ยามพลบค่ำในดินแดนสีดำ ท้องฟ้ามืดมิด พื้นดินด้านล่างมืดสนิท ทุกสิ่งทุกอย่างอ้างว้าง
ไม่พบเห็นมนุษย์ปุถุชนทั่วไป เป็นเรื่องยากสำหรับพวกมันที่จะมีชีวิตอยู่ในสภาพแวดล้อมเช่นนี้ พื้นที่บริเวณนี้จึงมีแต่ผู้ฝึกตนเป็นส่วนใหญ่ ถ้านานๆ ครั้งได้พบเห็นมนุษย์ธรรมดา พวกมันก็จะเป็นลูกหลานของตระกูลผู้ฝึกตน ทีมีโลหิตและปราณที่แข็งแรง
เมื่อเมิ่งฮ่าวเข้าไปในดินแดนสีดำ เขาเหลียวหลังมองกลับไปสักพัก ความระแวงสงสัยแวบขึ้นบนใบหน้า ด้วยเหตุผลบางอย่าง เขารู้สึกว่าตั้งแต่เข้ามาในพื้นที่แห่งนี้ ก็มีเส้นใยที่มองไม่เห็นบางอย่างได้เกาะติดกับร่างของเขา แต่ก็ถูกปิดบังไว้
ก่อนที่จะเข้ามาในดินแดนสีดำ เขาไม่อาจจะตรวจพบมันได้ แต่ทันทีที่มันถูกปกปิดไว้ เขาก็รู้สึกได้
เมิ่งฮ่าวพึมพำกับตัวเองอย่างครุ่นคิด ขณะที่เถาวัลย์ได้พาเขาตรงไปด้วยความรวดร็ว ไม่นานหลังจากนั้น เขาก็สะสางความคิด ดวงตาสาดประกายขณะที่ส่งจิตสัมผัสออกไป
อาณาเขตหนึ่งร้อยจ้างทั่วทุกทิศทาง ทันใดนั้น ก็ปรากฎขึ้นในจิตใจ
“ข้าต้องหาสถานที่เงียบสงบเพื่อพักฟื้น…ข้าจำได้ว่าโจวเต๋อคุนถูกนำมายังดินแดนสีดำ…ยิ่งไปกว่านั้น ก็น่าจะมีข้อมูลเกี่ยวกับดักแด้ไร้ตาในที่แห่งนี้ด้วย ข้าอาจจะกลั่นสกัดมันได้สักหนึ่งตัว” เมิ่งฮ่าวหยิบเอาถุงสมบัติของจี้หงตงขึ้นมาอีกครั้ง สัญลักษณ์เวทนั่นก็ยังไม่ได้อ่อนแอลง เขาอาจจะสะกดมันลงได้เล็กน้อย แต่ก็ยังไม่อาจจะเปิดมันออกมาได้ เขาคิดว่าถ้าสามารถสะกดผนึกนี้ให้นานพอ ก็จะสามารถเปิดมันออกมาได้
เวลานานผ่านไป หลังจากที่เมิ่งฮ่าวหลับตาลงอีกครั้ง เขาปล่อยให้เถาวัลย์มุ่งหน้าตรงไปโดยไม่มีการหยุดพัก ในที่สุด ก็ผ่านไปเดือนกว่า
นานๆ ครั้งที่เขาจะได้เผชิญพบกับผู้ฝึกตนดินแดนสีดำบ้าง พวกมันส่วนใหญ่มีรูปร่างผอมแห้งเหลือแต่กระดูก พร้อมกลิ่นอายโหดเหี้ยมอันเข้มข้น พวกมันมักจะอยู่โดดเดี่ยว น้อยมากที่จะอยู่กันเป็นกลุ่มสามถึงห้าคน สำหรับเมิ่งฮ่าว พวกมันส่วนใหญ่ดูเหมือนสุนัขป่าเดียวดาย
นี่คือสิ่งที่แตกต่างเป็นอย่างมากกับดินแดนด้านใต้
ดูเหมือนผู้คนที่อาศัยอยู่ในที่แห่งนี้ จะคุ้นเคยกับการเดินไปบนเส้นทางระหว่างชีวิตและความตาย มีทางเดียวที่มั่นใจว่าจะยังคงอยู่ต่อไปได้ก็คือสองมือที่เปื้อนเลือด
ถึงแม้พวกมันจะมีความดุร้าย แต่เมื่อผู้ฝึกตนในดินแดนแถบนั้นมองเห็นเมิ่งฮ่าว ม่านตาพวกมันก็หดเล็กลง เส้นผมสีขาวของเมิ่งฮ่าวช่างโดดเด่นจับตาเป็นอย่างยิ่ง ขณะที่มันปลิวไสวไปมาอยู่รอบๆ ศีรษะของเขา เมื่อรวมเข้ากับใบหน้าที่ซีดขาว ก็ทำให้ผู้คนที่มองมารู้สึกว่าเขาน่าหวาดกลัวเป็นอย่างมาก
ถ้ารวมเข้ากับต้นเถาวัลย์ที่ดูดุร้าย ภาพทั้งหมดนี้ก็ดูน่ากลัวอย่างถึงที่สุด เมิ่งฮ่าวกระจายกลิ่นอายของสร้างแกนลมปราณ และกลิ่นคาวของโลหิตออกมา ใครก็ตามที่มองเห็น ก็จะสรุปได้ในทันทีว่า เขาเป็นคนที่ไม่ควรจะไปหาเรื่องตอแยด้วย
แม้แต่ผู้ฝึกตนบางคนที่อยู่ในระดับเดียวกันกับเขา หลังจากที่รับรู้ได้ถึงพื้นฐานฝึกตนของเขา ก็จะลังเลอยู่สักพัก และจากนั้นก็จะหลบให้ทางเขาไป
ในดินแดนสีดำ การสังหารเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต และเป็นเรื่องปกติที่จะเห็นซากร่างกายนอนอยู่บนพื้น
ขณะที่เมิ่งฮ่าวเดินทางไป เขาเห็นการต่อสู้อย่างดุร้ายระหว่างผู้ฝึกตนด้วยกันมากกว่าสิบครั้ง และเห็นการตายบ้างเล็กน้อย จากการสังเกตเห็นเหตุการณ์เหล่านี้ ก็ทำให้เขาเริ่มเข้าใจดินแดนสีดำมากขึ้นอย่างรวดเร็ว
สิ่งที่เขาเห็นว่าแปลกประหลาดก็คือ หลังจากหนึ่งเดือนผ่านไป ถึงแม้เขาจะระมัดระวังตัวอย่างต่อเนื่อง แต่ก็ไม่มีใครจากตระกูลจี้ไล่ติดตามมา เขาอดคิดอย่างช่วยไม่ได้เกี่ยวกับเส้นใยที่มองไม่เห็น ซึ่งถูกเปิดเผยออกมาตอนที่เขาเข้ามาในดินแดนสีดำครั้งแรก
เขาลังเลอยู่สักพัก ไม่แน่ใจว่ากำลังเกิดอะไรขึ้น “ใช่หรือไม่ว่า นั่นเป็นเส้นใยที่ปรากฎขึ้นหลังจากที่ข้าสังหารจี้หงตง? มันเป็นเครื่องหมายที่ตระกูลจี้ใช้ในการตามหาข้าหรือไม่? ถ้าเป็นเช่นนั้น ทำไมมันถึงถูกเปิดเผยออกมาตอนที่ข้าเข้ามาในดินแดนสีดำ?”
เวลาเดินไปอย่างช้าๆ ในที่สุด อีกหนึ่งเดือนก็ผ่านไป เมื่อเปรียบเทียบกับดินแดนด้านใต้, ดินแดนสีดำไม่ได้กว้างใหญ่มากนัก ขณะที่เดินทางไป เมิ่งฮ่าวก็พบว่ามีเมืองอยู่ไม่มากนัก ทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างดูเหมือนจะกระจัดกระจายออกไปมากขึ้น
ทั้งหมดดูเหมือนจะว่างเปล่าและอ้างว้าง พื้นดินเป็นสีดำสนิท เต็มไปด้วยความเงียบสงบราวกับความตาย มีสถานที่อยู่น้อยมากที่เต็มไปด้วยพลังลมปราณ โชคดีที่ตอนนี้เมิ่งฮ่าวไม่ได้ต้องการพลังลมปราณมากมายนัก วันหนึ่งขณะที่เขานั่งขัดสมาธิบนเถาวัลย์ ทันใดนั้น เขาก็ลืมตาขึ้นมองออกไปยังที่ห่างไกล
ด้วยจิตสัมผัส เขามองเห็นภูเขาเตี้ยๆ รวมถึงถ้ำแห่งเซียนที่อยู่ไกลออกไปแปดสิบหลี่ ถ้ำนั้นไม่ได้อยู่ภายในภูเขา แต่อยู่ใต้ภูเขาเหมือนกับเป็นโพรงที่ลึกลงไป ด้านข้างของภูเขาเป็นน้ำพุตามธรรมชาติ น้ำได้รวมตัวกันเป็นสระน้ำขนาดเล็ก
น้ำในสระเต็มไปด้วยโคลนและมีกลิ่นเหม็น ทั่วทั้งบริเวณนั้นมีแต่หญ้ารกและมูลสัตว์ระเกะระกะไปทั่ว สถานที่แห่งนั้นดูเหมือนจะถูกปล่อยปละละเลย ถ้าเมิ่งฮ่าวไม่ได้ต้องการหาสถานที่สำหรับพักผ่อนและฟื้นฟูร่างกายเป็นพิเศษ เขาก็คงจะมองข้ามสถานที่นั้นไปอย่างแน่นอน
“จริงๆ แล้ว มันก็ไม่ได้เลวร้ายนัก” เขาคิด ส่งเจตจำนงเข้าไปในเถาวัลย์ และพวกมันก็เคลื่อนที่ไปยังทิศทางของภูเขาเตี้ยๆ ลูกนั้น
ในที่สุดเขาก็มาถึงบริเวณนั้น เดินเท้าเข้าไปใกล้ ปล่อยให้เถาวัลย์มุดลงไปในพื้นดิน และปิดบังตัวเองไว้
เมิ่งฮ่าวเดินผ่านหญ้ารกและสระน้ำ สังเกตเห็นสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กสีดำ กำลังกินน้ำอยู่ มันมองมาที่เขา แสดงท่าทางดุร้ายออกมา
เมิ่งฮ่าวไม่สนใจมัน บินขึ้นไปในอากาศเพื่อตรวจสอบภูเขา หลังจากนั้น เขาก็บินตรงไปยังรอยแยกที่กว้างอยู่บนพื้นผิวของภูเขา ความพึงพอใจปรากฎขึ้นบนใบหน้า
รอยแยกนั้นลึกลงไปยังด้านล่าง และใช้เวลาไม่นานประตูถ้ำแห่งเซียนก็ปรากฎอยู่ที่เบื้องหน้า เมิ่งฮ่าวโบกสะบัดมือ ทำให้ประตูสั่นไปมา จากนั้นก็เปิดออกอย่างช้าๆ
ถ้ำแห่งเซียนนี้ไม่ได้กว้างมากนัก ทุกสิ่งทุกอย่างด้านในเต็มไปด้วยฝุ่น เห็นได้ชัดว่าไม่มีใครเข้ามาเป็นเวลานานมากแล้ว ถึงแม้จะมีกลิ่นอายของขั้นรวบรวมลมปราณระดับห้าหรือหกยังคงลอยไปมาอยู่ด้านใน ดูท่าเจ้าของถ้ำคนเดิมมีพื้นฐานฝึกตนไม่สูงมากนัก
หลังจากมองไปรอบๆ สักพัก เมิ่งฮ่าวก็โบกสะบัดมือ เกิดเป็นสายลมพัดออกมา กวาดฝุ่นและสิ่งอับชื้นให้หายไป
ต่อมาเขานั่งลงขัดสมาธิ และสูดลมหายใจเข้าไปลึกๆ มีท่าทางครุ่นคิดเต็มอยู่ในแววตา หลังจากขยับมือร่ายเวทอาคมอย่างรวดเร็ว เขาก็สะบัดนิ้วตรงไปยังประตู มันค่อยๆ ปิดลง จากนั้นสัญลักษณ์เวทก็ปรากฎขึ้นบนประตูนั้น ผนึกปิดมันไว้
“อาการบาดเจ็บของข้าถูกรักษาไปห้าในสิบส่วนแล้ว ข้าได้รับบาดเจ็บสาหัสมากจริงๆ ในตอนนี้…” เขาหยิบเม็ดยาขึ้นมากลืนมันลงไป จากนั้นก็หลับตาลงเข้าฌาณ อาการบาดเจ็บของเขาค่อยๆ เยียวยาฟื้นฟูกลับมาอย่างช้าๆ แต่มั่นคง
ในฐานะที่เป็นเจ้าโอสถของเต๋าแห่งการปรุงยา ย่อมทำให้เขาสามารถปรุงเม็ดยาระดับเลิศ เพื่อรักษาอาการบาดเจ็บของตัวเองได้อย่างง่ายดาย
เวลาผ่านไปอย่างช้าๆ และสงบสุข ภายในถ้ำแห่งเซียนเงียบสงบและมืดมิด เขานั่งอยู่เพียงลำพัง ในที่สุดก็ตื่นขึ้นมาจากความเคลิบเคลิ้ม ลืมตาขึ้นมา และมองออกไปในความมืด ด้วยเหตุผลบางอย่าง เหตุการณ์ตอนที่เขาอยู่ในสำนักจื่อยิ่นได้ปรากฎขึ้นในจิตใจ
“ตระกูลจี้…” แสงเจิดจ้าปรากฎขึ้นในดวงตา ซึ่งเขาก็หลับตาลงอีกครั้ง
สามเดือนค่อยๆ ผ่านพ้น ถึงแม้เมิ่งฮ่าวจะไม่ค่อยรับรู้ถึงกาลเวลาที่ผ่านไป แต่ตอนนี้บาดแผลของเขาส่วนมากเกือบจะหายดีหมดแล้ว อย่างน้อยก็แปดในสิบส่วน จากการคาดคำนวนภายในไม่กี่เดือน เขาก็จะฟื้นฟูได้อย่างสมบูรณ์ และกลับคืนสู่ขั้นสูงสุดที่เขาเคยเป็นมาก่อน อันที่จริง เขาอาจจะมีความคืบหน้าบ้างเล็กน้อย
สิ่งที่แปลกมากที่สุดสำหรับเขาก็คือ ในช่วงสามเดือนที่ผ่านมา ไม่มีการไล่ติดตามมาของตระกูลจี้แม้แต่น้อยนิด ทำให้เมิ่งฮ่าวอดคิดสรุปเป็นการส่วนตัวไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องนี้
ทันใดนั้น เขาก็คิดถึงบางสิ่งบางอย่าง “เป็นเพราะท่านอาจารย์หรือไม่…?” เขาคิดอย่างเงียบๆ เกี่ยวกับเรื่องนี้สักพัก
ในที่สุด เขาก็ถอนหายใจ หลับตาลง และเพ่งสมาธิไปที่การรักษาอาการบาดเจ็บต่อไป หลังจากนั้น จู่ๆ สีหน้าเขาก็เปลี่ยนไป และเพ่งสมาธิไปยังด้านนอกของถ้ำแห่งเซียน
ประมาณหนึ่งร้อยหลี่จากภูเขาเตี้ยลูกนี้ มีบุรุษร่างผอมแห้งอายุราวๆ สามสิบปี กำลังเดินมาด้วยความรอบคอบระมัดระวังตัวเป็นอย่างมาก
พื้นฐานฝึกตนของมันไม่ได้สูงมากนัก อยู่ในระดับหกขั้นรวบรวมลมปราณ ประกายอำมหิตมองเห็นได้ในดวงตาของมัน ถ้าที่นี่เป็นดินแดนด้านใต้ น้อยคนนักที่อยู่ในระดับเดียวกันนี้จะสามารถมีชัยเหนือมันได้
“ครั้งนี้ข้าช่างเคราะห์ร้ายจริงๆ” บุรุษผู้นั้นบ่นผ่านร่องฟัน “นั่นเป็นสถานที่บ้าบออะไรกัน!? ทำให้ข้าติดอยู่นานถึงสองปี!” ดวงตามันสาดประกาย ขณะที่มุ่งตรงมายังภูเขาเตี้ยอย่างรวดเร็ว
ดูเหมือนมันจะทำอยู่เป็นประจำ บุรุษผู้นั้นอ้อมเป็นวงก่อนที่จะตรงมายังภูเขาเตี้ย มองไปรอบๆ อยู่ตลอดเวลา เมื่อมั่นใจว่ามันไม่ได้ตกอยู่ในอันตราย และไม่มีผู้ใดติดตามมา มันก็กระโดดเข้าไปในรอยแยก และปีนลงไป
“นับจากนี้ไป ข้าจะไม่ไปยังสถานที่บัดซบนั้นอีก โชคดีที่แม้ว่าข้าจะติดอยู่ถึงสองปี อย่างน้อยข้าก็ยังไม่ได้รับอันตรายถึงแก่ชีวิต คนอื่นๆ ส่วนมากมักจะถูกสังหารไป” มันถอนหายใจ พึมพำกับตัวเอง ขณะที่มันปีนลงไปในรอยแยก การที่ได้เห็นความตายมามากมาย ทำให้มันไม่รู้สึกหวาดกลัวมากนัก อย่างน้อยก็เหมือนกับเป็นเรื่องธรรมดาในส่วนหนึ่งชีวิตของมัน
“โชคร้ายนัก ที่ข้ายังคงไม่มียาน้ำ” มันพึมพำ “แต่ข้าก็ยังมีถ้ำแห่งเซียนของตัวเอง นับว่าข้าเป็นผู้ที่โชคดีมากผู้หนึ่ง” ดูท่าทางอิ่มเอมใจ มันผ่อนคลายลงเล็กน้อย ในที่สุด ก็กลับมายังถ้ำแห่งเซียน ที่มันสามารถพักผ่อนได้อย่างวางใจ มันยกมือขวาขึ้น และหยิบเอาเหรียญคำสั่งโยนตรงไปยังประตู
ทันใดนั้น ดวงตามันก็เบิกกว้าง ขณะที่มองไปยังเหรียญที่กระทบพื้นเป็นเสียงดัง ประตูถ้ำแห่งเซียนไม่ขยับเคลื่อนไหว
“ประตูพังแล้ว?” มันคิดอ้าปากค้าง เดินตรงไปหยิบเอาเหรียญคำสั่งขึ้นมา และจากนั้นก็มองไปอย่างระมัดระวัง มันกำลังจะพยายามใช้เหรียญนั้นอีกครั้ง แต่ทันใดนั้น ก็สังเกตเห็นเครื่องหมายบางอย่างในฝุ่นบนพื้นดิน ซึ่งทำให้เห็นได้ชัดว่าประตูได้ถูกเปิดออกเมื่อเร็วๆ นี้
โทสะลุกไหม้อยู่ในดวงตาของมันในทันที ทำไมถึงจะไม่เข้าใจว่าถ้ำแห่งเซียนของมันได้ถูกขโมยไปโดยใครบางคน!
“ข้าไม่รู้ว่าเจ้ามาจากไหน, เจ้าโง่!” มันตะโกนออกมาทันที “แต่นี่เป็นถ้ำแห่งเซียนของหวงเหยียเยี่ย! (ท่านปู่หวง) ไสหัวออกมาเดี๋ยวนี้!” ในความคาดคิดของมัน พลังลมปราณในถ้ำนี้ได้เหือดแห้งหายไปนานแล้ว ผู้ฝึกตนขั้นรวบรวมลมปราณที่อยู่ในระดับสูง คงไม่ค่อยสนใจถ้ำนี้มากนัก โดยไม่ต้องพูดถึงผู้ที่มีความแข็งแกร่งมากกว่านี้
ยิ่งไปกว่านั้น มันได้ครอบครองถ้ำแห่งนี้มานานหลายปี แน่นอนว่า เคยมีบางคนได้พยายามจะยึดครองไปจากมันมาก่อน แต่พวกเหล่านั้นก็เป็นคนที่มีระดับพื้นฐานฝึกตนต่ำกว่ามัน และถูกมันสังหารไปจนหมดสิ้น สุดท้าย มันก็เป็นเจ้าของถ้ำเล็กๆ แห่งนี้แต่เพียงผู้เดียว
แต่ตอนนี้ก็เห็นได้ชัดว่า หลังจากที่มันหายไปนานถึงสองปี ก็มีใครบางคนมายึดครองถ้ำนี้ไป
“เปิดประตู! นี่คืออาณาเขตและเป็นถ้ำแห่งเซียนของหวงเหยียเยี่ย ทุกคนในบริเวณนี้ทั้งหมดต่างก็รู้ว่าข้าคือราชามังกรแปดแขน, หวงต้าเซียน!”
ภายในถ้ำแห่งเซียน เมิ่งฮ่าวขมวดคิ้ว สถานที่แห่งนี้ดูเหมือนจะถูกทิ้งร้างไว้ก่อนหน้านี้ เขาไม่เคยคาดคิดว่าจริงๆ แล้วก็มีผู้คนอาศัยอยู่…
“เจ้าช่างทะเยอทะยานและบังอาจมาก ที่มาขโมยถ้ำแห่งเซียนของหวงเหยียเยี่ย!” หวงต้าเซียนแผดร้อง เมื่อเห็นว่าไม่มีเสียงตอบรับดังมาจากด้านใน มันก็แค่นเสียงเย็นชา และจากนั้นก็เริ่มร่ายเวทอาคมด้วยมือขวา ยื่นนิ้วออกมา และด้วยใบหน้าที่แดงก่ำ มันส่งเปลวไฟพุ่งออกมา กลายเป็นไฟลูกทรงกลม พุ่งตรงไปยังประตูถ้ำแห่งเซียน
เสียงระเบิดดังก้องไปทั่วรอยแตกแคบๆ หลังจากนั้นหวงต้าเซียนก็เริ่มตะโกนขึ้นอีกครั้ง “เปิดประตู! เจ้าบัดซบ…”
ก่อนที่มันจะทันได้พูดจบ ประตูก็เปิดแง้มออกมาอย่างเงียบๆ หวงต้าเซียนแค่นเสียงในลำคอ รู้สึกยินดีที่การข่มขู่ด้วยวิชาเวทของมันได้ผล มันเต็มไปด้วยโทสะ แต่ก็ไม่ได้พุ่งเข้าไปด้านในทันที ความระมัดระวังสาดประกายอยู่ในดวงตา
มันค่อยๆ เปิดประตูออก ด้านใน มันเห็นทุกสิ่งทุกอย่างสะอาดสะอ้านไร้ฝุ่นละออง เมิ่งฮ่าวนั่งอย่างสงบอยู่ที่นั่น
เมื่อเห็นเมิ่งฮ่าวอยู่ตัวคนเดียว มันก็พูดว่า “เหยียเยี่ย…” แต่ในท่ามกลางโทสะของมัน ทันใดนั้น มันก็มองเข้าไปในดวงตาเมิ่งฮ่าว ภายในความลึกล้ำนั้นเป็นความเย็นเยียบราวน้ำแข็ง
เส้นผมของเขาเป็นสีขาวโพลน และเปล่งกลิ่นอายอันน่ากลัวอย่างน่าตกใจออกมา ผิวหนังซีดขาวราวกับว่าเขาต้องการโลหิตเพิ่มเพื่อทำให้มันดูปกติขึ้นอีกครั้ง
ทั้งหมดนี้ทำให้หวงต้าเซียนรู้สึกราวกับว่า เพิ่งจะมีน้ำเย็นจัดราดรดลงมาบนศีรษะของมัน ทันใดนั้น มันก็เริ่มสั่นไปทั่วร่าง
“สะ…สะ…สหายเต๋า…”