เมิ่งฮ่าวมองไปยังอาจารย์อย่างเงียบๆ สักพัก จากนั้น ก็กล่าวเสียงแผ่วเบา “ตอนแรก ข้ามาเพราะต้องการจะขจัดพิษ แต่หลังจากที่เข้าสังกัดสำนัก ข้าอยู่ต่อไปก็เนื่องมาจากเต๋าแห่งการปรุงยา!”
ตานกุ่ยมองไปยังเมิ่งฮ่าวนานสักพัก ในที่สุด ความพึงพอใจก็ปรากฎขึ้นบนใบหน้า และท่านก็ยิ้มออกมา
ท่านกล่าวช้าๆ “นับจากวันแรกที่เจ้าเข้ามาในสำนัก อาจารย์ก็รู้สึกถึงกลิ่นอายของดอกปี่อ้าน ต่อมา เมื่อได้เห็นเจ้า ข้าก็เข้าใจถึงเรื่องราวทั้งหมด มีอยู่สามทางที่เจ้าสามารถขจัดพิษนี้ หนึ่งก็คือให้มันผสานรวมเข้ากับเจ้า แต่หลังจากนั้น เจ้าก็จะไม่เป็นเจ้าอีกต่อไป ทางที่สองก็คือเจ้าเผาผลาญมันไป มันก็จะไม่ใช่ดอกปี่อ้านอีก!”
“สำหรับหนทางที่สาม…ก็คือใช้เต๋าแห่งการปรุงยาของเจ้าเอง เพื่อขจัดพิษด้วยตัวเอง เมล็ดกรรมคงอยู่ภายใต้สวรรค์และปฐพีนี้ ดอกปี่อ้านในร่างเจ้าก็คือสาเหตุของการเกิดเมล็ดกรรมนั้น นอกจากเจ้าแล้ว ก็ไม่มีใครอีกที่จะขจัดมันออกไปได้ เหตุผลก็คือ เพราะว่าคนอื่นๆ ไม่ใช่เจ้า จึงเป็นความจริงที่คนอื่นๆ ไม่อาจขจัดพิษนี้ได้นอกจากตัวเจ้าเอง นี่เป็นผลจากเมล็ดกรรมนั้น”
“บนหนทางเหล่านี้ หนทางแรกเป็นการยอมรับชะตากรรม หนทางที่สองเป็นการพยายามกระทำ และทางที่สามก็คือวิธีการที่ดีที่สุด ด้วยการใช้เต๋าแห่งการปรุงยาของเจ้า ข้าคิดว่าเจ้าคงเข้าใจในความหมายของคำพูดนี้”
เมิ่งฮ่าวนิ่งเงียบ พิษนี้อยู่ในร่างเขาตั้งแต่อยู่ในแคว้นจ้าว รังควานเขามาตลอดเวลาจนกระทั่งถึงตอนนี้ เขาก็ยังไม่อาจขจัดมันออกไปได้ตลอดเวลาที่ผ่านมา ตอนแรกที่เขาเข้าสังกัดสำนักจื่อยิ่น เขายังไม่เข้าใจในเต๋าแห่งการปรุงยา แต่โชคดีที่เขาฝึกฝนมันยู่ตลอดเวลา ทำให้ได้รับความรู้แจ้งมากขึ้นเกี่ยวกับพิษต่างๆ มีความหวังเพิ่มขึ้นเล็กน้อย เมื่อได้ยินคำพูดของท่านอาจารย์ในตอนนี้ ก็ทำให้เขาต้องแอบทอดถอนใจอยู่ด้านใน
“พิษย์นี้ไม่มีอะไรมาก” ตานกุ่ยกล่าว “ด้วยทักษะในเต๋าแห่งการปรุงยา เจ้าสามารถขจัดมันไปได้ไม่เร็วก็ช้า อาจารย์เห็นว่าดอกปี่อ้านนี้เหมือนจะถูกสะกดไว้ แปลกมาก ตอนนี้ราวกับมันกำลังนอนหลับอยู่ แต่พลังของการสะกดนี้ก็ดูเหมือนกำลังค่อยๆ อ่อนแอลง…”
ดวงตาเมิ่งฮ่าวสาดประกาย กล่าวอย่างราบเรียบ “อาจารย์ ถ้าข้าต้องขจัดพิษนี้ด้วยตัวเอง ข้าขอถามท่านว่า ด้วยประสบการณ์ของท่าน ท่านเคยรู้ว่ามีใครทำเช่นนี้ได้สำเร็จบ้างในอดีตที่ผ่านมา?”
“หนึ่งคน” ตานกุ่ยกล่าวตอบ “มันอาศัยอยู่ที่ทะเลเทียนเหอ มีนามว่าหยินเติงซ่างเหริน พื้นฐานฝึกตนของมันลึกล้ำสุดหยั่งคาด มันมาหาข้าเมื่อเจ็ดร้อยปีก่อน ขอให้ข้าช่วยหาวิธีขจัดพิษให้ ข้าบอกมันเช่นเดียวกับที่บอกเจ้า สามร้อยปีหลังจากนั้น มันก็กลับมาหาข้าเพื่อแสดงความขอบคุณ มันขจัดพิษได้สำเร็จ”
เมิ่งฮ่าวครุ่นคิดอยู่สักพัก จากนั้นก็ยิ้มขึ้นเล็กน้อย “ถ้าคนผู้นั้นสามารถขจัดพิษได้ ข้าก็สามารถใช้เต๋าแห่งการปรุงยาของข้าทำได้เช่นเดียวกันอย่างแน่นอน”
เสียงเขาแผ่วเบา สีหน้าเศร้าหมอง ตานกุ่ยกล่าวต่อไป “ถ้าอาจารย์ช่วยเจ้าขจัดพิษ ก็จะไปทำให้วงจรแห่งกรรมต้องถูกทำลายไป ซึ่งไม่ได้ช่วยเจ้ามากเท่าใด แต่ภายใต้การสอนสั่งของข้า เต๋าแห่งการปรุงยาของเจ้าก็จะบรรลุถึงจุดที่เจ้าสามารถขจัดพิษด้วยตัวเองในที่สุด! พิษของดอกปี่อ้านทำให้เจ้ามีพลังของพรสวรรค์ ถ้าในอนาคตเจ้าขจัดพิษไปแล้ว เจ้าก็จะสามารถดูดซับพลังทั้งหมดของมันได้ ในกรณีนั้น เจ้าก็จะกลายเป็นผู้ที่มีพิษร้ายมากที่สุดในใต้หล้า เป็นของวิเศษที่ยากจะพบเห็นมาก่อน!”
“ด้วยพลังวิเศษนั้นก็จะทำให้เจ้าได้เปิดเส้นทางไปยังสวรรค์ การมีพิษอยู่ในตัวดูเหมือนจะเป็นอันตรายที่ร้ายแรง แต่ภายในอันตรายนั้นก็มีความโชคดีอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน!” ทันใดนั้นท่านก็เปลี่ยนเรื่อง “หลังจากโขกศีรษะสามครั้ง เจ้าก็กลายมาเป็นศิษย์ผู้สืบทอดของข้า ดังนั้น อาจารย์มีของสามชิ้นให้เจ้า” ท่านยกแขนขึ้น และโบกสะบัดชายแขนเสื้อ ทันใดนั้น ทุกสิ่งทุกอย่างรอบๆ ตัวพวกเขาก็หมุนวนไปมากลายเป็นสีสันที่หลากสี
“ของชิ้นแรกก็คือเม็ดยาเทียนฟาง เป็นชื่อที่มาจากนิทานของคนต่างชาติ เม็ดยานี้ไม่เคยปรากฎขึ้นมาก่อนในดินแดนด้านใต้ ข้าปรุงมันขึ้นมาจากช่วงการรู้แจ้งในเต๋าแห่งการปรุงยาเมื่อสามปีก่อน”
“ยานี้มีทั้งหมดสามเม็ด กลืนลงไปหนึ่งเม็ดจะทำให้ดอกปี่อ้านจำศีลไปหนึ่งร้อยปี ช่วยเพิ่มอายุขัยเจ้าไปอีกหนึ่งร้อยปี และช่วยให้เจ้ามีความก้าวหน้าในพื้นฐานฝึกตน ถ้าเจ้าเผชิญหน้ากับจุดตีบตันใดๆ มันก็จะช่วยให้เจ้าทะลวงผ่านไปได้ ยาทั้งสามเม็ดนี้จะช่วยเจ้า บรรลุขั้นวิญญาณแรกก่อตั้งได้โดยไม่มีปัญหาใดๆ!”
“ทั้งหมดนี้ ก็จะช่วยให้เจ้ายืดเวลาไปอีกสามร้อยปีในการขจัดพิษ ถ้าเจ้าไม่อาจขจัดได้หลังจากผ่านไปสามร้อยปี ข้าก็จะปรุงเม็ดยาอื่นให้เจ้า และจะช่วยให้เจ้ามีเวลาเพิ่มขึ้นจนกระทั่งขจัดพิษนี้ไปได้”
คำพูดเข้าไปในหูเมิ่งฮ่าว และจมลงในในจิตใจ เขามองไปยังท่านอาจารย์ และสัมผัสได้ถึงความจริงใจในคำพูด รวมถึงความเมตตาและความรักของท่าน
สามปีก่อน เจ้าโอสถจอมปีศาจได้ปรุงเม็ดยาในช่วงแห่งการรู้แจ้งเพื่อเขา เมิ่งฮ่าวประสานมือและโค้งตัวลงต่ำ
“ขอบคุณมาก, ท่านอาจารย์!”
“ของชิ้นที่สองที่จะให้เจ้าก็คือ วิชาของผู้สืบทอดแห่งแผนกเม็ดยาบูรพา นามว่า เวทเรียกวิญญาณ สามารถใช้ในการกลั่นสกัดเม็ดยาให้ดีขึ้นกว่าเดิมหกเท่า แต่ถ้ามีพรสวรรค์และพื้นฐานฝึกตนไม่เพียงพอ ก็อาจจะไม่ถึงหกเท่า! ขอย้ำว่า นี่คือวิชาของผู้สืบทอดแห่งแผนกเม็ดยาบูรพา มาถึงวันนี้ ข้าเพียงส่งต่อให้แค่สองคน เจ้าและศิษย์พี่ของเจ้า หลิ่วหรูเฟิง” ด้วยเช่นนั้น ตานกุ่ยยื่นมือขึ้น และกดลงไปบนหน้าผากเมิ่งฮ่าว
ทันใดนั้น ร่างเมิ่งฮ่าวก็สั่นสะท้าน และความเย็นเยียบราวน้ำแข็งก็กวาดผ่านไปทั่วร่าง ตัวอักษรมากมายปรากฎขึ้นในจิตใจ ดูเหมือนจะเป็นข้อความลึกซึ้งเป็นอย่างยิ่ง แต่หลังจากอ่านผ่านตา เมิ่งฮ่าวก็ดูเหมือนจะรู้แจ้งโดยสิ้นเชิง
“นี่เป็นวิชาของผู้สืบทอด ซึ่งไม่อาจส่งต่อให้กับคนอื่นๆ นอกจากศิษย์ผู้สืบทอด ไม่มีขั้นตอนซับซ้อนเพื่อให้เข้าใจถึงการใช้งาน ตราบเท่าที่เจ้ารู้ซึ้งในพื้นฐาน เจ้าก็สามารถใช้มัน หลังจากนี้ เจ้าต้องส่งต่อให้กับคนอื่นๆ ด้วยเช่นนั้น มันก็จะถูกส่งต่อไปจากรุ่นสู่รุ่น” ความลึกซึ้งรวมอยู่ในดวงตาตานกุ่ย
“ของชิ้นสุดท้ายของข้าก็คือ ของวิเศษอันล้ำค่าแห่งแผนกเม็ดยาบูรพา, เปลวไฟอมตะ!” ท่านโบกสะบัดแขนเสื้อด้านขวาอีกครั้ง และภูเขาก็แยกออก เสียงกึกก้องดังออกไปทั่วในอากาศ ขณะที่รอยแยกขนาดใหญ่ปรากฎขึ้น
ภายในเป็นบันไดที่ดูเหมือนจะทอดยาวลงไปในส่วนลึกของพื้นดิน ตานกุ่ยและเมิ่งฮ่าว อาจารย์และศิษย์ เดินลงไป คนทั้งสองเดินไปเป็นเวลานาน นานมากๆ
ในที่สุด พวกเขาก็อยู่ลึกลงไปในพื้นดินด้านล่างสำนักจื่อยิ่น จิตใจเมิ่งฮ่าวสั่นสะท้าน ขณะที่เขามองขึ้นไปที่เบื้องหน้า ตรงหน้าเขาเป็นถ้ำหินปูนขนาดใหญ่มหึมา
ภายในถ้ำมีธูปสีดำขนาดใหญ่สามดอกกำลังเผาไหม้ไปครึ่งหนึ่ง เส้นใยของกลุ่มควันสีดำลอยขึ้นม้วนตัวไปมา นอกจากกลุ่มควันที่กำลังลอยไปรอบๆ ถ้ำ ก็มีเปลวไฟสีเขียวที่กำลังลุกไหม้อยู่ในทุกๆ ที่
ด้านบนของธุปสามดอก มีกระถางปรุงยาสีดำลอยอยู่ ความสูงประมาณหนึ่งจ้าง ดูราวกับว่ามันกำลังได้รับการเกื้อหนุนจากกลุ่มควัน และเติมพลังด้วยเปลวไฟ
ตานกุ่ยมองไปยังกระถางปรุงยา และดวงตาก็สาดประกายราวกับว่า ท่านกำลังรื้อฟื้นความทรงจำ เป็นสีหน้าที่ซับซ้อนซึ่งใช้เวลาชั่วครู่ก่อนที่ท่านจะถอนหายใจออกมาอย่างแผ่วเบา
“ธูปนี้ไม่ใช่สิ่งของในโลกแห่งนี้ กลุ่มควันไม่เคยจางหายไป และธูปก็ไม่เคยหยุดการเผาไหม้ นี่คือ เปลวไฟอมตะแห่งแผนกเม็ดยาบูรพา! มันเผาไหม้มามากกว่าสองหมื่นปี…มันเป็นมรดกที่ไม่มีวันดับ ค่อยๆ ซึมซับเข้าไปในจิตใจของเจ้า และกลายเป็นเปลวไฟแห่งการปรุงยา!”
“หลังจากที่เจ้าบรรลุสร้างแกนลมปราณ ให้หลอมเปลวไฟนี้เข้าไปในแกนสีม่วงของเจ้า มันจะช่วยให้เจ้ามีพลังแห่งเปลวไฟ เมื่อไหร่ที่เจ้าปรุงเม็ดยา ก็ไม่จำเป็นต้องใช้ไฟปฐพีอีกต่อไป นี่เป็นเปลวไฟแห่งการปรุงยาส่วนตัวของเจ้า ซึ่งช่วยให้เจ้าสามารถกลั่นสกัดสิ่งของทั้งหมดในสวรรค์และปฐพี ในแผนกเม็ดยาบูรพาทั้งหมดนี้ มีเพียงเจ้าและข้า มีคุณสมบัติที่จะใช้เปลวไฟผู้สืบทอดนี้ได้”
“เปลวไฟอมตะจะอยู่ที่นี่ตลอดไป เช่นเดียวกับข้า” ตานกุ่ยพึมพำออกมา ทำให้เมิ่งฮ่าวยากที่จะได้ยินอย่างชัดเจน ขณะที่พูด ตานกุ่ยกำลังจ้องไปยังธูป, กลุ่มควันและเปลวไฟ ดูเหมือนท่านไม่ได้พูดกับเมิ่งฮ่าว
หลังจากนั้น ท่านก็มองมายังเมิ่งฮ่าว “ให้เจ้านั่งเข้าฌาณเพียงลำพังอยู่ที่นี่ เมื่อเจ้าหลอมรวมเจตจำนงของเปลวไฟเข้าไปในจิตใจ เจ้าก็สามารถออกไปได้” ด้วยเช่นนั้น ท่านก็หันหลัง และเดินขึ้นไปบนบันไดช้าๆ ในที่สุด ก็หายลับตาไป
เมิ่งฮ่าวครุ่นคิดทุกสิ่งทุกอย่างเป็นเวลานาน จากนั้นก็นั่งลงขัดสมาธิ มองลงไปยังขวดยาในมือ ด้านในเป็นเม็ดยาเทียนฟาง ซึ่งอาจารย์ได้ปรุงให้เขา เมิ่งฮ่าวอดคิดไม่ได้ว่าเม็ดยานี้ล้ำค่ามากเพียงใด
เขาเก็บขวดยาไว้ในถุงสมบัติ จากนั้นก็หลับตาลง ภายในจิตใจลอยไปมาด้วยเวทเรียกวิญญาณ ภายในเป็นวิชาที่ใช้กลั่นสกัดเม็ดยาได้ถึงสามเท่า, สี่เท่า หรือแม้แต่หกเท่า ด้วยการใช้วิชานี้กับเม็ดยาธรรมดาทั่วไป ก็จะทำให้มันกลายเป็นเม็ดยาระดับเลิศ
พลังของวิชาเช่นนี้ ทำให้จิตใจเมิ่งฮ่าวสั่นสะท้าน นี่เป็นความสามารถศักดิ์สิทธิ์ของเต๋าแห่งการปรุงยา สอดคล้องกับแง่การฝึกตนของคัมภีร์สุดยอดวิญญาณ!
สามารถกล่าวได้ว่า ด้วยการใช้วิชาปรุงยานี้ เมิ่งฮ่าวก็จะเป็นเจ้าโอสถของการปรุงยาอย่างแท้จริง ทักษะในวิชานี้เป็นสิ่งที่คนอื่นๆ ไม่อาจฝึกฝนได้ แค่เริ่มจากการกลั่นสกัดสี่เท่า เปลวไฟอื่นๆ ที่ไม่ใช่เปลวไฟอมตะแห่งแผนกเม็ดยาบูรพา ก็จะไม่เพียงพอที่จะใช้กับวิชานี้ได้
ทั่วทั้งแผนกเม็ดยาบูรพา มีเพียงตานกุ่ยและเมิ่งฮ่าว ที่สามารถใช้เปลวไฟอมตะ และกลั่นสกัดเม็ดยาได้สี่เท่า มีเพียงคนทั้งสองที่สามารถใช้ได้
เมิ่งฮ่าวสูดลมหายใจเข้าไปลึกๆ ขณะที่ลืมตาขึ้นมา ตอนนี้เขาเข้าใจแล้วว่า ทำไมท่านอาจารย์ถึงได้บอกให้เขาอยู่ที่นี่ และรวบรวมเปลวไฟอมตะแห่งแผนกเม็ดยาบูรพา ให้เข้าไปอยู่ในส่วนลึกของจิตใจเขา
“นี่คือการสืบทอดอย่างสมบูรณ์” เขาคิด มองไปปยังธูป, กลุ่มควัน และเปลวไฟสีเขียวที่ไม่มีวันดับ “เปลวไฟและวิชาเวทต่างก็เติมเต็มซึ่งกันและกัน ถ้าปราศจากสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ก็ไม่อาจจะบรรลุถึงจุดสูงสุดได้…”
เวลาเลยผ่านไป เพียงชั่วพริบตา สามเดือนก็ผ่านไป ตลอดช่วงสามเดือนนั้น เมิ่งฮ่าวไม่เคยออกจากถ้ำหินปูนนั้นเลย แต่การเลื่อนขั้นของสามเทพกระถางม่วง ได้ทำให้เกิดความตกตะลึง ปั่นป่วนไปทั่วทั้งดินแดนด้านใต้
ผู้คนมากมายได้กล่าวกันว่า นี่เป็นการคัดเลือกเทพกระถางม่วงที่น่าประหลาดใจมากที่สุด ในรอบหลายปีที่ผ่านมา!
ด้วยคำพูดที่กระจายออกไปโดยสำนักอื่นๆ เต๋าแห่งการปรุงยาของฉู่อวี้เยียน รวมถึงทักษะในการปรุงยาของนาง ก็ได้กลายเป็นหัวข้อการพูดคุยในดินแดนด้านใต้ กล่าวกันว่านางสมควรที่จะกลายเป็นเทพกระถางม่วง
นามของนางกระจายออกไปทั่วสำนักใหญ่ต่างๆ ด้วยคำพูดที่ว่า ‘เทพกระถางม่วงฉู่อวี้เยียน’
นอกเหนือจากนาง และเป็นผู้ที่ทำให้เกิดความปั่นป่วนมากขึ้นไปอีก แน่นอนว่าคือ เยี่ยเฟยโม่ มันน่าฉงนเป็นอย่างยิ่ง ด้วยความสามารถในเต๋าแห่งการปรุงยาของมัน ปรุงยาเพียงแค่หนึ่งเม็ด ก็สร้างขั้นบันไดได้ถึงหนึ่งหมื่นขั้นสูงขึ้นไปบนภูเขา เรื่องราวนี้กระจายออกไปจนกระทั่งทุกคนในดินแดนด้านใต้ ได้ยินเรื่องของมัน
เมื่อพิจารณาถึงชื่อเสียงอันน่าประทับใจของมันในอดีตที่ผ่านมา และตอนนี้มันก็กลายเป็นเทพกระถางม่วง ทำให้นามของมันกระเดื่องดังมากขึ้นกว่าเดิม จริงๆ แล้ว มันควรจะถูกมองว่าเป็นเสาหลักของสำนักจื่อยิ่น
แต่ที่น่าตกตะลึงมากที่สุด ก็ไม่ใช่ใครอื่นนอกจาก ฟางมู่!
เขาคือเจ้าโอสถจอมกระถาง ศิษย์ผู้สืบทอดของเจ้าโอสถจอมปีศาจ เขามีชื่อเสียงอยู่ในเขตตะวันตกของดินแดนด้านใต้ ซึ่งเป็นสถานที่ ที่เขาได้สังหารผู้ฝึกตนสร้างแกนลมปราณแห่งดินแดนสีดำ ทั้งหมดนี้ทำให้ฟางมู่ กลายเป็นหัวข้อพูดคุยของคนทั้งหมดในดินแดนด้านใต้ทันที
ผู้คนเริ่มมองว่าเขาก็คือเจ้าโอสถคนที่สี่ แห่งดินแดนด้านใต้ มากขึ้นไปเรื่อยๆ
คำพูดกระจายออกไป บนยอดเขาจื่อตง เขาได้ใช้เม็ดยาจำนวนนับพันก่อตัวเป็นรูปกระถางขนาดใหญ่ เมื่อผู้คนได้ยินเรื่องราวนี้ โลหิตของพวกมันก็เดือดพล่าน ทำให้คนอื่นๆ เริ่มพูดว่า เขาก็คือเจ้าโอสถคนที่สี่มากขึ้นไปอีก
ในแผนกเม็ดยาบูรพา แห่งสำนักจื่อยิ่น ชื่อเสียงของฟางมู่ เป็นที่สองรองจากเจ้าโอสถจอมปีศาจเพียงเท่านั้น ผู้ฝึกตนทั้งหมดในแผนกเม็ดยาบูรพาตระหนักถึงเรื่องนี้ดี
หลายคนได้ยกย่องให้เมิ่งฮ่าวเป็นเต้าจื่อแห่งแผนกเม็ดยาบูรพา เทียบเท่ากับเต้าจื่อของสำนัก หรืออาจจะมีชื่อเสียงสูงกว่าเล็กน้อย
ในเวลานี้เองที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวง เกิดขึ้นกับซากศพที่ตกลงมาจากท้องฟ้า ร่วงลงสู่ดินแดนด้านใต้เมื่อหลายปีก่อน สัญลักษณ์เวทปรากฎขึ้นบนผิวหนังของมัน จากนั้นก็ลอยขึ้นไปในท้องฟ้า ทำให้เกิดเป็นแสงสะท้อนหักเหขึ้นมา มีใครบางคนจำได้ว่าตัวอักษรเหล่านั้นคืออะไร มันก็คือหนึ่งในสามของคัมภีร์หลัก…คัมภีร์เต๋าศักดิ์สิทธิ์!
คัมภีร์สุดยอดวิญญาณ, คัมภีร์เต๋าศักดิ์สิทธิ์ และคัมภีร์ตัดสวรรค์ เป็นสามคัมภีร์หลัก ซึ่งแต่ละเล่มสามารถทำให้เกิดคลื่นแห่งความปั่นป่วนวุ่นวายได้อย่างง่ายดาย แม้แต่ผู้คนจากทะเลทรายตะวันตก และดินแดนตะวันออก ก็ได้ใช้วิธีอันน่าตกตะลึงต่างๆ รวมถึงการใช้พลังในการเคลื่อนย้ายทางไกล เดินทางมายังดินแดนด้านใต้เนื่องจากเรื่องนี้
ยิ่งไปกว่านั้น ด้วยการปรากฎขึ้นของคัมภีร์นั้น พลังในการป้องกันผู้คนไม่ให้เข้าใกล้ซากศพนั้นก็หายไปในทันที ซากศพซึ่งมีขนาดใหญ่เท่าภูเขา ทุกคนก็สามารถเข้าไปใกล้ได้แล้วในตอนนี้
สำนักกูตู๋เจี้ยนได้จ่ายค่าตอบแทนมากมาย ในการได้เส้นผมจากศีรษะของซากศพนั้นมาครอบครอง จากข่าวลือ พวกมันได้กลั่นสกัดเส้นผมนั้นกลายเป็นของวิเศษอันล้ำค่า ซึ่งสามารถทำให้สวรรค์สั่นสะท้าน ปฐพีสั่นสะเทือน!
เจ้าโอสถภูผานิรันดร์ แห่งสำนักจินซวง ใช้พลังของสำนักทั้งหมดเพื่อได้ครอบครองตัวอย่างโลหิตจากซากศพนั้น ตามที่คาดเดากันมา เม็ดยาที่ท่านปรุงขึ้นด้วยโลหิตนั้นก็แทบจะเป็นเม็ดยาแห่งสวรรค์!
ขณะที่คำพูดแพร่กระจายออกไป ดินแดนด้านใต้ก็ถูกโยนเข้าไปในความปั่นป้วนวุ่นวาย สำนักและตระกูลต่างๆ มากมาย ก็ได้ส่งกองกำลังไปยังซากศพเซียน
ในเวลาเดียวกันนั้น เสียงกรีดร้องโหยหวนก็ดังมากขึ้น ได้ยินออกมาจากด้านในของถ้ำกำเนิดใหม่ ในที่สุด พวกมันก็กลายเป็นเสียงแผดร้อง ยิ่งไปกว่านั้น สายลมสีดำก็โชยพัดออกมาจากด้านในของถ้ำ กวาดผ่านไปในพื้นที่รอบๆ ซากศพนั้น
ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ผู้ฝึกตนมากมายจนนับไม่ถ้วนซึ่งใกล้จะตาย ได้เข้าไปในถ้ำกำเนิดใหม่ เพื่อหวังว่าจะได้เกิดใหม่ แต่ก็ไม่มีใครมั่นใจว่าคนเหล่านั้นยังมีชีวิตอยู่ หรือตกตายไป แต่จากตำนานและเรื่องเล่าที่สืบทอดกันมา ถ้ำกำเนิดใหม่เริ่มค่อยๆ เหมือนกับวัดโบราณไท่เอ้อ หนึ่งในสามเขตอันตรายของดินแดนด้านใต้!
หลังจากผ่านไปสิบกว่าปี ในช่วงแห่งการตรวจสอบซากศพ พลังชีวิตแปลกๆ ภายในถ้ำ ในที่สุด ก็มีการเคลื่อนไหว และเผยให้เห็นเจตจำนงของพวกมัน
พายุเมฆเริ่มก่อตัว ปกคลุมไปทั่วทั้งดินแดนด้านใต้