หลังจากเวลาผ่านไปไม่นาน เงาร่างของเมิ่งฮ่าวก็ค่อยๆ กลายเป็นกลุ่มควันจางหายไป
ภายในถ้ำแห่งเซียน เขาลืมตาขึ้นมาช้าๆ ดวงตาเต็มไปด้วยความงุนงง รวมถึงรู้สึกหวาดกลัวอยู่เล็กน้อย
ลมหายใจหนักหน่วงขึ้น ทุกสิ่งที่ชายชราได้กล่าวไว้, ทุกคำพูด, ทุกประโยค ยังคงดังก้องอยู่ในจิตใจเมิ่งฮ่าวราวกับเสียงฟ้าฟาด
ความทรงจำต่างๆ เริ่มแวบผ่านจิตใจ และดวงตาก็เริ่มเจิดจ้าขึ้น
“ขุนเขาที่เก้าอันไร้ขอบเขต…โฉ่วเหมินไถบอกว่ามาจากดาวหู่เหลาแห่งขุนเขาที่เจ็ด และได้เข้าร่วมกับสิ่งที่มันเรียกว่าสงครามอันยิ่งใหญ่ของขุนเขาที่เก้า…นี่ต้องเป็นสงครามอันยิ่งใหญ่ระหว่างดวงดาว ซึ่งชายชราผู้นั้นได้พูดถึง!”
“ข้ายังจำได้ว่าผู้ผนึกอสูรรุ่นที่แปดได้บอกว่า มันมาพบมรดกของผู้ผนึกอสูรรุ่นที่เจ็ดในขุนเขาที่หก ซึ่งทำให้มันได้เข้าร่วมเป็นพันธมิตรผู้ผนึกอสูร มันบอกว่ามันได้กลั่นสกัดน้ำทะเลครึ่งหนึ่งของขุนเขาที่หกให้กลายแผ่นหยกผนึกอสูรของมัน!”
เบาะแสต่างๆ มากมายที่เคยกระจัดกระจายอยู่ในจิตใจ ตอนนี้กำลังถูกรวบรวมเข้าด้วยกันโดยคำพูดของชายชรา ตอนนี้เขาเข้าใจภาพรวมได้แจ่มชัดมากขึ้น
“เก้าขุนเขาทะเลช่างมีขนาดกว้างใหญ่ไพศาลเกินกว่าโลกแห่งนี้อย่างน่าเหลือเชื่อนัก แต่ละขุนเขาก็มีดวงตะวันและจันทราของมันเอง…แต่ละขุนเขามีสี่ดวงดาว! จากสิ่งที่โฉ่วเหมินไถได้กล่าวไว้ ข้าอยู่บนหนึ่งในสี่ดวงดาวของขุนเขาที่เก้า, ดาวหนานเทียน! (สวรรค์ทิศใต้)” ทันใดนั้น โลกที่เมิ่งฮ่าวเคยรู้จักก็ถูกฉีกกระชากออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ทุกสิ่งทุกอย่างกว้างใหญ่ไพศาลมากเกินกว่าที่เขาจะจินตนาการได้ ตอนนี้ จิตใจเขาเต็มไปด้วยความรู้ของสวรรค์ที่ว่า…มีเพียงเหล่าเซียนเท่านั้นที่จะเข้าใจได้
“ตระกูลจี้ไม่เพียงแต่จะมีอำนาจอยู่บนดาวหนานเทียนแห่งนี้เท่านั้น แต่ยังมีอำนาจอยู่บนดาวสามดวงอื่นอีกด้วย นี่เป็นเพราะบรรพบุรุษของตระกูลจี้ได้ครอบครองแก่นแท้ของขุนเขาทะเลที่เก้า กลายเป็นผู้มีอำนาจเหนือคนทั้งหมด และสุดท้ายก็ได้เปลี่ยนแปลงสวรรค์ของขุนเขาที่เก้า! บรรพบุรุษตระกูลจี้ (季) ได้ปกคลุมแซ่หลี่ (李) ด้วยสวรรค์ (天)! มันช่างอาจหาญนัก!” เมิ่งฮ่าวสูดลมหายใจเข้าไปลึกๆ ทันใดนั้นก็รู้สึกถึงแรงกดดันที่อยู่บนร่าง เขาจะรู้ได้อย่างไรว่าตระกูลจี้จะมีอำนาจมากมายถึงเพียงนี้? ช่างเป็นเรื่องที่น่ากลัวอย่างเหลือล้น
ยิ่งไปกว่านั้น สิ่งที่เขาเผชิญอยู่ก็เป็นเพียงแค่สาขาย่อยของตระกูลจี้ ที่อยู่บนดาวหนานเทียนแห่งนี้
“เส้นใยกรรม…” เขาคิด “ต้องมีเส้นใยที่มองไม่เห็นได้ติดตัวข้ามา หลังจากที่ข้าสังหารจี้หงตง ด้วยเส้นใยที่ติดร่างอยู่เช่นนี้ ข้าคงไม่อาจจะหลบหนีไปที่ใดได้ในขุนเขาทะเลที่เก้านี้ อืม…ข้าอยากรู้นักว่าตระกูลฟางอยู่ในตำแหน่งอะไร?” เขาขมวดคิ้ว ไร้คำตอบต่อคำถามนี้
“แก่นแท้ของขุนเขาทะเลที่เก้า…ใช่เป็นปราณอสูรที่ข้าสามารถสัมผัสได้เมื่อใช้วิชาผนึกความเที่ยงธรรมหรือไม่? แก่นแท้ของขุนเขาที่เก้าเป็นอสูรปีศาจ?” เมิ่งฮ่าวขมวดคิ้ว เมื่อพิจารณาจากพื้นฐานฝึกตนและประสบการณ์ของเขา นี่เป็นสิ่งที่ยากจะทำความเข้าใจได้
“โฉ่วเหมินไถมาจากขุนเขาที่เจ็ด ผู้ผนึกอสูรรุ่นที่แปดมาจากขุนเขาที่หก มรดกของผู้ผนึกอสูรรุ่นที่เจ็ดอยู่ในขุนเขาที่หก…ข้าเป็นผู้ผนึกอสูรรุ่นที่เก้าจาก…สำนักเอกะเทวะ” จิตใจเมิ่งฮ่าวปั่นป่วนวุ่นวาย ราวกับว่ามีม้วนตำราอันลี้ลับและกว้างใหญ่ ค่อยๆ แผ่กระจายออกไปตรงเบื้องหน้า ยิ่งเขาปรารถนาจะมองเห็นมากเท่าใด ม้วนตำรานั้นก็ยิ่งแผ่กระจายออกไปมากขึ้นเท่านั้น
“และยังมีหญิงสาวจากสำนักกูตู๋เจี้ยน, ซานหลิง แผ่นหยกผนึกอสูรได้บอกว่า นางเป็นก้อนศิลาที่มาจากขุนเขาที่เก้า ซึ่งตกลงมายังดาวดวงนี้และกลายเป็นจิตวิญญาณ…” เมิ่งฮ่าวยกมือลูบจมูก รู้สึกราวกับว่าจิตใจกำลังโกลาหลวุ่นวายไปทั่ว
“ผู้ผนึกอสูรก่อนหน้านี้ทั้งแปดรุ่นเป็นบุคคลเช่นไรกันแน่? ด้วยการฝึกฝนวิชาเวทของพวกมัน ทำให้ข้าสัมผัสได้ถึงแก่นแท้ของขุนเขาทะเลที่เก้า จริงๆ แล้ว พวกมันมีพลังอำนาจมากมายเท่าใดกัน? และทำไมบรรพบุรุษตระกูลจี้ถึงไม่ยอมรับพันธมิตรผู้ผนึกอสูร…” เขาขมวดคิ้วอีกครั้ง เขาชอบครุ่นคิด แต่ไม่ว่าเขาจะขบคิดสิ่งที่รับรู้มาทั้งหมดมากเท่าใด ก็ยังไม่อาจจะรวบรวมชิ้นส่วนเหล่านั้นเข้าด้วยกัน ยังมีข้อมูลอีกมากที่ขาดหายไป
การใช้ข้อมูลเพียงเล็กน้อยมาพยายามทำความเข้าใจภาพรวมขนาดใหญ่ ก็จะยิ่งทำให้เกิดความสับสนมากขึ้น
“ผู้ผนึกอสูร, ผู้ผนึกอสูร…ถ้าปราณแก่นแท้ของขุนเขาทะเลที่เก้าเป็นปราณอสูร ถ้าเช่นนั้นพันธมิตรผู้ผนึกอสูรก็จะอยู่ในตำแหน่งที่เหนือกว่าขุนเขาทะเลที่เก้า? ถ้าเป็นกรณีนั้น ข้าก็…” จิตใจเขาเริ่มหนักอึ้งจากคำถามที่น่ากลัวนี้ แต่เขาก็รีบปัดเป่าความคิดนั้นทิ้งไปอย่างรวดเร็ว
“เป็นไปไม่ได้ ถ้านั่นเป็นเรื่องจริง แล้วทำไมผู้ผนึกอสูรทั้งแปดรุ่นก่อนหน้านี้ถึงได้ถูกกำจัดไป? และทำไมข้า, ผู้ผนึกอสูรรุ่นที่เก้าถึงต้องตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้? ผู้พิทักษ์เต๋าเพียงหนึ่งเดียวของข้าที่เป็นเต่าชราก็ได้หลบหนีไปนานแล้ว” เมิ่งฮ่าวหัวเราะอย่างขมขื่น ไม่ว่าเขาจะพยายามกำจัดความคิดนี้ออกไปอย่างไร ก็ไม่สามารถกำจัดออกไปได้ มันได้หยั่งรากฝังลึกลงไปในจิตใจของเขา
“ผู้ผนึกอสูรรุ่นที่แปดได้เผชิญหน้ากับทัณฑ์แห่งเต๋าในเก้าขุนเขาทะเล…มันไม่ได้พูดว่าขุนเขาที่เก้า, มันบอกว่าเก้าขุนเขา มันหมายถึงเก้าขุนเขาทะเลทั้งหมด…” เมิ่งฮ่าวครุ่นคิดอยู่สักพัก จากนั้นก็ตัดสินใจหยุดการวิเคราะห์เรื่องราวทั้งหมด ถอนหายใจออกมาเบาๆ เขารู้ว่าการคาดเดาไม่ใช่เรื่องดี เขาเป็นเพียงผู้ฝึกตนขั้นสร้างแกนลมปราณเท่านั้น
“ใครจะไปรู้ว่า ข้าอาจจะไม่มีทางออกไปจากดาวหนานเทียนนี้ มีทางเดียวที่จะทำได้ก็คือบรรลุขั้นเซียนอมตะ” เขาส่ายศีรษะเพื่อชะล้างจิตใจที่ยุ่งเหยิงวุ่นวาย
เซียนอมตะเป็นเพียงแนวคิดที่คลุมเครือสำหรับเขา สิ่งที่ต้องสนใจในตอนนี้ก็คือวิธีที่จะไปให้ถึงแกนสีทองสมบูรณ์
ในการฝึกฝนวิชาผนึกความเที่ยงธรรมอีกหลายเดือนต่อมา เมิ่งฮ่าวไม่เคยสัมผัสได้ถึงชายชราในเศษซากศิลานั้นอีกเลย แต่ก็มีความรู้สึกอยู่เสมอว่าเขากำลังถูกจับตาดูอยู่
ตลอดหลายเดือนมานี้ จำนวนผู้ฝึกตนที่มาเข้าร่วมอยู่รวมกันด้านนอกรอบๆ ถ้ำแห่งเซียนได้ทะลุหนึ่งร้อยคนไปแล้ว ตอนนี้คนกลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่ทรงพลังมากที่สุดในอาณาเขตแถบนี้ทั้งหมด
มากกว่าหนึ่งร้อยคนรอบๆ ภูเขาเตี้ย บึงยาได้กลายเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์แห่งที่สอง รองจากถ้ำแห่งเซียนของเมิ่งฮ่าว
ทุกวัน พวกมันทั้งหมดต้องท่องคำว่า เชื่อมั่นในอู่เหยียจะได้รับชีวิตอันเป็นนิรันดร์ เนื่องจากมีจำนวนมาก เมื่อพวกมันตะโกนแหกปากออกมาพร้อมกัน ก็มีเสียงดังราวกับสายฟ้าฟาด
จำนวนคนที่เพิ่มขึ้นนี้มีประโยชน์ต่อเมิ่งฮ่าว เมื่อไหร่ที่เขาต้องการสิ่งของบางอย่าง ผู้ฝึกตนกลุ่มใหญ่ก็จะปรากฎขึ้น เพียงคำเดียวก็สามารถจัดการเรื่องราวได้ทุกอย่าง นกแก้วและผีโต้งดูเหมือนจะสนใจเป็นอย่างมากกับการได้ออกคำสั่งผู้ฝึกตนทั้งหมด ดังนั้นเมิ่งฮ่าวจึงไม่ได้สนใจพวกมันมากนัก ปล่อยให้พวกมันอยู่กับกลุ่มคนเหล่านั้น
ในวันที่ไม่ธรรมดาวันหนึ่ง เมิ่งฮ่าวกำลังนั่งขัดสมาธิเข้าฌาณอยู่ ทันใดนั้นดวงตาก็เปิดขึ้นอย่างรวดเร็ว เขาสัมผัสได้ถึงเครื่องหมายเวทบนถุงสมบัติจี้หงตง ในที่สุดก็กระจายหายไปโดยสิ้นเชิง
“ข้าอยากรู้นักว่าจะมีอะไรอยู่ด้านในถุงสมบัติของสมาชิกตระกูลจี้…คงไม่มีอะไรมาก เมื่อพิจารณาว่าจี้หงตงเป็นเพียงแค่สมาชิกรุ่นเยาว์” ตอนนี้เขาเข้าใจมากขึ้นถึงพลังอันน่ากลัวของตระกูลจี้ ความมุ่งหวังของเขาก็มากขึ้นตามไปด้วย หยิบเอาถุงสมบัติออกมา และตรวจดูด้วยจิตสัมผัส
ใบหน้าเขาเปลี่ยนไป อ้าปากค้างในทันที
“สมกับที่มันเป็นคนของตระกูลจี้จริงๆ…” เขาพึมพำ “ครั้งนี้ข้ารวยแล้ว!” เขาคาดหวังมานานแล้วว่า สิ่งของในถุงสมบัตินี้คงไม่ทำให้เขาผิดหวัง แต่ถ้าไม่คำนึงถึงพลังอันยิ่งใหญ่และทรัพยากรของตระกูล, จี้หงตงก็เป็นเพียงสมาชิกรุ่นเยาว์เล็กๆ ผู้หนึ่ง ด้วยเช่นนั้น เมิ่งฮ่าวก็คาดว่าเขาคงไม่ผิดหวังมากนัก แต่ก็ไม่ได้คิดว่ามันจะมากมายด้วยเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนเขาจะประเมินสิ่งของ ของสมาชิกลำดับขั้นตระกูลจี้ต่ำมากเกินไป
“หินลมปราณระดับสูงเป็นพิเศษ…” แสงเจิดจ้าสาดประกายอยู่ในมือขวา ขณะที่หินลมปราณปรากฎขึ้น ข้างในของหินลมปราณเป็นสีขุ่นมัวไม่ได้โปร่งใส มันดูธรรมดาและเป็นสิ่งที่ผู้คนส่วนมากไม่เคยพบเห็น แต่เมิ่งฮ่าวก็คุ้นเคยกับมันดี
นี่เป็นหินลมปราณระดับสูงพิเศษเช่นเดียวกับที่เขาเคยใช้คัดลอกกระบี่ไม้ทั้งหมดในปีนั้น!
หินลมปราณเช่นนี้ช่างมีประโยชน์อย่างน่าเหลือเชื่อ เมิ่งฮ่าวขาดแคลนมันมานานแล้ว เมื่อเขาคิดย้อนกลับไปถึงการที่ใช้มันอย่างฟุ่มเฟือยในตอนนั้น จิตใจเขาก็รู้สึกเจ็บปวด อันที่จริง เมื่อเขารู้สึกว่ากระบี่ไม้นั้นมีพลังเพียงแค่ปานกลาง ก็ทำให้เขารู้สึกสูญเปล่าอย่างแท้จริง
เขายังรู้สึกเสียใจต่อสิ่งที่เขาไม่รู้ในครั้งนั้นอีกด้วย เมื่อได้ฝึกฝนวิถีเซียนจนกระทั่งถึงตอนนี้ เขาก็เข้าใจถึงคุณค่าของหินลมปราณระดับสูงพิเศษนี่อย่างแท้จริง หินลมปราณระดับสูงสามารถพบเห็นได้ในดินแดนด้านใต้ แต่ระดับสูงพิเศษเป็นสิ่งที่หาได้ยากเย็นยิ่ง
ขณะที่เขามองไปยังหินลมปราณในมือ จู่ๆ พลังก็พุ่งออกมาจากพื้นฐานฝึกตนของเขา หินลมปราณเริ่มส่องแสงเจิดจ้ามากขึ้น ในเวลาเดียวกันนั้นพลังลมปราณอันมากมายมหาศาลก็กระจายออกมา ปกคลุมไปทั่วทั้งถ้ำแห่งเซียน
มันแทรกซึมผ่านถ้ำ กระจายออกไปยังด้านนอกด้วยเช่นกัน ผู้ฝึกตนมากกว่าร้อยคนต่างก็ลืมตาจนกว้างด้วยความตกตะลึง ขณะที่พวกมันสัมผัสได้ถึงพลังลมปราณ
“หินลมปราณระดับสูงพิเศษห้าสิบก้อน!” เมิ่งฮ่าวคิด สะกดข่มความตื่นเต้นลง สำหรับเขา การมีหินลมปราณเช่นนี้อยู่ในครอบครองช่างเป็นเรื่องที่มีประโยชน์อย่างน่าเหลือเชื่อ สามารถใช้มันเป็นแกนกลางของอาวุธเวทหรือเวทอาคม
ยิ่งไปกว่านั้น เขายังสามารถใช้มันผลิตเม็ดยาแรกเสริมฟ้าได้อีกด้วย ซึ่งเป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับช่วยให้เขาฟื้นฟูอายุขัยกลับคืนมา จากนั้นเขาก็สามารถใช้หน้ากากเซียนโลหิตแผ่พุ่งพลังอันน่าตกใจของมันได้อีกครั้ง
เขาเริ่มเก็บหินลมปราณกลับเข้าไป “มีหินลมปราณแล้ว ยังมีอะไรอีก…โอ!?” ทันใดนั้น ร่างเขาก็เริ่มสั่นสะท้าน ลุกขึ้นมายืนด้วยสีหน้าไม่อยากจะเชื่อ
“นี่…นี่…” เขาเริ่มหอบหายใจ ความประหลาดใจถูกเขียนอยู่บนใบหน้า เมื่อครู่นี้ มีบางอย่างได้เกิดขึ้นซึ่งเขาไม่ได้สัมผัสมานานมากแล้ว…พลังลมปราณได้ไหลเข้าไปในร่างของเขา!
สถานที่แห่งนี้ไม่ใช่เขตขุมทรัพย์เซียนโลหิต และไม่ใช่ตระกูลซ่ง แต่ทันใดนั้น เขาก็สามารถดูดซับพลังลมปราณในสถานที่แห่งนี้ มันไหลเข้าไปในร่างเขาโดยตรง ซึมเข้าไปผ่านรูขุมขนกระจายไปทั่วร่าง
ความรู้สึกที่กำลังดูดซับพลังลมปราณของสวรรค์และปฐพีได้อีกครั้ง ทำให้เมิ่งฮ่าวต้องหลับตาลง ตั้งแต่ตอนที่เขาได้ก่อตั้งพื้นฐานสมบูรณ์ เขาก็ไม่เคยดูดซับพลังลมปราณได้จากสถานที่ใดๆ นอกจากเขตขุมทรัพย์เซียนโลหิต และตระกูลซ่งเท่านั้น
สักพักต่อจากนั้น เขาก็ลืมตาขึ้น และดวงตาก็ส่องประกายด้วยแสงอันเข้มข้น เขาดูดซับพลังลมปราณในพื้นที่บริเวณนี้ รวมถึงด้านนอกถ้ำแห่งเซียนเข้าไปได้ทั้งหมดแล้ว
นี่เป็นสิ่งที่ทำให้เขามีความประทับใจในถุงสมบัตินี้โดยสิ้นเชิง จิตใจเขาหมุนคว้างรุนแรงมากกว่าตอนที่เขาได้ยินคำพูดของชายชราในเศษซากศิลานั้นอีก
“หินลมปราณระดับสูงพิเศษ…” เขามองลงไปยังหินลมปราณที่ถืออยู่ในมืออีกครั้ง โคจรพลังพื้นฐานฝึกตน และรู้สึกถึงพลังลมปราณอันไร้ขอบเขตวิ่งพล่านอยู่ในร่าง พิสูจน์ให้เห็นว่านี่ไม่ใช่ภาพลวงตา
“ต้องมีการกระทำบางอย่างกับพื้นฐานฝึกตนของข้า ดูเหมือนว่าเมื่อไหร่ที่ข้าก่อตั้งแกนสีทองสมบูรณ์ได้ ข้าก็ยังคงสามารถใช้หินลมปราณระดับสูงพิเศษนี้ดูดซับพลังลมปราณได้ ข้าไม่อาจทำเช่นนี้ได้ตอนที่อยู่ในขั้นพื้นฐานลมปราณ ด้วยหินลมปราณนี้ ข้าก็ไม่ต้องพึ่งพาเม็ดยา หรือใช้วิชาแปลงม่านตาม่วงเพื่อรักษาอาการบาดเจ็บเพียงอย่างเดียว” เขามองกลับไปยังหินลมปราณระดับสูงพิเศษห้าสิบก้อนในถุงสมบัติ ในขณะนี้ พวกมันยิ่งมีคุณค่าสำหรับเมิ่งฮ่าวมากกว่าก่อนหน้านี้ขึ้นไปอีก