ภูเขาหายไป, ไกล, ไกลออกไปในที่ห่างไกล แทบจะมองไม่เห็นเทือกเขา
ท้องฟ้า ไม่ใช่สีฟ้าอีกต่อไป แต่เป็นสีแดงราวเปลวเพลิง เพราะเป็นเวลาสนธยา
ยามสายัณห์มาพร้อมกับแสงของดวงตะวันที่ใกล้ลาลับ กวาดไปทั่วพื้นดิน กลายเป็นผ้าห่มปกคลุมไปทั่วในเมืองเล็กๆ กำแพงเมืองคงอยู่มานานหลายปีแล้ว ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความเก่าแก่โบราณออกมา เต็มไปด้วยรอยกระดำกระด่างและคราบต่างๆ เป็นพยานถึงกาลเวลาที่ผ่านไป
ด้านบนของกำแพงเมือง มีผู้คุ้มกันยืนอยู่อย่างเกียจคร้านไม่กี่คน ได้ยินเสียงหัวเราะ และเสียงพูดคุยดังลอยออกมาจากหอนางโลมด้านล่างเบาๆ มีหญิงสาวมาใหม่ และเสียงหัวเราะนั้นก็ประกอบไปด้วยความมุ่งหวังต่อชีวิตอันสวยงาม
รถม้าวิ่งเรียงผ่านเข้าไปในประตูเมือง คนขับรถควงแส้ ตะโกนบังคับม้า ขณะที่พวกมันเหยาะย่างตรงไปที่กลางเมือง
ดวงตะวันกำลังจะลาลับฟ้า แต่ความร้อนที่ชวนให้อึดอัดใจก็ยังคงกระจายไปทั่ว ทำให้เหมือนเป็นเตาที่ต้องการจะหลอมพื้นดินให้ไหม้เกรียม
ไม่มีสายลม หรือสายฝน
เพียงสิ่งเดียวที่มีอยู่ก็คือ ความร้อนอันแห้งแล้ง
กำแพงเมืองแห่งนี้ไม่ได้ใหญ่โตนัก มันเป็นแค่เมืองเล็กๆ ผู้คนที่เดินอยู่บนถนนเป็นกลุ่มสองหรือสามคน กำลังใช้พัดโบกคลายความร้อน ก่นด่าสาปแช่งดินฟ้าอากาศเป็นระยะ
สถานที่คึกคักมีชีวิตชีวามากที่สุดในเมืองนี้ก็คือโรงน้ำชา ซึ่งมีถ้วยชาเย็นๆ ช่วยขจัดความร้อนออกไปได้เล็กน้อย ในยามเย็นของฤดูร้อนอันร้อนระอุเช่นนี้ การซุบซิบนินทากับสหายและเพื่อนบ้าน ก็เป็นเรื่องหย่อนใจหลักๆ ของผู้คนทั่วๆ ไป
นอกจากโรงน้ำชา ก็เป็นหอนางโลมประจำเมือง ซึ่งเป็นสถานที่ของผู้มีเงิน บุรุษมากมายเมื่อเดินผ่านไป ก็ไม่อาจจะอดกลั้นไม่ให้ตัวเองมองไปยังหญิงสาวที่สวมชุดสวยงาม ยืนพิงบานหน้าต่างไม้ที่ด้านบน เพียงพอที่จะทำให้จิตใจของบุรุษลุกไหม้ และจากนั้นก็เป็นเหตุให้พวกมันคิดไปถึงอากาศที่ยากจะทนทานเช่นนี้
ถ้าภรรยาของบุรุษเดินไปพร้อมกับมันผ่านหอนางโลม ใบหน้าของนางก็จะบิดเบี้ยวด้วยความอิจฉา และนางก็จะดึงมันจากไปอย่างรวดเร็ว ภรรยาปากจัดอาจจะมองขึ้นไปยังหญิงสาวที่ด้านบนเหล่านั้น และก่นด่าสาปแช่งพวกนางเป็นครั้งคราว
กล่าวกันว่า หญิงสาวในหอนางโลมก็เหมือนกับบุปฝาอันงดงาม และประณีตราวกับหยก เกือบจะไม่เหมือนกับมนุษย์ทั่วไป ด้านใน ห้องมากมายก็เต็มไปด้วยก้อนน้ำแข็ง และหญิงรับใช้ที่น่ารักพร้อมพัดในมือ เนื่องจากเช่นนี้ ลูกค้าที่ร่ำรวยจึงได้รับการปฏิบัติอย่างหรูหรา มีความสุขกับสายลมที่เย็นสดชื่นของก้อนน้ำแข็งเหล่านั้น
นอกจากนี้ หอนางโลมก็ยังมีอาหารอันหลากหลาย และสุรารสเลิศ จัดเตรียมไว้มากมาย…บุรุษทุกคนปรารถนาที่จะไปที่นั่น ซึ่งมีทั้งหญิงงาม, อาหาร หรือ ก้อนน้ำแข็ง
“ฟังนะ นี่เป็นสถานที่ดี!” เมิ่งฮ่าวกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจังแผ่วเบากับเด็กน้อยสองคนข้างกาย กำหมัดตัวเองจนแน่น เด็กทั้งสองมีอายุใกล้เคียงกับเขา สิบสองถึงสิบสามปี “แต่พวกเจ้าสองคนก็ดีกว่า!”
เมิ่งฮ่าวโอบแขนไปรอบๆ ไหล่ของพวกมัน หนึ่งคนร่างผอมแห้ง, อีกคนร่างอ้วน ทั้งสองดูท่าทางตื่นเต้น แต่ในเวลาเดียวกัน ก็รู้สึกอายและกังวลอยู่เล็กน้อย
เมิ่งฮ่าวมองไปที่พวกมันด้วยแววตาจริงจังเป็นอย่างยิ่ง ราวกับว่าเขาเป็นปรมาจารย์ของสำนัก กำลังจะส่งมอบผู้สืบทอด “พรุ่งนี้ ข้า, เสี่ยวเหยีย (ท่านปู่น้อย) จะถูกส่งไปยังโรงเรียนประจำ นับจากนี้ไป ข้าจะมอบตำแหน่งอันธพาลอันดับหนึ่งของเมืองตงหลาย ให้กับเจ้าทั้งสอง อย่าได้ลืมเลือน พวกเจ้าไม่อาจทำสิ่งใดๆ ให้เสี่ยวเหยียต้องเสียชื่อ!”
ถ้า…ถ้าพวกเขาอยู่ในสถานที่อันศักดิ์สิทธิ์ บางทีคำพูดนี้อาจจะมีพลังบ้าง แต่โชคร้าย ที่คนทั้งสามตอนนี้กำลังคลานอยู่ที่ด้านบนของกำแพง
สิ่งที่อยู่ด้านในของกำแพงก็ไม่ใช่อะไรอื่นนอกจากหอนางโลม และกำแพงที่พวกเขาอยู่นั้นก็ล้อมรอบหอนางโลมไว้ ไกลออกไปด้านในมีอาคารสองชั้น เชื่อมต่อกับอาคารหลังอื่นๆ ด้วยลานบ้าน จากตำแหน่งบนกำแพงของพวกเขา สามารถมองเห็นเงาของบุรุษและสตรีที่อยู่ด้านในของหน้าต่างชั้นสองได้อย่างชัดเจน เสียงพูดคุย และหัวเราะลอยออกมา
เจ้าเด็กอ้วน ซึ่งมีใบหน้าตกกระ กล่าวด้วยความตื่นเต้น “ฟางเส้าเหยีย (ท่านปู่น้อยฟาง), ไม่ต้องกังวลไป ชื่อเสียงของอันธพาลอันดับหนึ่ง แห่งเมืองตงหลาย จะเป็นของท่านตลอดไป สำหรับพวกเรา อันธพาลอันดับสอง และอันดับสาม จะรักษาชื่อเสียงของท่านไว้อย่างแน่นอน!” เจ้าเด็กผอมแห้งข้างกายมัน พยักหน้าด้วยความกระตือรือร้น
“ดี, ข้ารู้ว่าสามารถเชื่อถือเจ้าทั้งสองได้” เมิ่งฮ่าวกล่าวตอบอย่างเคร่งขรึม “แต่พวกเจ้ายังคงต้องการพรรคพวกไว้เป็นโล่ป้องกัน วันนี้ การทดสอบครั้งสุดท้ายของพวกเจ้าได้มาถึงแล้ว ตอนนี้ตั้งใจดูให้ดี ในไม่ช้า ก็จะมีใครบางคนเดินออกมา เมื่อถึงตอนนั้น พวกเจ้าต้องขว้างก้อนอิฐนี้ไปให้แรงที่สุดเท่าที่จะทำได้!”
เด็กแต่ละคนถือก้อนอิฐซึ่งมีขนาดเท่ากับฝ่ามือของพวกมันไว้
“เจ้าสารเลวบัดซบนั่น!” เมิ่งฮ่าวกล่าวผ่านร่องฟันที่กัดอยู่ “มันกล้าไล่ตามเสี่ยวเถาหงของข้า!? เสียวเหยียจะต้องหาให้พบว่าใครที่บังอาจทำเช่นนั้น!” เขาจ้องไปยังชั้นสองของอาคาร หอบหายใจ กล่าวต่อ “เสี่ยวเถาหง สัญญากับข้าว่า นางจะรอจนกระทั่งข้าเติบโตขึ้น จากนั้นนางก็จะนอนกับข้า ใครจะไปรู้ว่า เจ้าสารเลวบางคนกล้าที่จะแย่งชิงนางไป!” จิตใจเขาเต็มไปด้วยโทสะ เมื่อเด็กทั้งสองคนมองเข้าในในดวงตาของเขา จิตใจพวกมันก็เต็มไปด้วยความยอมรับอย่างเข้มข้น
“มันเหมาะสมแล้วที่จะเป็นพี่ใหญ่” พวกมันคิด “อันธพาลอันดับหนึ่งแห่งเมืองตงหลายมีคนรักแล้ว แน่นอนว่ามันเป็นเด็กอายุสิบสองปีเพียงคนเดียวในเมืองนี้ที่สามารถทำเรื่องเช่นนั้นได้!” พวกมันสบสายตากัน และสีหน้าของพวกมันก็มีความนับถือมากขึ้นไปอีก เท่าที่พวกมันคิด ใครก็ตามที่สามารถเข้าไปในหอนางโลมแห่งตำนาน และได้สตรีในนั้น ต้องมีความเชี่ยวชาญอย่างใหญ่หลวง การที่สามารถพูดเกี่ยวกับเรื่องนั้นได้ ก็ทำให้พวกมันรู้สึกภาคภูมิใจมากขึ้น
ในที่สุด เวลาธูปไหม้หมดหนึ่งดอกก็ผ่านไป ยามสนธยาผ่านไป และดวงจันทร์ก็โผล่ขึ้นมา ประตูระเบียงชั้นสองเปิดออก และหญิงสาววัยเยาว์ซึ่งแต่งตัวสวยงาม อยู่ในวงแขนของบุรุษวัยกลางคน เดินออกมาพร้อมกัน บุรุษผู้นั้นดูเหมือนจะมึนเมา และพวกมันก็พูดจากันเสียงแผ่วเบาขณะที่โผล่ออกมา
แสงจันทร์เบาบาง และท้องฟ้าก็ค่อนข้างมืด ทำให้ยากที่จะมองเห็นรูปลักษณ์ที่แน่นอนของพวกมัน แต่เมิ่งฮ่าวก็จดจำเสี่ยวเถาหงได้ในทันที ดวงตาเขาแดงก่ำขึ้นมาในทันใด ตะโกนออกมาว่า “เจ้าตัวบัดซบสารเลว เสี่ยวเหยียจะตีเจ้าให้ตาย! เจ้าบังอาจมาพบกับเสี่ยวเถาหงของข้า!” ด้วยเสียงแผดร้องนั้น เขาขว้างก้อนอิฐออกไป พร้อมกับเสียงแผดร้องอย่างดุร้าย เด็กทั้งสองก็ขว้างก้อนอิฐไปด้วยเช่นกัน
“เสี่ยวเหยียจะ…หือ?” เมิ่งฮ่าวกำลังจะพุ่งเข้าไปในลานบ้าน แต่ร่างของเขาก็เริ่มสั่นสะท้าน บุรุษวัยกลางคนที่มึนเมา หลบอิฐทั้งสามก้อนได้อย่างง่ายดาย จากนั้นก็เงยหน้าที่ดุร้ายของมันขึ้นมา ทันทีที่มันเห็นเมิ่งฮ่าว ก็ยิ้มออกมาเล็กน้อย จากนั้นก็มีโทสะอย่างรุนแรง
“เจ้าตัวสารเลวน้อย!” มันร้องออกมา “กบฎแล้ว!”
เมิ่งฮ่าวเริ่มตัวสั่นในทันที
“ท่านพ่อ…” ความกระตือรือร้นอย่างจริงใจของเขาทั้งหมดระเหยหายไป ราวกับว่าโดนสาดด้วยน้ำอันเย็นเฉียบไปทั่วร่าง เขากระโดดออกจากกำแพงและเริ่มวิ่งออกไปในทันที ใบหน้าเพื่อนสนิทอีกสองคนของเขาซีดขาวด้วยความหวาดกลัว น่องของพวกมันร้อนเป็นไฟขณะที่วิ่งออกไป
“พวกเราจบสิ้นแล้ว จบสิ้น! บิดาของฟางมู่ก็คืออดีตอันธพาลอันดับหนึ่งในเมืองนี้! ตอนนี้มันเป็นมือปราบ ดังนั้นมันสามารถสังหารผู้ใดก็ได้โดยไม่กระพริบตา…!” ใบหน้าของเด็กทั้งสองซีดขาวราวคนตาย ขณะที่พวกมันหลบหนีไป
หลังจากคนทั้งสามหายไป บุรุษวัยกลางคนยืนอยู่ในลานบ้าน ทั้งมีโทสะทั้งขบขัน ความคิดของบุตรชายที่คอยติดตามบิดามา ทำให้มันรู้สึกทั้งน่าโมโหและน่าหัวเราะ
“เจ้าตัวสารเลวน้อยนั่นไม่เคยได้ร่ำเรียน และไร้ความสามารถ การส่งมันไปศึกษาในโรงเรียนประจำเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องอย่างแน่นอน!”
กลางดึกในคืนนั้น เมิ่งฮ่าวเดินทอดน่องไปตามท้องถนน ถอนหายใจออกมาอย่างต่อเนื่อง ในที่สุด ก็มาถึงประตูใหญ่ของบ้านเขา มองไปยังแสงไฟที่ส่องออกมาจากด้านใน คิ้วก็ขมวดลึกมากขึ้น
“ทำไมต้องเป็นท่านพ่อ…? โอ, ท่านแม่ ท่านมาด่วนจากไป ถ้าท่านยังอยู่ เรื่องก็คงไม่เป็นเช่นนี้ ข้าจะต้องไปพูดกับท่านพ่อให้ได้!” เขาเพิ่งจะเปิดประตูเพื่อเข้าไปในลานบ้าน ทันใดนั้น ก็เริ่มร้องออกมา
“ท่านแม่, ข้าคิดถึงท่านนัก ท่านมาหาข้าในความฝันเมื่อคืน และบอกข้าว่าให้ไปเยี่ยมเสี่ยวเถาหง…ท่านแม่…”
“หุบปาก!” เสียงแผดร้องอย่างมีโทสะดังออกมาจากภายในบ้าน ประตูเปิดออก เผยให้เห็นบิดาของเมิ่งฮ่าว บุรุษวัยกลางคนจากก่อนหน้านี้ คิ้วของมันขมวดอยู่ และมองมายังเมิ่งฮ่าวอย่างจนปัญญา “เลิกเสแสร้งได้แล้ว! ทำไมยังไม่ไปนอนอีก? ข้าจะนำเจ้าไปยังโรงเรียนประจำตั้งแต่เช้าตรู่ เพื่อไปพบอาจารย์คนใหม่ของเจ้า”
“ข้าไม่ไป!” เมิ่งฮ่าวร้อง ถอยไปด้านหลังหนึ่งก้าว “ข้าต้องการไปโรงเรียนปกติ! ผู้คนในเมืองทั้งหมดจะต้องหัวเราะเยาะข้าแน่!”
“เจ้าสารเลวน้อย ยังจะใช้ลูกไม้เดิมอีก…” บุรุษวัยกลางคนขมวดคิ้ว จากนั้น ก็พุ่งตรงมาคว้าจับเมิ่งฮ่าวที่เพิ่งจะวิ่งหนีไปไว้ทันที มันยกเขาขึ้นไปในอากาศ และตีลงไปที่ก้นสองสามครั้ง
เสียงตีดังออกมาอย่างชัดเจน แต่ก็ไม่มีความเจ็บปวด เรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นตั้งแต่เมิ่งฮ่าวอายุยังน้อย เขาและบิดาต่างก็พึ่งพาซึ่งกันและกัน ทุกครั้งที่พวกเขาโต้เถียงกัน บิดาเขาก็จะดูท่าทางเข้มงวด แต่จริงๆ แล้วก็ไม่อยากจะตีเขาอย่างหนักหน่วง
“โรงเรียนปกติดีอย่างไร?” บิดาเขาแผดเสียง “เจ้าต้องเรียนรู้ที่จะเคารพในอาจารย์ และสิ่งที่พวกเขาสอน! เจ้าต้องเรียนรู้เกี่ยวกับจริยธรรม! เจ้าจะไป หรือไม่ไป!?”
“ข้าไม่ไป!” เมิ่งฮ่าวร้อง ดวงตากลอกไปมา
“เจ้า…!” บิดาเมิ่งฮ่าวยกมือสูงขึ้นไปในอากาศ
เมิ่งฮ่าวรีบกล่าวว่า “ถ้าท่านสัญญาว่าจะไม่ไปพบเสี่ยวเถาหงอีก ข้าก็จะไป… ท่านจะไปหาใครก็ได้ แต่ต้องไม่ใช่นาง!” เขากลัวว่าบิดาจะเริ่มตีเขาอย่างหนักจริงๆ ในครั้งนี้
บิดาเมิ่งฮ่าวไม่แน่ใจว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี มันลดมือลง วางลงไปบนศีรษะเมิ่งฮ่าว และขยี้ผมเขาอย่างอ่อนโยน
“ตกลง เจ้าเริ่มโตขึ้นแล้ว เด็กน้อย และข้าก็เห็นว่าเจ้ามีความคิดเป็นของตัวเองแล้ว ก็ดี นับจากนี้ไป ข้าจะไม่ไปหาเสี่ยวเถาหงอีก ข้าจะปล่อยนางให้เจ้า หลังจากที่เจ้าเติบโตขึ้น ข้าจะจัดเตรียมให้นางเป็นภรรยารองของเจ้า!”
“จริงนะ?” เมิ่งฮ่าวกล่าว ดวงตาสาดประกายเจิดจ้า
“เจ้ายังไม่ไปนอนอีก?!” มันมองมายังเมิ่งฮ่าว ขณะที่ปล่อยเขาลง เมิ่งฮ่าวยิ้มอย่างมีความสุข ขณะที่เขาวิ่งเข้าไปในบ้าน ถอดเสื้อนอกออก และกระโดดขึ้นไปบนเตียง ฝันอย่างสวยงามในคืนนั้น
เช้าตรู่วันต่อมา เมื่อท้องฟ้าเพิ่งจะเริ่มสาดแสง ดวงตาเมิ่งฮ่าวยังคงลางเลือน ขณะที่บิดาเขาแต่งตัวให้
บิดามองไปยังบุตรชาย และเห็นได้อย่างชัดเจนว่า เขานอนหลับไม่เพียงพอ ความเคร่งขรึมปกคลุมบนใบหน้า รวมถึงความรักและความเมตตา เป็นบางสิ่งที่เมิ่งฮ่าวไม่ค่อยได้เห็นบ่อยนัก
มันยื่นมือลงมาและอุ้มเมิ่งฮ่าวขึ้น เหมือนกับตอนที่เขายังเป็นเด็ก ศีรษะเมิ่งฮ่าวซบไปบนไหล่ของบิดา และเขาก็หลับต่อไป บิดาเมิ่งฮ่าวหยิบของกำนัลที่ตั้งใจจะนำไปให้อาจารย์สอนหนังสือ และจากไป
ตลอดเส้นทาง การเดินทางของมันไม่ค่อยมั่นคงนัก การอุ้มเด็กชายตัวใหญ่เช่นนี้ ไม่ใช่เรื่องง่าย
ครึ่งชั่วยามหลังจากนั้น พวกเขาก็มาถึงประตูรั้วของบ้านชายชราผู้มีชื่อเสียง ซึ่งอาศัยอยู่ในเขตตะวันออกของเมือง บิดาเมิ่งฮ่าวปลุกเขา และก็วางเขาลง จากนั้นก็ไปเคาะประตู และเข้าไปในลานบ้าน
เมิ่งฮ่าวกำลังอ้าปากหาวอยู่ในลานบ้าน ขณะที่บิดาเขาเข้าไปในบ้าน ดังนั้นเขาจึงไม่เห็นบิดาประสานมือด้วยความเคารพ และแสดงท่าทางวิงวอนขอร้อง
เวลาผ่านไปไม่นานนัก ก่อนที่บิดาเขาจะโผล่ออกมา ด้านข้างเป็นชายชราที่มีผมขาวทั่วศีรษะ ดูเก่าแก่โบราณ แต่ก็เต็มไปด้วยพลัง ทำให้ดูสง่างามและมีท่าทางทรงเกียรติ แตกต่างเป็นอย่างมากกับบุคคลธรรมดาทั่วไป
โดยเฉพาะอย่างยิ่งดวงตาของท่าน ซึ่งเต็มไปด้วยความลึกซึ้ง ราวกับว่าพวกมันประกอบไปด้วยดวงดาวอยู่ด้านใน ใครก็ตามที่มองมายังดวงตานี้ก็จะต้องตกตะลึง ชายชรามองลงมายังเมิ่งฮ่าว
การมองนี้ เหมือนกับจะสามารถมองเห็นชีวิตที่ผ่านมา และชีวิตซึ่งกำลังจะดำเนินไป
การมองนี้ เหมือนกับจะสามารถแทงทะลุผ่านเมฆหมอก เพื่อมองเห็นชีวิตทั้งสาม อดีต, ปัจจุบัน และ อนาคต
การมองนี้ ทำให้ดูราวกับว่า ตลอดทั้งชีวิตของเด็กหนุ่มผู้นี้ ได้มีชีวิตอยู่เพื่อจะมายังที่นี่ และโขกศีรษะสามครั้ง เพื่อกลายเป็นศิษย์ของท่าน
เวลานานผ่านไป และชายชราก็พยักหน้าเล็กน้อย
บิดาเมิ่งฮ่าวมองลงมายังเขา และกล่าวว่า “อาจารย์ก็เหมือนกับบิดา ฟางมู่ ข้าต้องการให้เจ้านับถืออาจารย์ของเจ้า เคารพท่านให้มากกว่าที่เจ้าเคารพข้า! ถ้าเจ้าไม่อาจะทำได้เช่นนี้ เจ้าก็จะไม่ใช่บุตรชายข้า!” ด้วยเช่นนั้น มันก็จากไป
——————–
เสี่ยวเถาหง = ดอกท้อน้อยสีแดง