สองปีหลังจากนั้น เมิ่งฮ่าวมีอายุสามสิบห้าปี เขาได้จากบ้านมาเป็นเวลาเก้าปีแล้ว แต่ในช่วงตลอดเวลานั้น เขาก็ได้อาศัยอยู่เพียงแค่สองแห่ง แม่น้ำและผืนป่า
ปีนี้ เขาไปเข้าร่วมกับกลุ่มโจร
โจรร้ายโดยทั่วไปแล้วก็เป็นพวกนักฆ่า แต่พวกมันก็ไม่ได้สังหารเมิ่งฮ่าว บางทีอาจจะเป็นเพราะเขาสวมใส่ชุดนักศึกษา หรือเป็นหีบห่อของนักศึกษาที่เขาแบกอยู่บนหลัง เขารู้สึกเยาะเย้ยต่อโชคชะตาของตัวเอง ผู้นำของกลุ่มโจรเป็นหญิงสาวที่สวยงามมีเสน่ห์ นางถามเพียงคำเดียว
“เจ้าทำบัญชีได้หรือไม่?”
เมิ่งฮ่าวส่ายหน้า แต่พวกมันก็ยังนำเขาเข้าไปในป้อมค่ายบนภูเขา ซึ่งมีหมู่บ้านและผู้คนมากกว่าหนึ่งพันคนอาศัยอยู่ ส่วนมากก็เป็นครอบครัวของกลุ่มโจรเหล่านั้น รวมถึงกลุ่มเด็กอีกเล็กน้อย
เมิ่งฮ่าวได้กลายเป็นอาจารย์ ซึ่งส่วนใหญ่ก็ต้องสอนเหล่าเด็กๆ ให้อ่านออกเขียนได้ เขาไม่ได้สอนสิ่งใดๆ ที่ซับซ้อนมากนัก พวกมันเพียงแค่ต้องการจะสามารถอ่านตั๋วแลกเงิน และเข้าใจข้อความง่ายๆ ได้ ซึ่งเป็นสิ่งที่กลุ่มโจรควรจะสามารถทำได้
นี่เป็นความต้องการของกลุ่มโจรทั้งหมด โดยหัวหน้าโจรสาวผู้งดงาม
เวลาลอดผ่านไป เมิ่งฮ่าวปรับตัวเอง และเกิดความรู้สึกเหมือนกับอยู่ที่บ้านตัวเองอย่างรวดเร็ว เขาสอนการอ่านเขียน และมองขึ้นไปในท้องฟ้า มันแทบจะเหมือนกับชีวิตในเมืองตงหลาย บางครั้งเขาก็คิดถึงท่านอาจารย์ หรือบิดา และคิดว่าจะกลับไปกวาดหลุมฝังศพของบิดาอยู่เป็นเวลานาน
มีผู้คนตกตายไปทุกเดือนในป้อมค่ายบนภูเขา ตลอดช่วงเวลาสามปี ป้อมค่ายก็ย้ายที่มาแล้วสองครั้ง ในปีที่สี่ ศัตรูได้บุกเข้ามา ป้อมค่ายภูเขาก็เผชิญหน้ากับศัตรูมากมาย ในช่วงวิกฤตแห่งความเป็นตายนี้ เมิ่งฮ่าวก็ไม่ลังเลใดๆ ที่จะใช้พิษ
ในตอนที่ สายลมเหนือโชยพัดมา และศัตรูก็อยู่ในทิศใต้
เมิ่งฮ่าวไม่แน่ใจว่า ทำไมเขาถึงได้คิดถึงการใช้พิษ เป็นเพียงแค่ว่า ในสองสามปีที่ผ่านมา ดูเหมือนเขาจะมีความรู้มากมายอยู่ในจิตใจ พิษนี้…แน่นอนว่าถูกปรุงขึ้นมาโดยเมิ่งฮ่าว
ขณะที่ฝุ่นพิษลอยไปทางทิศใต้โดยสายลม เมิ่งฮ่าวก็หลับตาลง เวลานานผ่านไป เขาก็ได้ยินเสียงตะโกนร้องด้วยความดีใจ มันเป็นการสังหารหมู่ ป้อมค่ายภูเขาได้รับชัยชนะ
เมิ่งฮ่าวมีอายุสามสิบเก้าปี ในคืนนั้น หลังจากการระมัดระวังตัวเป็นครั้งที่สาม บางสิ่งที่เหมือนกับเปลวไฟได้มุดเข้ามากดทับเขา ซึ่งก็คือหัวหน้ากลุ่มโจรสาว ในช่วงเวลากลางวัน นางเป็นหญิงสาวผู้รักนวลสงวนตัว แต่ตอนนี้ นางเหมือนกับวิญญาณสาวผู้งดงาม
หลังจากคืนนั้น ชีวิตของเมิ่งฮ่าวก็เปลี่ยนไป เขาไม่ได้เป็นอาจารย์สอนหนังสืออีกต่อไป แต่ถูกเรียกว่าที่ปรึกษาด้านการทหาร เขาไม่เคยมีประสบการณ์ชีวิตเช่นนั้นมาก่อน มันช่างน่าสดชื่นและน่าตื่นเต้น ในไม่ช้าเขาก็มีอายุสี่สิบปี เขาได้ผ่านส่วนที่สำคัญของชีวิตมาเมื่อโลหิตเดือดพล่าน และทั้งหมดนี้ก็คือ…การเสพติด
การสังหาร, การปล้น เป็นเวลาสามปี มือเมิ่งฮ่าวไม่ได้เปื้อนโลหิตจริงๆ แต่ด้วยความช่วยเหลือของเขา จำนวนชีวิตที่ถูกพรากไปโดยกลุ่มโจรก็เพิ่มขึ้นเป็นสิบเท่า
ฤดูหนาวปีนั้น ในที่สุดเมิ่งฮ่าวก็รู้สึกอิ่มตัวกับเรื่องทั้งหมดนี้ เขาไม่ได้เลือกชีวิตเช่นนี้ และเขาต้องการจากไป แต่ตอนนี้ ป้อมค่ายภูเขาก็ได้ขยับขยายใหญ่โตขึ้นมาก เมื่อเขาได้เอ่ยถึงเรื่องการจากไป หัวหน้ากลุ่มโจรผู้สวยงามก็ปฏิเสธไม่ยอมปล่อยเขาไป
แต่เมิ่งฮ่าว…ก็ยืนกราน และออกจากป้อมค่ายภูเขาไปอยู่ดี ดังนั้น พวกมันพยายามไล่ตามลงไป และพยายามจะสังหารเขา
พวกมันไล่ตามเขาเป็นเวลาหนึ่งปี ก่อนที่ในที่สุดก็ล้มเลิก สุดท้าย เมิ่งฮ่าวก็ไม่ได้ถูกสังหาร เขาหลบหนีไปได้ และที่นั่น ประมาณหนึ่งร้อยก้าวด้านหลังเขา เป็นหัวหน้าโจรสาว นางนั่งอยู่บนหลังม้า จ้องมาที่เขา ถือธนูสีดำขนาดใหญ่อยู่ในมือ นางมีอายุมากขึ้น แต่ก็ยังคงสวยงาม และภายในดวงตาก็เต็มไปด้วยความรู้สึกของการตัดเยื่อใย
สายลมโชยพัดผ่านระหว่างคนทั้งสอง บนไหล่ของเมิ่งฮ่าวยังคงมีหีบห่อของนักศึกษา ที่เขาได้นำมาตอนออกจากบ้าน หมุนตัวไปรอบๆ และเดินจากไปในที่ห่างไกล
ไม่มีลูกธนูปล่อยออกมาจากคันธนู
ในปีนั้น เมิ่งฮ่าวมีอายุสี่สิบสามปี
ในที่สุด เขาก็มองเห็นอารามเต๋า ตั้งอยู่บนยอดเขา
มันเป็นตอนฤดูใบไม้ร่วง และใบไม้ก็พริ้วไปมา ขณะที่พวกมันลอยลงบนพื้นหินปูนสีเขียวของอาราม ท้องฟ้ามืดครึ้ม และเสียงดังก้องของฟ้าร้องก็ได้ยินมาเป็นระยะ ฝนกำลังจะตก
เมิ่งฮ่าวได้ที่พักในอารามเต๋า เขามองไปยังนักพรตที่ฝึกฝนตามหลักศาสนาของตัวเองอยู่ สังเกตชีวิตความเป็นอยู่ในแต่ละวันของพวกมัน และรู้สึกมีความสุขที่สงบเย็นซึ่งเขาไม่เคยสัมผัสมาก่อน
เขามีความรู้สึกอยู่ตลอดเวลาว่า มือของเขาเปื้อนโลหิตที่ไม่อาจจะชะล้างออกไปได้ บางทีสถานที่แห่งนี้อาจจะทำให้เขาค้นพบวิธีในการชะล้างมันออกไป
สองปีหลังจากนั้น เมิ่งฮ่าวมีอายุสี่สิบห้าปี เขาถอนหายใจอย่างแผ่วเบาออกมา
“กลายเป็นว่า ไม่มีทางชะล้างมันออกไปได้ ข้าคงต้องมีชีวิตอยู่ร่วมกับมันต่อไป” ส่ายศีรษะ เขาอำลาอารามเต๋า และเดินทางเข้าสู่โลกมนุษย์อีกครั้ง
ในที่สุด เขาก็มาถึงเมืองหลวง หลังจากอาศัยอยู่ที่นั่นเป็นเวลาหนึ่งปี สงครามก็เกิดขึ้นจากชนชาติที่อยู่ติดกัน เนื่องจากอายุของเขา เมิ่งฮ่าวถูกเกณฑ์ให้เป็นทหาร และกลายเป็นทหารในกองทัพ สงครามระหว่างสองชนชาติเพิ่งจะเริ่มขึ้นในจุดนี้
สองปีในสงคราม เมิ่งฮ่าวใช้พิษที่เขาปรุงขึ้นมา เอาชนะการต่อสู้ ซึ่งทำให้ทั้งสองชนชาติตกตะลึง ทำให้เขามีชื่อเสียงโด่งดัง เขาไม่ใช่ทหารธรรมดาอีกต่อไป แต่เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านพิษ
ห้าปีในสงคราม เขากลายเป็นขุนพล เป็นผู้นำทหารที่เก่งกล้าหนึ่งแสนนาย รวมถึงหน่วยรบพิเศษ ผู้เชี่ยวชาญด้านพิษอีกหนึ่งร้อยคน
แปดปีในสงคราม ศัตรูถอนกำลังออกจากสนามรบ และเปลี่ยนเป็นตั้งรับแทน เมิ่งฮ่าวมีอายุมากกว่าห้าสิบปี และนามของเขาก็เลื่องลือไปทั่ว เขานำทหารเข้าไปในเมืองของศัตรูโดยมีเป้าหมายเพื่อทำลายพวกมันให้สิ้นซาก
เมื่อถึงปีที่สิบของสงคราม เมิ่งฮ่าวก็อายุห้าสิบหกปี เขาได้ออกจากบ้านมาสามสิบปีแล้ว ศัตรูถูกทำลายล้าง เขากลับไปยังเมืองหลวง และได้มีพิธีการต้อนรับอย่างยิ่งใหญ่
ตอนนี้เขากลายเป็นตำนาน และด้วยเช่นนั้น เขาได้รับการพระราชทานให้มีตำแหน่งเป็นที่ปรึกษาส่วนพระองค์
ทุกสิ่งทุกอย่างเหมือนกับความฝัน และเมิ่งฮ่าวก็ไม่ค่อยคุ้นเคยกับมัน บางทีอาจจะเป็นเพราะเขา หรือบางทีอาจจะเป็นเพราะพลังของเชื้อชาติ แต่หลังจากที่กลายเป็นที่ปรึกษาส่วนพระองค์ บ้านเมืองนี้ก็กลายเป็นผู้รุกราน สงครามครั้งใหม่ได้เริ่มขึ้น
ปีแล้วปีเล่าผ่านไป และในที่สุด เมิ่งฮ่าวก็มีอายุหกสิบปี และรู้สึกอิ่มตัวกับทุกสิ่งทุกอย่างขึ้นอีกครั้ง เขาออกจากกองทัพ และกลับไปยังพื้นที่ซึ่งไหม้เกรียมด้วยเปลวไฟแห่งสงคราม เกิดโรคระบาดลุกลามไปทั่วในสถานที่แห่งนั้น เขาสามารถช่วยชีวิตได้เพียงบางคน หลังจากนั้น เขาก็ไม่ได้เป็นที่ปรึกษาส่วนพระองค์อีกต่อไป แต่เป็นหมอ, หมอแห่งยา
เขาท่องเที่ยวต่อไป ไล่ตามความฝันที่มีตอนที่เขายังเยาว์ ปีนป่ายเทือกเขา ท่องเทียวไปยังดินแดนที่ห่างไกล
เขาได้สังหารผู้คนไปมากมายเท่าใดในอดีต เขาก็จะช่วยรักษาผู้คนมากมายเท่านั้น
เขาเดินทางไปเป็นเวลายี่สิบปี
ตลอดเวลายี่สิบปีมานี้ เมิ่งฮ่าวท่องเที่ยวผ่านบ้านเมืองนับไม่ถ้วน และปีนป่ายยอดเขามากมาย ช่วยเหลือผู้คนหลากหลาย และในที่สุด คำว่า “แพทย์มือพิสดาร” ก็กระจายออกไปทั่ว
ในปีที่เมิ่งฮ่าวมีอายุแปดสิบปี เขามองอย่างครุ่นคิดขึ้นไปในท้องฟ้า ใบหน้าที่เหี่ยวย่นปกคลุมไปด้วยเหตุการณ์ของชีวิตที่เต็มไปด้วยความทรงจำ
“ข้าท่องเที่ยวไปหลายเส้นทางในชีวิต” เขาคิดกับตัวเอง “แต่สำหรับทางเลือกของข้า…มันคืออะไรกันแน่…? ข้าไม่ได้เลือกเป็นเงาสะท้อนในน้ำของแม่น้ำ ไม่ได้เลือกที่จะอาศัยอยู่อย่างสงบสุขในผืนป่า ไม่เลือกที่จะมีชีวิตคู่กับหัวหน้าโจร ไม่ได้เลือกที่จะกลายเป็นนักพรต…ข้าได้ยกเลิกการเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านพิษ หรือที่ปรึกษาส่วนพระองค์มานานแล้ว ในสงครามที่ขับเคี่ยวกัน…ข้าก็คิดว่าได้ตัดสินใจเป็นครั้งสุดท้ายที่จะกลายเป็นแพทย์ แต่ตอนนี้เมื่อมองย้อนกลับไป…นั่นก็ไม่ใช่เส้นทางของข้าเช่นกัน ข้ากำลังไล่ตามอะไรในชีวิตนี้?” เขามองขึ้นไปในท้องฟ้า แต่ก็ไม่อาจจะได้คำตอบใดๆ มีเพียงสิ่งเดียวที่พบได้ก็คือ ความสับสนมากขึ้นกว่าเดิม และรู้สึกเหน็ดเหนื่อยอยู่ลึกๆ ด้านใน
เขาคิดถึงบ้าน ในคืนฤดูใบไม้ร่วงนั้น เขานั่งอยู่ภายใต้ดวงดาว มองขึ้นไปในท้องฟ้า ตรงเท้าที่ด้านข้างเป็นใบไม้ที่ร่วงหล่นลงมา เขาไม่ได้สังเกตขณะที่สายลมกระซิบผ่านผืนป่า หยิบมันขึ้นมา และวางมันกลับไปยังต้นไม้ที่มันตกลงมา ในตอนนี้ เขาค่อนข้างจะเหมือนกับใบไม้ใบนั้น จากบ้านมาเกือบจะครบหกสิบปี ตอนนี้ เขาต้องการกลับไป
เมิ่งฮ่าวเริ่มต้นออกเดิน หลังจากที่เขาจากบ้านมา ได้ทำให้เขาใช้เวลาถึงห้าสิบสี่ปี เพื่อนำเขามาถึงจุดนี้ การเดินทางกลับไปใช้เวลาเพียงแค่หกปี
เมืองตงหลายยังคงอยู่ที่นั่น มีความเจริญรุ่งเรืองมากขึ้นกว่าเดิม เส้นผมเมิ่งฮ่าวเป็นสีขาว เมื่อเขาผ่านเข้าไปในเมือง เขาแทบไม่อาจจะรับรู้ได้ถึงเส้นทางเมื่อในอดีต
หอนางโลมหายไป กำแพงได้ผุพังไปนานแล้ว และสถานที่แห่งนั้นในตอนนี้ก็กลายเป็นคฤหาสน์หลังใหญ่
บ้านหลังที่เขาเติบโตขึ้นมาก็หายไปตามกาลเวลาที่ล่วงเลยไป ถูกแทนที่ด้วยโรงเตี๊ยม เมิ่งฮ่าวเดินผ่านมัน จ้องมองไปเป็นเวลานาน ใบหน้าเขาไม่เพียงแต่จะปกคลุมไปด้วยการทำลายล้างแห่งกาลเวลา แต่ด้วยสีหน้าอันซับซ้อน ในที่สุด เขาก็หันหลังและจากไป
เมื่อเขามาถึงบ้านของท่านอาจารย์ บุคคลที่มาเปิดประตูเป็นคนแปลกหน้า หลังจากสอบถามเล็กน้อย เมิ่งฮ่าวก็หันหน้าไปมองยังภูเขาตะวันออก ซึ่งอยู่ห่างไกลออกไป
บิดาเขาถูกฝังอยู่ที่นั่นมานานกว่าห้าสิบปีแล้ว ท่านอาจารย์ก็ถูกฝังอยู่ที่นั่นมามากกว่ายี่สิบปี
เมิ่งฮ่าวถอนหายใจ ถือเหยือกสุราเดินไปอย่างเงียบๆ เขาปีนขึ้นไปบนภูเขา ตอนแรก เขาไปเยี่ยมหลุมฝังศพบิดา ซึ่งเต็มไปด้วยต้นหญ้า “ข้ารู้ว่าทั้งหมดนี้ก็คือภาพลวงตา” เขากล่าวเสียงแผ่วเบา “และท่านก็ไม่ใช่บิดาข้าจริงๆ แต่…ท่านก็ทำให้ข้ารู้สึกถึงความรักของบิดา ซึ่งข้าได้ขาดหายไป มันเป็นอ้อมกอดอันเรียบง่ายที่ข้าสามารถหลับได้อย่างสบายใจ…” เมื่อสามสิบก่อน ในอารามเต๋า เขาได้เข้าใจถึงทุกสิ่งทุกอย่าง โลกนี้ไม่มีอะไรเลยนอกจากภาพลวงตา การทดสอบที่จะกลายมาเป็นศิษย์
เมิ่งฮ่าวตัวจริง ยังคงอยู่ในโลกของแดนสวรรค์ในสำนักจื่อยิ่น บนยอดเขาจื่อตง
เขาหลับตาลง เวลานานผ่านไป ก่อนที่เขาจะจากหลุมฝังศพบิดาไป ในที่สุด เขาก็มาถึงหลุมฝังศพท่านอาจารย์ มองไปสักพักก่อนที่จะพูดว่า
“การกลายมาเป็นศิษย์เกี่ยวข้องกับการโขกศีรษะสามครั้ง” เขาพึมพำ “ครั้งแรกอยู่ในช่วงเวลาของความบริสุทธิ์ ครั้งที่สองเป็นเวลาของการออกเดินทาง ครั้งที่สามเมื่อมองไปยังวาระสุดท้ายของชีวิต…ท่านให้ข้าใช้เวลาชั่วชีวิตในการตัดสินใจ ว่าจะกลายมาเป็นศิษย์ของท่านหรือไม่ ทั้งหมดในอาณาจักรแห่งภาพลวงตานี้ได้ถูกสร้างขึ้นมา ไม่ใช่จากท่าน หรือข้า ท่านเพียงแต่สร้างจุดเริ่มต้น ทุกคนในการทดสอบจะสร้างโลกของตัวเองขึ้นมา”
“ในโลกแห่งนี้ ข้าปล่อยจิตใจให้เป็นอิสระ ข้า…ข้าได้พบเจอกับทุกๆ สิ่ง สุดท้าย ข้าก็กลับมายังที่นี่ แต่ก็ยังคงไม่อาจค้นพบสิ่งที่ข้าปรารถนาจะไล่ตาม…”
“เต๋าแห่งการปรุงยา? เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่” เขายกเหยือกสุราขึ้น และดื่มลงไปสักพัก
“ชีวิตอันนิรันดร์?” เขาพูดเงียบๆ “ข้ายังไม่มีคุณสมบัติเพียงพอ” ในที่สุด ดวงตะวันก็เริ่มจมลงไปในทิศตะวันตก และเหยือกสุราก็ว่างเปล่า เขายังไม่เริ่มโขกศีรษะเป็นครั้งที่สาม แต่หมุนตัว และหันหน้าตรงไปยังเมืองตงหลาย
เขารู้ว่าเมื่อไหร่ที่เขาทำการโขกศีรษะเป็นครั้งที่สาม เขาก็จะออกไปจากโลกแห่งภาพลวงตานี้ แต่เขาก็ยังคงไม่อาจค้นพบคำตอบ ดังนั้น เขาจะไม่จากไป เขาจะอยู่ต่อ
นับจากนี้ไป ชายชราก็อาศัยอยู่ในเมืองตงหลาย
ด้านนอกของโลกแห่งภาพลวงตา ภายในแดนสวรรค์จื่อยิ่น บนยอดเขาจื่อตง น้ำตาไหลซึมออกมาจากดวงตาของฉู่อวี้เยียน นางลืมตาขึ้น และดวงตาก็เต็มไปด้วยความเศร้าโศก ราวกับว่ากำลังจมอยู่โลกของนาง ซึ่งทำให้ลืมเลือนต่อทุกสิ่งที่เป็นจริง
เวลานานผ่านไป จากนั้นแรงสั่นสะเทือนก็พุ่งผ่านเข้ามาในร่าง นางกระพริบตา ตอนแรกดวงตานางเต็มไปด้วยความสับสน แต่พวกมันก็แจ่มใสขึ้นอย่างรวดเร็ว สีหน้านางเต็มไปด้วยความโศกเศร้าหดหู่ใจ ในที่สุด นางก็มองขึ้นไป และเห็นยังมีอีกสองคนที่อยู่ที่นี่พร้อมกับนาง บนยอดเขาจื่อตงแห่งนี้
หนึ่งก็คือฟางมู่ อีกผู้หนึ่งคือเยี่ยเฟยโม่ คนทั้งสองหลับตาลง คนแรกมีใบหน้าที่เต็มไปด้วยความครุ่นคิด อีกคนมีแต่ความสับสน คนแรกก็คือเมิ่งฮ่าว คนต่อมาคือเยี่ยเฟยโม่
สำหรับนาง ยังคงเหลืออีกสิบก้าว ก็จะถึงยอดบนสุดของภูเขา ไกลออกไปด้านหลัง เป็นผู้เข้าแข่งขันที่ไร้นามอีกสองคน
ในตอนนี้เองที่เยี่ยเฟยโม่ ทันใดนั้น ก็สั่นสะท้าน และเริ่มตื่นขึ้นมา