“หรือมันอาจจะเป็นไปได้ว่าเมื่อนาน, นานมากมาแล้ว ที่ผู้คนไม่เข้าใจถึงความจริงของธรรมชาติแห่งจิ่วซานไห่ (เก้าขุนเขาทะเล) ในอาณาจักรแห่งดวงดาวทั้งหมดนี้ พวกมันคิดว่าจิ่วซานไห่เป็นกุญแจสำคัญในการช่วยพัฒนาร่างกาย หลังจากที่ให้พลังกับขุนเขาทะเล พวกมันจะแข็งแกร่งมากขึ้นไปเรื่อยๆ และในที่สุดก็จะทะลวงผ่านเข้าไปในชีวิตระดับต่อไป ชีวิตของพวกมันจะหลอมรวมเข้ากับขุนเขาทะเล และพวกมันก็จะกลายเป็นเซียน!”
“ผู้คนที่มองเรื่องราวเช่นนี้ ในที่สุดก็จะกลายเป็นพวกข้างมาก แต่ก็ยังมีกลุ่มคนเล็กๆ ที่เชื่อว่าจิ่วซานไห่ เป็นอสูรสวรรค์ที่พวกมันจะผนึกหรือจะยอมรับก็ได้ การผนึกมันจะเป็นวิถีทางแห่งพลัง การยอมรับมันก็จะกลายเป็นเจ้านายของมันไปในที่สุด”
“คนกลุ่มนี้ก็คือ…ผู้ผนึกอสูรรุ่นแรกสุด!”
“ทั้งสองกลุ่มนี้มีปรัชญาความคิดที่แตกต่างกัน และเดินไปตามวิถีทางแห่งพลังที่แตกต่างกัน จึงทำให้เกิดเป็นความขัดแย้งกันขึ้น” เมิ่งฮ่าวสูดลหายใจเข้าไปลึกๆ ขณะที่เขาได้รับความรู้แจ้งนี้
หลังจากได้ครอบครองหยกผนึกอสูร และกลายเป็นผู้ผนึกอสูรรุ่นที่เก้า วิถีทางของเมิ่งฮ่าวก็มักจะเต็มไปด้วยความสับสน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อทำการผนึกอสูร เขารู้สึกงุนงงในความพยายามอย่างต่อเนื่องเพื่อค้นหาความจริง ในที่สุดเขาก็เริ่มเข้าใจ
“ข้ามายังทะเลทรายตะวันตก ก็เนื่องมาจากวิญญาณแรกก่อตั้งห้าสี ข้าจะหลอมรวมภาพศักดิ์สิทธิ์ของธาตุทั้งห้าด้วยวิธีการปรุงเม็ดยาของข้า ข้าจะใช้ร่างกายเป็นกระถางปรุงยา และภาพศักดิ์สิทธิ์เป็นสูตรยา ข้าจะปรุงวิญญาณแรกก่อตั้งสมบูรณ์ของข้าเอง!”
“นี่คือเป้าหมายหลักในการมายังทะเลทรายตะวันตก!”
“ชีวิตของข้าได้เดินไปบนเส้นทางของอสูรต่างๆ หลักการของความเปลี่ยนแปลงอันลี้ลับนี้เป็นวิถีแห่งผู้ผนึกอสูร! จุดหมายปลายทางของวิถีนี้ก็คือ การผนึกทั้งอสูรอันยิ่งใหญ่แห่งสวรรค์ และเซียนทั้งหลาย!”
“เช่นเดียวกัน มันก็คือเส้นทางแห่งการสร้างความเชื่อมั่น ของพลังแห่งอสูรไปยังสิ่งมีชีวิตมากมายนับไม่ถ้วน รวมถึง…การทำให้มนุษย์ธรรมดาสามารถบรรลุถึงแก่นแท้ของเซียน!”
จิตใจเมิ่งฮ่าวสั่นสะท้าน พื้นฐานฝึกตนของเขาพลุ่งพล่านปั่นป่วนด้วยความรู้แจ้งนี้ มันพุ่งขึ้นไปจากขั้นสุดท้ายแกนสีทอง เข้าไปสู่วงจรอันยิ่งใหญ่ของแกนสีทอง
ตอนนี้เขาเข้าใกล้ขั้นวิญญาณแรกก่อตั้งมากขึ้นกว่าเดิม ถ้าไม่ใช่ว่าเขาต้องการวิญญาณแรกก่อตั้งห้าสี เขาก็จะเริ่มทำให้กลายเป็นวิญญาณแรกก่อตั้งได้เรียบร้อยแล้ว แต่ด่านของวิญญาณแรกก่อตั้งห้าสีเช่นนั้น เป็นสิ่งที่ผู้ฝึกตนมากมายนับไม่ถ้วนไม่เคยเหยียบย่างผ่านเข้าไปมาก่อน
ถึงแม้ว่าเมิ่งฮ๋าวไม่เคยสร้างวิญญาณแรกก่อตั้งอันยุ่งยากมาก่อน แต่เขาก็เคยอ่านเกี่ยวกับเรื่องนี้ในบันทึกโบราณของสำนักจื่อยิ่น เขารู้ว่ามีแต่คนที่มีโชคอย่างดีเยี่ยมและพรสวรรค์ชั้นเลิศราวกับมัจฉาที่ทะยานข้ามประตูมังกรไปได้เท่านั้น ถึงจะก้าวเข้าไปในขั้นที่ลึกล้ำเช่นนี้ได้
วิญญาณแรกก่อตั้ง…มันเป็นขั้นที่ห่างไกลจากสร้างแกนลมปราณเป็นอย่างมาก ผู้ฝึกตนวิญญาณแรกก่อตั้งมีวิชาเวทที่ไกลเกินกว่าธรรมดาทั่วไป การเรียนรู้ขั้นพื้นฐานแห่งสวรรค์และปฐพีของพวกมันทำให้เกือบจะเป็นความสามารถศักดิ์สิทธิ์
ที่เห็นได้ชัดมากที่สุด ก็คือวิชาเคลื่อนย้ายทางไกลย่อยของพวกมัน นี่เป็นวิชาเวทที่กล่าวได้ว่ามีอานุภาพอันยิ่งใหญ่ เนื่องจากเช่นนี้ ผู้ฝึกตนวิญญาณแรกก่อตั้งใดๆ ที่ต้องการจะหลบหนีล่าถอยก็สามารถทำได้อย่างง่ายดาย เว้นแต่ว่าพวกมันจะถูกควบคุมด้วยค่ายกลเวท แต่ก็เป็นเรื่องยากที่จะกักขังหรือสังหารพวกมัน
ความสำคัญอื่นก็คือ หลังจากที่บรรลุขั้นวิญญาณแรกก่อตั้ง ผู้ฝึกตนก็แทบจะมีสัญชาตญาณใช้ความสามารถศักดิ์สิทธิ์ที่ถุกเรียกว่า…เจ้าของ! ได้ในทันที
วิญแรกแรกเริ่มจะปรากฎขึ้น ร่างกายเป็นแค่เรื่องรอง การฝึกตนจะเน้นไปที่วิญญาณแรกเริ่ม ถ้าร่างกายถูกทำลายไป มันก็สามารถละทิ้งไป และร่างกายใหม่ก็จะถูกสร้างขึ้นมา เนื่องจากเช่นนี้ การต่อสู้กับผู้ฝึกตนวิญญาณแรกก่อตั้ง เป็นเรื่องที่ยากเย็นแสนเข็ญกว่าต่อสู้กับขั้นแกนสีทอง ในขั้นวิญญาณแรกก่อตั้ง ความเชื่อมั่นในการสามารถมีชีวิตอยู่ บนเส้นทางอันยิ่งใหญ่ของเต๋าเป็นสิ่งที่มั่นใจได้มากขึ้น
ยังมีประโยชน์อีกมากมายของความสามารถศักดิ์สิทธิ์ ที่ประจักษ์แจ้งอยู่ในขั้นวิญญาณแรกก่อตั้ง แต่จริงๆ แล้วก็เป็นแค่ส่วนยอดของภูเขาน้ำแข็ง จากการเข้าใจของคนส่วนใหญ่เท่านั้น มีแต่คนที่อยู่ในขั้นวิญญาณแรกก่อตั้งจริงๆ ถึงจะเข้าใจอย่างแท้จริงว่า พวกมันมีความแข็งแกร่งมากมายเพียงใด
ดวงตาเมิ่งฮ่าวเต็มไปด้วยแสงเจิดจ้าเมื่อมองกวาดไปมา ร่างกายเขาจู่ๆ ก็แวบขึ้น และกลายเป็นลำแสงพุ่งตรงไปยังลานบ้านที่อยู่ด้านหลังภูเขา ขณะที่เขาพุ่งฝ่าอากาศจนเป็นเสียงแหลมเล็ก เส้นใยของสัมผัสศักดิ์สิทธิ์มากมายก็โผล่ออกมา หลังจากที่รับรู้ว่าเป็นเมิ่งฮ่าว พวกมันก็หยุดลง เพียงแค่สังเกตดูขณะที่เขาจากไป
“ดูเหมือนความรู้แจ้งจากบรรพบุรุษต้นชิงมู่เพียงเล็กน้อยนี้ ได้เปลี่ยนให้ข้ามีฐานะที่ค่อนข้างพิเศษอยู่ในที่แห่งนี้…” หลังจากที่สังเกตดูเพียงแวบเดียว เมิ่งฮ่าวก็คาดเดาได้ว่าเส้นใยของสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ไม่ได้ทำอะไรนอกจากมองเขาจากไป ถึงแม้เขาไม่ค่อยมั่นใจมากนัก แต่ก็น่าจะคาดเดาได้ถูกต้อง
หลังจากที่กลับไปถึงลานบ้าน ฝูงสัตว์ปีศาจของเขาก็กระโดดโลดเล่นด้วยความตื่นเต้น ต้าเหมาพุ่งตรงมาที่เขา และจากนั้นก็วิ่งหมุนวนไปรอบๆ ส่งเสียงเห่าอย่างมีความสุข เมิ่งฮ่าวหัวเราะและลูบไปที่ศีรษะของมัน หลังจากที่ฝูงสัตว์ปีศาจสงบลง เขาก็นั่งลงขัดสมาธิด้วยดวงตาที่สาดประกาย หลังจากครุ่นคิดอยู่ชั่วขณะ ดวงตาก็เริ่มส่องแสงเจิดจ้ามากขึ้น
“เมื่อข้าตื่นขึ้นมาก่อนหน้านี้ กิ่งก้านของธาตุไม้จำนวนมากมายกำลังกระจายออกไปจากร่างของข้า…” เมิ่งฮ่าวหลับตาลง และโคจรหมุนเวียนพื้นฐานฝึกตน หลังจากผ่านไปไม่กี่อึดใจ ร่างกายก็เริ่มสั่นสะท้าน เส้นเลือดโป่งพองออกมาจากผิวหนัง และกิ่งก้านที่คล้ายหนวดเส้นเล็กๆ ก็เริ่มโผล่ออกมา กิ่งไม้นั้นหงิกงอไปมา แทงทะลุลงไปในพื้นดิน จากนั้นก็กระจายออกไปทั่วทุกทิศทาง ในตอนนี้ เมิ่งฮ่าวกำลังกระจายกลิ่นอายของธาตุไม้อันเข้มข้น และแสงเจิดจ้าสีเขียวออกมา ราวกับว่าตัวเขากำลังเปลี่ยนเป็นต้นชิงมู่โบราณ
สัตว์ปีศาจทั้งหมดในลานบ้าน มองมายังเมิ่งฮ่าวด้วยความตกตะลึง ดวงตาของพวกมันเต็มไปด้วยความสับสน แต่ทันใดนั้น ก็รู้สึกว่าตอนนี้พวกมันไม่ได้คุ้นเคยกับเจ้านายมากเหมือนก่อนหน้านี้ พวกมันเริ่มวิ่งไปรอบๆ ชิงมู่เมิ่งฮ่าว กระโดดขึ้นลงส่งเสียงอึกทึกครึกโครม
เวลาผ่านไป ในช่วงรุ่งอรุณของวันต่อมา เมิ่งฮ่าวลืมตาขึ้น เหมือนกับว่าเขากำลังตื่นขึ้นมาจากความเคลิบเคลิ้มบางอย่าง ทันทีที่เขาลืมตาขึ้น แสงสีเขียวที่อยู่รอบๆ ก็เจิดจ้าขึ้น และกระจายออกไปอย่างไร้ขอบเขต
“จากข้อมูลที่อูเฉินให้ข้ามา ซึ่งเกี่ยวข้องกับภาพศักดิ์สิทธิ์ตราประทับธาตุไม้ ดูเหมือนว่าข้า…ได้ผ่านจุดวิกฤตสำคัญครั้งแรกไปแล้ว ตอนนี้ข้าหลอมรวมเข้ากับต้นไม้ได้อย่างสมบูรณ์ ไม่มีการแบ่งแยก…” เมิ่งฮ่าวมองไปยังร่างกายที่เป็นต้นมู่ชิงของเขา เห็นได้ชัดว่านี่เป็นความโชคดีที่เขาได้รับมาจากมนุษย์ต้นไม้ ซึ่งเป็นตัวตนของต้นชิงมู่โบราณ
บางทีนี่ก็เป็นสิ่งที่เกี่ยวข้องกับปรมาจารย์ผนึกอสูรรุ่นห้าด้วยเช่นกัน ถ้าเป็นเช่นนั้น เมิ่งฮ่าวก็ได้มุ่งเน้นไปที่เรื่องนี้อย่างเต็มที่เพียงอย่างเดียวในตอนนี้
เหตุผลหลักที่เขามายังเผ่าอูต๋า ก็เพราะว่าต้องการครอบครองภาพศักดิ์สิทธิ์ธาตุไม้ ตอนนี้ เขาก็ได้ครอบครองแล้ว ไม่ใช่ภาพศักดิ์สิทธิ์ธาตุไม้ธรรมดาทั่วไป แต่เป็นต้นชิงมู่โบราณ สำหรับเมิ่งฮ่าว นี่เป็นก้าวแรกอันยอดเยี่ยมสำหรับการเดินไปบนเส้นทางของวิญญาณแรกก่อตั้งห้าสี
เขาสูดลมหายใจเข้าไปลึกๆ และหลับตาลง เนื่องจากข้อมูลและวิชาจากอูเฉิน เขาค่อยๆ โคจรหมุนเวียนพลังฝึกตนขึ้นช้าๆ และเริ่มก้าวไปสู่ขั้นตอนสุดท้ายด้วยภาพศักดิ์สิทธิ์ธาตุไม้…ตราประทับภาพศักดิ์สิทธิ์ที่แท้จริง
เวลาผ่านไป ครึ่งชั่วยามหลังจากนั้น แสงสีเขียวก็กระจายออกมาจากเมิ่งฮ่าวที่เริ่มเปล่งประกายออกมา ขณะที่เป็นเช่นนั้น มือของเขาก็ยกขึ้นมาร่ายเวทอาคม จู่ๆ เขาก็ผลักมือออกไป และลืมตาขึ้น ซึ่งเต็มไปด้วยแสงเจิดจ้า
ในตอนที่เขาผลักมือออกไป เสียงกระหึ่มก็ดังก้องไปทั่ว แสงสีเขียวพุ่งขึ้นมาค่อยๆ รวมตัวกันที่ด้านบนศีรษะ ในเวลาเดียวกันนั้น กิ่งก้านที่เชื่อมต่อเข้ากับตัวเขา ก็เริ่มหงิกงอบิดเบี้ยว และยืดขยายออกไปมากขึ้น สิ่งที่เมิ่งฮ่าวจำเป็นต้องทำก็คือ แยกต้นไม้ภาพลวงตานี้ออกมาจากตัวเขา
ครั้งแรกหลอมรวมเข้ากับมัน จากนั้นก็แยกออก สุดท้ายก็ประทับมันลงไป เผ่าที่ไม่เหมือนกัน ก็จะใช้วิธีการที่แตกต่างกันออกไป แต่แนวคิดพื้นฐานก็เป็นเช่นเดียวกันทั่วทั้งทะเลทรายตะวันตก ตราประทับภาพศักดิ์สิทธิ์มักจะทำสำเร็จได้ด้วยวิธีการเช่นนี้
ขณะที่แสงสีเขียวค่อยๆ เริ่มแยกออกมาจากร่างเมิ่งฮ่าว กิ่งก้านก็เริ่มหายไปเช่นเดียวกัน ขณะที่เป็นเช่นนั้น ภาพของต้นไม้ก็เริ่มรวมตัวกันภายในแสงสีเขียว มันเริ่มมองเห็นเป็นรูปร่างได้ชัดเจนขึ้นและส่องแสงสว่างมากขึ้น ราวกับว่ากำลังกลายเป็นต้นไม้ยักษ์สีเขียวจริงๆ
เนื่องจากว่ามันเป็นภาพลวงตา กลิ่นอายของธาตุไม้อันเข้มข้น ก็กระจายออกไปทั่วทุกทิศทาง พลุ่งพล่านปั่นป่วนจนทำให้สัตว์ปีศาจในพื้นที่รอบๆ ลานบ้านของเมิ่งฮ่าวเริ่มเงียบลง ในเวลาเดียวกันนั้น ต้นหญ้าบนพื้นและต้นไม้ในป่ารอบๆ บริเวณนั้นจู่ๆ ก็เริ่มบิดตัวไปมาและเติบโตขึ้น พลังชีวิตอันเข้มข้นอย่างน่าเหลือเชื่อ เริ่มพุ่งออกมาจากต้นไม้ภาพลวงตาที่เบื้องหน้าเมิ่งฮ่าว
กลิ่นอายนี้เพียงพอที่จะทำให้สวรรค์สะท้านปฐพีสะเทือน ผู้ฝึกตนไม่น้อยที่อยู่ใกล้บริเวณนั้นสังเกตเห็น และเริ่มมองไปรอบๆ ด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
เมิ่งฮ่าวสูดลมหายใจเข้าไปลึกๆ จริงๆ แล้ว แม้ว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่รอบๆ ตัวเขาจะเริ่มสั่นอย่างรุนแรงมากขึ้น แต่เขาก็ไม่ได้ใส่ใจมันแม้แต่น้อย เขากำลังเพ่งสมาธิไปที่ก้าวแรกของวิญญาณแรกก่อตั้งห้าสี ตราประทับภาพศักดิ์สิทธิ์ธาตุไม้
“รวมตัว!” ดวงตาสาดประกาย ขณะที่มือทั้งสองขยับร่ายเวทอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ชี้ตรงไปยังต้นไม้สีเขียวที่เบื้องหน้า ฉับพลันนั้นมันก็เริ่มหดตัว
ขั้นตอนการหดตัวนี้เชื่องช้าเป็นอย่างมาก มันเกิดขึ้นแค่ครั้งละหนึ่งชุ่น (1 ชุ่น = 3.34 เซนติเมตร) ในเวลาเดียวกันนั้น การเปลี่ยนแปลงอย่างน่าตกใจที่เกิดขึ้นรอบๆ บริเวณนั้นก็ยิ่งมีมากขึ้น ในที่สุดผลกระทบนั้นก็กระจายออกไปเป็นวงกว้างมากขึ้น จนกระทั่งกลุ่มคนของเผ่าอูต๋าทั้งหมดสังเกตเห็นและตกตะลึงกันไปทั่ว
พวกมันมองเห็นแสงสีเขียวพุ่งขึ้นไปในท้องฟ้าได้อย่างชัดเจน ในเวลาเดียวกันนั้น ต้นไม้สีเขียวขนาดใหญ่ก็ปรากฎขึ้นอย่างน่ามหัศจรรย์ เต็มไปด้วยพลังชีวิตอันเข้มข้น ทำให้ต้นไม้ใบหญ้าที่อยู่รอบๆ เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว
ในตอนนี้เองที่สี่ลำแสงพุ่งลงมาจากบนภูเขา ที่นำอยู่เบื้องหน้าไม่ใช่ใครอื่นนอกจากเป็นหัวหน้าเผ่าของเผ่าอูต๋า ชายชราที่มีผมหงอกขาวโพลนทั่วศีรษะ สีหน้ามันเคร่งเครียดขณะที่พุ่งตรงมายังลานบ้านของเมิ่งฮ่าว และจากนั้นก็ลอยตัวอยู่กลางอากาศด้านบน
“สหายเต๋าเมิ่ง, โปรดอย่าได้เข้าใจผิด! ข้าคือหัวหน้าเผ่าอูต๋า ข้าจะอยู่ที่นี่เพื่อคอยคุ้มกันท่าน!”
แม้ในขณะที่คำพูดของมันดังออกมา สองลำแสงที่ใกล้เข้ามาก็กลายเป็นผู้เฒ่าสูงสุดปฐพีและผู้เฒ่าสูงสุดท้องฟ้า พวกมันก็เช่นกัน นั่งขัดสมาธิลอยอยู่กลางอากาศ เพื่อคอยคุ้มกันให้กับเมิ่งฮ่าว
คนสุดท้ายเป็นผู้เฒ่าของเผ่า ถึงแม้ว่ามันจะไม่ค่อยเต็มใจนัก แต่มันก็นั่งขัดสมาธิลอยอยู่กลางอากาศด้วยเช่นกัน เผชิญหน้ากันสี่ทิศทางเพื่อคอยคุ้มกัน ขณะที่เมิ่งฮ่าวกำลังสร้างตราประทับภาพศักดิ์สิทธิ์
อันที่จริง ในตอนที่เมิ่งฮ่าวได้ครอบครองภาพศักดิ์สิทธิ์ของต้นชิงมู่ พวกมันก็ได้เตรียมการสำหรับการคุ้มกันช่วงที่เขาตื่นขึ้นมา และเริ่มสร้างตราประทับภาพศักดิ์สิทธิ์แล้ว
ภาพศักดิ์สิทธิ์ของต้นชิงมู่ไม่ใช่ต้นไม้ธรรมดาทั่วไป ตราประทับภาพศักดิ์สิทธิ์เช่นนี้แน่นอนว่า ต้องทำให้เกิดความแตกตื่นที่สามารถแปลงสวรรค์เปลี่ยนปฐพีได้อย่างมากมาย จริงๆ แล้ว มันก็ทำให้แม้แต่สัตว์ปีศาจก็มาตรวจสอบด้วยเช่นกัน ด้วยเช่นนั้นจึงจำเป็นที่จะต้องมีผู้คนมาคอยคุ้มกันเพื่อให้มั่นใจว่าไม่มีเหตุผิดพลาดใดๆ เกิดขึ้น
เมิ่งฮ่าวมองขึ้นไปยังผู้ฝึกตนวิญญาณแรกก่อตั้งของเผ่าอูต๋าทั้งสี่ ที่หันหน้าเข้าหากันในสี่ทิศทางที่แตกต่างกัน เขานิ่งเงียบไปชั่วขณะก่อนที่จะถอนหายใจอย่างแผ่วเบาออกมา ไม่ว่าเผ่าอูต๋าจะมีเจตนาใดแอบซ่อนไว้ แต่เรื่องทั้งหมดที่พวกมันได้กระทำมาในหลายวันนี้ ก็แสดงให้เห็นถึงเจตนาดีอย่างมากมาย เมิ่งฮ่าวสามารถเห็นได้ชัดเจนเกี่ยวกับเรื่องนี้
เขาสูดลมหายใจเข้าไปลึกๆ ไม่สนใจเรื่องราวทุกอย่าง เพ่งสมาธิมุ่งเน้นไปที่การสร้างตราประทับของรอยสักภาพศักดิ์สิทธิ์ต้นชิงมู่ ขณะที่พื้นฐานฝึกตนของเขาส่องประกาย ก็ทำการร่ายเวทอาคมอย่างต่อเนื่อง ภาพลวงตาต้นไม้ยักษ์ที่อยู่เบื้องหน้าเขาหดตัวลงอย่างต่อเนื่อง และขณะที่เป็นเช่นนั้น ก็กระจายกลิ่นอายอันเข้มข้นออกมามากขึ้น ในที่สุดต้นชิงมู่ก็มีความสูงเพียงแค่เจ็ดถึงแปดจ้าง พลังชีวิตที่มันกระจายออกมาเข้มข้นเพียงพอที่จะทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่รอบๆ สั่นสะเทือน ตอนนี้ มันได้ดึงดูดความสนใจของเผ่าอื่นๆ ที่อยู่ในเขตเทือกเขาแห่งนี้
——————-
鱼跃龙门 (หยูเยวี่ยหลงเหมิน – มัจฉาทะยานข้ามประตูมังกร) – สุภาษิตจีน มีมัจฉามากมายที่พยายามทะยานข้ามประตูมังกร มีส่วนน้อยที่ทำได้สำเร็จ แต่ถ้าข้ามไปได้ก็จะแปลงร่างกลายเป็นมังกร