ภาพนั้นทำให้ทุกคนในโลกด้านนอก จ้องมองไปด้วยดวงตาที่เบิกกว้าง
สีหน้าของนักปรุงยาแห่งแผนกเม็ดยาบูรพาจำนวนมากมาย เต็มไปด้วยความไม่อยากจะเชื่อ กระถางภายในแดนสวรรค์กำลังจะเกิดการระเบิดอย่างน่าตกใจ เสียงกระหึ่มกึกก้องรุนแรงนั้น ทำให้กระถางปรุงยามากมายสั่นไปมา
ที่ห่างออกไปค่อนข้างไกล เมิ่งฮ่าวทันใดนั้นก็มองกลับไปด้านหลัง ไม่มีใครในโลกด้านนอกรู้ว่า ทำไมกระถางเหล่านั้นถึงได้ทำเช่นนี้ แต่เมิ่งฮ่าวรู้ กระถางปรุงยานับแสนที่ด้านใน กำลังพยายามจะกรุยทางเพื่อไล่ตามเขามา
ดวงตาเขาสาดประกาย พุ่งออกจากกระถางปรุงยา ไปถึงเส้นทางสุดท้ายที่เหลืออยู่บนภูเขาจื่อตง เขารู้สึกเหน็ดเหนื่อย แต่ก็ยังคงผลักดันให้ตัวเองก้าวต่อไปอย่างเต็มกำลัง ในเวลาไม่กี่อึดใจ เขาก็อยู่บนเส้นทางนั้น ไต่สูงขึ้นไป เส้นทางภูเขาที่ด้านหลังหายไป
เสียงระเบิดของกระถางปรุงยาดังรุนแรงมากยิ่งขึ้น และเสียงปะทุก็ได้ยินออกมา แต่เมิ่งฮ่าวก็ไม่ได้กังวลใจ ไม่แม้แต่จะมองกลับไปที่ด้านหลัง เขาขึ้นไปตามทางภูเขาอย่างต่อเนื่อง
ทุกคนในโลกด้านนอก มองเห็นกระถางปรุงยาสั่นไปมาอย่างรุนแรง ราวกับว่ามันอาจจะระเบิดออกเป็นชิ้นๆ ได้ทุกเมื่อ
“เจ้าเล่ห์ยิ่งนัก, เจ้าเด็กน้อย” ตานกุ่ยกล่าว พร้อมรอยยิ้มอันลึกลับ ท่านยื่นมือออกไปยังภาพของแดนสวรรค์ และยื่นนิ้วออกไป เมื่อนิ้วเลื่อนลงไป ก็เกิดเป็นเสียงกระหึ่มเต็มอยู่ในท้องฟ้าของแดนสวรรค์ ภาพของนิ้วขนาดใหญ่ปรากฎขึ้น ซึ่งดูเหมือนจะปกคลุมไปทั่วทั้งแผ่นฟ้าและผืนดิน กลายเป็นหลังคาที่ปกคลุมไปทั่วทั้งแดนสวรรค์
นิ้วนั้นหนาและหยาบอย่างน่าเหลือเชื่อ เห็นลายนิ้วมือได้อย่างชัดเจนบนพื้นผิว การปรากฎขึ้นของนิ้วอันใหญ่โตนี้ ดูเหมือนจะสร้างความสั่นสะเทือนให้กับแดนสวรรค์ ราวกับเป็นเจตจำนงของตัวสวรรค์เอง! ปรมาจารย์ย่อยจากสำนักอื่นๆ ที่ด้านนอกต่างก็ประหลาดใจไปตามๆ กัน
พวกมันมองภาพนี้อย่างเงียบๆ ขณะที่ภาพเกิดขึ้นภายในแดนสวรรค์ พลังที่กระจายออกมา ทำให้ฟ้าสะท้านดินสะเทือน ราวกับว่าทั้งฟ้าดินถูกควบคุมไว้ ระลอกคลื่นกระจายออกมาอย่างไร้จุดสิ้นสุด ราวกับว่านิ้วนั้นมีเจตจำนงของตัวเอง มันค่อยๆ กดลงไปบนกระถางที่อยู่ตรงเชิงเขาของภูเขาจื่อตง
ทันทีที่มันกดลงไป ทั่วทั้งโลกของแดนสวรรค์ก็สั่นสะเทือน หลังจากนั้น ทุกสิ่งทุกอย่างก็กลับเป็นเหมือนเดิม กระถางปรุงยาที่ก่อนหน้านี้กำลังสั่นไปมา ตอนนี้ก็หยุดนิ่งไร้การเคลื่อนไหวใดๆ ขณะที่นิ้วได้กดลงไป
ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นเพียงแค่สองอึดใจ จากนั้น นิ้วขนาดใหญ่ยักษ์นั้นก็หายไป และกระถางปรุงยาก็สงบนิ่งเหมือนเดิมอีกครั้ง
บนภูเขาตงหลาย ทุกสิ่งทุกอย่างเงียบสงบ ปรมาจารย์จื่อหลัวกำลังหอบหายใจ ขณะที่จิตใจของมันเต้นรัว มองไปยังสีหน้าที่ไร้ความรู้สึกของตานกุ่ยด้วยความตกตะลึง
“จากข่าวลือ” มันคิด “ผู้ที่มีความแข็งแกร่งมากที่สุด ในสำนักจื่อยิ่น ไม่ใช่ปรมาจารย์ของแผนกลมปราณม่วง แต่เป็นตานกุ่ยต้าชือ ข่าวลือนั้นยังได้บอกว่า พื้นฐานฝึกตนของต่านกุ่ย บรรลุถึงขั้นตัดวิญญาณเมื่อหลายปีมาแล้ว ถ้าไม่ใช่เช่นนั้น แล้วทำไมมันถึงได้มีชีวิตอยู่มากกว่าพันปี?”
ปรมาจารย์ย่อยจากสำนักอื่นๆ ทั้งหมด ดูเหมือนกำลังคิดเช่นเดียวกัน เทพกระบี่เต๋าอันดับสองของสำนักกูตู๋เจี้ยน ก้มหน้าลงเล็กน้อย มันเป็นหนึ่งในบุคคลไม่กี่คนในที่นี้ ที่รู้ว่า พื้นฐานฝึกตนของเจ้าโอสถจอมปีศาจจริงๆ แล้ว น่ากลัวมากแค่ไหน
เพราะตานกุ่ยไม่ต้องการให้เกิดเรื่องราวใหญ่โต ท่านจึงได้เชิญแค่ปรมาจารย์ย่อยให้มาในพิธีการรับศิษย์นี้ มิเช่นนั้น ท่านสามารถเชื้อเชิญปรมาจารย์ที่แท้จริงของสำนักใหญ่และตระกูลดังต่างๆ มาได้
ถูหลัว แห่งสำนักเซี่ยเยา กำลังหอบหายใจช้าๆ ดวงตาที่ส่องประกายด้วยสีโลหิต เปลี่ยนเป็นความนับถืออย่างรวดเร็ว มันขบคิดอย่างเงียบๆ ถึงความหวาดกลัวต่อตานกุ่ยของสำนักเซี่ยเยา พวกมันได้รวบรวมข่าวลือมากมายเกี่ยวกับเจ้าโอสถจอมปีศาจ แต่ก็ยังคงไม่อาจเปิดเผยความลับที่น่าตกใจนั้นได้
โชคร้ายที่ความลับเช่นนั้น คนส่วนใหญ่ไม่เคยได้รู้มาก่อน
โจวเจี๋ย แห่งสำนักชิงหลัว มองไปด้วยดวงตาที่หดเล็กลง เจตจำนงอันเย็นชาส่องประกายอยู่ในดวงตา ผสมรวมเข้ากับความรู้สึกอันเข้มข้นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
“ดูเหมือนข้าค่อนข้างจะคุ้นเคยกับมัน ราวกับเป็นกลิ่นอายของสหายเก่า…” ดวงตามันสาดประกาย ขณะที่มองไปยังตานกุ่ย
ขณะที่บุคคลด้านนอกต่างก็ตกตะลึงกับการกระทำของเจ้าโอสถจอมปีศาจ เมิ่งฮ่าวกำลังเดินขึ้นไปบนเส้นทางของภูเขาจื่อตง มองตรงขึ้นไปข้างหน้าเป็นระยะ แต่ทั้งหมดที่มองเห็นได้ก็มีแต่กลุ่มหมอก มองไม่เห็นยอดเขาเลยแม้แต่น้อย
เวลาผ่านไปอย่างช้าๆ เมิ่งฮ่าวเดินย่ำไปทีละก้าว รู้สึกหวาดหวั่นต่อความสูงของภูเขาลูกนี้มากขึ้นเรื่อยๆ ห้าวันผ่านไปแล้ว เขามองไม่เห็นพื้นดินที่ด้านล่างมานานแล้ว กลุ่มเมฆและสายหมอกปกคลุมไปรอบๆ ตัว ทำให้ดูสลัวเลือนลาง ยากที่มองเห็นโลกที่อยู่ด้านนอกของภูเขา
แต่…ไม่ว่าเขาจะอยู่สูงเพียงไร เมิ่งฮ่าวก็ยังรู้สึกว่า เมื่อเทียบกับความสูงของยอดเขา เขาก็ยังคงเหมือนอยู่ที่ด้านล่างของมัน
ยิ่งเขาขึ้นไปสูงมากเท่าไร อากาศก็ลดน้อยลงมากเท่านั้น ไม่มีอะไรจะสามารถมากดดันพื้นฐานฝึกตนของเขาได้ แต่ยิ่งเขาเดินขึ้นไปได้ไกลมากเท่าไร ก็ยิ่งที่ต้องใช้ความพยายามในการเดินแต่ละก้าวมากขึ้นเท่านั้น ในที่สุด ก็ต้องใช้พลังเป็นสองเท่าเพื่อก้าวเดิน เมื่อเทียบกับตอนแรกที่เริ่มเดิน
เมิ่งฮ่าวได้เริ่มการเดินทางไปตามเส้นทางด้วยความเร่งรีบ และรู้สึกเหน็ดเหนื่อยเป็นอย่างยิ่ง รวมกับความพยายามที่เขาใช้ในการต่อสู้ดิ้นรนของกระถางปรุงยาสีดำ ทำให้เขาไม่อาจรีบเร่งได้อีกต่อไป ตอนนี้ เขาเดินไปอย่างช้าๆ หยุดชะงักชั่วครู่ และมองไปรอบๆ ทุกครั้ง บริเวณรอบๆ มีแต่ความเขียวขจี ต้นหญ้าขึ้นอยู่รอบๆ ซึ่งเมิ่งฮ่าวก็เด็ดขึ้นมาเป็นระยะ
จากมุมมองของบุคคลด้านนอกที่สังเกตดู เมิ่งฮ่าวได้อยู่ล้าหลังห่างไกลมาก ผู้เข้าร่วมคนอื่นๆ ทั้งหมดนำหน้าเขาไปไกลแล้ว
นี่ยิ่งจริงเป็นพิเศษสำหรับเยี่ยเฟยโม่ ซึ่งเป็นนักปรุงยาคนแรกที่เข้าสู่ด่านแรกของสี่ด่าน ตรงขึ้นไปข้างหน้าของมันเป็นก้อนศิลาขนาดยักษ์ ซึ่งถูกปกคลุมไปด้วยตัวอักษรที่ถูกจารึกอยู่อย่างหนาแน่น หลังจากตรวจสอบอยู่สักพัก เยี่ยเฟยโม่ก็นั่งลงขัดสมาธิที่ด้านข้าง จากนั้นก็หยิบเอากระถางปรุงยาออกมา และเริ่มต้นปรุงยา
วันต่อมา เม็ดยาก็ปรากฎขึ้น มันถือเม็ดยาด้วยสองมืออย่างระมัดระวัง เดินผ่านก้อนศิลานั้นต่อไป
ไม่นานหลังจากนั้น ฉู่อวี้เยียนก็ปรุงเม็ดยาด้วยเช่นกัน และจากนั้นก็เดินทางต่อไป นักปรุงยาที่เหลือทั้งหมดทำเช่นเดียวกัน ยกเว้นเมิ่งฮ่าว
อาจารย์ปรุงยาแห่งแผนกเม็ดยาบูรพาเริ่มพูดคุยกันเกี่ยวกับสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น
“ไม่ต้องสงสัยเลยว่า เยี่ยเฟยโม่ เป็นผู้ที่อยู่บนจุดสูงสุดของเจ้าแห่งเตา พื้นฐานฝึกตนของมันไม่ธรรมดา และมันก็เป็นคนแรกที่ก้าวเข้าไปในเขตแรก ความสามารถในการจดจำเม็ดยา และการปรุงยาของมัน ต่างก็ยอดเยี่ยม ข้าพนันว่ามันต้องชนะ”
“ฉู่อวี้เยียนก็ทำได้ดีเช่นเดียวกัน การประลองเลื่อนขั้นครั้งนี้ เป็นการตัดสินระหว่างคนทั้งสอง ตอนแรก ข้าคิดว่าฟางมู่น่าจะมีโอกาส แต่ก็ไม่เคยคิดเลยว่ามันจะใช้เวลานานมากในการค้นหากระถางปรุงยา น่าเสียดายจริงๆ”
“ใช่แล้ว, ถ้าก้าวแรกชักช้า ทั้งหมดต่อมาก็คงจะช้าตามไปด้วย…”
เสียงพูดคุยเกือบทั้งหมด ดังมาจากอาจารย์ปรุงยาธรรมดา เจ้าแห่งเตา และเทพกระถางม่วง เพียงแต่มองไปอย่างครุ่นคิด เลือกที่จะไม่พูดอะไรออกมา
ไม่กี่วันหลังจากนั้น เมิ่งฮ่าว ในที่สุด ก็มาถึงด่านแรก และมองเห็นก้อนศิลายักษ์ เขามองไปที่ตัวอักษรที่จารึกไว้ ศึกษาพวกมันอยู่สักพัก ก่อนที่จะชำเลืองมองไปยังเส้นทางที่ต้องเดินขึ้นไปต่อ
“นี่คือด่านแรก ด้านหลังของก้อนศิลานี้ เป็นเส้นทางที่นำไปสู่ด่านที่สอง ซึ่งถูกปกคลุมไปด้วยละอองหมอกพิษ…ต้องปรุงเม็ดยาขจัดพิษเพื่อเดินผ่านไปได้อย่างปลอดภัย สิ่งที่ยากมากที่สุดก็คือ ตลอดของการเดินทาง พิษที่แตกต่างกันก็จะปรากฎขึ้น และแต่ละคนก็ต้องปรุงยาพิเศษของตัวเองออกมา” เมิ่งฮ่าวครุ่นคิดเกี่ยวกับสถานการณ์นี้สักพัก ในที่สุด เขาก็หยิบเอากระถางปรุงยาสีดำออกมา และมองไปที่มัน ดูเหมือนเขายังไม่ได้ชนะมันอย่างแท้จริง ดังนั้น เขาจึงตัดสินใจเก็บมันกลับเข้าไปในถุงสมบัติ ปล่อยให้มันถูกปราบปรามด้วยกาลเวลา หยิบเอากระถางหมื่นปราณีตออกมาแทน ใส่ต้นสมุนไพรบางอย่างลงไป และจากนั้นก็เริ่มปรุงยา
หลังจากหนึ่งชั่วยามผ่านไป เขาก็ได้เม็ดยา กลืนมันลงไป จากนั้นก็ชำเลืองมองไปยังภาพรอบๆ ตัวอีกครั้ง และเดินผ่านก้อนศิลายักษ์ไป ขณะที่เขาเดินต่อไป ร่างกายก็ถูกห้อมล้อมไปด้วยหมอกบางๆ
อาจารย์ปรุงยา เริ่มพูดคุยในสิ่งที่เพิ่งจะเกิดขึ้นทันที
“เจ้าแห่งเตาฟางมู่ช่างเชื่อมั่นในตัวเองนัก มันใช้เวลาเพียงแค่หนึ่งชั่วยามในการปรุงเม็ดยา ผู้แข่งขันคนอื่นๆ ทั้งหมด คนที่ใช้เวลาน้อยที่สุดก็คือ เยี่ยเฟยโม่ ซึ่งใช้เวลาสองชั่วยาม นานสุดก็คือหนึ่งวัน”
“มันจะไปเปรียบเทียบกับเจ้าแห่งเตาเยี่ยได้อย่างไร? เจ้าแห่งเตาเยี่ยก็คือเจ้าโอสถจอมกระถาง ดูสิ, เจ้าแห่งเตาเยี่ยเป็นคนที่นำอยู่ไกลมากที่สุด และผ่านไปถึงครึ่งทางของด่านแรกแล้ว”
ทุกคนกำลังมองไปที่จอภาพ ซึ่งเห็นได้อย่างชัดเจนว่ามีอะไรเกิดขึ้น และรู้ได้ชัดว่าทุกคนมีความคืบหน้าไปถึงไหนกันแล้ว แม้แต่เจ้าแห่งเตาบางคนก็ได้สบตากัน สำหรับพวกมัน ก็ดูเหมือนว่าเมิ่งฮ่าวกำลังเลินเล่อและประมาทมากไปจริงๆ
แน่นอนที่ เมิ่งฮ่าวไม่รู้ว่าพวกมันกำลังพูดเรื่องอะไรกันอยู่ และเขาก็ไม่สนใจที่จะรู้ด้วย เดินผ่านหมอกพิษต่อไปอย่างไม่ลดละ มันหนาแน่นมากขึ้น เมื่อเขาเดินผ่านไป และสีก็เปลี่ยนไปเช่นเดียวกัน กลายเป็นสีเทาเข้ม
ต้นไม้ใบหญ้าทั้งหมดในบริเวณนั้นต่างก็แห้งเหี่ยว และดูเหมือนจะเป็นเช่นนี้มาหลายปีแล้ว กลิ่นอายอันเยือกเย็นมืดมนเต็มอยู่ในอากาศ ขณะที่เมิ่งฮ่าวเดินไป ก็มองเห็นตะขาบตัวยาวเท่าแขน เลื้อยหนีเข้าไปในกอหญ้าแห้งอย่างรวดเร็วเป็นระยะ
แต่ไม่ว่าแมลงพิษจะปรากฎขึ้น ขณะที่เมิ่งฮ่าวเดินผ่านไป มันก็มักจะหยุดชะงักลงในทันที ดูเหมือนไม่อาจจะทำสิ่งใดๆ กับเขาได้ พวกมันได้แต่ปล่อยให้เขาเดินต่อไป
เวลาผ่านไปอย่างช้าๆ ขณะที่เขาเดินไป ก็มักจะหยุดพักเป็นระยะ ใช้ต้นหญ้าที่แห้งเหี่ยวในบริเวณนั้น รวมถึงแมลงพิษบางอย่าง ปรุงขึ้นมาเป็นเม็ดยา เขาทำเช่นนี้ทั้งหมดสามครั้ง
แมลงพิษเริ่มปรากฎให้เห็นมากขึ้นเรื่อยๆ พวกมันอยู่กันเป็นกลุ่ม แต่ทันทีที่เมิ่งฮ่าวเข้าไปใกล้ พวกมันก็เริ่มตัวสั่นสะท้าน หรือไม่ก็หนีไป สำหรับหมอกพิษ มันมักจะเคลื่อนตัวห่างออกไปอยู่ตลอดเวลา สร้างเป็นทางให้เมิ่งฮ่าวเดินผ่านไป
พวกที่สังเกตดู เห็นเหตุการณ์นี้ได้อย่างชัดเจน มองมาด้วยดวงตาที่เบิกกว้างประหลาดใจ ในที่สุด สายตามากมายก็เริ่มเพ่งไปบนจอภาพของเมิ่งฮ่าว ไม่เพียงแต่แผนกเม็ดยาบูรพาเท่านั้น แม้แต่ผู้ฝึกตนจากสำนักอื่นๆ ก็กำลังมองไปอย่างจดจ่อ
“มันกำลังใช้แมลงพิษเพื่อสร้างเป็นเม็ดยา แต่จริงๆ แล้ว มันเป็นเม็ดยาอะไรกันแน่?”
“นั่นเป็นเม็ดยาอะไร? มันช่างมีประสิทธิภาพอย่างน่าเหลือเชื่อนัก…”
เหล่าผู้ฝึกตนมองไปด้วยความประหลาดใจ จากนั้นก็ชำเลืองมองไปยังจอภาพของผู้แข่งขันคนอื่นๆ รวมถึง เยี่ยเฟยโม่ และฉู่อวี้เยียน ดูเหมือนพวกมันเกือบทั้งหมด กำลังเข้าไปใกล้บันไดขั้นสุดท้าย ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของด่านแรก พวกมันเกือบทั้งหมดได้ปรุงเม็ดยาหลายครั้ง ในช่วงการเดินทาง พวกมันยังได้ปรุงเม็ดยาสำหรับปัดเป่าพิษ แต่ไม่มีใครสร้างเม็ดยาที่มีประสิทธิภาพได้เท่ากับของเมิ่งฮ่าว
นี่แน่นอนว่า เป็นเพราะแมลงพิษตามเส้นทางของพวกมัน ดูเหมือนจะไม่มีความโน้มเอียงที่จะหลีกเลี่ยงเยี่ยเฟยโม่และคนอื่นๆ แต่ในความน่ากลัวของแมลงพิษเหล่านั้น พวกมันมักจะตะเกียกตะกายออกไปจากเส้นทางของเมิ่งฮ่าว
ถ้าภาพเหล่านี้อยู่ในสถานที่อื่น ที่ไม่ใช่การประลองของสำนักจื่อยิ่น ผู้คนมากมายก็จะเริ่มคิดไปหลากหลาย แต่นี่คือการเลื่อนขั้นเป็นเทพกระถางม่วง ดังนั้นมันจึงจบลงโดยผู้สังเกตการณ์มีผลสรุปเป็นหนึ่งเดียวกันว่า
เม็ดยาที่ฟางมู่ปรุงขึ้นมา ช่างไม่ธรรมดาเป็นอย่างยิ่ง!