“เจ้ารู้หรือไม่, ข้าได้ข่าวว่าตานติ่งต้าซือยังไม่มีคนรัก” เมิ่งฮ่าวกล่าวล้อเล่นขณะที่เขามองไปยังหานเสวี่ยชาน “เจ้าไม่เคยรู้หรือว่า เจ้าอาจจะมีโอกาสนะ!”
หานเสวี่ยชานหันหน้ามามองยังเมิ่งฮ่าว ใบหน้าที่อ่อนเยาว์มีรอยยิ้มๆ น้อยๆ และนางก็รีบปกปิดมันไว้อย่างรวดเร็ว
“ฟังนะ, ข้าค่อนข้างจะสนิทสนมกับตานติ่งต้าซือ” เขากล่าวต่อไป ยิ้มให้ขณะที่นั่งยองๆ ข้างกายนาง “ถ้าข้าแนะนำเจ้าไป ก็จะช่วยให้ง่ายขึ้นเล็กน้อย” สายลมหนาวพัดผ่านใบหน้าเขา ทำให้เส้นผมพริ้วไปมา เผยให้เห็นรายละเอียดที่แตกต่างกันของเขาออกมา ภายใต้แสงจันทร์เช่นนี้ ทำให้มองไม่เห็นผิวที่ค่อนข้างคล้ำของเขา ทำให้ดูหล่อเหลาอย่างเห็นได้ชัดเจน และเป็นบางสิ่งที่ค่อนข้างแปลกอยู่เล็กน้อยด้วยเช่นกัน
หานเสวี่ยชานไม่อาจจะทำสีหน้าเรียบนิ่งได้อีก นางหัวเราะ แอบมองเมิ่งฮ่าวจากด้านข้าง ดวงตาสาดประกายจนดูเหมือนว่าอารมณ์ของนางกำลังดีขึ้น และความโศกเศร้าเสียใจเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมาของนางกำลังจางหายไป
“ไม่ใช่ว่าท่านก็คือตานติ่งต้าซือหรอกนะ!” นางกล่าวพร้อมกับหัวเราะ จากนั้น นางก็จงใจทำสีหน้าสงบนิ่งอีกครั้ง ราวกับว่านางกำลังเสียใจเป็นอย่างมากต่อไป นางกล่าวต่อไปด้วยน้ำเสียงที่ไม่ค่อยสุภาพนัก “ท่านไม่เคยไปยังดินแดนด้านใต้ แล้วท่านจะไปสนิทสนมคุ้นเคยกับมันได้อย่างไร?”
เมิ่งฮ่าวเกาศีรษะ จากนั้นก็หัวเราะขณะที่เขาไปนั่งลงที่ข้างกายนางบนก้อนหินของซากปรักหักพัง เศษซากปรักหักพังอยู่รอบๆ คนทั้งสอง และหิมะก็โปรยปรายตกลงมาจากเบื้องบน สายลมหนาวส่งเสียงหวีดหวิวขณะที่พัดผ่านไป
เมิ่งฮ่าวกระแอมไอ และทำเป็นมีสีหน้าลึกลับ ซึ่งเป็นสิ่งที่เขาได้เรียนรู้มาจากโจวเต๋อคุน “เจ้าไม่เข้าใจหรอก ถึงแม้ข้าจะไม่เคยพบกับตานติ่งต้าซือมาก่อน แต่เราทั้งสองก็เป็นเจ้าโอสถของเต๋าแห่งการปรุงยา และได้เป็นสหายทางจิตวิญญาณกันมานานแล้ว หลังจากที่เจ้าไปถึงสำนักจื่อยิ่น เมื่อเจ้าไปพบตานติ่งต้าซือ ให้ถามมันว่า มันยังจำบุคคลที่ได้พบเห็นในพายุหิมะของปีนั้นได้หรือไม่” เขามองขึ้นไปในท้องฟ้าด้วยสีหน้ารำลึกถึงความหลัง ด้วยท่าทางที่ขึงขังเป็นอย่างยิ่ง ถ้าไม่ใช่ว่าเขากำลังมองไปยังหานเสวี่ยชานด้วยหางตา
หานเสวี่ยชานใช้มือปิดรอยยิ้มของนางไว้ มองมายังเมิ่งฮ่าวด้วยดวงตาที่งดงามของนาง เมื่อได้เห็นสีหน้าของเขา นางก็ไม่อาจจะทนได้อีกต่อไป ส่งเสียงหัวเราะออกมาอย่างยาวนาน เมื่อนางหัวเราะ ก็มีเสียงดังเหมือนกับเสียงระฆัง ความโศกเศร้าในจิตใจนางดูเหมือนกำลังจะหายไป
“ก็ได้, ก็ได้” นางกล่าวพร้อมกับหัวเราะ “หลังจากที่ข้าไปถึงสำนักจื่อยิ่น เมื่อเข้าพบกับตานติ่งต้าซือ ข้าจะถามมันเช่นนั้น” จากนั้นก็ขยิบตา และกล่าวต่อไปด้วยน้ำเสียงเจ้าเล่ห์ “ข้าคิดว่า ข้าควรจะเพิ่มเติมข้อความบางอย่างเข้าไปด้วย ข้าจะเตือนมันถึงเรื่องบางอย่างที่มันได้กล่าวในพายุหิมะของปีนั้น มันบอกว่า ‘ทุกครั้งที่หิมะตก, ให้คิดถึงข้า’”
“นั่นฟังดูก็มีสีสันบ้างเล็กน้อย…” เมิ่งฮ่าวกล่าว กระแอมไอออกมาเล็กน้อย หัวเราะ “นั่นก็ดี คนธรรมดาไม่มีทางเข้าใจถึงความสัมพันธ์ระหว่างข้าและตานติ่งต้าซือ”
หานเสวี่ยชานหัวเราะขึ้นอีกครั้ง “ในเมืองเซิ่งเสวี่ย นั่นเป็นสิ่งสำหรับคนสองคนที่ใส่ใจซึงกันและกันกล่าว เมื่อพวกมันต้องจากกันไป” นางหัวเราะขึ้นอีกครั้ง จากนั้นก็ลูบหน้าอกของนางและยืดตัวตรง
“ตกลง ข้าจะให้อภัยเจ้า” เมิ่งฮ่าวหัวเราะ เขารวมรวมหิมะจากบนพื้นขึ้นมาจำนวนหนึ่ง และถือไว้ในมือ มองดูขณะที่มันกำลังละลาย ดูเหมือนการละลายของหิมะทำให้ความทรงจำพุ่งขึ้นมาในจิตใจ ทันใดนั้น เขาก็คิดย้อนกลับไปยังสำนักจื่อยิ่น ภาพของคนทั้งหมดที่เขารู้จักเริ่มลอยไปมาในจิตใจ
“ข้าอยากรู้นักว่าพวกมันทั้งหมดยังอยู่ดีกันหรือไม่…” เขาคิด มองออกไปยังทิศทางของดินแดนด้านใต้
เมื่อได้เห็นท่าทางที่เขาเก็บหิมะขึ้นมา หานเสวี่ยชานก็กล่าวต่อไปด้วยเสียงแผ่วเบา “จริงๆ แล้ว ข้าก็เพียงแค่ชื่นชมตานติ่งต้าซือ ก็แค่นั้น สิ่งที่ข้าบอกท่านก่อนหน้านี้ไม่ใช่ความจริง ที่ข้าต้องการจริงๆ ก็คือเม็ดยาที่มันปรุงขึ้นมาเท่านั้น” เมื่อเห็นเมิ่งฮ่าวยิ้ม ดวงตานางก็เปลี่ยนเป็นแข็งกระด้างขึ้นมา และนางก็กล่าวเพิ่มเติมอย่างจริงจัง “แค่ยาหนึ่งเม็ดก็ทำให้ข้ายินดีมากแล้ว”
เมิ่งฮ่าวส่ายหน้าพร้อมรอยยิ้ม เขามองไปยังนาง ที่ดูท่าทางบอบบางและบริสุทธิ์ไร้เดียงสา จากนั้นก็พึมพำบางอย่างกับตัวเอง ในที่สุด เขาก็หยิบเม็ดยาออกมาจากถุงสมบัติ มันเป็นเม็ดยาจู้จีเทียน (สร้างพื้นฐานสวรรค์) ซี่งเขาได้ปรุงไว้เมื่อนานมาแล้ว คุณภาพของยาเม็ดนี้ไม่เลวเลยทีเดียว มันประกอบด้วยความเข้มข้นของตัวยามากกว่าแปดในสิบส่วน
“ข้าอยากจะให้เม็ดยาเป็นของกำนัลแก่เจ้า” เขากล่าว หลังจากครุ่นคิดชั่วครู่ เขาก็ใช้เล็บนิ้วแกะสลักเป็นตัวอักษร ‘หิมะ (雪 – เสวี่ย)‘ บนพื้นผิวของเม็ดยา จากนั้นก็ยื่นส่งให้กับนาง “ยาเม็ดนี้มีค่ามากกว่ายาที่ถูกปรุงโดยตานติ่งต้าซือ เหตุผลไม่ใช่เป็นเพราะตัวยาเม็ดนี้ แต่เป็นเพราะมันได้ถูกข้าปรุงขึ้นมาเอง” เขายิ้ม
หานเสวี่ยชานครุ่นคิดสักพัก จากนั้นก็หยิบเม็ดยาไป นางถืออยู่ในมือและมองลงไป กำลังจะกล่าวบางอย่างออกมา แต่จู่ๆ เมิ่งฮ่าวก็ลุกขึ้นยืน
“ถ้าเจ้ามีปัญหาอยู่ในสำนักจื่อยิ่น” เขากล่าว “เจ้าสามารถใช้ยาเม็ดนี้ไปขอพบตานกุ่ยต้าซือ หลังจากที่ท่านเห็นมัน ท่านก็จะช่วยเจ้าแก้ปัญหาทั้งหมดไป” เมิ่งฮ่าวยิ้มขณะที่พูด แต่น้ำเสียงเต็มไปด้วยความโศกเศร้า ขณะที่หานเสวี่ยชาน ดวงตานางเบิกกว้าง คำพูดของเขาทำให้นางรู้สึกได้ในทันทีว่าเขากำลังตั้งใจทำตัวลึกลับ
“ถ้าตานกุ่ยต้าซือถามเกี่ยวกับตัวข้า…” ก่อนที่เขาจะพูดจบ หานเสวี่ยชานทันใดนั้นก็พูดแทรกขึ้นมา
“ข้าก็จะบอกท่านว่า เมื่อไหร่ที่หิมะตก, ท่านก็จะคิดถึงตานกุ่ย”
เมิ่งฮ่าวผงะไปชั่วครู่ เขาได้แต่คิดไปถึงสีหน้าที่จะปรากฎขึ้นบนใบหน้าของท่านอาจารย์ เมื่อท่านได้ยินคำพูดเช่นนั้น เขาได้แต่หัวเราะเสียงดังออกมาอย่างช่วยไม่ได้ เป็นเสียงหัวเราะที่เต็มไปด้วยความสุข มีบางอย่างที่ดูสวยงามเกี่ยวกับมัน ถึงแม้ว่าจะไม่มีใครเข้าใจถึงความหมายของมัน ยกเว้นตัวเขาเอง
เมิ่งฮ่าวหัวเราะอย่างต่อเนื่อง ลงมาจากกองซากปรักหักพัง และเริ่มเดินจากไป
แต่ก่อนที่เขาจะเดินไปเป็นก้าวที่สาม ทันใดนั้นสีหน้าก็เปลี่ยนไป พุ่งไปด้านหลังในทันที คว้าจับหานเสวี่ยชานไว้ จากนั้นก็ใช้วิชาระเบิดโลหิตชั่วพริบตาออกไปจากที่แห่งนั้น
ทันทีที่เขาหายตัวไป ลำแสงไร้เสียงที่ลึกลับ ก็พุ่งผ่านยามราตรีกระแทกลงมายังตำแหน่งที่พวกเขาเพิ่งจะยืนอยู่กันเมื่อครู่นี้ ระเบิดกระจายเป็นระลอกคลื่นในอากาศ ทำให้พื้นดินสั่นสะเทือน กองซากปรักหักพังที่เมิ่งฮ่าวและหานเสวี่ยชานเพิ่งจะยืนอยู่ กลายเป็นเถ้าธุลีลอยกระจายออกไปในสายลม
ที่ห่างไกลออกไป ดวงตาเมิ่งฮ่าวสาดประกายแสงเย็นเยียบ ขณะที่เขามองไปยังลำแสงแล้วลำแสงเล่าใกล้เข้ามาจากที่ห่างไกล โดยไม่ลังเล เขาโอบหานเสวี่ยชานไว้ในอ้อมแขน และล่าถอยไปทางด้านหลัง
กลุ่มคนตระกูลหานเสวี่ยที่เหลืออยู่ ตื่นขึ้นมาในทันที สี่ผู้อาวุโสสูงสุด, หานเสวี่ยเป้า และผู้ฝึกตนอีกสองร้อยกว่าคน ต่างก็พุ่งทะยานขึ้นมาจากที่นอน
“เจ้าต้องการจะกวาดล้างตระกูลหานเสวี่ยจนถึงคนสุดท้าย!” หานเสวี่ยเป้าพูดอย่างเกรี้ยวกราด พื้นฐานฝึกตนของมันตกต่ำลง ไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญอันทรงพลังขั้นตัดวิญญาณอีกต่อไป ตอนนี้มันได้แต่ใช้พลังของขั้นสุดท้ายวิญญาณแรกก่อตั้งออกมา ขณะที่มันพูด ก็กระทืบเท้าลงไปบนพื้น
พื้นดินสั่นสะเทือน รอยร้าวกระจายออกไปทั่วทุกทิศทาง ก้อนหินดินทรายสาดกระจายขึ้นไป ขณะที่เกราะป้องกันป้อมปราการหนามโผล่ออกมา ต้นหนามอันน่าตกใจกระจายออกไปทั่วทุกทิศทาง และส่งเสียงกระหึ่มกึกก้องเต็มอยู่ในอากาศ
ขณะที่ป้อมปราการหนามปรากฎขึ้น ผู้ฝึกตนนับพันก็โผล่ให้เห็นอยู่ที่ด้านนอกในพายุหิมะ ท่ามกลางกลุ่มคนนับพันนี้ มีอยู่แปดคนที่ดูเหมือนจะน่ากลัวกว่าคนอื่นๆ ไม่มีหิมะเกาะอยู่บนร่างของพวกมัน แม้ในขณะที่หิมะตกลงมาใกล้พวกมัน ก็จะละลายหายไป
ผู้ฝึกตนขั้นวิญญาณแรกก่อตั้งทั้งแปดนี้ หกคนมาจากทะเลทรายตะวันตก ที่เหลืออีกสองคนมาจากโม่ถู่กง ดูเหมือนการโจมตีเมืองเซิ่งเสวี่ยในครั้งนี้ ทะเลทรายตะวันตกเป็นผู้นำ
พลังทำลายล้างของผู้ฝึกตนขั้นตัดวิญญาณ ยังไม่ได้จางหายไปจากจิตใจของทุกคน หลังจากผ่านไปไม่กี่วัน เห็นได้ชัดว่าพวกมันกล้าจะมาโจมตีเมืองเซิ่งเสวี่ย เพราะว่าพวกมันรู้ดีถึงสถานการณ์อย่างแท้จริง
เสียงระเบิดดังเต็มอยู่ในอากาศ ผู้ฝึกตนนับพันพร้อมกับแปดผู้ฝึกตนวิญญาณแรกก่อตั้ง ใช้อาวุธเวทและความสามารถศักดิ์สิทธิ์ โจมตีไปยังป้อมปราการหนามในทันที
พื้นดินสั่นสะเทือน และสีหน้าผู้ฝึกตนตระกูลหานเสวี่ยเปลี่ยนไป ขณะที่พวกมันยืนอยู่ที่นั่นอย่างเงียบๆ
“ไม่ต้องสงสัยเลยว่าทำไมพวกมันถึงได้มาอย่างเงียบเชียบเช่นนี้” หานเสวี่ยเป้ากล่าว สายตาอันเย็นชาของมันไปหยุดอยู่ตรงที่ห่างไกลออกไป เป็นที่ซึ่งไม่มีใครสามารถมองเห็น “พวกมันใช้วิชาการพยากรณ์จากชนเผ่าดาวนักษัตร (ซิงซิ่ว) ของทะเลทรายตะวันตก!”
เมิ่งฮ่าวเข้าไปใกล้ คุ้มกันหานเสวี่ยชานไปด้วย ขณะที่ทำเช่นนั้น เขาก็ได้ยินคำพูดของหานเสวี่ยเป้า เขาก็มองทะลุต้นหนามออกไปยังพายุหิมะที่ด้านนอก ผ่านไปไม่นาน เขาก็กระพริบดวงตาข้างขวาเจ็ดครั้ง ทันใดนั้นภาพที่เห็นก็เปลี่ยนไป ทุกสิ่งทุกอย่างกลายเป็นสีดำและขาว ในเวลาเดียวกันนั้น ด้านนอกในพายุหิมะ เมิ่งฮ่าวก็มองเห็นเงาร่างที่เขามองไม่เห็นมาก่อนหน้านี้
เป็นบุรุษที่สวมใส่ชุดสีขาว พร้อมกับมีหมวกปิดบังใบหน้าไว้ ระลอกคลื่นกระจายออกมาจากมือของมัน และลอยอยู่ที่เบื้องหน้ามันเป็นชามสีดำ ภายในชามนั้นมีน้ำสีขุ่นๆ สั่นกระเพื่อมอยู่ไปมา ดูเหมือนจะเป็นวิชาเวทบางอย่าง
ทันทีที่เมิ่งฮ่าวมองไป ก็ดูเหมือนว่าบุรุษชุดขาวรู้สึกได้ มันมองตรงมายังเมิ่งฮ่าว จิตใจเมิ่งฮ่าวสั่นสะท้าน สิ่งที่เขาเห็นเป็นดวงตาทีมีสองม่านตา
เขารู้สึกเหมือนมีบางอย่างมาตะปบที่จิตใจ ครั้นแล้วเขาก็หยุดการใช้วิชานั้นในทันที ภาพที่เขาเห็นก็กลับมาเป็นปกติเหมือนเดิม
“เจ้าเห็นมันด้วยเช่นกัน?” หานเสวี่ยเป้าถาม มองมายังเมิ่งฮ่าว
เมิ่งฮ่าวพยักหน้าอย่างเคร่งเครียด
“ชนเผ่าซิงซิ่ว เป็นหนึ่งในสามชนเผ่าที่ยิ่งใหญ่ของทะเลทรายตะวันตก พวกมันเก่งในเรื่องการพยากรณ์ และเชื่อว่าดวงดาวทั้งหมดในท้องฟ้ายามราตรีก็คืออสูรร้าย”
ทันทีที่มันพูดจบ เสียงกระหึ่มกึกก้องก็ได้ยินออกมา ด้านนอกป้อมปราการหนาม ยักษ์ขนาดใหญ่สามตนปรากฎขึ้นในพายุหิมะ แต่ละตนสูงเกินกว่าห้าสิบจ้าง ทำให้พื้นดินสั่นสะเทือนขณะที่พวกมันขยับตัวเคลื่อนที่ พวกมันถือไม้กระบองขนาดใหญ่อยู่ในมือขณะที่พุ่งตรงเข้ามา
ด้านบนท้องฟ้า เสียงแผดร้องแหลมเล็กได้ยินมา ขณะที่มังกรวารีจำนวนมากมายปรากฎขึ้น
ที่ห่างไกลออกไป รถศึกที่เรืองแสงกำลังพุ่งตรงมา เวทอาคมหมุนวนไปมารอบๆ แปดผู้ฝึกตนวิญญาณแรกก่อตั้ง ตามมาด้วยอาวุธเวท
“ไม่ต้องสนใจที่ด้านนอก! เพ่งสมาธิไปที่การกระตุ้นเวทประตูเคลื่อนย้ายทางไกล!” ขณะที่เสียงอันทรงพลังของหานเสวี่ยเป้าดังก้องออกไป สี่ผู้อาวุโสสูงสุดตระกูลหานเสวี่ย รวมถึงสมาชิกของตระกูลคนอื่นๆ ก็ก้มหน้าลงมองไปยังเวทอาคมที่ด้านล่างพวกมัน
ป้อมปราการหนามสั่นสะท้านและเริ่มพังทลายลง ดูเหมือนมันจะต้านทานการโจมตีที่รวมตัวกันเช่นนี้ได้อีกเพียงไม่นาน
เสียงถอนหายใจดังออกมาจากปากหานเสวี่ยเป้า มันโบกสะบัดมือขวา เร่งปฏิกิริยาเมล็ดป้อมปราการหนามอื่นอีก ทำให้มันเติบโตขึ้นไปช่วยเสริมสร้างการป้องกันเพิ่มขึ้นอีก
“แย่นักที่ชนเผ่าซิงซิ่วอยู่ที่นี่ด้วย มันกำลังสะกดข่มพลังของต้นป้อมปราการหนามอยู่” ความวิตกกังวลไหลซึมออกมาจากใบหน้าหานเสวี่ยเป้า แต่ในตอนนี้เองที่แสงเจิดจ้าทันใดนั้นก็กระจายออกมาจากด้านล่าง
“มันทำงานแล้ว! ท่านปรมาจารย์, เวทอาคมกำลังใช้งานได้แล้ว!!” เสียงแห่งความดีใจตะโกนออกมาจากสมาชิกตระกูลหานเสวี่ย
เมิ่งฮ่าวมองไปที่ด้านหลัง และเห็นแสงของเวทอาคมบนพื้นกำลังส่องประกายเข้มข้นขึ้น และกระจายแสงเจิดจ้าออกมา จากที่เห็นมันคงจะใช้งานได้อย่างสมบูรณ์ในช่วงเวลาอีกไม่นาน
สมาชิกตระกูลหานเสวี่ยเริ่มตื่นเต้นขึ้นมา แต่ตอนนี้เองที่ทันใดนั้น เสียงระเบิดขนาดใหญ่ก็ดังเต็มอยู่ในอากาศ ทุกคนมุ่งความสนใจไปยังที่ห่างไกล วิชาเวทและอาวุธเวททั้งหมดของฝ่ายศัตรูกำลังรวมตัวเข้าด้วยกัน เพื่อก่อตัวเป็นแสงเจิดจ้าที่คล้ายกับดวงดาวแห่งการทำลายล้าง ด้วยความเร็วอย่างน่าเหลือเชื่อที่มันพุ่งตรงมา กระแทกเข้าไปยังป้อมปราการหนาม ทำให้ต้นหนามแตกกระจายกลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย
หานเสวี่ยเป้าส่งเสียงแผดร้องออกมา ยกมือขวาขึ้นไปในอากาศ ทำให้ป้อมปราการหนามก่อตัวขึ้นมาอีกครั้ง มันพุ่งตรงไป ขยับมือร่ายเวทอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็โบกสะบัดแขน ความวุ่นวายพุ่งออกไป ส่งเสียงกระหึ่มตรงไปยังดวงดาวแห่งการทำลายล้าง กระแทกเข้าไปและทำลายดวงดาวนั้นไป โลหิตพุ่งออกมาจากปากหานเสวี่ยเป้า และมันก็โซเซถอยไปด้านหลัง ใบหน้าซีดขาวไร้สีเลือด
“ท่านปรมาจารย์!!” ความโศกเศร้าและไม่พอใจปรากฎขึ้นบนใบหน้ากลุ่มคนตระกูลหานเสวี่ย หานเสวี่ยชานขบกัดริมฝีปาก ใบหน้าซีดขาว หลังจากที่นางพบเจอเหตุการณ์ทั้งหมดมา นางก็ไม่ได้หวาดกลัวอีกต่อไป เพียงแค่กังวลใจ
เมิ่งฮ่าวไม่พูดอะไรออกมา มองลงไปยังแสงที่กำลังกระจายออกไป และมองไปยังกลุ่มผู้ฝึกตนทะเลทรายตะวันตก แสงแปลกๆ สาดประกายอยู่ในดวงตา ขณะที่เขามองไปยังที่ห่างไกล
“ถ้าข้าคำนวนไม่ผิดพลาด ในตอนนี้…” จิตใจเขาเริ่มเต้นรัว ขณะที่มองเห็นกลุ่มหมอกปรากฎขึ้นในที่ห่างไกลออกไป
“เชื่อมันในอู่เหยีย, มีชีวิตนิรันดร์…สามวงกลมไปทางซ้าย, อีกสามไปทางขวา ส่ายก้นไปด้วย!” เมื่อเสียงอันเลือนลางนั้นลอยมาตามสายลม รอยยิ้มแปลกๆ ก็ผุดขึ้นมาจากใบหน้าเมิ่งฮ่าว มันเริ่มกว้างมากขึ้นไปเรื่อยๆ จนกระทั่งเขาเริ่มหัวเราะ