ดวงตาเมิ่งฮ่าวสาดประกาย ขณะที่เขามองเหยียนซงจางหายไป ยื่นมือออกไปหยิบแผ่นไม้ซึ่งลอยอยู่เบื้องหน้าเขาไว้ จากนั้นก็หันหลังและจากไป
เขาไม่ค่อยเชื่อถือมันมากนัก ดังนั้นเขาจึงใช้ร่างจำแลงปราณอสูรมาพบกับมัน
แน่นอนว่า เหยียนซงจริงๆ แล้วก็เกรงกลัวเมิ่งฮ่าวอยู่เล็กน้อย ต้องขอบคุณป้อมปราการหนาม ด้วยเช่นนั้น มันจึงใช้ร่างอื่นมาพบกับเขา ไม่ได้มาด้วยร่างจริงของตัวเอง
“เมื่อดูจากการที่พวกเราไม่ได้เชื่อถือซึ่งกันและกัน แล้วทำไมมันถึงได้เชิญให้ข้าไปเข้าร่วมด้วย…?” เมิ่งฮ่าวคิดขณะที่เขาเดินย้อนกลับไปยังเส้นทางขามา “แน่นอนว่าระหว่างพวกเราไม่มีความแค้นอันยิ่งใหญ่ต่อกัน ดังนั้นทำไมมันถึงต้องพยายามใช้เล่ห์กลมาสร้างปัญหาให้ข้า? ใช่หรือไม่ว่าคงจะมีความจริงอยู่บ้างในสิ่งที่มันพูดมา?”
ตอนนี้เป็นยามราตรีดึกสงัด และเขตตะวันออกของเมืองก็เงียบวังเวงเป็นอย่างมาก เสียงแห่งความเร่งรีบและคึกคักจอแจ ที่เคยมีอยู่ก่อนที่สงครามจะเริ่มขึ้นได้หายไปแล้วในตอนนี้ ทุกสิ่งทุกอย่างเกือบจะกลายเป็นซากปรักหักพังไปหมด
เขาเดินไปเกือบจะถึงหนึ่งร้อยจ้าง แต่ทันใดนั้นเองก็หยุดลง และถอยไปด้านหลังสามก้าว
ในขณะที่ทำเช่นนั้น ระลอกคลื่นสีเขียวก็กระจายออกมาจากจุดที่เขาเพิ่งจะยืนอยู่เมื่อครู่นี้ในทันที ในเวลาเดียวกันนั้น ภาพบิดเบี้ยวของผู้คนก็เริ่มมองเห็นได้จากภายในระลอกคลื่นนั้น ยากที่จะมองเห็นเงาร่างนั้นได้อย่างชัดเจน แต่ภายในแสงสีเขียวนั้น เมิ่งฮ่าวก็รู้สึกได้ถึงกลิ่นอายของภาพศักดิ์สิทธิ์ที่กระจายออกมา
“ผู้ฝึกตนทะเลทรายตะวันตก!” เขาคิด “ป้อมปราการหนามไม่สมบูรณ์อยู่ในบริเวณนี้ ดังนั้นเหยียนซงจึงได้แอบนัดข้าในที่แห่งนี้!” แสงเย็นเยียบสาดประกายอยู่ในดวงตาเมิ่งฮ่าว เขาพุ่งถอยไปด้านหลัง แสงสีทองกระจายออกมาจากร่าง กำมือขวาเป็นหมัด ขณะที่ต่อยเข้าไปยังแสงสีเขียวที่พุ่งเข้ามา
เสียงระเบิดดังเต็มอยู่ในอากาศ หมัดของเมิ่งฮ่าวไม่ได้กระแทกไปโดนสิ่งใดๆ แต่การโจมตีอันทรงพลังก็พุ่งตรงไปยังแสงสีเขียว ดูเหมือนมันจะเตรียมตัวมาเป็นพิเศษสำหรับเมิ่งฮ่าว ดังนั้นก่อนที่หมัดของเขาจะกระแทกเข้าไปที่แสงสีเขียว มันก็กลายเป็นจุดแสงมากมายกระจายออกไปในอากาศ จากนั้นจุดแสงเหล่านั้นก็พุ่งเข้ามารวมกัน จนกลายเป็นภาพของแส้สีเขียว หวดตรงมายังเมิ่งฮ่าวอย่างรวดเร็ว
เมิ่งฮ่าวอุทานออกมาด้วยความประหลาดใจ นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเผชิญหน้ากับสิ่งที่ หมัดขวาของเขาไม่อาจจะต่อยเข้าไปได้ อันที่จริง หมัดแรกเป็นแค่ภาพลวงตา แต่การที่คู่ต่อสู้ของเขาหลบหมัดนั้นไปได้ ก็แสดงให้เห็นว่ามันต้องไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน
“คนผู้นี้ไม่ได้มาพร้อมกับเหยียนซง, เหยียนซงแอบซ่อนตัวเองไว้ และเห็นได้ชัดว่ามันเกรงว่าข้าไม่ได้มาด้วยตัวเอง แต่ผู้ฝึกตนนี้หลีกเลี่ยงการต่อยของข้าได้…ซึ่งแสดงให้เห็นว่ามันไม่ได้คิดว่าหมัดนั้นเป็นเพียงภาพลวงตา ดังนั้น มันไม่รู้ว่านี่ไม่ใช่ร่างจริงของข้า! ถ้าเป็นเช่นนี้ ก็แสดงว่าการมาพบกับมันในที่แห่งนี้เป็นเพียงแค่เหตุบังเอิญ…โอกาสที่จะมาพบกับคนผู้นี้ในสถานที่ซึ่งเป็นเมืองใหญ่เช่นนี้มีน้อยมาก ด้วยเหตุนี้ข้าจึงคาดว่าการที่มันเข้ามาในเมืองนี้…ต้องไม่ได้มาเพียงคนเดียวอย่างแน่นอน!” เมิ่งฮ่าวแค่นเสียงเย็นชาออกมา ขณะที่ปล่อยให้แส้พันไปรอบร่าง
เสียงระเบิดดังก้องไปทั่ว ขณะที่เมิ่งฮ่าวแตกกระจายกลายเป็นชิ้นส่วนของปราณนับไม่ถ้วน ซึ่งจากนั้นก็หายไปในอากาศ
เสียงประหลาดใจได้ยินออกมา ขณะที่แส้สีเขียวล่าถอยไปด้านหลัง ความรู้สึกถึงสถานการณ์อันเลวร้ายทันใดนั้นก็พุ่งขึ้นมาในจิตใจของผู้ฝึกตนทะเลทรายตะวันตก
แต่ในขณะที่มันเริ่มถอยไปด้านหลัง เศษชิ้นส่วนของปราณที่สร้างขึ้นเป็นร่างเมิ่งฮ่าว ทันใดนั้นก็พุ่งตรงมาและรวมตัวเข้าด้วยกันกลายเป็นเมิ่งฮ่าวร่างใหม่ในทันที มือซ้ายของเขาพุ่งออกไปคว้าจับแส้ไว้ จากนั้นก็ดึงเข้ามาหาตัว
“มานี่!”
เสียงแผดร้องดังก้องไปทั่ว แส้ถูกดึงจนตึง และขณะที่เป็นเช่นนั้น ก็มองเห็นภาพเลือนลางของคนที่กำลังจะหลบหนีอยู่ภายในระลอกคลื่นสีเขียว
เมิ่งฮ่าวออกแรงลากแส้สีเขียวมากขึ้น และขณะที่เขาทำเช่นนี้ มันก็เริ่มเหี่ยวแห้งลง จากนั้นก็กลายเป็นเถ้าธุลีลอยไปตามสายลมในทันที
เมิ่งฮ่าวมองระลอกคลื่นที่หายไปในที่ห่างไกล และความเย็นเยียบก็แวบขึ้นในดวงตา “ค่อนข้างแน่ใจว่ามันไม่ได้เกี่ยวข้องกับเหยียนซง แต่ไม่มีใครมาลอบโจมตีเมิ่งฮ่าวแล้วหลบหนีไปได้!” ร่างเขาเริ่มเลือนลางลง จากนั้นก็แยกออกเป็นเมิ่งฮ่าวอีกสิบคนในทันที พวกเขามุ่งหน้าออกไปยังทิศทางที่แตกต่างกันเพื่อไล่ล่าอย่างรวดเร็ว
ในเวลาเดียวกันนั้น ย้อนกลับไปยังลานบ้านของเมิ่งฮ่าว ร่างจริงของเขากำลังนั่งมองดูดอกบัวอยู่ ทุกสิ่งทุกอย่างในที่แห่งนี้เงียบสงบ และเขาก็ไม่ได้สนใจในสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นที่ด้านนอก กับร่างจำแลงปราณอสูรของเขามากเท่าใดนัก
หลังจากเวลาชั่วธูปไหม้หมดครึ่งดอกผ่านไป เขาก็ลุกขึ้นยืน สีหน้าสงบนิ่งเหมือนเช่นเคย เดินออกไปอย่างช้าๆ ในความมืดยามราตรี เดินทอดน่องไปตามถนนด้วยฝีเท้าที่มั่นคง ในไม่ช้า เขาก็ห่างออกไปจากที่พักเกือบหนึ่งร้อยจ้าง
ไม่นานนักเขาก็มาถึงมุมถนนที่อยู่ห่างไกล เขาหยุดลง ดูเหมือนกำลังรอคอยอะไรบางอย่าง หลังจากสูดลมหายใจเข้าออกสองครั้งผ่านไป กลุ่มระลอกคลื่นก็พุ่งผ่านอากาศตรงมาที่เขา ด้านหลังระลอกคลื่นเป็นสิบเงาร่างที่ดูเหมือนกับเขา ใบหน้าทั้งสิบเย็นชาขณะที่ไล่ล่าระลอกคลื่นนั้นมา
อูมู่หวาดกลัวแทบบ้าคลั่ง มันเป็นสมาชิกของชนเผ่าอูต๋า (อีกา) แห่งทะเลทรายตะวันตก และเป็นสมาชิกของกองกำลังที่มาเข้าร่วมในสงครามใหญ่กับโม่ถู่กง เพราะมันมีภาพศักดิ์สิทธิ์ธาตุไม้ มันจึงเป็นหนึ่งในผู้ฝึกตนนับร้อยที่มีชีวิตรอดมาจากป้อมปราการหนามก่อนหน้านี้ มันถูกส่งให้เข้ามาในเมืองคืนนี้ด้วยภารกิจลอบสังหาร
ยังมีอีกสิบสองคนหรือมากกว่านั้นมาพร้อมกับมัน มันไม่แน่ใจถึงระดับพื้นฐานฝึกตนของคนเหล่านั้น แต่มันอยู่ในขั้นสุดท้ายสร้างแกนลมปราณ เมื่อรวมกับวิชาลับของชนเผ่ามัน และภาพศักดิ์สิทธิ์ธาตุไม้ ก็ทำให้แม้แต่ผู้ฝึกตนวิญญาณแรกก่อตั้งก็ยากที่จะเจาะทะลุเข้ามาในวิชาปกปิดตัวตนของมันได้
มันไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่า ทันทีที่มันเข้ามาในเมือง บุคคลแรกที่มันพบเจอไม่ใช่ใครอื่นนอกจากเมิ่งต้าซือ ผู้ที่สามารถเรียกใช้ป้อมปราการหนามได้ มันคิดว่าเนื่องจากภาพศักดิ์สิทธิ์ธาตุไม้ของมัน ทำให้ป้อมปราการหนามไม่อาจจะตรวจจับร่องรอยมันได้ และด้วยความคิดเช่นนี้ มันจึงเลือกที่จะโจมตีเมิ่งฮ่าว
ในมุมมองของมัน ถ้ามันสามารถสังหารเมิ่งต้าซือผู้ลึกลับลงได้ ก็จะเป็นผลการรบอย่างน่าเหลือเชื่อ หลังจากที่กลับไปยังชนเผ่า มันก็คงจะได้รับการตอบแทนอย่างงดงาม ถึงแม้มันไม่อาจจะสังหารเขาได้ ก็อาจจะทำให้เขาบาดเจ็บได้เป็นอย่างน้อย ด้วยการคิดเช่นนี้ มันจึงเชื่อมั่นว่าต้องปลอดภัยอย่างแน่นอนขณะที่ทำการโจมตี
มันจะคาดคิดได้อย่างไรว่าสิ่งที่มันโจมตีไปไม่ใช่ร่างจริงของเมิ่งต้าซือ แต่เป็นร่างจำแลง? ด้วยเช่นนั้นจึงทำให้มันต้องอ้าปากค้างด้วยความประหลาดใจ และจิตใจก็เต็มไปด้วยความหวาดกลัว มันหลบหนีไปอย่างรวดเร็ว ก่นด่าสาปแช่งเมิ่งฮ่าวที่ออกมาเดินในยามราตรีด้วยร่างจำแลง
หลังจากนั้น ความหวาดกลัวของมันก็เพิ่มมากขึ้น เมื่อทันใดนั้นร่างจำแลงสิบร่างของเมิ่งต้าซือปรากฎขึ้น ทุกร่างไล่ล่ามันอย่างไม่ลดละ ตัดเส้นทางหลบหนีของมันไปทุกที่ ถ้าไม่ใช่เพราะมันใช้วิชาพิเศษเฉพาะในการอำพรางตัวและหลบหนี รวมถึงภาพศักดิ์สิทธิ์ธาตุไม้ มันก็คงจะถูกจับตัวไปเรียบร้อยแล้ว
ในขณะที่มันคิดว่ากำลังหลบหนีจากร่างจำแลงได้แล้ว ทันใดนั้นก็มองเห็นเมิ่งฮ่าวยืนอยู่ที่ด้านหน้า
“บัดซบ” มันคิด “เมิ่งต้าซือผู้นี้ไม่เพียงแต่จะปรุงยาได้เท่านั้น มันยังมีวิชาสายฟ้า รวมถึงยังชำนาญในการใช้ร่างจำแลงอีกด้วย ทำไมถึงได้มีใครบางคนที่ไม่ใช่มนุษย์เช่นมันปรากฎขึ้นในโลกนี้ด้วย!?”
มันก่นด่าอยู่ในใจขณะที่มองมายังเมิ่งฮ่าว ซึ่งยืนอยู่ที่นั่นพร้อมกับท่าทีดูถูกอยู่ในแววตา
“มันอาจจะมีวิชาแปลกๆ บางอย่าง แต่มันก็ไม่เก่งพอที่จะจับตัวข้าได้!” อูมู่แค่นเสียงเย็นชาออกมา ร่างแวบขึ้นขณะที่มันโบกสะบัดแขนเสื้อ ทำให้ระลอกคลื่นรอบๆ ตัวมันพุ่งตรงออกไปยังสิ่งที่มันคิดว่าเป็นร่างจำแลงอีกร่างหนึ่ง นี่เป็นวิธีเดียวกับที่มันใช้มาก่อนหน้านี้เพื่อทำให้ร่างจำแลงแตกกระจายไป
ขณะที่อูมู่พุ่งตรงมายังเมิ่งฮ่าว ทันใดนั้นมันก็ได้ยินเขากล่าวว่า “ข้ายังต้องเรียนรู้เกี่ยวกับเต๋าแห่งภาพศักดิ์สิทธิ์อีกมากจริงๆ”
ก่อนที่อูมู่จะทันได้มีปฏิกิริยาใดๆ ต่อคำพูดนั้น ก็เห็นเมิ่งฮ่าวที่เบื้องหน้ามันยกมือขึ้นมา และชี้ตรงมาที่มัน
เกิดเสียงระเบิดดังก้องขึ้น ขณะที่พลังที่มองไม่เห็นซึ่งอยู่รอบๆ ตัวอูมู่ฉีกขาดออก จิตใจมันเต็มไปด้วยความประหลาดใจ และกำลังจะล่าถอยออกไป แต่ทันใดนั้น แสงสีโลหิตก็เต็มอยู่ในบริเวณนั้น แสงสีแดงแทรกซึมเข้าไปในร่างมัน ฉีกกระชากชั้นที่มองไม่เห็นรอบๆ ตัวมันออก เปิดเผยตัวตนมันต่อโลกภายนอก
“ไม่ใช่ร่างจำแลง!” มันคิด จิตใจหมุนคว้าง ใบหน้าซีดขาวอย่างน่ากลัว และมันกำลังจะใช้วิชาเวทอื่นอีก แต่เมิ่งฮ่าวก็จ้องเข้าไปในดวงตามัน สายตาของเขาดูเหมือนจะประกอบไปด้วยพลังของกาลเวลา จิตใจอูมู่หมุนไปมา ราวกับว่ามันสูญเสียความสามารถในการขบคิดไป ทุกสิ่งทุกอย่างจู่ๆ ก็เคลื่อนที่ช้าลง ราวกับว่าเวลาที่อยู่ภายในร่างของมันเปลี่ยนแปลงไปในทันใด
เมื่อมันเริ่มรู้สึกตัว ก็มองเห็นมือขวาเมิ่งฮ่าวตัดผ่านอากาศมาคว้าจับไปรอบๆ ลำคอของมัน ทุกสิ่งทุกอย่างเปลี่ยนเป็นสีดำ ขณะที่อูมู่หมดสติไป
เมิ่งฮ่าวถืออู่มู่อยู่ในมือ ตลอดเวลาที่ผ่านมาสีหน้าเขาไม่เคยเปลี่ยน เดินกลับไปตามถนนอย่างช้าๆ ด้านหลังเขา สิบร่างจำแลงปราณอสูรจางหายไปอย่างไร้ร่องรอย ในเวลาเดียวกันนั้น แผ่นไม้ก็ลอยเข้ามา เมิ่งฮ่าวคว้าจับไว้ เขามองไปที่มัน จากนั้นก็เดินหายลับไปในที่ห่างไกล นำอูมู่ที่อยู่ในวงแขนไปด้วย
ยามราตรีในเมืองเซิ่งเสวี่ยไม่ได้เงียบสงบเหมือนก่อนหน้านี้ นักลอบสังหารมากกว่าห้าสิบคนปรากฎตัวขึ้น ทำให้สมาชิกบางส่วนของตระกูลหานเสวี่ยตกตายไป
ในที่สุดสี่ผู้อาวุโสสูงสุดก็ปลดปล่อยพลังจากพื้นฐานฝึกตนของพวกมันออกมา เสียงระเบิดดังก้องไปทั่วในท้องฟ้ายามราตรี จวบจนกระทั่งยามเช้าตรู่
ความปั่นป่วนวุ่นวายที่ด้านนอกไม่มีผลกระทบต่อลานบ้านของเมิ่งฮ่าว เขาสกัดเอาโลหิตออกมาจากร่างอูมู่บางส่วน และทำการผ่าตัดรอยสักภาพศักดิ์สิทธิ์ของมันเพื่อทำการศึกษาด้วยเช่นกัน
เขาไม่ยอมล้มเลิกความตั้งใจที่จะทำความเข้าใจภาพศักดิ์สิทธิ์ รู้สึกว่ามันเป็นกุญแจที่จะนำเขาไปสู่เส้นทางของวิญญาณแรกก่อตั้งสมบูรณ์
“ภาพศักดิ์สิทธิ์ธาตุไม้…สามารถหลบเลี่ยงป้อมปราการหนามได้ มันต้องมีบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับลักษณะเฉพาะของไม้” เมิ่งฮ่าวถือขวดเล็กๆ อยู่ในมือ ซึ่งประกอบไปด้วยพลังชีวิตบางส่วนของอูมู่ มันกระจายลักษณะเฉพาะของไม้ออกมา ซึ่งทำให้เมิ่งฮ่าวต้องมองลงไปยังอูมู่ และเห็นรอยสักภาพศักดิ์สิทธิ์เป็นรูปใบไม้สีเขียวอยู่บนแขนของมัน
“ไม้เป็นหนึ่งในห้าธาตุ” เขาคิด ความคิดมากมายรวมตัวอยู่ในจิตใจ “โลหะ, ไม้, น้ำ, ไฟ, ดิน ห้าธาตุ ห้าสี, ขาว, เขียว, ดำ, แดง, เหลือง ความสมบูรณ์แบบก็คือวิญญาณแรกก่อตั้งห้าสี…วิญญาณแรกก่อตั้งไม้ก็จะมีสีเขียว ถ้าข้าได้ครอบครองธาตุทั้งห้าซึ่งมีคุณสมบัติแตกต่างกัน ฝึกฝนไปจนถึงขั้นสูงสุด มันก็คงจะเหมือนกับการใช้วิชาปรุงยาด้วยธาตุทั้งห้า! ด้วยสีทั้งห้า ข้าก็สามารถสร้างวิญญาณแรกก่อตั้งห้าสีขึ้นมาได้!” นี่เป็นผลลัพธ์จากการที่เขาวิเคราะห์ค้นคว้าภาพศักดิ์สิทธิ์
เขามีความคิดเช่นนี้เมื่อนานมาแล้ว แต่หลังจากที่ค้นคว้าในเร็วๆ นี้ ก็รู้สึกมีความมั่นใจมากขึ้น
“มันเกี่ยวข้องกับเต๋าแห่งการปรุงยาของข้าด้วยเช่นกัน ร่างของข้าก็คือกระถาง จิตใจก็คือสูตรยา ข้าจะปรุงเม็ดยาอันยิ่งใหญ่ของสวรรค์และปฐพีนี้ วิญญาณแรกก่อตั้งห้าสี!” ดวงตาสาดประกายด้วยแสงเจิดจ้า ความคิดในการสร้างวิญญาณแรกก่อตั้งเช่นนี้เป็นสิ่งที่ไม่มีใครเคยทำมาก่อน
คนอื่นๆ ใช้การฝึกฝนเพื่อสร้างวิญญาณแรกก่อตั้ง การตัดสินใจของเมิ่งฮ่าว ด้วยการใช้วิธีการปรุงยาเพื่อปรุงเป็นวิญญาณแรกก่อตั้ง!
“นี่เป็นหนทางเดียวที่จะบรรลุถึงความสมบูรณ์แบบ!” เขาคิด สีหน้าเต็มไปด้วยความมุ่งหวังอย่างเข้มข้น