ใบหน้าเมิ่งฮ่าวซีดขาวขณะที่เขานั่งขัดสมาธิอยู่ในถ้ำแห่งเซียน ไม่กี่วันหลังจากนั้น ในที่สุด เขาก็ลืมตาขึ้นมา ส่องประกายด้วยแสงเจิดจ้า แต่คิ้วเขาก็ยังคงขมวดขึ้นเป็นบางครั้งก่อนที่จะผ่อนคลายไปในที่สุด
“วิญญาณของข้าบาดเจ็บ…” เขาพึมพำ สัมผัสได้ถึงความเย็นเยียบอันน่ากลัวอยู่ภายในร่าง ความเย็นเยียบนั้นผ่านเข้าไปในร่างเขาครั้งแล้วครั้งเล่า ในการฝึกฝนพื้นฐานลมปราณ พื้นฐานฝึกตนเกี่ยวข้องกับเสาแห่งเต๋า จิตสัมผัสได้เกิดขึ้น รวมถึงทะเลแห่งความเข้าใจ และวิญญาณการฝึกตน
วิญญาณนี้จะกลายมาเป็นพื้นฐานสำหรับวิญญาณแรกก่อตั้งในอนาคต
ตอนนี้ เมิ่งฮ่าวสัมผัสได้อย่างเลือนลางว่า วิญญาณของเขาได้ถูกดึงออกมาจากจุดเดิมของมัน เป็นค่าตอบแทนที่ต้องจ่ายเพื่อใช้ธวัชสามแฉก การบาดเจ็บเช่นนี้เป็นเรื่องยากที่จะฟื้นฟูกลับมาเป็นเหมือนเดิม การบาดเจ็บภายนอกสามารถฟื้นฟูได้ด้วยการพักผ่อนและพักฟื้น หรือใช้เม็ดยา แต่การบาดเจ็บของวิญญาณไม่สามารถรักษาด้วยวิธีการเช่นนั้นได้
ต่อสู้และสังหารสร้างแกนลมปราณเป็นความสำเร็จที่น่าประทับใจ แต่เท่าที่เมิ่งฮ่าวคิด ระดับความยากก็สูงมากเกินไป แม้จะมีเสาแห่งเต๋าสิบต้น มันก็ยังเป็นเรื่องยากอยู่ดี
มีความแตกต่างอย่างใหญ่หลวงระหว่างผู้ฝึกตนพื้นฐานลมปราณ และผู้ฝึกตนสร้างแกนลมปราณ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ทีฝึกแกนปราณ อันที่จริง เขาไม่มีคุณสมบัติเพียงพอที่จะไปท้าทายผู้ฝึกตนสร้างแกนลมปราณ
แม้จะมีพื้นฐานสมบูรณ์และเสาแห่งเต๋าทั้งแปดต้น การต่อสู้กับผู้ฝึกตนหน้ากากฟ้าก็เป็นสิ่งที่ท้าทายเป็นอย่างยิ่ง เขาได้ใช้กลยุทธ์ทุกอย่างที่คิดออกมาได้เพื่อชะลอการโจมตีของมัน ดูเหมือนเขาไม่ได้พ่ายแพ้ แต่ในความเป็นจริง พลังที่ทำลายเขายังคงมีอยู่ ถ้าเวลานานผ่านไป เขาก็คงจะพ่ายแพ้ด้วยพลังการโจมตีของมัน
โชคดีที่เสาแห่งเต๋าต้นที่เก้าของเขาได้ปรากฎขึ้น จากนั้นสถานการณ์ก็เปลี่ยนเป็นดีขึ้น แน่นอนว่า นี่ก็คือจุดประสงค์ของเมิ่งฮ่าว การกระเสือกกระสนดิ้นรนในห้วงความเป็นความตาย จะทำให้ปราณในร่างของเขาเพิ่มมากขึ้น ทำให้เขาสามารถทะลวงผ่านจุดตีบตัน และเพิ่มพื้นฐานฝึกตน!
ความจำเป็นในการต่อสู้ทำให้เมิ่งฮ่าวต้องเริ่มต้นโจมตี!
ถ้าไม่มีเสาแห่งเต๋าต้นที่สิบ และวงจรอันยิ่งใหญ่สมบูรณ์ของพื้นฐานลมปราณ เขาก็คงไม่อาจจะสังหารผู้ฝึกตนสร้างแกนลมปราณได้ ทำได้อย่างดีที่สุดก็คือ เขาอาจจะต่อสู้ได้นานขึ้นอีกเล็กน้อย
ช่องว่างระหว่างพื้นฐานลมปราณ และสร้างแกนลมปราณมีมากเกินไป ราวกับช่องว่างระหว่างสวรรค์และปฐพี แม้เสาแห่งเต๋าต้นที่สิบจะปรากฎขึ้น แต่มันก็ทำให้ช่องว่างนั้น หดแคบลงได้เพียงแค่ครึ่งเดียว
การก้าวกระโดดเช่นนั้นทำให้พลังการต่อสู้ของพื้นฐานฝึกตนเขาพุ่งทะยานขึ้น ไกลเกินกว่าพื้นฐานลมปราณ และเข้าไปใกล้สร้างแกนลมปราณมากขึ้น
ความจริงก็คือ แม้จะมีพลังที่ใกล้ครึ่งทางของสร้างแกนลมปราณ สิ่งที่เขาสามารถทำได้มากที่สุดก็คือต่อสู้กับผู้ฝึกตนสร้างแกนลมปราณ เขาไม่มีที่จะสังหารมันได้ เช่นเดียวกันนั้น ถึงแม้คู่ต่อสู้ของเขาจะมีพลังที่เหนือกว่า แต่มันก็ยากจะสังหารเขาได้อย่างง่ายดาย
สิ่งที่ช่วยพลิกสถานการณ์อย่างแท้จริงก็คือ ธวัชสามแฉก ซึ่งเป็นของวิเศษอันล้ำค่าที่อยู่ด้านในของหน้ากากสีโลหิต
ของวิเศษชิ้นนี้ได้คงอยู่มานานภายในเขตขุมทรัพย์เซียนโลหิต แฉกด้านหนึ่งของมันถูกผนึกด้วยตัวอักษรจี้ เห็นได้ชัดว่าพลังของมันเพียงพอที่จะกระเทือนสวรรค์สั่นปฐพี และเซียนโลหิตแห่งชนเผ่าโบราณไท่เอ้อ ก็ตัดสินใจที่จะใช้มันดื่มโลหิตของจี้!
เมิ่งฮ่าวจำได้ถึงปฏิกิริยาตกตะลึงของผีโต้งในครั้งแรกที่มันมองเห็นธงผืนนี้ เมื่อพิจารณาจากสิ่งทั้งหมดนั้น ทำไมเมิ่งฮ่าวถึงจะไม่ตระหนักถึงพลังอันน่าประหลาดใจของมัน?
จริงๆ แล้ว เขายังไม่มีพื้นฐานฝึกตนเพียงพอที่แม้แต่จะไปแตะต้องของวิเศษนี้ ไม่สามารถใช้พลังของมันได้ แต่เมื่อเสาแห่งเต๋าต้นที่สิบปรากฎขึ้น เขาก็สามารถสัมผัสได้ถึงเสียงเรียกร้องของธวัชสามแฉกนี้
ตอนนี้เมื่อเขาคิดย้อนกลับไป ก็ตระหนักได้ว่ามันกำลังกระหาย…กระหายการทำลายล้าง!
อันที่จริง แทนที่จะกล่าวว่า เมิ่งฮ่าวเป็นผู้ใช้พลังของธวัชสามแฉก, มันจะถูกต้องกว่าถ้าจะกล่าวว่า เนื่องจากคุณสมบัติใหม่ของเมิ่งฮ่าว ธงผืนนั้นจึงได้ยืมมือ และพลังของเขา ปรากฎขึ้นอีกครั้งในท้องฟ้า
ยิ่งไปกว่านั้น แทนที่จะกล่าวว่าเมิ่งฮ่าวได้กำจัดผู้ฝึกตนสร้างแกนลมปราณ มันจะถูกต้องกว่าที่จะบอกว่า ธวัชสามแฉกเป็นผู้สังหารผู้ฝึกตนหน้ากากฟ้า!
แม้การปรากฎขึ้นเพียงแค่หนึ่งแฉกของธวัชสามแฉก จะทำให้พื้นฐานฝึกตนของเมิ่งฮ่าวเหือดแห้งไป และทำให้วิญญาณของเขาได้รับบาดเจ็บ ในตอนที่เขาลอยตัวอยู่กลางอากาศ มองลงไปยังผู้ฝึกตนดินแดนสีดำ และฝูงชนจากดินแดนด้านใต้ ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกี่ยวกับตัวเขาก็ดูเหมือนปกติธรรมดา แต่ในความเป็นจริง เขากำลังอ่อนแออย่างที่สุด
ต้องขอบคุณพลังการกลายร่างของผีโต้ง ทำให้เขามีกลิ่นอายอันทรงพลังกระจายออกมา ไม่มีใครสามารถรู้สึกถึงสถานการณ์จริงๆ ของเขาได้เลยแม้แต่น้อย เมื่อพิจารณาถึงเรื่องนั้นและความขุ่นเคืองอื่นๆ ไม่มีใครกล้าจะเคลื่อนไหวมาโจมตีเขา
นอกจากนั้น ธวัชสามแฉกก็ยังไม่ได้ปรากฎขึ้นอย่างสมบูรณ์ มันเป็นเพียงแค่ภาพภูติผีซึ่งปรากฎเป็นความสามารถศักดิ์สิทธิ์ ดังนั้น ผู้คนส่วนใหญ่จึงคิดว่ามันไม่ใช่อาวุธเวท แต่เป็นวิชาบางอย่าง ยิ่งไปกว่านั้น ไม่มีใครนำไปเชื่อมโยงกันระหว่างการเหือดแห้งหายไปของน้ำพุร้อนแห่งเต๋า และการปรากฎขึ้นของธงผืนนั้น
ตั้งแต่การตื่นขี้นมาจนถึงตอนนี้ เขาได้คายก้อนปราณที่ไม่บริสุทธิ์ออกมา และดวงตาก็เริ่มส่องประกาย พื้นฐานฝึกตนของเขาตอนนี้ก็ฟื้นฟูกลับมาแปดถึงเก้าในสิบส่วน จากความรวดเร็วเช่นนี้ ก็คงไม่นานก่อนที่เขาจะฟื้นฟูกลับมาเป็นปกติเหมือนเดิม แต่วิญญาณที่บาดเจ็บของเขา ก็เป็นเรื่องยากที่จะจัดการแก้ไข ทำได้เพียงแค่ระมัดระวังตัวให้มากขึ้น และไม่ทำเรื่องใดๆ ที่จะทำให้วิญญาณบาดเจ็บมากไปกว่านี้
“วิญญาณบาดเจ็บก็เหมือนกับการหว่านเมล็ดกรรม ถ้าวันที่ข้าสามารถเข้าไปสู่ขั้นวิญญาณแรกก่อตั้งมาถึง ก็จะสามารถเก็บเกี่ยวกรรมนี้ได้” เมิ่งฮ่าวนั่งอยู่ที่นั่นอย่างครุ่นคิดอยู่สักพัก จากนั้นก็สูดลมหายใจเข้าไปลึกๆ และลุกขึ้นยืนช้าๆ เดินออกไปจากถ้ำแห่งเซียน ก็พบว่าฝนกำลังตกลงมาอีกครั้ง เสียงพึมพำของสายฝนนำพาความหนาวเย็นแห่งฤดูใบไม้ร่วงมาด้วย เมิ่งฮ๋าวจ้องมองออกไปในที่ห่างไกล ชุดยาวสีฟ้าพริ้วไปมาในสายลมของสายฝน
“สร้างแกนลมปราณ…” ดวงตาเขาสาดประกาย จริงๆ แล้วก็ไม่จำเป็นต้องคิดไปถึงความยากในการบรรลุขั้นวิญญาณแรกก่อตั้ง ทันใดนั้น เขาก็คิดไปถึงผู้พิทักษ์เต๋าของหวังเถิงเฟย ผู้ฝึกตนสร้างแกนลมปราณ หวังซีฟ่าน
หลายปีที่ผ่านมานั้น เพียงแค่การมองมาของมันก็เกือบจะสังหารเมิ่งฮ่าวไป ในตอนนี้ เมิ่งฮ่าวเชื่อมั่นว่าถ้าเขาได้เผชิญหน้ากับมันอีกครั้ง มันก็คงต้องตกตะลึงอย่างแน่นอน
จมอยู่ในภวังค์ครุ่นคิด เมิ่งฮ่าวรำลึกถึงผู้อาวุโสโอวหยาง และ เฮ่อหลัวฮว่า แห่งสำนักเอกะเทวะ เขายังได้คิดไปถึงผู้ฝึกตนสร้างแกนลมปราณคนอื่นๆ ในแคว้นจ้าว ดวงตาเขาเริ่มเปล่งประกายขึ้นช้าๆ
“ข้ามีเสาแห่งเต๋าสิบต้น และพื้นฐานสมบูรณ์ ข้าสามารถต่อสู้กับขั้นสร้างแกนลมปราณได้…ข้าอาจจะถูกตัดพลังลมปราณออกจากสวรรค์และปฐพี แต่กลับกัน ข้าก็เป็นผู้ที่แข็งแกร่งมากที่สุดในขั้นนี้! ข้าต้องเดินไปในเส้นทางนี้ต่อไป! ข้ามีพื้นฐานสมบูรณ์แล้ว ต่อไปก็คือ…แกนสีทองสมบูรณ์!” ความคิดนี้ทำให้เขาหอบหายใจ “สำหรับอาการบาดเจ็บของวิญญาณ ก็คงต้องรอหลังจากนั้น” เขาไม่ใช่ผู้เริ่มต้นฝึกฝนวิถีแห่งเซียนอีกต่อไป และตอนนี้ก็มีความเข้าใจอย่างลึกซึ้งในสิ่งที่เกี่ยวข้องกันทั้งหมด ยกตัวอย่างเช่น ตอนนี้เขารู้ว่าในโลกแห่งการฝึกตนของดินแดนด้านใต้ ขั้นสร้างแกนลมปราณได้ถูกแบ่งออกเป็นสามระดับ, สีม่วงอยู่ในระดับสูงสุด, รองลงมาเป็นสีส้ม, สีแดงและสีเขียว ที่ระดับต่ำสุดเป็นหลากสีผสมกัน
จากวิธีการที่แตกต่าง และพรสวรรค์ที่ไม่เหมือนกัน ทำให้เกิดเป็นแกนลมปราณที่แตกต่างกัน ยกตัวอย่างเช่น ลมปราณม่วงบูรพาแห่งสำนักจื่อยิ่น สามารถสร้างแกนสีม่วง สำหรับสำนักและตระกูลอื่นๆ พวกมันก็มีวิชาลับของตัวเอง ทำให้ศิษย์ผู้ถูกเลือกของพวกมันมีอากาสที่จะสร้างแกนสีม่วงด้วยเช่นกัน
แกนที่แตกต่างกัน ก็จะสร้างแกนปราณที่แตกต่างกันไปด้วย แน่นอนว่า ยิ่งมีแกนอยู่ในระดับสูงมากเท่าใด มันก็จะยิ่งสร้างแกนปราณได้เร็วมากขึ้นเท่านั้น เห็นได้ชัดว่า แกนปราณ ก็จะมีความแข็งแกร่งเพิ่มมากขึ้นเช่นเดียวกัน
กล่าวโดยทั่วไป ท่ามกลางกลุ่มผู้ฝึกตนที่มีแกนม่วง เก้าในสิบส่วนก็จะสามารถฝึกฝนแกนปราณ ในขั้นต้นสร้างแกนลมปราณ สำหรับแกนสีส้ม, แดงและเขียว พวกมันเป็นแกนที่มีสีเดียว และมักจะสร้างแกนปราณได้ในช่วงขั้นกลางพื้นฐานลมปราณ สำหรับผู้ฝึกตนหน้ากากฟ้าดินแดนสีดำ ก็เห็นได้ชัดว่า พวกมันเป็นผู้ถูกเลือก และค่อนข้างจะสามารถบังคับให้พลังของแกนม่วงกระจายออกมาจากแกนส้มของพวกมันได้
สำหรับแกนหลากสี พวกมันประกอบไปด้วยสีสันที่หลากหลาย และเป็นขั้นต่ำสุดของทั้งหมด
แน่นอน เมิ่งฮ่าวรู้ว่า เมื่อไหร่ที่มันกลายเป็นแกนสมบูรณ์ มันก็จะมีสีทอง!
เมื่อมีเม็ดยาพื้นฐานสมบูรณ์ ก็ต้องมีเม็ดยาแกนสีทองสมบูรณ์ด้วยเช่นกัน หลังจากสร้างแกนสีม่วงได้แล้ว เมื่อกลื่นกินเม็ดยาแกนสีทองสมบูรณ์ ก็มีความเป็นไปได้สูงที่เขาจะสร้างแกนสีทองขึ้นมาได้
เมื่อไหร่ที่มันเกิดขึ้น เขาก็ต้องเผชิญหน้ากับทัณฑ์สายฟ้า
ก่อนหน้านี้ เรื่องเช่นนี้ช่างเป็นเรื่องที่ไกลตัวสำหรับเมิ่งฮ่าว แต่ตอนนี้ เขามีเสาแห่งเต๋าสิบต้น และมีวงจรอันยิ่งใหญ่สมบูรณ์ของพื้นฐานลมปราณ, สร้างแกนลมปราณก็อยู่ใกล้เพียงแค่เอื้อม
เขามองออกไปอย่างครุ่นคิดท่ามกลางลมฝน ในที่สุด เขาก็โบกสะบัดแขนเสื้อเพื่อรวบรวมหมอกพิษที่อยู่ภายในถ้ำแห่งเซียนเข้ามารวมกัน มันถูกรวบรวมอยู่ในฝ่ามือ จากนั้นเขาก็เก็บมันเข้าไปในถุงสมบัติ ขยับร่างพุ่งหายลับตาไป
ไม่กี่วันหลังจากนั้น เมิ่งฮ่าวลอยอยู่กลางอากาศ ขมวดคิ้ว บนศีรษะของเขา ผีโต้งกลายร่างเป็นหมวก กำลังพูดรัวออกมาอย่างต่อเนื่อง “คนชั่ว, สามคนชั่ว เมิ่งฮ่าว เจ้ากำลังค่อนแคะข้า! เจ้ากำลังเอาเปรียบความรู้สึกข้า เจ้ากำลังเอาเปรียบการช่วยเหลือจากข้า…”
มันได้ออกมาเมื่อสองวันก่อน ร้องขอคนชั่วอย่างไม่ลดละ แต่ในเขตตะวันตกของดินแดนด้านใต้นี้ ไม่มีผู้ฝึกตนเหลืออยู่เลย พวกมันทั้งหมดกลับไป หลังจากที่น้ำพุร้อนแห่งเต๋าหายไป เมิ่งฮ่าวไม่อาจค้นหาคนชั่วใหม่ๆ ได้
ดังนั้น…เจ้าผีโต้งก็เลยมีโทสะ
“เจ้ามันไร้ศีลธรรม, กระทำผิดมากเช่นนี้ได้อย่างไร? มันช่างไร้เหตุผลนัก…คนชั่วของข้า! สามคนชั่วของข้า!” ยิ่งมันพูดมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งฟังดูแล้วเขามีความผิดมากขึ้นเท่านั้น
เมิ่งฮ่าวกระแอมไอเบาๆ สีหน้าดูน่าเกลียด แต่หลังจากหลายปีผ่านไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตอนที่เขาอยู่ในสำนักจื่อยิ่น เขาได้ใช้ผีโต้งอยู่บ่อยๆ ดังนั้น เขาจึงปล่อยให้มันพูดโดยไม่รู้จบต่อไป
หลังจากสามวันแห่งการพูดจ้อ ผีโต้งในที่สุดก็หยุดชะงักไปชั่วครู่ เมิ่งฮ่าวกระแอมไอเบาๆ และเริ่มกล่าวขึ้น “เจ้าเคยบอกว่า เมื่อไหร่ที่ข้าบรรลุขั้นสร้างแกนลมปราณ นกแก้วก็สามารถออกมาจากกระจกทองแดง?” เขาเฝ้ารอถึงสามวันเพื่อที่จะถามคำถามนี้
“ถูกต้อง!” ผีโต้งส่งเสียงร้องแสบแก้วหูออกมา “หลังจากบรรลุสร้างแกนลมปราณ เจ้าบัดซบ, ปีศาจ, ตัวน่าละอายใจ, ชั้นต่ำ, น่ารังเกียจ ก็จะปรากฎขึ้น ข้ารอคอยวันนั้นมานานแล้ว! ในชีวิตนี้ ข้าจะต้องเปลี่ยนแปลงมันให้ได้!” ในความบ้าคลั่ง ผีโต้งเริ่มพูดอย่างไม่รู้จบต่อไป ตอนนี้ แทนที่มันจะพูดเกี่ยวกับคนชั่ว มันก็พูดเกี่ยวกับนกแก้วลึกลับนั้นต่อไป
เมิ่งฮ่าวผ่อนคลายขึ้นเล็กน้อย จากการที่เขารู้วิธีการจัดการเจ้าผีโต้งมานานแล้ว สิ่งที่ต้องทำทั้งหมดก็คือ ให้หัวข้อการพูดคุยกับมัน โดยปกติแล้ว แค่หนึ่งหรือสองหัวข้อ มันก็จะลืมเรื่องที่เคยพูดไว้ก่อนหน้านี้ การทำเช่นนั้นก็เป็นวิธีที่ง่ายที่สุดในการจัดการมัน
เมิ่งฮ่าวบินไปเรื่อยๆ ขณะที่ผีโต้งพูดจ้อต่อไป เสียงหึ่งๆ ดังต่อเนื่องไปเจ็ดวัน ก่อนที่ในที่สุดมันก็หยุดพักชั่วครู่
ก่อนที่มันจะพูดต่อ เมิ่งฮ่าวก็กล่าวว่า “เจ้าคิดว่าใครแข็งแกร่งกว่ากัน, เจ้าหรือนกแก้วนั่น?”
ดูเหมือนคำพูดของเมิ่งฮ่าวจะไปขัดใจมัน และอีกครั้งที่มันเริ่มคลุ้มคลั่ง ตัวสั่นสะท้าน โทสะของมันพุ่งขึ้นไปถึงสวรรค์ “ข้า, อย่างแน่นอน! เห็นได้ชัดว่า ผู้ที่ยิ่งใหญ่, สง่างาม, ไม่ธรรมดา, ชาญฉลาด ก็คือข้า! เจ้านกบัดซบน่าละอายใจนั้นไม่มีอะไรนอกจากเป็นนกธรรมดา ข้าต้องเปลี่ยนแปลงมัน, ข้าต้องจัดการมัน!”
“ล่าสุดนี้ปรมาจารย์ตระกูลหลี่เป็นอย่างไรบ้าง?” เมิ่งฮ่าวรีบถามขึ้น “มันยอมเชื่อฟังแล้วหรือไม่?”
ผีโต้งอ้าปากค้างไปชั่วครู่ “ปรมาจารย์ตระกูลหลี่? ให้ตายเถอะ! ให้ดิ้นตาย! มันไม่ได้เชื่อฟังเลยแม้แต่น้อย ความอมตะ, ความเป็นปีศาจของมัน ช่างไร้ขีดจำกัดนัก! ข้าต้องไปสั่งสอนมันอีกเล็กน้อย!” ดูเหมือนว่า ทันใดนั้น มันก็ตระหนักว่าจะไประบายโทสะของมันทั้งหมดได้อย่างไร เสียงปะทุดังออกมา ขณะที่มันหายตัวไปในกลุ่มควัน เข้าไปในหน้ากากในถุงสมบัติของเมิ่งฮ่าว ด้วยความกระตือรือร้นและจริงใจ
ในที่สุด เมิ่งฮ่าวก็สามารถถอนหายใจยาวอย่างโล่งอกออกมาได้
“คงเงียบสงบสุขไปอีกนาน…”
เขามองไปรอบๆ ไม่ต้องการจะมุ่งหน้ากลับไปยังสำนักจื่อยิ่นในทันที แต่เขาจะไปยังเมืองผู้ฝึกตน และหาสถานที่ประมูลขายเม็ดยา ซึ่งเขาจะได้หินลมปราณเพิ่มเข้ามา
แต่ในขณะที่เขากำลังกวาดมองไปรอบๆ และค้นหาตำแหน่งที่จะเดินทางไป สีหน้าเขาทันใดนั้นก็เปลี่ยนไป มองลงไปยังถุงสมบัติสักพัก จากนั้นก็หยิบเอาเหรียญกษาปณ์เจ้าแห่งเตาออกมา มันกำลังส่องแสงสีม่วงริบหรี่ เขากดลงไปบนเหรียญกษาปณ์ และทันใดนั้น เสียงเก่าแก่โบราณก็ดังอยู่ในศีรษะ
“เด็กน้อย, เจ้าเล่นสนุกพอแล้วหรือไม่? ถึงเวลาที่จะเลิกเถลไถลได้แล้ว ข้าให้เจ้ากลับมาภายในสี่วัน การทดสอบเลื่อนขั้นเป็นเทพกระถางม่วงจะเริ่มในแดนสวรรค์ การทดสอบนี้จะจัดขึ้นเมื่อไหร่ก็แล้วแต่อารมณ์ของข้า ซึ่งมันจะเริ่มภายในสี่วันนับต่อจากนี้ และใครก็ตามที่เข้าร่วม ก็จะมีโอกาสกลายเป็นเทพกระถางม่วง ถ้าเจ้าไม่กลับมาให้เร็วที่สุด เจ้าก็จะสูญเสียโอกาสในการเข้าร่วม”