอกเขาว่า วิญญาณที่อยู่ในร่างของนางต้องเป็นบุคคลที่สำคัญต่อสำนักชิงหลัว, เป็นคนที่มีความสำคัญอย่างสูงสุด
เหมือนเช่นที่เมิ่งฮ่าวคาดคิดไว้ ทันทีที่นางมาถึง สิ่งต่างๆ ที่อยู่รอบๆ ยอดเขาต้อนรับเขียวขจีก็เปลี่ยนไปในทันใด เกราะป้องกันที่ปกป้องภูเขาลูกนี้ก็มีความแข็งแกร่งเพิ่มมากขึ้น และวิญญาณไร้ร่างนับไม่ถ้วนก็หมุนวนเป็นวงกลมลอยอยู่ในอากาศ พวกมันทั้งหมดดูเหมือนกำลังมองลงมายังยอดเขาต้อนรับเขียวขจี
เมื่อได้เห็นสิ่งทั้งหมดนี้ จิตใจเมิ่งฮ่าวก็หนักอึ้งขึ้นเล็กน้อย แต่ความรู้สึกนี้ก็ไม่ได้แสดงออกทางสีหน้า เขามองฉื่อชิงค่อยๆ เดินเข้ามาในที่พัก และนั่งลงขัดสมาธิที่เบื่องหน้าเขา นางดูท่าทางสงบนิ่ง และความสับสนในดวงตาก็ลดน้อยลง
เมิ่งฮ่าวมองนาง จ้องไปที่รอยแผลบนหน้าผากของนาง จากนั้นก็กางเกราะป้องกันของเจ้าแห่งเตาขึ้น สีหน้าเขาราบเรียบเป็นปกติ แต่ขณะที่เขาปรุงเม็ดยา ที่ใส่ลงไป ไม่ใช่หยดโลหิตปกติ แต่เป็นหยดโลหิตจากพื้นฐานฝึกตนของเขา!
โลหิตนี้ประกอบไปด้วยแก่นแท้ของพลังชีวิต รวมถึงตัวตนที่เป็นผู้ผนึกอสูรรุ่นที่เก้า และเจตจำนงอันแน่วแน่ของเขา
หยดโลหิตผสมเข้าไปในตัวยา และผสานกับสมุนไพรต่างๆ ยิ่งไปกว่านั้น เมิ่งฮ่าวยังใช้ฝุ่นผงของผีโต้งบางส่วน เพื่อให้มั่นใจว่าไม่มีร่องรอยให้ตรวจพบได้ เมื่อปรุงเม็ดยาได้สำเร็จ เขาก็ถือเม็ดยาส่งให้ฉื่อชิง นางใช้มือที่ละเอียดอ่อนของนางหยิบขึ้นมา แต่ก็ไม่กลืนมันลงไป
“นี่คือเม็ดยาซึ่งช่วยทุกคนให้ฟื้นคืนกลับมา?” นางกล่าวด้วยเสียงเย็นชา ขณะที่มองมายังเมิ่งฮ่าว โดยไม่รอคำตอบจากเขา นางลุกขึ้นยืน และเดินออกไปจากอาคารที่พักอย่างช้าๆ
เมิ่งฮ่าวมองนางจากไป จากนั้นก็นั่งลงครุ่นคิดอย่างเงียบๆ เขามั่นใจว่า ถึงแม้นางจะไม่กลืนยาเม็ดนั้นลงไปในตอนนี้ แต่นางคงจะกลืนลงไปในไม่ช้าอย่างแน่นอน
นี่เป็นเพราะ ถึงแม้นางจะดูเหมือนว่าอยู่ในขั้นตอนการฟื้นคืนด้วยตัวเอง แต่จริงๆ แล้วก็เป็นเพียงเปลือกนอก ปัญหาของวิญญาณในร่างกายของนางมากเกินกว่าที่คนอื่นๆ จะมองเห็นได้ อย่างน้อยก็สองหรือสามเท่า อันที่จริง สถานการณ์ของนางในตอนนี้ก็หนักหนาสาหัสกว่าที่เขาเคยเห็นมาก่อนมากมายนัก จากความจริงที่ว่า บาดแผลบนหน้าผากของนางเลวร้ายกว่าที่เขาเคยเห็นในครั้งแรก
วันต่อมาในตอนเย็น ภายในภูเขาที่เจ็ดของสำนักชิงหลัว ฉื่อชิงนั่งขัดสมาธิอยู่ภายในถ้ำแห่งเซียนของนาง ใบหน้าซีดขาว และดวงตาก็เต็มไปด้วยความสับสนและความดิ้นรนตระเกียกตระกาย ร่างกายสั่นสะท้าน
นางเป็นเช่นนี้อยู่เกือบชั่วยาม ก่อนที่จะ ในที่สุดก็ยกมือขึ้นมาจากถุงสมบัติ ด้านในเป็นเม็ดยาที่ปรุงขึ้นโดยเมิ่งฮ่าว ขั้นตอนการยกมือขึ้นเอาเม็ดยาใส่เข้าไปในปาก ใช้เวลาหายใจเข้าออกเกือบสิบครั้ง
ถ้าเมิ่งฮ่าวอยู่ที่นี่ด้วย เขาก็จะมองเห็นวิญญาณไร้ร่างมากมาย ลอยวนไปรอบๆ ตัวนาง พวกมันทั้งหมดจ้องไปยังฉื่อชิงด้วยท่าทางกังวล ขณะที่ลอยวนไปมา
อันที่จริง ด้านนอก ศิษย์สำนักชิงหลัวทั้งหมด ผู้ซึ่งเมิ่งฮ่าวได้ช่วยไว้ รวมทั้งโจวเจี๋ยและหานเป้ย นั่งคุกเข่าอยู่หน้าถ้ำแห่งเซียน โค้งตัวคารวะด้วยความเคารพ ดูราวกับว่า พวกมันกำลังรอคอยการเรียกตัวให้เข้าไป
ฉื่อชิงยังคงถือเม็ดยาอยู่ในมือ หลังจากเวลานานผ่านไป ความเย็นชาอันน่ากลัวในดวงตาของนาง แทนที่ความสับสนและการดิ้นรนต่อต้าน วิญญาณภายในร่างกายนางถอนหายใจ วิญญาณนั้นรู้ว่าเนื่องจากการบาดเจ็บของวิญญาณเดิม จึงไม่อาจจะฟื้นคืนความสมดุลย์ในร่างกายของนางได้ นางกำลังจะจางหายไป และวิญญาณดวงเดิมของร่างกายนี้ก็จะหายไปด้วยเช่นกัน พลังชีวิตของร่างนี้กำลังจะหายไป และรอยแผลที่หน้าผากก็เลวร้ายลงมากยิ่งขึ้น วิญญาณนั้นรู้ว่าถ้าปล่อยให้เป็นเช่นนี้ต่อไป ร่างกายนี้ก็จะเริ่มแตกดับลง
เดิมที นางไม่เคยเชื่อว่า การกลืนเม็ดยาที่ถูกสร้างขึ้นมาในโลกแห่งนี้ จะช่วยให้ฟื้นคืนกลับมาได้ แต่เมื่อเห็นการกลับคืนมาของวิญญาณไร้ร่างอื่นๆ ทั้งหมด ก็ทำให้นางต้องถามถึงมุมมองของตัวเอง หลังจากที่ศึกษาเม็ดยามาพอสมควร นางก็ไม่อาจจะรู้ถึงความลับของยาเม็ดนี้ได้ ดังนั้น นางจึงไม่มีทางเลือกนอกจากต้องกลืนมันลงไป นางหย่อนเม็ดยาลงไปในปาก