“ทะเลทรายตะวันตก…” เมิ่งฮ่าวขมวดคิ้ว อีกฝั่งหนึ่งของทะเลเทียนเหอเป็นทะเลทรายตะวันตก และดินแดนด้านใต้ ตรงกลางของดินแดนทั้งสองก็คือดินแดนสีดำ ซึ่งไม่ได้กว้างใหญ่มากนัก
ดินแดนสีดำ เป็นเพียงทางผ่านระหว่างดินแดนด้านใต้ และทะเลทรายตะวันตก สถานที่อื่นๆ ได้ถูกปิดผนึกไว้นานแล้ว โดยผู้ฝึกตนระดับปรมาจารย์จากดินแดนยิ่งใหญ่ทั้งสอง ทำให้เกิดเป็นสองทวีปหรือสองดินแดน
จากประวัติศาสตร์ ได้เกิดสงครามใหญ่ที่สร้างความสั่นสะเทือนไปทั่วโลกสองครั้ง ระหว่างสองดินแดนนี้ ในช่วงของสงครามใหญ่ทั้งสองครั้ง สำนักทั้งหมดของทั้งทะเลทรายตะวันตก และดินแดนด้านใต้ต่างก็เข้าร่วม สงครามครั้งนั้นไม่ใช่สงครามระหว่างสองสำนักหรือตระกูล มันเป็นสงครามหลักระหว่างพลังอันยิ่งใหญ่ทั้งสอง
ผู้รุกรานในสงครามทั้งสองครั้งก็คือ ทะเลทรายตะวันตก!
ทรัพยากรในการฝึกตนของทะเลทรายตะวันตกมีข้อจำกัดเป็นอย่างมาก ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีภูมิอากาศที่น่ารังเกียจ และพลังปราณก็ไม่เพียงพอ ด้วยเช่นนั้น จึงได้เกิดผู้ที่โดดเด่นผุดขึ้นมา ดังนั้นในท่ามกลางความยากลำบากทั้งหมด พลังของทะเลทรายตะวันตกก็ยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้นไปเรื่อยๆ
ในทะเลทรายตะวันตก การฝึกตนไม่ใช่เรื่องหลัก สิ่งสำคัญมากที่สุดก็คือการมีชีวิตรอด ที่นั่น กฎแห่งป่ามีความโหดร้ายมากมายหลายเท่ากว่าดินแดนด้านใต้ ภายใต้สถานการณ์เช่นนั้น ผู้ฝึกตนที่มีพรสวรรค์ ก็จะเหมือนกับเหล็กหมาดที่เจาะทะลุถุงกระสอบป่านออกมา โดยทั่วไปแล้ว ก็จะมีความแข็งแกร่งมากกว่าผู้ฝึกตนดินแดนด้านใต้ที่อยู่ในระดับเดียวกัน
พวกมันอิจฉาความร่ำรวยและเฟื่องฟูของดินแดนด้านใต้ ดังนั้น พวกมันจึงก่อสงคราม!
สงครามทั้งสองครั้งได้ทำให้เกิดการแบ่งเขตแดนระหว่างตะวันตกและทางใต้
เมิ่งฮ่าวยกมือขึ้น ทะเลเปลวไฟก็พุ่งออกมา เผาไหม้ร่างของผู้ฝึกตนทะเลทรายตะวันตกจนกลายเป็นเถ้าธุลีอย่างสมบูรณ์ สายตาแวบขึ้น เมิ่งฮ่าวกลายเป็นลำแสง และมุ่งหน้าต่อไป ด้วยความรอบคอบกว่าก่อนหน้านี้
เวลาผ่านไปอย่างช้าๆ ภายในเขาวงกตนี้ไม่เพียงมีผู้ฝึกตนจากทะเลทรายตะวันตก แต่ยังมีผู้ฝึกตนจากดินแดนด้านใต้ด้วย เมื่อพวกมันวิ่งมาพบเจอกัน บางครั้งพวกมันก็จะช่วยเหลือซึ่งกันและกัน บางทีก็อาจจะมีการต่อสู้เกิดขึ้น ทุกสิ่งทุกอย่างค่อนข้างจะวุ่นวาย
ในโลกด้านนอก ปรมาจารย์จากสำนักต่างๆ ได้กลับไปยังเสาแห่งแสงของพวกมัน ในตอนนี้ ความวิตกกังวลก็มองเห็นได้จากใบหน้าของพวกมัน เวลาผ่านไปหนึ่งเดือนแล้ว ยังไม่มีใครแม้แต่คนเดียวได้กลับออกมา
ปรากฎการณ์เช่นนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนเมื่อในอดีต ก่อนหน้านี้ เมื่อแตะสัมผัสซากศพ ผู้คนก็จะถูกเคลื่อนย้ายทางไกลออกไป แต่โดยส่วนมาก พวกมันก็จะหายไปเพียงแค่ครึ่งเดือน และจากนั้นก็จะเคลื่อนย้ายทางไกลกลับมา ถ้าไม่ใช่เช่นนั้นก็หมายถึง…พวกมันได้ตายไปแล้ว!
การเปลี่ยนแปลงอื่นๆ ที่ไม่เหมือนก่อนหน้านี้ก็คือ เมื่อหนึ่งเดือนก่อน ได้มีเกราะป้องกันผุดขึ้นมารอบๆ ซากศพ ป้องกันไม่ให้ใครเข้าไปใกล้ ไม่มีใครผ่านเกราะป้องกันนั้นเข้าไปได้ แม้แต่ปรมาจารย์ขั้นตัดวิญญาณ
แต่อย่างไรก็ตาม พวกมันสัมผัสได้ว่าเกราะป้องกันนั้น เป็นกลิ่นอายที่แผ่กระจายออกมาจากซากศพ ทำให้คาดเดาได้อย่างง่ายดายว่ากลิ่นอายนั้นก็คือ…พลังชีวิต!
นี่เป็นการคาดเดาว่าเซียนผู้นี้ยังไม่ได้ตายไป! มันยังคงมีลมหายใจเหลืออยู่หนึ่งอึดใจ!
ดินแดนด้านใต้สั่นสะเทือนไปจนถึงแกนกลาง มีปรมาจารย์เดินทางมาถึงมากขึ้น แต่ก็ไม่มีใครสามารถทำอะไรได้ มีวิธีการเดียวในช่วงสั้นๆ นี้ก็คือใช้ของวิเศษอันล้ำค่าบางอย่าง ระเบิดเกราะป้องกันนั้นให้เปิดออก แต่…พวกมันก็เห็นได้ชัดว่า ถึงแม้จะไม่ได้ใช้ของวิเศษล้ำค่าเช่นนั้น เกราะป้องกันก็จะหายไปเองภายในหนึ่งเดือน
ดังนั้น แต่ละสำนักก็ได้แต่สังเกตดูว่าแผ่นหยกชีวิตของศิษย์ทั้งหมดของพวกมัน ยังเป็นปกติไม่แตกสลายไปอย่างไม่อาจจะทำอะไรได้ เห็นได้ชัดว่า ศิษย์ทั้งหมดยังมีชีวิตอยู่ถึงแม้จะอยู่ในห้วงอันตรายก็ตามที สำหรับตอนนี้ สิ่งที่ดีที่สุดก็คือรอคอย
นอกจากนั้น ถึงแม้จะไม่มีใครพูดออกมา แต่ปรมาจารย์ทั้งหลายจะไม่เห็นได้อย่างไรว่า เกราะป้องกันนั้นไร้สิ่งกีดขวาง และมีการป้องกันเพิ่มมากขึ้น? การหายไปของศิษย์ทั้งหมดจำนวนมากเป็นเรื่องที่อันตราย ได้แต่มองว่านี่เป็นจังหวะของชีวิต
เห็นได้ชัดว่านี่คือ…โชคชะตา!
ภายในเขาวงกต ผู้ถูกเลือกและเต้าจื่อกำลังใช้วิธีหลากหลาย เพื่อค้นหาทางออก แต่ก็ไม่มีใครทำได้สำเร็จ อย่างไรก็ตาม…มีอยู่ไม่น้อยที่โชคดี
ยกตัวอย่างเช่น ในตอนนี้ ฉู่อวี้เยียนกำลังสูดลมหายใจอย่างหนักหน่วง นางเพิ่งจะมาถึงจุดสิ้นสุดของทางแยก ตรงขึ้นไปด้านหน้าเป็นกำแพงใหญ่มหึมา ซึ่งเต็มไปด้วยสูตรยา ทำให้จิตใจของนางหมุนไปมา
หลี่ชือฉีมาถึงพื้นที่ซึ่งเต็มไปด้วยอาคารบ้านเรือน นางจ้องไปยังพวกมันสักพัก ก่อนที่จะตระหนักว่านางถูกห้อมล้อมไว้ด้วยเงาร่างภูติผี ซึ่งกำลังเดินไปมาอยู่ในบริเวณนั้น
ราวกับว่านางได้ค้นพบโลกแปลกๆ บางอย่าง ซึ่งนางได้แต่เป็นเพียงผู้สังเกตการณ์
บุรุษหนุ่มจากตระกูลจี้ ผู้ฝึกตนลำดับขั้น ยืนอย่างอวดดีด้วยการประสานมืออยู่ด้านหลัง ขณะที่มองไปยังสนามรบขนาดใหญ่ ซากปรักหักพังที่ไร้จุดสิ้นสุด ซึ่งอยู่รอบๆ ตัว ไม่ได้ทำให้สีหน้ามันเปลี่ยนไปแม้แต่น้อย มันเดินไปอย่างเรื่อยเปื่อยสักพัก จนกระทั่งโลงศพปรากฎขึ้นที่เบื้องหน้าของมัน
สำหรับหญิงสาวจากตระกูลฟาง แห่งดินแดนตะวันออก สีหน้านางเรียบเฉยขณะที่เดินผ่านดินแดนสวรรค์ นกกระเรียนสีขาวบินอยู่ด้านบน และบริเวณรอบๆ ก็มีแต่ความสวยงามอย่างน่าเหลือเชื่อ
หลี่เต้าอี, หวังโหย่วฉาย, หานซานเต้า, เฉินฟ่าน รวมถึงฉื่อชิง และหานเป้ย ทั้งหมดต่างก็อยู่ในพื้นที่ซึ่งแตกต่างกันในเขาวงกต ภาพที่พวกมันมองเห็น เป็นภาพเดียวกับที่คนอื่นๆ เคยเห็นมาก่อนเมื่อเข้ามายังเขาวงกตก่อนหน้านี้!
หลังจากเดินทางไปหลายวัน เส้นทางของเมิ่งฮ่าว ในที่สุด ก็มาถึงทางตัน ขณะที่เขาโผล่เข้าไปในโลกแห่งใหม่
ถ้าพูดให้ถุกต้อง มันก็คือโลกแห่งดวงดาวอันมากมายมหาศาล!
ดวงดาวมากมายจนนับไม่ถ้วน ไร้จุดสิ้นสุด ส่องแสงระยิบระยับเจิดจ้า ทุกสิ่งทุกอย่างเงียบสงบ ไม่มีเสียงใดๆ ที่เขาจะได้ยินแม้แต่น้อย เมิ่งฮ่าวเดินไปท่ามกลางดวงดาว มองไปรอบๆ ขณะที่ทำเช่นนั้น เขาก็สัมผัสได้ถึงพลังแห่งกาลเวลา รับรู้ได้ถึงร่องรอยอันเก่าแก่โบราณในสถานที่แห่งนี้
ความโบราณนี้รู้สึกราวกับว่าเก่าแก่มากกว่าหนึ่งแสนปี เต็มไปด้วยความอ่อนล้าอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ ราวกับว่ามันกำลังดิ้นรนเพื่อสูดลมหายใจให้มีชีวิตอยู่ต่อไป
ท้องฟ้าแห่งดวงดาวเหล่านี้ทำให้เมิ่งฮ่าวรู้สึกไม่คุ้นเคย ต่างจากท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาว ซึ่งเขามักจะมองขึ้นไปเป็นประจำในยามราตรี…แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง!
ดูเหมือนไม่มีแม้แต่ดาวดวงเดียวที่เหมือนกัน ผืนฟ้านี้กระจายความโบราณออกมา หลังจากจ้องมองไป ก็เห็นได้ชัดว่านี่ไม่ใช่ท้องฟ้ายามราตรีของดินแดนด้านใต้ เมิ่งฮ่าวเกิดความรู้สึกเล็กๆ ราวกับว่าเขากำลังหลอมรวมเข้ากับดวงดาวเหล่านี้ เมื่อความรู้สึกนี้พุ่งขึ้นมา ความคิดอันลึกล้ำของความเชื่อมั่นและความหวัง ทันใดนั้น ก็ลอยขึ้นมาในจิตใจ
มันเป็นความรู้สึกแปลกๆ
เมิ่งฮ่าวรู้ว่า ทุกคนที่ได้เคลื่อนย้ายทางไกลเข้ามาในสถานที่แห่งนี้โดยซากศพ และจากนั้นก็กลับไป คนทั้งหมดต่างก็มองเห็นบางอย่างที่แตกต่างกัน แต่สถานที่ทั้งหมดที่คนเหล่านั้นได้เคยเห็นมาก่อนหน้านี้ ก็ได้ถูกผู้คนที่กำลังอยู่ด้านในตอนนี้กลับมาพบเห็นใหม่อีกครั้ง ยกเว้นท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาวนี้…
จากเริ่มต้นจนถึงตอนนี้ ไม่มีใครไม่ว่าจะยังมีชีวิตอยู่ หรือตายไปแล้ว เคยเห็นภาพนี้มาก่อน
เมิ่งฮ่าวเป็นเพียงคนเดียวที่ได้เห็น!
ขณะที่กำลังครุ่นคิดอยู่นั้น จู่ๆ เขาก็มองลงไปที่เท้า สัมผัสได้ว่าด้านล่างเขาที่เป็นผืนฟ้า กำลังกระจายพลังร้องเรียกบางอย่างออกมา เขารู้สึกว่ากำลังถูกดึงเข้าไปอย่างรวดเร็ว
ความเร็วนี้ยากที่จะอธิบายออกมาได้ เขามองเห็นผืนฟ้าเริ่มกว้างใหญ่มากขึ้นไปเรื่อยๆ จนกระทั่งเต็มอยู่ในสองตา เขามองเห็นเมฆ จากนั้นก็มองเห็นทะเล และจากนั้นก็พื้นดิน
พื้นดินยืดยาวออกไปไกลสุดสายตา เมิ่งฮ่าวมองเห็นยอดเขาและแม่น้ำ และจากนั้น จู่ๆ ภูเขาก็ปรากฎขึ้นที่เบื้องหน้า มันเป็นยามราตรี และสูงขึ้นไป ก็มองเห็นดวงดาว ไม่ต้องขบคิด เมิ่งฮ่าวได้เปรียบเทียบกับท้องฟ้าของดินแดนด้านใต้ จิตใจเขาสั่นสะท้าน
มันเป็นเรื่องจริง! ท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาวนี้แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง!
ดวงดาวกระจ่างสุกใส ราวกับว่าไม่มีสิ่งใดจะมาบดบังความสว่างของมันได้ มองเห็นถึงความเก่าแก่โบราณได้อย่างชัดเจน ยากจะบอกได้ว่า ดวงดาวเหล่านี้ลอยอยู่ในท้องฟ้ามานานเท่าใดแล้ว
ดวงดาวทั้งหมดดูแปลกตา ไม่มีแม้แต่ดวงเดียวที่จะอยู่ในท้องฟ้าของดินแดนด้านใต้
“นี่คือดวงดาวโบราณซึ่งเกิดขึ้นในความทรงจำของข้า” เสียงเยือกเย็นดังขึ้นมาจากด้านหลังเมิ่งฮ่าว เขาค่อยๆ หมุนตัวไปช้าๆ ไม่แน่ใจว่าเมื่อไหร่ แต่ก็มีบุรุษวัยกลางคนปรากฎกายขึ้นที่นั่น นั่งอยู่ที่ด้านบนของก้อนศิลาขนาดใหญ่
บุรุษผู้นั้นสวมใส่ชุดเรียบง่ายแต่ก็ดูสง่างาม เส้นผมสีดำยาวกระจายไปทั่วร่าง มันมีใบหน้าหล่อเหลา ด้วยกลิ่นอายพยศเล็กน้อยบนใบหน้า ดูแตกต่างจากซากศพซึ่งเมิ่งฮ่าวเคยเห็นจากเจดีย์แห่งถัง แต่ถ้ามองดูอย่างละเอียด ก็จะเห็นว่านี่คือบุคคลคนเดียวกัน
ด้วยความแปลกใจ กองไฟเล็กๆ ลุกไหม้อยู่ที่เบื้องหน้าของมัน ด้านบนเปลวไฟ มันกำลังย่าง…สิ่งมีชีวิตที่มีรูปร่างคล้ายงู
“นั่ง” มันกล่าวเสียงราบเรียบ
เมิ่งฮ่าวยืนอยู่ที่นั่นอย่างครุ่นคิดสักพัก จากนั้นก็เข้าไปใกล้และนั่งลง เขามองไปยังงูประหลาดที่ถูกย่างอยู่บนกองไฟ มันมีกรงเล็บ และถึงแม้ว่ากำลังถูกย่างอยู่ แต่มันก็ยังไม่ตาย ยังคงดิ้นรนไปมาอยู่
ที่น่าตกใจมากไปกว่านั้นสำหรับเมิ่งฮ่าวก็คือ งูตัวนั้นมีเขาคล้ายกับเขากวาง เขาจ้องไปที่มันอย่างละเอียด ร่างของมันเกือบจะเป็นสีดำเหมือนเป็นก้อนถ่าน แต่แม้จะเป็นเช่นนั้น เขาก็ยังรับรู้ได้ถึงเบาะแสบางอย่าง ทันใดนั้น เขาก็อ้าปากค้าง
“นี่คือ…”
“มังกรขาว, ก็แค่นั้น” บุรุษผู้นั้นกล่าวตามปกติ “มันมีพื้นฐานฝึกตนที่ไร้ขีดจำกัด ซึ่งทำให้มันใกล้จะบรรลุถึงระดับแรกของแดนเซียน ข้าไปพบมันบนภูเขาที่แปด มันกำลังหิวและต้องการจะกินข้า แต่ข้าก็หิวเช่นกัน” เมิ่งฮ่าวไม่แน่ใจว่าระดับแรกของแดนเซียนจะมีความแข็งแกร่งมากแค่ไหน และไม่รู้ว่าภูเขาที่แปดคืออะไร แต่เขาก็รู้สึกได้ว่ามังกรขาวตัวนี้มีพลังอันน่าตกตะลึงเป็นอย่างยิ่ง
“ต้องการลองกินดูหรือไม่?” บุรุษผู้นั้นถาม มองมายังเมิ่งฮ่าว มันยกมังกรขาวซึ่งมีความยาวประมาณแขนขึ้นมา จากนั้นก็สับออกเป็นสองชิ้น “เจ้าชอบส่วนหัวมากกว่า หรือว่าส่วนหาง?” มันถาม
เมิ่งฮ่าวลังเล ทำให้บุรุษผู้นั้นหัวเราะอย่างเยาะเย้ย
“อืม…ข้าขอส่วนหัว” ในที่สุดเมิ่งฮ่าวก็พูดขึ้น
“เจ้าแน่ใจว่า จะกินมันอย่างไรใช่หรือไม่, เด็กน้อย” บุรุษผู้นั้นกล่าวตอบ ยื่นส่งครึ่งส่วนหัวของมังกรขาวมาให้
เมิ่งฮ่าวรับมันไว้ รู้สึกค่อนข้างประหม่า เขามองไปขณะที่บุรุษผู้นั้นกัดลงไปคำใหญ่ตรงส่วนหางของมังกรขาว หลังจากกัดคำแรก มันก็กัดคำต่อไป คำแล้วคำเล่า ขบเคี้ยวจนแหลกละเอียดกลายเป็นชิ้นๆ เมิ่งฮ่าวสูดหายใจเข้าไปลึกๆ มองไปยังส่วนหัวครึ่งหนึ่งของมังกรขาว บอกตัวเองว่านี่เป็นเพียงภาพลวงตา เขาวางมันเข้าไปในปาก
กร้วม, กร้วม, กร้วม เขาเริ่มกินมัน ส่วนหัวกรอบเป็นอย่างมาก และรสชาดจริงๆ แล้วก็ค่อนข้างอร่อย แววตาเขาลุกโชน และกลืนกินลงไปหมดอย่างรวดเร็ว ในที่สุด ครึ่งส่วนหัวทั้งหมดของมังกรขาวก็ลงไปอยู่ในท้องเขา
“ดีหรือไม่?” บุรุษผู้นั้นถามพร้อมหัวเราะ มองมายังเมิ่งฮ่าว “ข้าเคยกินหนึ่งตัวทุกๆ ปี”
“รสชาดของมันไม่เลวเลย” เมิ่งฮ่าวกล่าว ท่าทางเขินอายเล็กน้อย
“จริงๆ แล้ว เจ้าก็น่าจะรู้ว่าอะไรที่มีรสชาดดีกว่ามังกรขาว? มังกรปีกวารี เหมือนกับที่เจ้ามีอยู่หนึ่งตัวในร่าง ต้มมันให้กลายเป็นน้ำแกง รสชาดนั้นมหัศจรรย์นัก แต่โชคร้ายที่มังกรปีกวารีค่อนข้างจะหายาก เมื่อไหร่ที่พวกมันเติบใหญ่ขึ้น การต่อสู้กับพวกมันก็ยากเย็นเป็นอย่างมาก ถ้าโชคดี ข้าก็อาจจะพบเห็นสักหนึ่งตัว และต้องไล่ตามไปถึงสามหมื่นปี ก่อนที่จะสามารถนำมันมาทำเป็นน้ำแกง” บุรุษผู้นั้นเลียริมฝีปาก และมองลงมายังจุดตานเถียนของเมิ่งฮ่าว
สายตาที่จ้องมองมาของมัน ทำให้เมิ่งฮ่าวต้องสูดลมหายใจเข้าไปลึกๆ นี่เป็นเพราะทันใดนั้น เขาก็สังเกตว่า เสาแห่งเต๋าต้นแรก ที่มีแกนมังกรปีกวารีอยู่ด้านใน จู่ๆ ก็สั่นสะท้านด้วยความหวาดกลัวเป็นอย่างมาก