จิตใจเมิ่งฮ่าวสั่นสะท้าน ขณะที่ดวงตาเปิดขึ้นในทันที เขาดึงนิ้วกลับมาจากพื้น รู้สึกราวกับว่ามีพลังอันน่าเหลือเชื่อบางอย่าง ได้โจมตีมาในตอนที่เขาอยู่ในขั้นแปลกๆ เมื่อครู่นี้
ดวงตาสาดประกายขณะที่เขาเงยหน้าขึ้น มองทะลุผ่านผนังศิลาของถ้ำแห่งเซียน ตรงไปยังเศษซากศิลาที่ห่างออกไป
“เป็นศัตรูอีกผู้หนึ่งของตระกูลจี้ แต่คนผู้นี้ก็ดูเหมือนจะแตกต่างไปจากกระถางทรงสี่เหลี่ยมในดินแดนสงบสุขโบราณ การที่มันรับรู้ข้าได้ก็แสดงให้เห็นว่าเจตจำนงของมันยังคงอยู่ที่นี่!” หลังจากรวบรวมความคิด เมิ่งฮ่าวก็ลุกขึ้น และออกไปจากถ้ำแห่งเซียน สักพักหลังจากนั้น เขาก็โผล่ออกมาจากรอยแยกของภูเขาลูกเตี้ยๆ นั้น
เป็นเวลาเที่ยงวัน และดวงอาทิตย์ก็ส่งแสงเจิดจ้าอยู่เหนือศีรษะ เผาไหม้พื้นดินจนดูเหมือนมันแทบจะเดือดพล่าน หลังจากออกจากภูเขา เมิ่งฮ่าวก็มองไปยังทิศทางของเศษซากศิลานั้น หลังจากครุ่นคิดอยู่ชั่วขณะ เขาก็โบกสะบัดชายแขนเสื้อและพุ่งตรงไป
ใช้เวลาไม่นานก่อนที่เขาจะลอยอยู่กลางอากาศเหนือเศษซากศิลานั้น มองลงไป มันไม่ได้เป็นพื้นที่กว้างใหญ่ อาจจะกว้างประมาณไม่กี่สิบหลี่ ทั่วทั้งบริเวณกระจัดกระจายไปด้วยศิลารูปทรงแปลกๆ บางก้อนก็จมอยู่ในพื้นดินมากกว่าครึ่ง ขณะที่บางก้อนก็วางอยู่พื้นดิน
ขณะที่ศิลาแต่ละก้อนได้วางอยู่ในสถานที่แห่งนี้มานานหลายปีแล้ว ทำให้เกิดเป็นบรรยากาศอันเยือกเย็นน่าสะพรึงกลัว
เมิ่งฮ่าวไม่ได้เข้าไปใกล้มากนัก เลือกที่จะลอยอยู่ในอากาศ แต่หลังจากเวลาผ่านไปสักพัก เขาก็ยังไม่รู้ว่าสถานที่แห่งนี้คืออะไร มันดูธรรมดาเป็นอย่างมาก ด้วยความระมัดระวังตัว เขาส่งจิตสัมผัสไปตรวจสอบมากขึ้น แต่ก็ไม่มีอะไรคืบหน้าเหมือนเดิม
“แน่นอนว่า” เมิ่งฮ่าวคิด “นี่เป็นสิ่งที่มันต้องการให้เป็น คนภายนอกไม่อาจสังเกตเห็นสิ่งผิดปกติใดๆ แม้แต่ข้าเองถ้าไม่ได้อยู่ในขั้นพิเศษนั้น ข้าก็คงไม่อาจสัมผัสได้ถึงสิ่งแปลกๆ ในที่แห่งนี้” เขาตัดสินใจไม่ทำอะไรที่บุ่มบ่ามผลีผลาม เลือกที่จะหันหลังและจากไป
แน่นอนว่ายังคงไม่มีอะไรเกิดขึ้นขณะที่เขาจากไป
ในถ้ำแห่งเซียน เขาคิดย้อนไปถึงเสียงเก่าแก่ที่ทรงพลังซึ่งแทงผ่านเข้ามาในจิตใจ และความเคียดแค้นชิงชังที่ลึกลงไปถึงกระดูก ที่เสียงนั้นแสดงออกมาขณะที่กล่าวถึงตระกูลจี้
“สวรรค์แห่งจี้…” เมิ่งฮ่าวขบคิด หลังจากที่ผ่านพบประสบการณ์มามากมาย ความอยากรู้อยากเห็นของเขาได้ถูกสะกดไว้นานมาแล้ว แต่เขาก็รู้ว่าในโลกแห่งการฝึกตนนี้ แต่ละย่างก้าวเต็มไปด้วยอันตราย ถ้าขาดความระมัดระวังก็จะทำให้เกิดความผิดพลาดจนไม่อาจกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้อีก
ดังนั้น หลังจากที่ครุ่นคิดอยู่นานเกี่ยวกับเสียงโบราณนั้น เขาก็ตัดสินใจที่จะไม่สนใจมัน จนกว่าเขาจะมีพื้นฐานฝึกตนที่แข็งแกร่งมากขึ้นกว่านี้ ในตอนนี้ เขาอยู่เพียงแค่ขั้นต้นของสร้างแกนลมปราณ และด้วยเช่นนั้น ก็อยู่ในสถานะที่เสี่ยงอันตรายมากเกินไป ถึงแม้ว่าบุคคลผู้นั้นจะบอกว่าเป็นศัตรูกับตระกูลจี้ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า มันจะไม่เป็นอันตรายต่อเขา
“ด้วยความช่วยเหลือของปราณอสูร, จิตสัมผัสของข้าก็สามารถขยายเพิ่มขึ้นได้อีกหลายเท่า…ใครจะไปรู้ว่าการขยายนั้นจะทำให้ข้าสามารถฝึกฝนวิชาผนึกความเที่ยงธรรมได้? อยากรู้นักว่าข้าจะสามารถหลอมรวมเจตจำนงของข้ากับลมปราณ เพื่อสร้างเป็นวิชาเวทของตัวเองได้หรือไม่?” โดยไม่ครุ่นคิดถึงเสียงอันทรงพลังนั้นอีก เมิ่งฮ่าวเพ่งสมาธิความตั้งใจไปที่วิชาผนึกความเที่ยงธรรม การทดสอบครั้งแรกทำให้เขารู้สึกว่าวิชานี้ไม่ธรรมดาเป็นอย่างยิ่ง
“ข้าสงสัยว่าจะสามารถทำอะไรได้กับการฝึกฝนคัมภีร์เต๋าศักดิ์สิทธิ์ และมันจะทำให้จิตสัมผัสของข้าไกลเกินกว่าผู้ฝึกตนที่อยู่ในระดับเดียวกันได้อย่างไร” เมิ่งฮ่าววิเคราะห์เรื่องราวต่างๆ อย่างเยือกเย็นต่อไป ในไม่ช้าท้องฟ้าที่ด้านนอกก็เริ่มมืดลง และเมิ่งฮ่าวก็หลับตาลง ความรู้แจ้งที่เกี่ยวกับวิชาผนึกความเที่ยงธรรม หมุนวนไปมาอยู่ในจิตใจ เขากำลังรู้สึกว่าวิชานี้เป็นสิ่งที่สำคัญต่อเขาเป็นอย่างมาก
ผ่านไปหนึ่งเดือน ตลอดช่วงเวลานั้นเมิ่งฮ่าวไม่เคยลืมตาขึ้นมาเลย ในวันหนึ่ง เขาสัมผัสได้ถึงผู้ฝึกตนสิบกว่าคนที่ด้านนอกถ้ำแห่งเซียน
พวกมันมีสีหน้าเคารพนอบน้อม และกำลังคุกเข่าโขกศีรษะอยู่ที่ด้านนอกถ้ำ พวกมันแต่ละคนมีดินสีม่วงแกมเขียวอยู่ และสองในกลุ่มคนเหล่านั้นก็เป็นผู้ฝึกตนขั้นพื้นฐานลมปราณจากก่อนหน้านี้
ตลอดช่วงหนึ่งเดือนที่ผ่านมา พวกมันได้กลับมาสองสามครั้ง แต่ละครั้ง เมิ่งฮ่าวก็ขจัดพิษพวกมันไปบางส่วน เมื่อถึงจุดที่พิษมากกว่าครึ่งถูกขจัดไป เขาก็มอบเม็ดยาให้กับพวกมัน พวกมันได้ลืมสหายเต๋าสองคนที่ถูกสังหารไปนานแล้ว เพื่อที่จะได้เม็ดยามากขึ้น พวกมันได้รับสมัครบุคคลอื่นๆ ที่รู้จัก และรวมตัวกันเป็นกลุ่มที่พอจะแข็งแกร่งอยู่บ้างเล็กน้อย
บางคนในกลุ่มได้เก็บงำเจตนาร้ายไว้ แต่หลังจากที่พื้นดินสั่นสะเทือน และเส้นเถาวัลย์อันดุร้ายได้พุ่งออกมาเพื่อตัดเฉือนพวกมันจนกลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยและกินลงไป ใครก็ตามที่มีความคิดเช่นเดียวกันนี้ก็จะต้องจบชีวิตลง
เมื่อรวมถึงความจริงที่ว่า เมิ่งฮ่าวได้มอบเม็ดยาของจริงให้กับพวกมันเป็นรางวัล ซึ่งเป็นสิ่งที่หาได้ยากสำหรับผู้ฝึกตนเหล่านี้ ก็ทำให้พวกมันกระตือรือร้นอย่างบ้าคลั่งขึ้นมา
นอกจากนี้ ด้วยความจริงที่ว่าพื้นฐานฝึกตนของเมิ่งฮ่าว เป็นสิ่งที่ลึกล้ำเกินกว่าพวกมันจะรู้ได้ ก็ทำให้พวกมันยอมรับนับถือเขามากยิ่งขึ้น
สำหรับหวงต้าเซียน แม้ว่าพื้นฐานฝึกตนของมันไม่ได้สูงนัก แต่มันก็มีศักดิ์ฐานะพิเศษอยู่ในกลุ่มนั้น ในตอนนี้ มันยืนอยู่ด้านนอกถ้ำแห่งเซียน กำลังมองไปยังกลุ่มคนเหล่านั้นอย่างอิ่มเอมใจ ผีโต้งเกาะอยู่บนศีรษะ และนกแก้วสีสดใสเกาะอยู่บนไหล่ของมัน
“ข้าจะแจ้งคำพูดของท่านปรมาจารย์ให้พวกเจ้าทราบ” มันกล่าว “พวกเจ้าทำได้ดีมาก และนี่ก็คือรางวัลของพวกเจ้า” มันหยิบขวดขนาดเล็กออกมา ซึ่งด้านในมีเม็ดยาขนาดเล็กที่จะแจกจ่ายให้กับทุกคน ขณะที่ผู้ฝึกตนเหล่านั้นได้รับเม็ดยา ใบหน้าของพวกมันเต็มไปด้วยความตื่นเต้น และกลืนเม็ดยานั้นลงไปในทันที
ในถุงสมบัติเมิ่งฮ่าวไม่ได้มีเม็ดยาระดับต่ำเช่นนี้มากนัก เมื่อเห็นจำนวนผู้คนที่เพิ่มขึ้น ในช่วงที่นั่งเข้าฌาณมาหนึ่งเดือน เขาก็นำยามาหนึ่งเม็ด และกลั่นสกัดมันเป็นเม็ดยาขนาดเล็กสิบกว่าเม็ด
แม้จะเป็นเช่นนั้น สำหรับผู้ฝึกตนเหล่านี้ เม็ดยาเล็กๆ นี้ก็เป็นเหมือนของวิเศษอันล้ำค่า ซึ่งแตกต่างไปจากยาน้ำที่พวกมันมักจะกลืนลงไปราวกับฟ้าและดิน
จึงไม่ใช่เรื่องยากที่จะเข้าใจว่าทำไมพื้นที่รอบๆ ถ้ำแห่งเซียนนี้ จะดึงดูดให้ผู้ฝึกตนสิบกว่าคนเข้ามาในช่วงเวลาแค่หนึ่งเดือน พวกมันทุกคนเต็มใจที่จะมาเข้าร่วมรวมตัวกันเป็นกลุ่ม
อันที่จริง พวกมันได้สร้างที่พักอยู่ในบริเวณนี้ ก่อสร้างบ้านอย่างง่ายๆ อยู่รอบๆ ถ้ำแห่งเซียนและภูเขาเตี้ย ในที่สุดภูเขาลูกนี้ก็กลายเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไป…
เมิ่งฮ่าวไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าจะมีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้น แต่กลุ่มคนที่มีความแข็งแกร่งอยู่เล็กน้อยนี้ ก็ทำให้เขามีดินตามที่ต้องการมากขึ้นเรื่อยๆ
เนื่องจากดินชนิดนี้ ทำให้เมิ่งฮ่าวไม่สนใจเรื่องอื่นๆ จากประสบการณ์ที่ผ่านมา ผู้ฝึกตนที่สร้างที่อยู่อาศัยอยู่ในบริเวณนี้ ไม่เพียงแต่จะทำเพื่อให้ได้รับเม็ดยา แต่ยังเป็นการทำเพื่อป้องกันตัวเองอีกด้วย
เมิ่งฮ่าวเป็นบุคคลที่น่ากลัว ถึงแม้กลุ่มคนเหล่านี้ไม่ได้พบเจอเขาโดยตรง แต่พวกมันก็ได้เห็นเถาวัลย์ที่ดุร้ายด้วยสองตาของตัวเอง ผู้คนส่วนใหญ่มักจะเชื่อมต่อทั้งสองเรื่องนี้เข้าด้วยกัน ใครก็ตามที่สามารถออกคำสั่งต่อเถาวัลย์เช่นนี้ได้ ก็ต้องเป็นผู้ที่น่ากลัวเป็นอย่างยิ่ง
ดังนั้น พวกมันจึงเชื่อว่าสถานที่แห่งนี้ปลอดภัย
ในดินแดนสีดำ ความปลอดภัยเป็นของวิเศษที่หาค่ามิได้
อันที่จริง ในช่วงหนึ่งเดือนมานี้ กลุ่มของผู้ฝึกตนสิบกว่าคนนี้ ได้ปรากฎกลุ่มคนที่เข้มแข็งซึ่งมีความคิดแตกต่างกันขึ้นมา พวกมันคิดจะสังหารเมิ่งฮ่าวและนำเม็ดยาของเขาไป แต่ก็มีเสียงแค่นอย่างเย็นชาดังก้องออกมาจากภายในถ้ำแห่งเซียน ทำให้สวรรค์สะท้านปฐพีสะเทือน และสังหารกลุ่มคนเหล่านั้นลงครึ่งหนึ่งในทันที
ที่เหลืออีกครึ่งกระอักโลหิตออกมา และได้รับบาดเจ็บสาหัส ผู้ที่แข็งแกร่งมากที่สุดในกลุ่มพวกมันคือผู้เชี่ยวชาญสร้างแกนลมปราณเทียม มันตกใจเป็นอย่างยิ่ง และหลบหนีไปถึงสิบหลี่ในทันที แต่จู่ๆ มันก็ไม่อาจควบคุมตัวเองได้ พลังอันแข็งแกร่งได้กักมันไว้และลากมันกลับไป หลังจากที่ได้เห็นเหตุการณ์นี้ ผู้ฝึกตนคนอื่นๆ ก็สาบานว่าจะจงรักภักดีในทันที
อย่างน่าตกใจ แม้แต้ผู้ฝึกตนสร้างแกนลมปราณเทียมก็ยังยอมแพ้ และกลายมาเป็นสมาชิกของกลุ่มเมิ่งฮ่าว
ในวันที่ไม่ธรรมดาวันหนึ่ง เมิ่งฮ่าวนั่งขัดสมาธิในถ้ำแห่งเซียน แสงแปลกๆ สาดประกายอยู่ในดวงตา ภายในม่านตามีบางสิ่งได้ปรากฎขึ้นเหมือนกับเปลวไฟที่กำลังลุกไหม้ นี่ไม่ใช่อะไรอื่นนอกจากมรดกเปลวไฟอมตะแห่งแผนกเม็ดยาบูรพา
“ให้อาหารมันด้วยแกนของเจ้า จุดเปลวไฟอมตะขึ้น ด้วยเปลวไฟนี้จะสามารถใช้เวทเรียกวิญญาณ และเส้นทางอันยิ่งใหญ่ของเต๋าแห่งการปรุงยาก็จะเปิดออก” เมิ่งฮ่าวสูดลมหายใจเข้าไปลึกๆ และหลับตาลง ขณะที่ทำเช่นนั้น เปลวไฟเล็กๆ ก็ปรากฎขึ้นบนแกนสีม่วงของเขา
พวกมันดูท่าทางอ่อนแอ แต่ก็ไม่ดับลง และขณะที่ส่องแสงอยู่ที่นั่น พวกมันก็ค่อยๆ เข้มแข็งมากขึ้นเรื่อยๆ
ในขณะที่เมิ่งฮ่าวจุดเปลวไฟแห่งการปรุงยา ไกลออกไปในดินแดนด้านใต้ ภายในแผนกเม็ดยาบูรพาแห่งสำนักจื่อยิ่น ตานกุ่ยนั่งในอยู่ถ้ำหินปูน ข้างเปลวไฟอมตะ ใบหน้าซีดขาวไร้สีเลือด
“เจ้าจุดเปลวไฟอมตะ, หือ…? ก็ดี ด้วยมรดกของเปลวไฟที่ถูกส่งต่อกันมา ถ้าข้า, ผู้เป็นอาจารย์ของเจ้า ได้จบสิ้นกลายเป็นเถ้าธุลี ข้าก็สามารถยิ้มอยู่บนเส้นทางที่ไปสู่ปรโลกได้” ตานกุ่ยยิ้ม เป็นรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความเมตตา ถึงแม้จะดูอ่อนล้า เห็นได้ชัดว่า ท่านยังฟื้นฟูอาการบาดเจ็บที่ต่อสู้กับจี้ฟางได้ไม่สมบูรณ์
ตานกุ่ยเงยหน้าขึ้น มองไปยังเปลวไฟอมตะเม็ดยาตะวันออก และความทรงจำก็ดูเหมือนจะสาดประกายอยู่ภายในดวงตา “นานมาแล้วที่เปลวไฟนี้ไม่ได้ดับลงไปก่อนหน้าข้า ดังนั้นมันต้องไม่ดับลงหลังจากข้าด้วยเช่นกัน!”
เวลาผ่านไปอีกสามเดือน ในถ้ำแห่งเซียนของภูเขาเตี้ยในดินแดนสีดำ เมิ่งฮ่าวกำลังหมกมุ่นอยู่กับเปลวไฟแห่งการปรุงยา ไม่มีเปลวไฟลุกไหม้อยู่บนร่างกายของเขา แต่มีความร้อนอย่างรุนแรงอยู่รอบๆ ตัวเขา ผิวหนังเขาซีดขาวเหมือนก่อนหน้านี้ แต่แกนสีม่วงภายในร่างตอนนี้ลุกเป็นไฟรูปทรงกลม กำลังเผาไหม้อย่างช้าๆ
นี่ไม่ใช่อะไรอื่นนอกจากเปลวไฟแห่งการปรุงยาของเมิ่งฮ่าว
ผ่านไปอีกสามวัน และเมื่อเมิ่งฮ่าวลืมตาขึ้น เปลวไฟส่งประกายอยู่ภายใน พวกมันหายไปอย่างรวดเร็ว และขณะที่เป็นเช่นนั้น เมิ่งฮ่าวก็หันหน้ามองตรงไปยังดินแดนด้านใต้
“สามเดือนนี้เหมือนกับความฝัน” เขาคิด “ข้าฝันถึงการมองมาอย่างมีเมตตาและยกย่องชมเชยบนใบหน้าของท่านอาจารย์” ขณะที่เปลวไฟแห่งการปรุงยาได้ถูกจุดให้สว่างขึ้นในช่วงสามเดือนที่ผ่านมา เขาสัมผัสได้ว่าพื้นฐานฝึกตนกำลังแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น ตอนนี้เขาอยู่ในจุดสูงสุดของขั้นต้นสร้างแกนลมปราณแล้ว
หลังจากที่ผ่านไปสักพัก เขาก็ส่งจิตสัมผัสกวาดออกไป และต้องอ้าปากค้างด้วยความตกตะลึงในทันที
เขามองเห็นพื้นที่รอบๆ ถ้ำแห่งเซียน เต็มไปด้วยผู้ฝึกตนหลายสิบคน ส่วนใหญ่อยู่ในขั้นรวบรวมลมปราณ และหกถึงเจ็ดคนอยู่ในขั้นพื้นฐานลมปราณ!
นี่ไม่ใช่กลุ่มแข็งแกร่งขนาดเล็กอีกต่อไป แต่เป็นกลุ่มที่แข็งแกร่งระดับกลาง พวกมันรายล้อมอยู่รอบๆ ภูเขาเตี้ยทั่วทุกทิศทาง บ้านถูกสร้างขึ้นมาเป็นระเบียบเรียบร้อย และทั่วทั้งบริเวณนั้นก็ค่อนข้างจะคึกคักจอแจ
ตอนนี้หวงต้าเซียนอยู่ที่ระดับเก้าขั้นรวบรวมลมปราณ ใกล้จะถึงขั้นพื้นฐานลมปราณแล้ว ด้วยเม็ดยาพื้นฐานลมปราณ ก็ไม่ใช่เรื่องยากสำหรับมันที่จะทะลวงผ่าน
ซึ่งแน่นอนว่า ต้องมีโชคช่วย หรือบางที่ก็เป็นการช่วยเหลือจากพลังของภาพศักดิ์สิทธิ์ ในดินแดนสีดำ รอยสักภาพศักดิ์สิทธิ์สามารถพบเห็นได้ทั่วไป เหมือนกับผู้ฝึกตนพื้นฐานลมปราณที่เขาเคยเห็นก่อนหน้านี้
ตอนนี้เมิ่งฮ่าวเข้าใจแล้ว ผู้ฝึกตนในสถานที่แห่งนี้ ใครที่ต้องการผ่านเข้าไปยังพื้นฐานลมปราณ แต่ไม่มีเม็ดยาพื้นฐานลมปราณ ก็ไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากใช้พลังของภาพศักดิ์สิทธิ์เพื่อเพิ่มโอกาสที่จะทะลวงผ่าน
เมิ่งฮ่าวได้สังเกตดูการฝึกภาพศักดิ์สิทธิ์บ้างเล็กน้อย และมีข้อสงสัยบางอย่าง ขั้นตอนเริ่มต้นดูเหมือนจะไม่ยาก เห็นได้ชัดว่า แค่สังหารสิ่งมีชีวิตบางอย่าง จากนั้นก็ใช้โลหิตของมันสักเป็นรูปภาพลงบนร่าง จากนั้นก็จะสามารถใช้พลังภาพศักดิ์สิทธิ์ออกมาได้
วิธีการเช่นนั้นดูเหมือนจะไม่ซับซ้อน แต่เมิ่งฮ่าวยังไม่เข้าใจวิชาภาพศักดิ์สิทธิ์ดีพอ ดังนั้นจึงเป็นเรื่องยากสำหรับเขาที่จะวิเคราะห์ให้ถึงแก่นแท้