การเลื่อนขั้นเทพกระถางม่วง ไม่เพียงแต่จะเป็นโอกาสอันยิ่งใหญ่ของสำนักจื่อยิ่นเท่านั้น แต่เป็นของดินแดนด้านใต้ทั้งหมดด้วย นี่ไม่เพียงแต่เป็นเพราะว่าเทพกระถางม่วง ได้เป็นตัวแทนของตำแหน่งอันสูงสุดเพียงเท่านั้น แต่ก็ยังเป็นเพราะ…
การคัดเลือกเทพกระถางม่วง จริงๆ แล้ว ก็คือ พิธีการรับศิษย์อย่างเป็นทางการของเจ้าโอสถจอมปีศาจ!
ตอนนี้ มีแปดเทพกระถางม่วงอยู่ในสำนักจื่อยิ่น และคนทั้งหมดต่างก็เป็นศิษย์ของเจ้าโอสถจอมปีศาจ พิธีการนี้จริงๆ แล้ว ก็เป็นพิธีอย่างเป็นทางการที่จะกลายมาเป็นศิษย์!
ศิษย์ในนามบางคน เช่น ฉู่อวี้เยียน และติงซิ่น ต่างก็มีคุณสมบัติเพียงพอที่จะกลายมาเป็นศิษย์โดยตรงของเจ้าโอสถจอมปีศาจ แต่โดยทั่วไปแล้วก็ไม่ได้เป็นการยอมรับจากนักปรุงยาของแผนกเม็ดยาบูรพา นักปรุงยาเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มคนที่ได้ทำงานหนัก ซึ่งเริ่มมาจากการเป็นเด็กฝึกปรุงยา จากนั้นก็พยายามทำงานจนกลายมาเป็นอาจารย์ปรุงยา, เจ้าแห่งเตา และจากนั้น ก็กลายเป็นศิษย์ของเจ้าโอสถจอมปีศาจในที่สุด โดยการเป็นเทพกระถางม่วง
ฉู่อวี้เยียนมีความแตกต่างอยู่เล็กน้อย เนื่องจากทักษะในการปรุงยาของนาง จึงทำให้นางมีชื่อเสียงอยู่ในแผนกเม็ดยาบูรพา รวมถึงความงามอย่างน่าเหลือเชื่อของนาง ทำให้นักปรุงยายอมรับในตัวนางได้อย่างง่ายดาย
แม้จะเป็นเช่นนั้น สำหรับฉู่อวี้เยียน การเลื่อนขั้นเป็นเทพกระถางม่วงก็เป็นสิ่งที่สำคัญเป็นอย่างยิ่ง นางยืนอยู่ที่นั่นในฝูงชน ดวงตาส่องแสงแห่งความมุ่งมั่น นี่เป็นโอกาสที่จะกลายเป็นเทพกระถางม่วง และนางก็มุ่งมั่นที่จะต้องทำให้สำเร็จให้จงได้
สายตาของนางไปหยุดนิ่งอยู่ที่บุรุษ ซึ่งกำลังยืนอยู่ด้านหลังของหนึ่งในเทพกระถางม่วง มันอยู่ในวัยกลางคน และใบหน้าก็หล่อเหลาไร้ที่ติ สีหน้าเรียบสงบ และสวมใส่ชุดยาวของเจ้าแห่งเตา กลิ่นหอมของตัวยาจางๆ ลอยออกมาจากตัวมัน เห็นได้ชัดว่ามันไม่ธรรมดาเป็นอย่างยิ่ง
ภายในใบหน้าของมัน สามารถมองเห็นร่องรอยของความหยิ่งทรนงอย่างเงียบเหงา สีหน้าและรูปลักษณ์ของมัน ตรงกับภาพของเจ้าโอสถจอมกระถางในจินตนาการของฉู่อวี้เยียนพอดี
“มันต้องเป็นคู่ต่อสู้อันยิ่งใหญ่ของข้า ในการเลื่อนขั้นเป็นเทพกระถางม่วง…” นางคิดไปก็แอบถอนหายใจอยู่ลึกๆ ด้านใน ขณะที่มองไปที่มัน บุรุษที่ดูท่าทางภาคภูมิใจและโดดเดี่ยวผู้นี้ ก็เหมือนกับผู้ถูกเลือกท่ามกลางเจ้าแห่งเตา นามของมันก็คือ เยี่ยเฟยโม่
ท่ามกลางเจ้าแห่งเตา เยี่ยเฟยโม่ เป็นที่รู้จักกันดีในการที่มีทักษะอย่างน่าเหลือเชื่อในเต๋าแห่งการปรุงยา ทักษะของมันยากจะพบเห็นในหนึ่งพันปีมานี้ และมันก็เป็นที่รู้กันไปทั่วว่า ต้องเป็นนักปรุงยาที่มีโอกาสได้เลื่อนขั้นเป็นเทพกระถางม่วงมากที่สุด หลังจากที่เข้าสังกัดสำนักเมื่อหลายปีมาแล้ว มันเป็นผู้ที่ทำให้เกิดความปั่นป่วนอย่างใหญ่โตในแผนกเม็ดยาบูรพาในทันที ยิ่งไปกว่านั้น เทพกระถางม่วงเยี่ยหยุนเทียน ก็ได้พึงพอใจในพรสวรรค์ของมัน นี่เป็นเพราะพวกมันต่างก็ใช้แซ่เดียวกัน, เยี่ย
ด้วยการช่วยเหลืออยู่ตลอดเวลา มันจึงกลายเป็นเด็กฝึกปรุงยาอันดับหนึ่งในเวลานั้น, จากนั้นก็เป็นนักปรุงยาอันดับหนึ่ง ในที่สุด มันก็กลายเป็นเจ้าแห่งเตา หลังจากนั้น ก็ไม่ค่อยได้ยินเรื่องราวของมันมาหลายปี จากข่าวลือที่บอกเล่ากันมา ทักษะในเต๋าแห่งการปรุงยาของมัน ได้บรรลุถึงขั้นสูงสุดของระดับเจ้าแห่งเตา และอยู่ในครึ่งทางของการเป็นเทพกระถางม่วงเรียบร้อยแล้ว
ที่น่าตกใจไปกว่านั้นก็คือ ไม่เพียงแต่เต๋าแห่งการปรุงยาของมันจะสูงส่งมากยิ่งเท่านั้น มันยังได้บรรลุขั้นสร้างแกนลมปราณมานานแล้ว มันยังไม่ได้ฝึกฝนแกนปราณ แต่ผู้คนส่วนใหญ่ก็คาดเดาว่า ถ้ามันไม่ได้อุทิศตัวเองให้กับการปรุงยามากมายเช่นนี้ มันก็จะอยู่เหนือขั้นกลางสร้างแกนลมปราณไปแล้ว
ในการประลองคัดเลือกเทพกระถางม่วงครั้งนี้ เยี่ยเฟยโม่ ถูกมองว่าเป็นผู้สมัครที่จะมีโอกาสชนะมากที่สุด อันดับสองก็คือ ฉู่อวี้เยียน ยังมีผู้สมัครคนอื่นๆ อีก แต่โดยเอกฉันท์ทั่วไปแล้ว การแข่งขันหลักๆ ก็คือบุคคลทั้งสองนี้
ฉู่อวี้เยียนมีข้อได้เปรียบอย่างหนึ่งก็คือ นางเป็นศิษย์ในนามของตานกุ่ย สำหรับเยี่ยเฟยโม่ ข้อได้เปรียบของมัน ซึ่งแม้แต่ฉู่อวี้เยียนก็ต้องรับรู้ ก็คือ มันได้รับการสนับสนุนจากเจ้าแห่งเตาถึงเก้าในสิบส่วน รวมถึงเทพกระถางม่วงด้วย นอกจากนี้ ตัวของตานกุ่ยเองก็ยังได้ชมเชยมันเป็นครั้งคราวเมื่อในอดีตที่ผ่านมา ทั้งหมดนี้จริงๆ แล้วก็ทำให้เยี่ยเฟยโม่อยู่ในตำแหน่งที่เหนือกว่าคนอื่นๆ
ที่สำคัญมากไปกว่านั้นก็คือ เยี่ยเฟยโม่ ซึ่งคล้ายผู้ถูกเลือก ได้ถูกกล่าวขานอย่างมากมายเมื่อปีก่อน คนแล้วคนเล่าที่ด้านนอกสำนัก ได้กระจายข่าวลือไปว่า…มันก็คือเจ้าโอสถจอมกระถาง!
เยี่ยเฟยโม่ไม่เคยแสดงความคิดเห็นใดๆ เกี่ยวกับเรื่องนี้ ซึ่งก็แน่นอนว่า ทำให้ข่าวลือกระจายออกไปมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม ในที่สุด ทุกคนก็เชื่อว่า ตานติ่ง ไม่ใช่ใครอื่นนอกจาก เยี่ยเฟยโม่
อันที่จริง ผู้คนมากมายรู้สึกว่า เหตุผลที่มันประทับเม็ดยาด้วยรูปกระถาง (鼎 – ติ่ง) ก็เนื่องมาจากนามของมัน, เฟยโม่ (非目)!
ตัวอักษร 非 และ 目 รวมกันเป็นตัวอักษร 鼎 !
แม้แต่เจ้าแห่งเตาหลายคน ต่างก็เห็นด้วยกับเรื่องนี้ รวมถึงเทพกระถางม่วงบางคน ซึ่งเริ่มให้ความสนใจมันมากขึ้นสืบเนื่องมาจากเรื่องนี้เช่นกัน
ฉู่อวี้เยียนให้ความสนใจเป็นอย่างมากเกี่ยวกับเรื่องของตานติ่ง นางยังได้ไปเยี่ยมเยียนเยี่ยเฟยโม่เพื่อสอบถามเกี่ยวกับเจ้าโอสถจอมกระถาง แต่มันก็ไม่ได้ยอมรับอย่างเปิดเผยว่ามันคือตานติ่ง มันกล่าวเพียงเป็นนัยๆ ด้วยเช่นนั้นทำไมฉู่อวี้เยียนถึงจะไม่เข้าใจในความหมายของมัน?
หลังจากที่แก้ปัญหานี้ได้ในที่สุด นางจริงๆ แล้ว ก็รู้สึกผิดหวังอยู่เล็กน้อย มันเป็นความรู้สึกที่ยากจะอธิบายออกมาได้ ราวกับว่าได้เดินไปพบกับความเป็นจริง ซึ่งแตกต่างอย่างมากมาย กับโลกในความฝันของนาง
“แม้มันจะเป็นเจ้าโอสถจอมกระถาง ข้าก็จะต่อสู้ด้วยทุกอย่างที่ข้ามี เพื่อให้กลายเป็นเทพกระถางม่วง” นางคิด สูดลมหายใจเข้าไปลึกๆ และจมอยู่ในความมุ่งมั่น ด้วยเหตุผลแปลกๆ บางอย่าง ทันทีที่นางตัดสินใจ ภาพของคนผู้หนึ่ง ทันใดนั้น ก็ปรากฎขึ้นในจิตใจ, ฟางมู่
“ทำไมข้ากำลังคิดถึงมัน…?” นางขมวดคิ้ว ลบล้างภาพของฟางมู่ออกไปจากความคิด
มันเป็นยามเช้าตรู่บนภูเขาตงหลาย แสงตะวันอันเยือกเย็น ตกกระทบลงบนยอดเขาที่เต็มไปด้วยหิมะ กระถางปรุงยาขนาดยักษ์เปล่งประกายกลิ่นอายอันโบราณเก่าแก่ของเวลาออกมา และรอบๆ บริเวณนั้นก็เงียบสงบเป็นอย่างมาก
แปดเทพกระถางม่วง แห่งแผนกเม็ดยาบูรพานั่งขัดสมาธิ ด้านหลังพวกมันเป็นเจ้าแห่งเตา และอาจารย์ปรุงยา ผู้คนมากกว่าหนึ่งพันรวมอยู่ด้วยกัน
ที่อยู่ด้านข้างก็เป็นตัวแทนจากสำนักและตระกูลต่างๆ มาที่นี่เพื่อสังเกตการณ์งานพิธี ถ้าใครบางคนได้ถูกเลื่อนขั้นเป็นเทพกระถางม่วง พวกมันก็จะร่วมเป็นสักขีพยานของเหตุการณ์นี้ และจากนั้นก็จะป่าวประกาศไปทั่วทั้งดินแดนด้านใต้ว่า มีเทพกระถางม่วงเก้าคนแล้ว และเจ้าโอสถจอมปีศาจก็ได้รับศิษย์ใหม่อีกหนึ่งคน
“เวลาได้มาถึงแล้ว!” หลินไห่หลง ผู้มีอาวุโสสูงสุดของเทพกระถางม่วงร้องออกมา
ทันทีที่คำพูดของมันดังขึ้น เสียงระฆังก็ดังก้องไปทั่วทั้งยอดเขา กลุ่มเมฆที่ด้านบนม้วนตัวไปมา รวมตัวกันเป็นใบหน้าที่ดูเก่าแก่โบราณ จ้องมองลงมายังทุกๆ คน
ในเวลาเดียวกันนั้น กระถางปรุงยาขนาดยักษ์ก็เริ่มส่องแสงอันนุ่มนวลออกมา ลำแสงหลากสีพุ่งขึ้นไป บิดเบี้ยวเป็นเกลียวไปรอบๆ ทำให้พื้นที่ทั้งหมดเต็มไปด้วยแสงเจิดจ้า
จากที่ห่างไกล ดูราวกับว่าทั่วทั้งภูเขาตงหลาย กำลังถูกปกคลุมด้วยภาพลวงตาของกระถางปรุงยาขนาดใหญ่มหึมา
ระลอกคลื่นปรากฎขึ้นไปในอากาศ มีเงาร่างโผล่ออกมา ยืนอยู่ที่ด้านบนสุดของกระถางปรุงยา ท่านสวมใส่ชุดยาวสีขาว และมีรูปลักษณ์ธรรมดา แต่กลิ่นอายของท่านก็ไม่ใช่อื่นใด แต่ให้ความรู้สึกถึงความลึกซึ้งอย่างสูงสุด
อากาศรอบๆ ตัวท่านบิดเบี้ยวไปมา ขณะที่ท่านปรากฎขึ้น ราวกับว่าท่านไม่ได้เป็นบุคคลที่อยู่ในโลกแห่งนี้
แขนเสื้อของชุดที่เรียบง่ายปักไว้ด้วยภาพของกระถางปรุงยา เส้นผมเป็นสีขาว และสายตาของท่านก็อ่อนโยน ขณะที่มองไปรอบๆ ยังทุกคน รอยยิ้มปรากฎขึ้นบนใบหน้าที่เก่าแก่โบราณนั้น
“สหายเต๋าแห่งดินแดนด้านใต้ ขอขอบคุณสำหรับการมาเข้าร่วมพิธีรับศิษย์ใหม่ ข้าไม่อาจจะเข้าร่วมด้วยตัวเองได้ ดังนั้น ข้าจึงใช้เจตจำนงศักดิ์สิทธิ์นี้มายังสถานที่นี้ ข้าหวังว่าพวกท่านคงจะให้อภัยสำหรับเรื่องนี้” นี่แน่นอนว่าเป็นบุคคลที่มีตำแหน่งสูงสุดในเต๋าแห่งการปรุงยา ของดินแดนด้านใต้, เจ้าโอสถจอมปีศาจ
เสียงของท่าน ทำให้ศิษย์แห่งแผนกเม็ดยาบูรพาทั้งหมด ต่างก็คารวะด้วยความเคารพ รวมถึงอาจารย์ปรุงยา, เจ้าแห่งเตา และเทพกระถางม่วง เจ้าโอสถจอมปีศาจ โดยเนื้อแท้แล้ว ก็คือ ปรมาจารย์แห่งแผนกเม็ดยาบูรพา
เจ้าโอสถภูผานิรันดร์ไม่ได้มา แต่ส่งผู้อาวุโส เซี่ยวซีเฟิง ผู้ซึ่งมีพื้นฐานฝึกตนอยู่ที่วงจรอันยิ่งใหญ่ขั้นสุดท้ายของวิญญาณแรกก่อตั้งมา มันหัวเราะ จากนั้นก็กล่าวเสียงราบเรียบ “ไม่จำเป็นต้องมากมารยาทเช่นนั้น ตานกุ่ยต้าชือ การรับศิษย์และเลื่อนขั้นเป็นเทพกระถางม่วง เป็นเหตุการณ์ที่ยิ่งใหญ่ของทั่วทั้งดินแดนด้านใต้ ข้า, เซี่ยว จำเป็นต้องมาอยู่แล้ว”
มันเป็นผู้ที่มีเกียรติและอยู่ในตำแหน่งที่สูงส่งในสำนักจินซวง และอายุเกือบถึงเก้าร้อยปี ทำให้มันเป็นปรมาจารย์ย่อย มันยังมีอายุไม่ถึงหนึ่งพันปี และไม่ได้ท้าทายสวรรค์ ถ้าในอีกหนึ่งร้อยปีข้างหน้า มันสามารถทะลวงผ่านไปยังขั้นตัดวิญญาณ มันก็จะกลายเป็นปรามาจารย์อย่างแท้จริง
ถ้าไม่ มันก็จะตายไปอย่างเรียบง่ายในตอนเข้าฌาณ และกลายเป็นเต๋าที่ตกตายไป
ข้างกายมันเป็นศิษย์สำนักจินซวงสิบคนหรือมากกว่านั้น รวมถึงเจ้าอ้วนด้วย ในตอนนี้ เจ้าอ้วนดูท่าทางกังวลเป็นอย่างมาก และก็ไม่ได้แสดงท่าทางร่าเริงหรือตื่นเต้นออกมาแม่แต่น้อย อันที่จริง มันกำลังแสดงท่าทางทำตัวเป็นคนดีอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
บุคคลที่มันเกรงกลัวมากที่สุดในสำนักจินซวง ก็ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากผู้อาวุโสเซี่ยว
“หลังจากที่ได้ยินว่าตานกุ่ยต้าชือกำลังจะรับศิษย์คนใหม่ ข้าก็รีบมาที่นี่ด้วยความรวดเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้” ปรมาจารย์จื่อหลัวแห่งสำนักชิงหลัวกล่าว พร้อมรอยยิ้ม “โชคดีที่ข้าไม่ได้มาสาย”
มันนั่งขัดสมาธิอยู่ที่ด้านข้าง ข้างกายมันก็คือโจวเจี๋ย รวมถึงหานเป้ย ซึ่งตอนนี้กำลังมองไปรอบๆ พินิจพิเคราะห์สิ่งรอบข้าง ราวกับว่านางกำลังมองหาใครบางคนอยู่
การเลื่อนขั้นเทพกระถางม่วงเป็นเหตุการณ์อันยิ่งใหญ่ เป็นสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นมานานมากแล้ว มันเป็นเรื่องสำหรับให้สำนักใหญ่อื่นๆ แสดงท่าทีออกมา ที่ปรากฎตัวอยู่ในตอนนี้ยังมีนักพรตอู๋เซิ่ง, อันดับสองในสามเทพกระบี่เต๋า แห่งสำนักกูตู๋เจี้ยน ซึ่งนั่งขัดสมาธิอยู่ท่ามกลางศิษย์สำนักกูตู๋เจี้ยน เฉินฟ่านก็มาด้วย รวมถึงหญิงสาว ซานหลิง
นักพรตอู๋เซิ่ง กล่าวพร้อมรอยยิ้ม “ท่านช่างมีมารยาทมากจริงๆ ตานกุ่ยต้าชือ สำหรับเจ้าโอสถที่จะรับศิษย์คนใหม่ให้เป็นทายาทสืบทอดเต๋าแห่งการปรุงยา ซึ่งศิษย์ใดๆ ในดินแดนด้านใต้ต่างก็ต้องการเป็น แล้วข้าจะไม่เจียมตัวรีบมาเป็นสักขีพยานในเหตุการณ์นี้ได้อย่างไร?” เสียงของมันเยือกเย็น มันเป็นสมาชิกอาวุโสอันทรงเกียรติแห่งสำนักกูตู๋เจี้ยน ผู้ซึ่งมีคุณสมบัติเพียงพอที่จะดูแคลนสำนักอื่นๆ นับไม่ถ้วน แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าของเจ้าโอสถจอมปีศาจ ความหยิ่งยโสทั้งหมดของมันก็เปลี่ยนเป็นความเคารพนับถือ
ตัวแทนจากสำนักเซี่ยเยา เป็นชายชราร่างผอมแห้ง ในชุดเต๋าสีแดง มันมีเส้นผมสีเงิน และผิวกายก็แห้งเหี่ยว กระจายกลิ่นอายความตายอันเข้มข้นออกมา ดวงตาของมันไม่มีม่านตา มีแต่สีขาวล้วน
มันไม่พูดอะไรเพื่อกล่าวตอบคำพูดของตานกุ่ย เพียงแต่ยิ้มออกมาเล็กน้อย และผงกศีรษะ
ชายชราตาบอดผู้นี้ มีชื่อเสียงเป็นอย่างยิ่งในดินแดนด้านใต้ มันเป็นอสูรอันดับสาม แห่งสำนักเซี่ยเยา, ถูหลัว, อสูรซากศพ! อีกผู้หนึ่งจากสำนักเซี่ยเยาซึ่งมายังภูเขาตงหลายนี้ ก็คือ หลี่ชือฉี
ตัวแทนหลักจากสามตระกูลดัง ทั้งหมดต่างก็อยู่ในขั้นวงจรอันยิ่งใหญ่วิญญาณแรกก่อตั้ง พวกมันทั้งหมดกล่าวตอบเจ้าโอสถจอมปีศาจด้วยคำพูดที่แตกต่างกัน
หลังจากนั้น เจ้าโอสถจอมปีศาจ ก็ยิ้มและกล่าวว่า “จะมีผู้ฝึกตนทั้งหมดสิบคน ที่จะเข้าร่วมการทดสอบคัดเลือกเป็นเทพกระถางม่วง ผู้สมัคร, โปรดก้าวออกมาข้างหน้า” เสียงของท่านเคร่งขรึม และขณะที่เสียงนั้นดังก้องอยู่บนยอดเขา ฉู่อวี้เยียน, เยี่ยเฟยโม่ และเจ้าแห่งเตาคนอื่นๆ อีกเจ็ดคน ก็ก้าวเท้าออกมาจากฝูงชนทีละคน พวกมันเดินไปยืนอยู่เบื้องหน้าของกระถางปรุงยา
รวมทั้งฉู่อวี้เยียน และเยี่ยเฟยโม่ ก็มีนักปรุงยาเพียงเก้าคนเท่านั้นที่กำลังยืนอยู่ที่นั่น ไม่ใช่สิบคนเหมือนที่ตานกุ่ยได้พูดไว้ ผู้ฝึกตนจากแผนกเม็ดยาบูรพาก็สังเกตเห็นเรื่องนี้ในทันที รวมถึงตัวแทนของสำนักต่างๆ ด้วยเช่นกัน
ฉู่อวี้เยียน และผู้สมัครคนอื่นๆ เพื่อคัดเลือกเป็นเทพกระถางม่วง ต่างก็มองตากันไปมา นึกสงสัยอย่างเงียบๆ ว่า ใครจะเป็นผู้เข้าร่วมคนที่สิบ
ก่อนที่จะมีใครบางคนเอ่ยอะไรออกมา ลำแสงก็ปรากฎขึ้นในที่ห่างไกล พุ่งผ่านอากาศตรงมายังยอดเขา จากนั้นก็กลายเป็นเมิ่งฮ่าวที่กำลังอ้าปากหอบหายใจ ทุกคนมองมาที่เขา แต่เขาก็ไม่สนใจเรื่องเหล่านั้น ชำเลืองมองไปรอบๆ สังเกตเห็นฉู่อวี้เยียนและบุคคลอื่นๆ อีกแปดคน กำลังยืนอยู่เบื้องหน้าของกระถางปรุงยา รวมถึงเจ้าโอสถจอมปีศาจ
เท่าที่เมิ่งฮ่าวคิด ตานกุ่ยเป็นแค่ชายชราแก่ๆ คนหนึ่ง ที่เขาไม่เคยรู้จัก
“ผู้สมัครคนที่สิบมาถึงแล้ว” เจ้าโอสถจอมปีศาจกล่าว สีหน้าราบเรียบเหมือนเช่นเคย “ฟางมู่, ก้าวเท้าออกมา”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ เมิ่งฮ่าวก็เดินออกไปยืนร่วมกับคนทั้งเก้าโดยไม่ลังเล จากนั้น ก็มองขึ้นไปยังตานกุ่ย รู้สึกอึดอัดขัดข้องและทำอะไรไม่ได้