นกแก้วไม่เคยกลับมา เมิ่งฮ่าวก็ไม่ได้สนใจเกี่ยวกับเรื่องนี้มากนัก ใครจะไปรู้ว่านกแก้วมีชีวิตอยู่กี่ปีนานมาแล้ว และโดยแท้จริงแล้วก็ดูเหมือนว่ามันจะชอบรนหาที่ตาย แต่กระนั้น มันก็ยังคงไม่ตายไป เมิ่งฮ่าวค่อนข้างแน่ใจว่ามันมีความสามารถในการมีชีวิตอยู่
ยิ่งไปกว่านั้น ก็ยังมีระฆังผีโต้งติดไปกับนกแก้ว ผู้ที่ควรกังวลใจจึงไม่ใช่นกแก้ว แต่เป็นสัตว์อสูรเทียมสวรรค์มากกว่า
หลายวันผ่านไป ในช่วงนั้นเมิ่งฮ่าวใช้เวลาส่วนใหญ่ในลานบ้านของเขา ศึกษารอยสักภาพศักดิ์สิทธิ์ต้นชิงมู่ ซึ่งเรืองแสงอยู่บนหน้าผากของเขา กระจายพลังชีวิตอันไร้ขอบเขตไปทั่วร่าง ทุกครั้งที่เขาหลับตาเข้าฌาณ ก็ดูเหมือนว่าแม้แต่จังหวะการเต้นของหัวใจ ก็สามารถสร้างระลอกคลื่นให้กระจายออกไปทั่วพื้นดินและท้องฟ้ารอบๆ ตัว
“นี่เป็นแค่หนึ่งในห้าธาตุ ภาพศักดิ์สิทธิ์ธาตุไม้ มันช่วยให้พื้นฐานฝึกตนของข้าเข้าใกล้ขั้นวิญญาณแรกก่อตั้งมากยิ่งขึ้น…” เมื่อเขาลืมตาขึ้น สองตาก็สาดประกายเจิดจ้า
หลังจากที่ตรวจสอบพลังภาพศักดิ์สิทธิ์ภายในร่างอย่างระมัดระวัง เขาก็ได้เข้าใจถึงสิ่งใหม่ๆ เพิ่มมากขึ้น
“ถ้าข้าได้ครอบครองภาพศักดิ์สิทธิ์ธาตุที่สอง พื้นฐานฝึกตนของข้าถึงแม้จะอยู่ในวงจรสมบูรณ์ของแกนสีทอง แต่จริงๆ แล้วก็แข็งแกร่งเพียงพอที่จะต่อสู้กับจุดสูงสุดของขั้นต้นวิญญาณแรกก่อตั้งได้ แม้จะไม่มีหน้ากากสีโลหิตช่วยก็ตามที!”
“อันที่จริง…ด้วยการใช้พลังของภาพศักดิ์สิทธิ์ ข้าก็ควรจะใช้ความสามารถศักดิ์สิทธิ์ของขั้นวิญญาณแรกก่อตั้งได้บางอย่าง!”
ในช่วงเวลานั้น เมิ่งฮ่าวก็ตรวจสอบฝูงสัตว์ปีศาจที่เขาได้มาจากมั่วฟางบ้างเล็กน้อย เขาให้พวกมันกินเม็ดยาบำรุงปีศาจเป็นอาหาร และนำพวกมันออกไปล่าสัตว์ด้วยเช่นกัน ในช่วงเวลาสั้นๆ นี้ พวกมันก็เริ่มดุร้ายและแข็งแกร่งมากขึ้น แน่นอนว่า เนื่องจากเป็นช่วงสั้นๆ จึงทำให้พวกมันยังห่างไกลจากต้าเหมาและสุนัขป่าชิงมู่ตัวอื่นๆ มากนัก
แต่ถ้ามีความก้าวหน้าเช่นนี้ต่อไป ถึงแม้ว่าพวกมันไม่อาจจะเปรียบเทียบได้กับห้าสุนัขป่าชิงมู่ พวกมันก็จะค่อยๆ เปลี่ยนแปลงและแข็งแกร่งมากขึ้นไปเรื่อยๆ
ในที่สุดยามสนธยาของวันหนึ่ง เมิ่งฮ๋าวกำลังนั่งขัดสมาธิเข้าฌาณอยู่ ทันใดนั้น เสียงกระหึ่มกึกก้องขนาดใหญ่ก็ทำให้เขตหลังเขาของเผ่าอูต๋าสั่นสะเทือน ขณะที่เสียงกระหึ่มนั้นดังก้องไปทั่วในอากาศ งูเหลือมสีดำขนาดยักษ์ที่มีความยาวมากกว่าเจ็ดจ้างก็พุ่งตรงมายังเมิ่งฮ่าวภายในลำแสงสีดำ
อสรพิษสีดำตัวนี้กระจายกลิ่นอายอันแข็งแกร่งออกมา เต็มไปด้วยความโหดเหี้ยมดุร้าย ลิ้นของมันแลบไปมาอยู่ในปาก การปรากฎตัวของมันแทบจะทำให้กลิ่นอายในบริเวณนั้นตกอยู่ในความปั่นป่วนวุ่นวาย ยิ่งไปกว่านั้น มีกลุ่มหมอกสีดำม้วนตัวไปมารอบๆ ร่าง ขณะที่มันบินมาจนดูน่าตกใจ
ที่กำลังยืนอยู่ด้านบนของอสรพิษสีดำเป็นชายชราในชุดสีดำ สีหน้ามันดุร้ายและดวงตาก็เต็มไปด้วยความเย่อหยิ่งและดูถูก ขณะที่อสรพิษสีดำใกล้เข้ามา จากนั้นก็ลอยอยู่ในอากาศเหนือลานบ้านเมิ่งฮ่าว ชายชรามองลงมายังเมิ่งฮ่าวด้วยท่าทางถือตัว
พื้นฐานฝึกตนของชายชราไม่ได้สูงมากนัก อยู่แค่ขั้นกลางสร้างแกนลมปราณ แต่ร่างของมันก็เต็มไปด้วยรอยสักภาพศักดิ์สิทธิ์อันซับซ้อน ซึ่งกระจายเป็นระลอกคลื่นออกมาอย่างน่าตกใจ เนื่องจากรอยสักภาพศักดิ์สิทธิ์เหล่านี้ จึงทำให้ชายชราผู้นี้กระจายกลิ่นอายที่เทียบเท่ากับขั้นวิญญาณแรกก่อตั้งออกมา
“เจ้าก็คือเมิ่งฮ่าว!” เสียงที่คล้ายกับสายฟ้าฟาดดังก้องขึ้น ฟังดูไม่เหมือนกับเป็นเสียงของมนุษย์ แต่คล้ายกับเสียงแผดร้องคำรามของสัตว์อสูรมากมายจนนับไม่ถ้วน เสียงนี้ม้วนตัวออกไปทั่วทุกทิศทาง ทำให้จิตใจของผู้ฝึกตนที่อยู่ในเขตหลังภูเขาทั้งหมดสั่นสะท้าน สัตว์ปีศาจทั้งหลายเริ่มตัวสั่นไปมาด้วยความหวาดกลัว
มีบางคนที่ทันใดนั้นก็จำได้ว่า ชายชราที่อยู่บนหลังอสรพิษสีดำคือใคร
“ซือหลงระดับเจ็ด มั่วจื่อต้าซือ!!”
“มันคือมั่วจื่อต้าซือจริงๆ ด้วย! มันกำลังมาหาเมิ่งต้าซือ!”
“เมิ่งต้าซือเอาสัตว์ปีศาจของมั่วฟางไปหมด คงไม่ดีแน่ถ้าหัวหน้าเผ่าและคนอื่นๆ จะสอดมือเข้ามาในตอนนี้ นี่จะเป็นการต่อสู้ครั้งแรกระหว่างซือหลงของเผ่าอูต๋า มั่วต้าซือและเมิ่งต้าซือ!”
เมิ่งฮ่าวนั่งขัดสมาธิอยู่ในลานบ้าน ค่อยๆ ลืมตาขึ้นมา ซึ่งพวกมันก็สาดประกายด้วยแสงอันเย็นชา เขามองขึ้นไปยังชายชราชุดดำซึ่งลอยอยู่กลางอากาศด้านบนของอสรพิษสีดำอย่างไม่ค่อยใส่ใจมากนัก
เขาเพียงแค่มองขึ้นไป ไม่มีความคมกริบอย่างน่าตกใจในสายตาของเขา และไม่ได้พูดจาที่ทำให้สวรรค์ต้องสั่นสะเทือนใดๆ เขาแค่มองไป ขณะที่สายตาของเขากวาดผ่านไปยังอสรพิษสีดำที่ท่าทางดุร้ายและเย่อหยิ่ง ฉับพลันนั้น มันก็เริ่มสั่นสะท้าน
คลื่นความหวาดกลัวจู่ๆ ก็พุ่งขึ้นมาจากในจิตใจที่เรียบง่ายของมัน สายตาเมิ่งฮ่าวดูเหมือนจะค่อนข้างปกติธรรมดา จนชายชราไม่อาจจะเห็นร่องรอยใดๆ ว่ากำลังมีอะไรเกิดขึ้น แต่อสรพิษปีศาจสีดำก็สั่นสะท้านอย่างรุนแรง จิตใจของมันหมุนเคว้งคว้าง ความตกใจและหวาดกลัวพุ่งขึ้นมาจากจิตวิญญาณส่วนลึกของมัน
แทบจะดูเหมือนว่ามีแรงกดดันกำลังกดทับลงมาบนพลังชีวิตของมัน ความตกใจและหวาดกลัวที่มันรู้สึกอยู่ในจิตวิญญาณ…แทบจะเหมือนกับการคงอยู่ของบรรพบุรุษในสมัยโบราณ ซึ่งเป็นต้นกำเนิดของสายโลหิตแห่งสิ่งมีชีวิตทั้งปวง มันจึงต้องสั่นสะท้านด้วยความหวาดกลัวเมื่ออยู่เบื้องหน้าเมิ่งฮ่าว กลิ่นอายที่เขากระจายออกมาอย่างที่ไม่อาจจะอธิบายออกมาได้ ทำให้อสรพิษสีดำยึดถือเขาเหมือนกับเป็นความน่าเกรงขามของสวรรค์
เพียงการมองแค่ครั้งเดียว อสรพิษสีดำก็ส่งเสียงร้องโหยหวนแหลมเล็กออกมา ทันใดนั้นมันก็พุ่งถอยไปทางด้านหลัง ทำให้ชายชราชุดดำตกตะลึง และพยายามทำทุกวิถีทางที่มันทำได้ แต่อสรพิษสีดำก็ยังไม่อาจจะฟื้นฟูสติกลับคืนมาได้
หลังจากที่เมิ่งฮ่าวมองไปที่อื่นเท่านั้น จึงทำให้อสรพิษสีดำฟื้นคืนสติกลับมาได้ ถ้าเมิ่งฮ่าวมองไปที่มันนานกว่านั้น มันก็คงจะตกลงมาจากท้องฟ้าอย่างแน่นอน
ไม่มีใครสามารถมองเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นนี้ แต่จิตใจมั่วจื่อก็สั่นสะท้าน และมันก็แทบจะไม่อาจป้องกันตัวเองไม่ให้อ้าปากค้างได้ ดวงตามันเบิกกว้าง มันมายังที่แห่งนี้ด้วยความคิดว่าจะมาลงโทษเมิ่งฮ่าว และนำฝูงสัตว์ปีศาจกลับไป ฉับพลันนั้น แผนการทั้งหมดของมันก็ต้องเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง มันลอยอยู่ที่นั่นกลางอากาศ จ้องมองลงมายังเมิ่งฮ่าว ความคิดมากมายวิ่งผ่านไปในจิตใจ
“บัดซบ” มันคิด “ไม่ต้องสงสัยเลยว่าทั้งหัวหน้าเผ่า, ผู้เฒ่าของเผ่าและคนอื่นๆ ถึงไม่ยอมทำอะไรเพื่อหยุดข้าไม่ให้มายังที่แห่งนี้ กลายเป็นว่าคนผู้นี้เป็นซือหลงระดับสูง!! มันอยู่ในระดับใดกันแน่…?”
“มีอะไรให้ข้าช่วย?” เมิ่งฮ่าวถามเสียงราบเรียบ เสียงของเขาสงบนิ่ง แต่ดวงตาเต็มไปด้วยความเย็นชา เขามองขึ้นไปยังซือหลงระดับเจ็ด มั่วจื่อ และทันใดนั้นก็คิดว่า ภาพศักดิ์สิทธิ์บนร่างของชายชราผู้นี้น่าสนใจยิ่ง
“ข้าคือมั่วจื่อ สหายเต๋าเมิ่ง บุตรชายข้าไม่ใช่ศิษย์ที่ดีนัก แต่มันก็พยายามมาครึ่งชีวิต เพื่อรวบรวมฝูงสัตว์ปีศาจ ข้าเรียกร้องขอคำอธิบายเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่พวกเราต่างก็เป็นซือหลงด้วยกันทั้งคู่ อีกหนึ่งเดือน จะถึงวันที่ห้าเผ่าของอีกาศักดิ์สิทธิ์จะไปสักการะบรรพบุรุษ”
“ในตอนนั้น จะมีการแข่งขันระหว่างชนเผ่าทั้งห้าเพื่อตัดสินว่า ใครจะได้ผ่านเข้าไปในดินแดนของบรรพบุรุษ! เมื่อถึงวันนั้น ข้าหวังว่าจะได้รับรู้ถึงวิชาลับซือหลงของท่าน!” มั่วจื่อไม่รู้ว่าเมิ่งฮ๋าวเป็นซือหลงระดับใด แต่เมื่อมาแล้ว มันก็ไม่อาจจะจากไปในทันที ดังนั้น มันจึงได้แค่พูดเช่นนี้ออกไป จากนั้นก็หันหลังและจากไปพร้อมกับอสรพิษสีดำ
ขณะที่มันจากไป ก็ตัดสินใจได้เรียบร้อย “ข้าต้องรู้ให้ได้ว่ามันเป็นซือหลงระดับใด ข้าต้องไม่วู่วาม ข้าจะใช้การแข่งขันของห้าเผ่า เพื่อตัดสินว่ามันเก่งกล้าสามารถเพียงไหน”
มันมาอย่างฉับพลัน และจากไปอย่างรวดเร็ว พวกที่มุงดูอยู่รอบๆ ได้เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นนี้ทั้งหมด และได้แต่มองดูด้วยความตกตะลึง
เมิ่งฮ่าวก็จ้องดูด้วยความประหลาดใจอยู่ชั่วขณะเช่นกัน ไม่นานก็คิดได้ว่าทำไมซือหลงระดับเจ็ดมั่วจื่อถึงได้มาที่นี่ แต่แรงจูงใจที่มันมาและจากไปค่อนข้างจะตรงกันข้าม เมิ่งฮ่าวยิ้มอย่างเย็นชา และดวงตาก็สาดประกาย
“เวลาที่รอคอยได้มาถึงแล้ว ห้าเผ่าจะทำพิธีบวงสรวงบรรพบุรุษ…นั่นเป็นหนทางเดียวที่จะเข้าไปในดินแดนสักการะของอีกาศักดิ์สิทธิ์ นั่นเป็นจุดนัดพบกับคนอื่นๆ”
“แต่ตอนนี้ข้ามีภาพศักดิ์สิทธิ์ธาตุไม้แล้ว การเข้าไปในดินแดนศักดิ์สิทธิ์นั้นก็ไม่สำคัญเท่าใดนัก ยิ่งไปกว่านั้น เผ่าอูต๋าก็ปฏิบัติต่อข้าค่อนข้างดีเลยทีเดียว” หลังจากครุ่นคิดอยู่ชั่วขณะ เขาก็หลับตาลง ทำการศึกษาค้นคว้าภาพศักดิ์สิทธิ์ต้นชิงมู่ของเขาต่อไป
ยามรุ่งอรุณของวันต่อมา เมื่อแสงเพิ่งจะปรากฎขึ้นในท้องฟ้า เมิ่งฮ่าวก็ออกมาจากความเคลิบเคลิ้ม มองไปรอบๆ ยังฝูงสัตว์ปีศาจที่เงียบสงบ ตอนนี้สัตว์ปีศาจหลายสิบตัวของเขาได้ถูกแบ่งออกเป็นสามกลุ่ม กลุ่มแรกเป็นสุนัขป่าชิงมู่ที่มีต้าเหมาเป็นผู้นำ
อีกกลุ่มเป็นค้างคาวชิงมู่ นำโดยค้างคาวสีดำ มีความแตกต่างกันเป็นอย่างมากกับจำนวนสัตว์ของทั้งสองกลุ่มนี้ สุนัขป่าชิงมู่มีอยู่ไม่มากนัก แต่ค้างคาวชิงมู่เป็นสัตว์ปีศาจระดับกลางที่มีอยู่มากกว่า ทั้งสองกลุ่มนี้ไม่อาจจะเปรียบเทียบกันได้ แต่ก็มีการแบ่งแยกระหว่างสองกลุ่มนี้อย่างชัดเจน พวกมันเข้ากันไม่ค่อยได้เท่าใดนัก และมีความเป็นปรปักษ์ต่อกันเล็กน้อย
กลุ่มที่สามประกอบด้วยอสรพิษชิงมู่ พวกมันมีจำนวนอยู่ระหว่างสุนัขป่าชิงมู่ และค้างคาวชิงมู่รวมกัน แต่แง่ของความแข็งแกร่ง พวกมันไม่อาจจะเทียบได้กับทั้งสองกลุ่มนั้น ด้วยการอยู่ในตำแหน่งที่ต่ำสุด พวกมันจึงมีความเกรงกลัวต่อต้าเหมาและค้างคาวสีดำโดยสิ้นเชิง
เมิ่งฮ่าว มองไปอย่างครุ่นคิดชั่วขณะ ยังสัตว์ปีศาจทั้งสามกลุ่ม จากนั้นร่างเขาก็แวบขึ้น ขณะที่ออกไปจากลานบ้าน ที่ด้านหลัง ต้าเหมามองขึ้นมา จากนั้นก็กลายเป็นร่างเลือนลางขณะที่ติดตามเขาไป ตามมาด้วยสุนัขป่าชิงมู่ที่เหลือ ดวงตาค้างคาวสีดำสาดประกาย และมันก็บินขึ้นไปในอากาศ นำค้างคาวชิงมู่ตามมาด้วยเช่นกัน
อสรพิษชิงมู่ขนาบอยู่ด้านข้าง ขณะที่เมิ่งฮ่าวออกไปจากเขตด้านหลังภูเขา ตลอดทาง คนในเผ่าอูต๋าใดๆ ก็ตามที่มองเห็นเมิ่งฮ่าว ก็ยังคงมองมาที่เขาด้วยความหวาดกลัว จากนั้นก็ก้มศีรษะลง และทำอย่างดีที่สุดเพื่อหลีกเลี่ยงเขา
หลังจากที่ออกมาจากเผ่าอูต๋า เมิ่งฮ่าวก็พบว่าตัวเองถูกห้อมล้อมไว้ด้วยผืนป่าของภูเขา ขณะที่เขามักจะกระทำเช่นนี้อยู่เป็นประจำ โดยการส่งฝูงสัตว์ปีศาจต่างๆ ออกไปในทิศทางที่แตกต่างกันเพื่อล่าสัตว์เป็นอาหาร ขณะที่ตัวเอง นั่งลงขัดสมาธิอยู่ภายใต้ต้นไม้ใหญ่เพื่อเข้าฌาณ
ต้าเหมาไม่ได้จากไป แต่นอนลงข้างกายเมิ่งฮ่าว ด้วยท่าทางเกียจคร้าน แต่ในความเป็นจริง ดวงตามันเต็มไปด้วยความระมัดระวังและเย็นชา ขณะที่มองไปรอบๆ
เมิ่งฮ่าวได้มาอยู่ในเผ่าอูต๋ามากกว่าครึ่งปีแล้วในตอนนี้ ช่วงเวลาเหล่านั้น เขามักจะนำสุนัขป่าชิงมู่ออกมาล่าสัตว์ แต่ละครั้ง ต้าเหมาจะคอยเฝ้าดูเมิ่งฮ่าวอย่างใกล้ชิด โดยที่อาหารของมัน มักจะถูกนำกลับมาโดยสุนัขป่าชิงมู่ตัวอื่นๆ ถ้าเมิ่งฮ่าวไม่ออกคำสั่ง มันก็จะไม่จากเขาไป
ตอนนี้ ฝูงสัตว์ปีศาจของเมิ่งฮ่าวได้แข็งแกร่งมากขึ้นและตัวใหญ่ขึ้น แต่กระนั้นต้าเหมาก็ยังคงปฏิบัติตัวเหมื่อนก่อนหน้านี้
เมิ่งฮ่าวคลึงไปที่ศีรษะต้าเหมา ขณะที่ทำเช่นนั้น เขาก็คิดถึงอ๋าวเฉี่ยน ทันใดนั้น เขาก็ส่งกระแสจิตเข้าไปในหน้ากากสีโลหิต สัมผัสได้ว่าอ๋าวเฉี่ยนยังคงอยู่ในขั้นการจำศีล เขาถอนหายใจ
“เจ้าจะตื่นขึ้นมาเมื่อไหร่?” เขาคิด ดึงจิตสัมผัสกลับมา จากนั้นก็มองไปยังผืนป่ารอบๆ บริเวณนั้น สายลมกระพือพัดผ่านต้นไม้ จนเกิดเป็นเสียงดังกรอบแกรบขึ้นมา
เพียงมองแค่แวบแรก ก็เกือบจะดูคล้ายกับดินแดนด้านใต้ แต่ก็ยังมีบางสิ่งที่เขาไม่คุ้นเคย มันไม่ได้รู้สึกเหมือนกับเป็นบ้านเท่าใดนัก
“หลังจากที่ออกมาจากดินแดนสีดำ พลังของยันต์เซียนซึ่งได้รบกวนการค้นหาข้าของตระกูลจี้ คงต้องหายไป นับจากนี้ไป…ข้าจำเป็นต้องเตรียมพร้อมอยู่ทุกเมื่อถ้าตระกูลจี้จะไล่ตามข้ามา ถึงแม้จะจากดินแดนสีดำมาแล้ว บางทีข้าอาจจะมีพลังของยันต์เซียนเพียงพอ ที่จะทำการรบกวนต่อไป” เมิ่งฮ่าวมองขึ้นไปในท้องฟ้า จิตใจเต็มไปด้วยคำถาม ในช่วงมากกว่าครึ่งปีที่ผ่านมา เขาไม่เคยเห็นคนจากตระกูลจี้แม้แต่คนเดียว ตอนนี้เขาเริ่มจะสรุปได้ว่า การได้ครอบครองสัญลักษณ์ยันต์เซียน และใช้พวกมันเพื่อได้รับความรู้แจ้ง ต้องเป็นหนึ่งในเหตุผลหลักที่ตระกูลจี้ไม่ได้ไล่ตามเขามา
“ตระกูลจี้…” เขาคิด ดวงตาเต็มไปด้วยความเย็นชา “สักวันหนึ่ง ข้าจะกลายเป็นผู้แข็งแกร่ง…ตระกูลจี้จะได้รู้ว่าข้าเหนือกว่าพวกมัน!” เขาสูดลมหายใจเข้าไปลึกๆ และความมุ่งมั่นก็เต็มอยู่ในดวงตา
ในตอนนี้เองที่จิตใจเมิ่งฮ่าวทันใดนั้นก็แวบขึ้น เขาหันหน้ามองออกไปยังที่ห่างไกล นอกจากนี้ เสียงแหลมสูงจากที่ไกลออกไป จู่ๆ ก็ลอยเข้ามาในหูของเขา
“ไม่สำคัญว่าเจ้าหรือข้าจะเป็นคนแรกที่พบเห็นอสรพิษเหล็กดำนี้ อาจารย์ของข้าเป็นซือหลงระดับเจ็ดกู่ลา เจ้ากล้าที่จะมีปัญหากับอาจารย์ของข้าผู้นี้จริงๆ!?”