เครื่องหมายนั้นดูคล้ายกับสัญลักษณ์เวท มันไม่ได้เกิดขึ้นที่ด้านบนผิวหนังของเขา แต่อยู่ด้านในเนื้อ เมิ่งฮ่าวไม่คุ้นเคยกับมัน ในตอนที่เขาบรรลุขั้นพื้นฐานลมปราณ เขาก็ได้เห็นเครื่องหมายเดียวกันนี้
วันนี้เป็นครั้งที่สอง!
เมิ่งฮ่าวมองไปยังเครื่องหมาย จิตใจสั่นสะท้าน
หลังจากเวลานานผ่านไป แรงสั่นสะเทือนก็หายไป สัญลักษณ์แปลกๆ เต็มอยู่ครึ่งหนึ่งของดินแดนด้านใต้ ทำให้ซากศพเซียนเป็นที่สนใจมากขึ้นกว่าเดิม
เมิ่งฮ่าวยืนอยู่ในถ้ำแห่งเซียนเป็นเวลานาน ก่อนที่จะเงยหน้าขึ้น ดวงตาในตอนนี้เต็มไปด้วยแสงอันคมกริบ
“มัน…คือใคร? ทำไมข้าถึงมองเห็นมันได้ในปีนั้น? ทำไมมันถึงตกลงมาในดินแดนด้านใต้? และทำไมมันถึงมีผลกระทบกับการไหลเวียนโลหิตของข้า ทำให้เครื่องหมายนี้ปรากฎขึ้น…นี่เป็นเครื่องหมายที่ทำขึ้นโดยมันในปีนั้นหรือไม่? หรือเป็นส่วนหนึ่งของข้า อยู่ภายในเลือดเนื้อตั้งแต่ต้นมานานแล้ว?” เมิ่งฮ่าวครุ่นคิดอย่างเงียบๆ เกี่ยวกับคืนที่บิดาและมารดาได้หายตัวไป และคิดเกี่ยวกับสายลมสีม่วงซึ่งพัดโชยอยู่ด้านนอก
ถ้าเขาจดจำได้ถูกต้อง เมื่อสายลมก่อตัวขึ้น มันก็หมุนวนไปรอบๆ ร่างของเขา เขาจำได้ว่ามันไม่ใช่สายลมธรรมดาทั่วไป แต่ประกอบไปด้วยพลังบางอย่าง
เมิ่งฮ่าวครุ่นคิดอยู่เป็นเวลานาน จนกระทั่งด้านนอกมืดมิด แสงเจิดจ้าเริ่มสาดประกายอยู่ในดวงตา เมื่อเขาตัดสินใจได้แล้ว
“ไม่ว่าคำพูดของคนผู้นั้นจะจริงหรือเท็จ…ข้าก็ต้องไป!” ความมุ่งมั่นสาดประกายในดวงตา รางวัลอันยิ่งใหญ่ มาจากความกล้าเสี่ยงเพียงเท่านั้น ผู้ฝึกตนไม่มีอะไรมากไปกว่าความมั่นใจในตัวเอง! เมื่อตัดสินใจได้แล้ว ก็ต้องกระทำด้วยความมุ่งมั่น และไร้ความลังเลแม้แต่น้อย
เขาโบกสะบัดแขนเสื้อข้างขวา ขณะที่เดินออกไปจากถ้ำแห่งเซียน
ไม่กี่วันหลังจากนั้น ผู้ฝึกตนกลุ่มที่หกก็ออกไปจากสำนักจื่อยิ่น ประกอบด้วยผู้คนสามสิบคน กลายเป็นลำแสงสามสิบลำพุ่งขึ้นไปในอากาศ ด้านหน้าของคนกลุ่มนี้ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากเมิ่งฮ่าว
เขาสวมใส่ชุดของเทพกระถางม่วง เส้นผมที่ดำยาวของเขาพริ้วไปมาอยู่ด้านหลังขณะที่พุ่งตรงไป ผู้คนทั้งหมดที่เบื้องหลัง มองไปที่เขาด้วยความยอมรับนับถือ ไม่ว่าพวกมันจะมาจากแผนกลมปราณม่วง หรือแผนกเม็ดยาบูรพา
พวกเขาพุ่งออกไปยังที่ห่างไกลพร้อมกันด้วยความเร็วสูงสุด
เมิ่งฮ่าวเงียบขรึมตลอดช่วงการเดินทาง เขาไม่พูดจา ภายในจิตใจหมุนคว้างด้วยเสียงร้องเรียกจากซากศพเซียน
ผู้ฝึกตนกลุ่มที่หกแห่งสำนักจื่อยิ่น ใช้การเคลื่อนย้ายทางไกลสามครั้ง และใช้เวลาครึ่งเดือนก่อนที่จะไปถึงบริเวณใกล้เคียงของถ้ำกำเนิดใหม่ ในช่วงเวลานั้น แรงสั่นสะเทือนก็ดังก้องขึ้นมาอีกครั้ง
เมื่อแรงสั่นสะเทือนนั้นกระทบกับพวกเขา ทุกคนก็ร่อนลงไปที่พื้น นั่งลงขัดสมาธิ มีเพียงเมิ่งฮ่าวที่ลอยอยู่กลางอากาศ มองออกไปยังที่ห่างไกล อีกครั้งที่เขารู้สึกได้ถึงเสียงเรียกนั้น
“มาหาข้า…ข้าอยู่ที่นี่…รอคอยเจ้า…ความจริงทั้งหมด…คำตอบทั้งหมด…”
จิตใจเมิ่งฮ่าวหมุนไปมา จากผู้ฝึกตนนับแสนในเขตของถ้ำกำเนิดใหม่ เสียงเรียกนั้น มีเพียงเมิ่งฮ่าวคนเดียวที่ได้ยิน ดวงตาเขาสาดประกายอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
ในดินแดนด้านใต้มีสามเขตอันตราย ทะเลสาบเต๋ายุคแรก, วัดโบราณไท่เอ้อ และสุดท้าย ถ้ำกำเนิดใหม่ เพียงมองแค่แวบแรก มันก็ดูคล้ายกับที่ราบลุ่มอันกว้างใหญ่ มีภูเขาไฟอยู่มากมายในบริเวณนี้ มากจนไม่อาจจะนับได้ ดูเหมือนจะไร้จุดสิ้นสุด
สิ่งที่มองเห็นได้ก็คือท้องฟ้าสีดำ และกลุ่มหมอกหนาสีดำซึ่งปกคลุมทุกสิ่งทุกอย่างไว้
นี่คืออาณาเขตของถ้ำกำเนิดใหม่
จากตำนานที่เล่าต่อกันมา บุคคลที่ใกล้ตาย ถ้าสามารถเข้าไปในถ้ำกำเนิดใหม่ได้ในตอนนั้น ถ้าทำได้สำเร็จ ก็จะมีโอกาสมีชีวิตอยู่ต่อไป!
ไม่ว่านี่จะเป็นเรื่องจริงหรือเรื่องโกหก ตั้งแต่ครั้งโบราณมาแล้ว ผู้ฝึกตนอันยิ่งใหญ่มากมาย ไม่ยินดีที่จะตกตายไป ก็ได้เข้ามาในถ้ำกำเนิดใหม่ ตลอดหลายปีจนนับไม่ถ้วน มีเพียงสามคนที่โผล่ออกมาได้สำเร็จ
โดยปราศจากข้อยกเว้น หลังจากออกจากถ้ำกำเนิดใหม่ บุคคลทั้งสามนั้น ก็ไม่เคยพูดเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นด้านในเลย จนกระทั่งในที่สุด พวกมันก็หายตัวไป ไม่ได้ยินข่าวคราวอีก
ถึงแม้จะเป็นเช่นนั้น ตำนานที่เกี่ยวกับความลึกลับของถ้ำกำเนิดใหม่ ก็ยิ่งกระจายออกไปมากขึ้นเรื่อยๆ ถ้าไม่คำนึงว่า เรื่องราวเกี่ยวกับถ้ำกำเนิดใหม่ได้ถูกเล่าต่อกันมาถึงหนึ่งหมื่นปี ก็เพียงพอที่จะแสดงให้เห็นว่า…มันมีคุณสมบัติที่น่าประหลาดใจเป็นอย่างยิ่ง
เมิ่งฮ่าวเข้าใจว่า ด้วยการมุ่งหน้าต่อไป เขาก็จะเข้าไปในอาณาเขตของถ้ำกำเนิดใหม่ เมื่อเข้าไปแล้ว ระดับอันตรายก็จะเพิ่มขึ้นสูงสุด
สำหรับซากศพเซียน มันได้ตกลงมายังเบื้องหน้าของถ้ำกำเนิดใหม่โดยตรง ห่างออกไปไม่เกินหนึ่งร้อยหลี่
ในตอนนี้ แรงสั่นสะเทือนค่อยๆ จางหายไป ขณะที่เป็นเช่นนี้ เงาร่างแล้วร่างเล่าก็พุ่งขึ้นไปจากพื้นดินสู่ท้องฟ้า
ตอนนี้ ผู้ฝึกตนนับแสนจากทั่วทุกเขตของดินแดนด้านใต้ มารวมตัวกันในรัศมีสองพันหลี่ของถ้ำกำเนิดใหม่ ก่อตัวเป็นกำแพงกั้นอยู่รอบๆ ถ้ำ ผู้ฝึกตนของสำนักและตระกูลต่างๆ ได้จัดตั้งฐานที่มั่นชั่วคราวอยู่ในเขตพื้นที่นี้
ฐานที่มั่นทั้งหมดประกอบด้วยผู้อาวุโสของสำนักต่างๆ ดูเหมือนว่าทุกๆ วัน ผู้คนจากสำนักต่างๆ ก็จะเข้ามายังสถานที่กว้างใหญ่แห่งนี้มากขึ้น ผู้คนมากมายได้เผชิญหน้ากับอันตราย และเข้าไปใกล้ซากศพ ด้วยความหวังว่าอาจจะได้พบกับความโชคดีบางอย่าง บางคนก็กลับไป บางคนก็ไม่เคยได้ทำอะไร
เนื่องจากมีการรวมตัวของผู้ฝึกตนมากมายนับแสน จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะหลีกเลี่ยงการกระทบกระทั่งกัน ดังนั้น การต่อสู้ด้วยเวทอาคมก็ไม่ใช่เรื่องผิดปกติ และอย่างน้อยทุกวันก็มีผู้คนถูกสังหารไปบ้าง
สำหรับสำนักใหญ่และตระกูลดัง พวกมันอยู่ภายใต้การป้องกันของผู้อาวุโส ถึงจะมีความวุ่นวายขึ้นเล็กน้อย แต่ก็ยังอยู่ภายใต้การควบคุม
หลังจากแรงสั่นสะเทือนจางหายไป เมิ่งฮ่าวนำกลุ่มผู้ฝึกตนสำนักจื่อยิ่นนับสิบเข้าไปในเขตบริเวณนั้น ทำให้เกิดเป็นจุดสนใจขึ้นเล็กน้อย และผู้คนมากมายก็มองมาว่ากำลังเกิดอะไรขึ้น
เมื่อพวกมันมองเห็นเมิ่งฮ่าว และจำได้ถึงเสื้อผ้าชุดเทพกระถางม่วงของเขา เสียงพูดคุยก็ดังขึ้นมา
“นั่นก็คือฟางมู่แห่งสำนักจื่อยิ่น!”
“นั่นคือเต้าจื่อแห่งแผนกเม็ดยาบูรพา, ฟางมู่!”
เมิ่งฮ่าวได้ยินคำพูดเหล่านี้ แต่สีหน้าเขาก็สงบนิ่งเหมือนเช่นเคย มุ่งหน้าต่อไป นำกลุ่มของเขาไกลเข้าไปในอาณาเขตที่ใกล้กับถ้ำกำเนิดใหม่
ขณะที่พวกเขาบินไป เขาก็สำรวจพื้นที่บริเวณนั้นด้วยจิตสัมผัส ทันใดนั้น ก็รับรู้ได้ถึงผู้ฝึกตนจำนวนมากมายซึ่งอยู่ที่นั่น แต่ก็ไม่ได้มากเท่าที่อยู่ด้านนอก บางทีอาจจะมีเพียงหนึ่งหมื่นคน
เมื่อเปรียบเทียบกับพื้นที่ด้านนอก ด้านในก็มีกลุ่มหมอกที่หนาแน่นกว่า พยายามกดดันจิตสัมผัส ทำให้ยากที่จะมองเห็นและได้ยินสิ่งใดๆ ได้อย่างง่ายดาย
ในที่สุด เมิ่งฮ่าวก็มองเห็นบึงน้ำขนาดใหญ่ ที่ลอยอยู่กลางอากาศเหนือบึงน้ำนั้น เป็นกลุ่มหมอกสีดำที่ม้วนตัวไปมาพุ่งสูงขึ้นไปในท้องฟ้า
ภายใต้กลุ่มหมอก บึงน้ำมีอาณาบริเวณถึงหนึ่งพันหลี่ ช่างกว้างใหญ่มหาศาลเป็นอย่างยิ่ง และภายในความกว้างใหญ่นั้น ก็เป็นถ้ำกำเนิดใหม่อันลี้ลับของดินแดนด้านใต้
นี่เป็นแกนกลางของถ้ำกำเนิดใหม่ ล้อมรอบแกนกลางนี้เป็นเสาแห่งแสงสิบสองต้นหรือมากกว่านั้น พุ่งสูงขึ้นไปในท้องฟ้า เสาแต่ละต้นก็กระเพื่อมเป็นลูกคลื่นอย่างน่าตกใจ ทำให้เป็นไปไม่ได้ที่ไม่มีใครสังเกตเห็นมัน
พวกมันแสดงให้เห็นถึงพลังอันน่าตกใจออกมา การคงอยู่ของเสาแห่งแสงมากกว่าสิบต้นนี้ ทำให้พื้นที่กว้างใหญ่รอบๆ ถ้ำกำเนิดใหม่นี้ดูเหมือนจะมีอันตรายน้อยลง
สิ่งมีชีวิตแปลกๆ มากมายที่อาศัยอยู่ในพื้นที่บริเวณนี้หลบซ่อนตัวไว้ ไม่ได้โผล่ออกมาทำอันตรายผู้คน
ท่ามกลางเสาแห่งแสงทั้งสิบกว่าต้น มีจุดที่หยุดนิ่งอยู่ ที่นั่น กลุ่มผู้ฝึกตนจำนวนมากมาย นั่งขัดสมาธิ เข้าฌาณอยู่ มีเพียงห้าสำนักใหญ่ และสามตระกูลดังเท่านั้น ที่สามารถสร้างฐานที่มั่นซึ่งอยู่ใกล้กับแกนกลางของอาณาเขตถ้ำกำเนิดใหม่ได้เช่นนี้
ขณะที่เมิ่งฮ่าวเข้าไปใกล้ ทันใดนั้น เขาก็มองเห็นหนึ่งในเสาแห่งแสงนั้นมีสีม่วง และกระจายพลังกดดันออกมา เนื่องจากเสาแห่งแสงสีม่วงนี้ จึงมองไม่เห็นแม้แต่เศษเสี้ยวของกลุ่มหมอกสีดำ อยู่ในบริเวณใกล้ๆ นั้น แม้แต่พื้นดินก็ยังเป็นสีม่วงเนื่องจากเสาแห่งแสงนี้
อู๋ติงชิว อยู่ที่นั่นด้านใน รวมถึงฉู่อวี้เยียน, อันจ้ายไห่, หลินไห่หลง และผู้ฝึกตนคนอื่นๆ จากแผนกลมปราณม่วง มีอยู่คร่าวๆ หนึ่งร้อยคน ทั้งหมดกำลังนั่งขัดสมาธิ หลับตาเข้าฌาณ
ที่รวมอยู่ในกลุ่มคนนี้ ยังมีอีกสองชายชรา นั่งขัดสมาธิเข้าฌาณอยู่ใกล้กับจุดศูนย์กลางของเสาแห่งแสง พวกมันสวมใส่ชุดยาวสีขาว และมีสีหน้าท่าทางเก่าแก่โบราณ เมิ่งฮ่าวสัมผัสได้ถึงแรงกดดันอันน่ากลัว ที่อยู่ภายในร่างของพวกมัน
เห็นได้ชัดว่าอู๋ติงชิวอ่อนแอกว่าชายชราทั้งสองนี้มาก น่าจะอยู่ต่ำกว่าหนึ่งขั้น!
“ขั้นตัดวิญญาณ…” เมิ่งฮ่าวสูดลมหายใจเข้าไปลึกๆ ขณะที่เขาตรงไปที่พวกมัน ดวงตาส่องประกาย มองตรงไปยังเสาแห่งแสงต้นอื่นๆ ได้เห็นสำนักกูตู๋เจี้ยน, สำนักชิงหลัว, สำนักจินซวง, สำนักเซี่ยเยา รวมถึงผู้ฝึกตนจากสามตระกูลดัง รวมถึงหานเป้ย, เฉินฟ่าน, โจวเจี๋ย, หวังลี่ไห่, หลี่เต้าอี และคนอื่นๆ สายตาเมิ่งฮ่าวในที่สุดก็ตกกระทบไปบนร่างของหญิงสาวในชุดขาว ที่อยู่ในกลุ่มของสำนักชิงหลัว
ฉื่อชิง
เขามองไปที่นางสักพัก และจากนั้นก็มองไปที่อื่น มีเสาแห่งแสงต้นอื่นๆ หนึ่งมีสีส้ม และเต็มไปด้วยบรรยากาศของพลังและศักดิ์ศรี ที่กำลังนั่งขัดสมาธิอยู่ภายในเป็นผู้ฝึกตนสิบกว่าคน ซึ่งผิวหนังมีรอยสักเป็นรูปสัญลักษณ์ต่างๆ พวกมันมีรูปร่างสูงใหญ่ ดูไม่เหมือนผู้คนจากดินแดนด้านใต้
“ผู้ฝึกตนจากทะเลทรายตะวันตก…” เมิ่งฮ่าวคิด ดวงตาหดเล็กลง นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาได้เห็นผู้ฝึกตนจากทะเลทรายตะวันตก ครั้งแรกที่เขามาถึงในภาคกลางของดินแดนด้านใต้ เขาก็ได้เห็นผู้ฝึกตนร่างสูงใหญ่ท่าทีแปลกๆ เหล่านี้
เมิ่งฮ่าวยังรู้ถึงชื่อจริงของทะเลทรายตะวันตกอีกด้วย มันถูกเรียกว่า ซีหมาน (คนเถื่อนตะวันตก) อันที่จริง นั่นเป็นนามที่ถูกเขียนอยู่บนแผนที่ ซึ่งเขาได้เห็นเมื่อหลายปีก่อน แต่ผู้คนจากทะเลทรายตะวันตกก็รู้สึกว่า คำว่าคนเถื่อนเป็นการดูถูกมากไป ดังนั้นจึงเปลี่ยนไปใช้ชื่อว่า ซีโม่(ทะเลทรายตะวันตก) แทน ซึ่งสอดคล้องกับชื่อของ เป่ยโม่ (ทะเลทรายทางเหนือ) แม้จะเป็นเช่นนั้น ก็ยังคงมีบางคนเรียกพวกมันว่า ซีโม๋ (ปีศาจตะวันตก)
ขณะที่เขากวาดมองต่อไป สายตาเมิ่งฮ่าวก็ไปตกกระทบอยู่ที่เสาแห่งแสงอีกสองต้น หนึ่งในนั้นส่องแสงเป็นสีน้ำเงินราวกับท้องฟ้า ด้านข้างมัน มีเสาธงขนาดใหญ่ปักลงไปในพื้นดิน ที่กำลังลอยอยู่ในสายลม เป็นธงซึ่งปักด้วยตัวอักษรสีทอง…
จี้!
เมื่อเขาเห็นมัน ม่านตาเมิ่งฮ่าวก็หดแคบลง และเริ่มหายใจอย่างหนักหน่วง มีผู้ฝึกตนมากกว่าสิบคน กำลังนั่งเข้าฌาณอยู่ด้านล่างของเสาแห่งแสงนั้น หนึ่งในพวกมันเป็นบุรุษหนุ่ม มีริมฝีปากบาง ท่าทางทรนงและใจร้อนถูกเขียนอยู่บนใบหน้าของมัน ดูเหมือนมันจะสัมผัสได้ถึงสายตาของเมิ่งฮ่าว มันหันหน้าและมองมา จากนั้นก็แค่นเสียงเย็นชาออกมา อาการดูถูกส่องประกายอยู่ภายในดวงตา
เสียงแค่นอันเย็นชานี้ ทันใดนั้น ก็ดังเข้าไปในจิตใจเมิ่งฮ่าว ทำให้เขาชะงักไปชั่วครู่ รีบโคจรพื้นฐานฝึกตนอย่างรวดเร็ว เพื่อขจัดความรู้สึกไม่สบายใจออกไป
“ขั้นสร้างแกนลมปราณ” สีหน้าเขาราบเรียบเหมือนปกติ ขณะที่มองไปทางอื่น ดวงตาบุรุษหนุ่มแวบแสงขึ้น ขณะที่มันตรวจสอบเมิ่งฮ่าวอยู่ชั่วครู่ และจากนั้นก็ไม่สนใจเขาอีกต่อไป
เมิ่งฮ่าวมองไปยังเสาแห่งแสงต้นอื่น ซึ่งมีสีเขียว และแผ่กระจายพลังอันน่ากลัวออกมา เสาของสำนักชิงหลัวก็เป็นสีเขียวเช่นเดียวกัน แต่สีของเสาต้นนี้แตกต่างออกไป มันเป็นสีเขียวเข้ม
ด้านล่างของเสาสีเขียวเข้ม มีสามคนนั่งขัดสมาธิอยู่ หนึ่งเป็นสตรีวัยกลางคน คนที่สองเป็นชายชรา และคนที่สามเป็นหญิงสาววัยเยาว์ หญิงสาวนั้นสวมใส่ชุดยาวสีเขียว และเส้นผมที่ยาวของนางก็แผ่กระจายไปบนไหล่ นางค่อนข้างสวยงาม แต่ก็มีความเย็นชา และท่าทางหยิ่งยโส ดูเหมือนจะเป็นบุคคลที่ใจร้อน และยากที่จะใกล้ชิดได้อย่างง่ายดาย
ขณะที่เขามองไปยังทุกคน เมิ่งฮ่าวก็ทำใจให้เยือกเย็นและเก็บรวบรวมข้อมูลไว้ นำกลุ่มของเขาตรงไปยังเสาแห่งแสงสีม่วงของสำนักจื่อยิ่น ขณะที่เขาเข้าไปใกล้ มีบางคนได้ลืมตาขึ้นมาอย่างระมัดระวังตัว เมื่อพวกมันเห็นเมิ่งฮ่าว สีหน้าเคารพเลื่อมใสก็เต็มอยู่บนใบหน้า
สำหรับฉู่อวี้เยียน ความซับซ้อนปรากฎขึ้นในดวงตาของนาง เยี่ยเฟยโม่เพียงก้มหน้าลงอย่างเงียบๆ