เมิ่งฮ่าวจ้องมองไปด้วยความตกตะลึง โดยไม่รู้ตัวสายตาเขาจ้องมองไปยังร่างของนาง ไม่มั่นใจว่าทำไม แต่ด้วยเหตุผลบางอย่าง จู่ๆ เขาก็พบว่าตัวเองกำลังคิดถึงฉู่อวี้เยียน
“เมิ่งต้าซือ ข้ายินดีจะทำทุกอย่างเพื่อน้องชายของข้า” ร่างของนางสั่นสะท้าน แต่กระนั้นนางก็ยังเชิดศีรษะขึ้น แสงจันทร์ขับเน้นความงดงามของนางออกมา ทำให้ดูยั่วยวนใจมากยิ่งขึ้น
เมิ่งฮ่าวไม่กล่าวอันใด จุดประสงค์ของอูหลิงชัดแจ้งยิ่ง นางต้องการช่วยน้องชายให้ได้ตำแหน่งและมีฐานะที่เหมาะสมอยู่ภายในเผ่าอูต๋า การที่จะบรรลุเรื่องเช่นนั้นไม่ได้เป็นสิ่งที่ยากลำบากสำหรับเมิ่งฮ่าว จากในแง่ของพื้นฐานฝึกตน หรือตัวตนในฐานะซือหลงของเขา ถ้าเขาให้การสนับสนุนใครบางคนจากหนึ่งในสามสายโลหิต ก็คงจะเพียงพอ
หลังจากที่เวลาผ่านไปนานสักพัก เมิ่งฮ่าวก็มองกลับมาและกล่าวว่า “ข้าไม่ค่อยสนใจร่างกายของเจ้านัก” โดยการบรรลุถึงระดับพื้นฐานฝึกตนเช่นในตอนนี้ ทำให้เขาไม่สนใจถึงวันเวลาที่ผ่านไป เนื่องด้วยเช่นนั้น เขาจึงไม่ค่อยสนใจต่อเรื่องราวใดๆ มากนัก เขาไม่เคยมีประสบการณ์เรื่องความรักใคร่ระหว่างบุรุษและสตรี และด้วยเช่นนั้นจึงสามารถดูถูกการล่อลวงทางกามารมณ์เช่นนี้ได้
ด้วยการพยักหน้าอย่างง่ายๆ หญิงสาวจำนวนมากมายที่มีพื้นฐานฝึกตนระดับล่าง ก็จะโถมมาที่เขาเพื่อขอความคุ้มครองจากผู้แข็งแกร่งขั้นวงจรอันยิ่งใหญ่ของแกนสีทอง บุคคลที่สามารถต่อสู้ได้กับขั้นต้นวิญญาณแรกก่อตั้ง
แต่จิตใจเมิ่งฮ่าวก็ไม่ได้หมกมุ่นอยู่กับกามราคะ ความปรารถนาของเขาอยู่ที่ดินแดนตะวันออก และต้าถัง, การขึ้นสวรรค์กลายเป็นเซียน, การแทนที่ตระกูลจี้ เพื่อให้มั่นใจว่าไม่มีใครภายใต้สวรรค์แห่งนี้ จะมาแทรกแซงแผนการของเขา เพื่อป้องกันไม่ให้สวรรค์มาสะกดข่มเขาไว้
เหล่านี้ก็คือความฝันของเขา ตั้งแต่ตอนที่เข้ามาในโลกแห่งการฝึกตนนี้ เขาได้ไล่ตามไปบนวิถีทางแห่งความฝันของเขาอย่างไม่ลดละ
ในชีวิตนี้ เขาจะไม่กลายเป็นมดแมลงให้กับคนอื่นๆ!
เพื่อแสวงหาความฝันนี้ เขาต้องเข้าไปในดินแดนด้านใต้ เพื่อแสวงหาความฝันนี้ เขาได้ไปยังดินแดนสีดำ เพื่อแสวงหาความฝันนี้ เขาได้ท่องเทียวไปยังทะเลทรายตะวันตก เพื่อค้นหาเส้นทางแห่งวิญญาณแรกก่อตั้งห้าสี
ด้วยเวลาที่ผ่านไป สิ่งเหล่านี้ได้ตราตรึงประทับลึกอยู่ในจิตใจ นี่เป็นวิถีทางของเขา
ใบหน้าอูหลิงขาวซีด กัดริมฝีปาก นางมองเห็นความเยือกเย็นของเมิ่งฮ่าว และมองเห็นได้ว่า ร่างกายของนางไม่มีผลใดๆ ต่อสายตาของเขา นางรู้ว่าสิ่งที่เขาพูดเป็นความจริง เขาไม่ได้สนใจเกี่ยวกับร่างกายของนาง
แสงจันทร์ตกกระทบลงมาบนตัวนาง และนางก็ขบฟันแน่น ขณะที่มองไปยังเขาอย่างขมขื่น ในตอนนี้เองที่ดวงตาเมิ่งฮ่าวหดเล็กลง และจู่ๆ เขาก็มองมาที่หน้าอกของนางตรงๆ
เมื่อครู่นี้ แสงจันทร์ได้ตกกระทบมาบนลำคอของนาง และมีจี้ห้อยอยู่ที่นั่น ซึ่งเป็นสิ่งที่เขาไม่ได้สังเกตเห็นมาก่อน
มันเป็นจี้เงิน ซึ่งส่งประกายอย่างนุ่มนวลออกมาภายใต้แสงจันทร์ เป็นจี้รูปดอกไม้ที่มีกลีบดอกเล็กๆ สีเงินสิบกลีบ
เกือบจะในทันทีที่เมิ่งฮ่าวมองเห็นจี้นั้น จู่ๆ เขาก็รู้สึกว่าดอกปี่อ้านใกล้จะตื่นขึ้นมาแล้ว ซึ่งสุ่ยตงหลิวได้ผนึกมันไว้เมื่อนานมาแล้ว
สัญญาณที่กำลังจะตื่นขึ้นมานี้เกิดขึ้นอย่างฉับพลัน เพียงชั่วพริบตา ความเจ็บปวดอย่างรุนแรงก็เต็มอยู่ในร่างเขาทันที ทำให้สีหน้าเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว
พื้นฐานฝึกตนของเมิ่งฮ่าวก่อนหน้านี้ ไม่อาจแม้แต่จะเปรียบเทียบได้กับในตอนนี้ ถึงแม้ว่าความเจ็บปวดจะกระจายไปทั่วร่างราวกับน้ำป่าที่ไหลหลาก สิ่งเดียวที่อูหลิงมองเห็นก็คือสีหน้าที่เปลี่ยนไปเล็กน้อย ก่อนที่จะกลับคืนเป็นปกติเหมือนเดิม
มือเมิ่งฮ่าว ทันใดนั้นก็ยกขึ้นมาและทำท่าคว้าจับ สร้อยคอที่มีจี้แขวนอยู่ก็กลายเป็นลำแสงสีเงิน ขณะที่มันพุ่งตรงมายังเมิ่งฮ่าว เขาคว้ามันไว้กลางอากาศ
“เจ้าได้ของสิ่งนี้มาจากไหน?” แม้ในขณะที่เขาตั้งคำถาม ร่างกายก็เต็มไปด้วยความเจ็บปวด และพื้นฐานฝึกตนก็สั่นสะท้าน ขณะที่มันต่อสู้ไปมากับดอกปี่อ้าน หนึ่งพยายามที่จะหลุดออกมาจากผนึก อีกหนึ่งพยายามที่จะผลักดันให้กลับเข้าไปอย่างสุดกำลัง แต่สิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดนี้ ไม่อาจจะมองเห็นร่องรอยใดๆ บนใบหน้าเมิ่งฮ่าว
อูหลิงจ้องมองมาด้วยความตกตะลึง และยกมือขึ้นมายังลำคอโดยไม่รู้ตัว
“มารดาให้ข้ามา…”
“ตอนนี้เจ้าไปได้แล้ว” เมิ่งฮ่าวกล่าว “สำหรับเรื่องของอูเฉิน ข้าจะพิจารณาให้” ด้วยเช่นนั้น เขาหลับตาลง ไม่ยอมส่งจี้คืนให้กับนาง
อูหลิงลังเลอยู่ชั่วขณะ จากนั้นก็ก้มหน้าลง สวมใส่เสื้อผ้ากลับคืนไป โค้งศีรษะให้กับเมิ่งฮ่าวเล็กน้อย หันหลังและจากไป รู้สึกผิดหวังและเศร้าเสียใจ
ในเวลาเดียวกับที่อูหลิงออกไปจากลานบ้าน ในที่สุดเมิ่งฮ่าวก็ไม่อาจจะควบคุมตัวเองได้อีกต่อไป สีหน้าเขาซีดขาวลงในทันที และหยาดเหงื่อขนาดเท่าเม็ดถั่วก็เริ่มไหลรินลงมา เพียงครู่เดียวเขาก็ชุ่มโชกไปทั้งตัว โบกสะบัดมือซ้าย ทำให้ภาพศักดิ์สิทธิ์ต้นชิงมู่ ปรากฎขึ้นบนหน้าผากอย่างน่ามหัศจรรย์ มองเห็นดักแด้ไรตาอยู่บนมือขวา และฝูงสัตว์ปีศาจที่อยู่รอบๆ ทันใดนั้นก็ดูท่าทางระมัดระวังตัวเป็นอย่างมาก เกราะป้องกันที่เรืองแสงอย่างอ่อนโยนปรากฎขึ้น โดยมีเมิ่งฮ่าวอยู่ตรงจุดศูนย์กลาง ล้อมรอบไปทั่วทั้งลานบ้านโดยสิ้นเชิง ขณะที่เมิ่งฮ่าวสั่นสะท้าน จากนั้นก็กระอักโลหิตออกมา
โลหิตนี้ไม่ได้เป็นสีแดง แต่ถูกสร้างขึ้นมาจากสี่สี กลายเป็นกลุ่มหมอกลอยอยู่กลางอากาศเบื้องหน้าเขา ก่อตัวเป็นดอกปี่อ้าน เผชิญหน้ากับเมิ่งฮ่าว และส่งเสียงกรีดร้องโดยไร้เสียงออกมา ซึ่งเต็มไปด้วยความดุร้ายและความดื้อรั้น
ดวงตาเมิ่งฮ่าวสาดประกายเจิดจ้า เขาเริ่มโคจรพื้นฐานฝึกตนอย่างเต็มกำลัง จากนั้นก็หลับตาลง เขาทำทุกอย่างเท่าที่จะทำได้เพื่อสะกดข่มดอกปี่อ้าน ในที่สุด เมื่อเวลาธูปไหม้หมดหนึ่งดอกผ่านไป ครั้นแล้วแรงสั่นสะเทือนก็วิ่งผ่านไปทั่วร่างของเขา
“เจ้าต้องการจะออกมา? ดี!” เมิ่งฮ่าวแค่นเสียงเย็นชา จากนั้นก็ตบไปที่ถุงสมบัติ ม้วนภาพวาดปรากฎขึ้น มันลอยอยู่เบื้องหน้าเขา และค่อยๆ คลี่กางออกมาช้าๆ ดูเหมือนจะตกอยู่ใต้พลังที่มองไม่เห็น ซึ่งต้องการจะเปิดภาพวาดดอกปี่อ้านออกมา
ดวงตาเมิ่งฮ่าวเบิกกว้าง ขณะที่เขาจ้องมองไปยังภาพวาดด้วยความเย็นชา มันสั่นสะท้านขณะที่เสียงแผดร้องดังออกมาจากภายในภาพวาด ซึ่งมีเพียงเมิ่งฮ่าวเท่านั้นที่ได้ยิน พวกเขาจ้องมองซึ่งกันและกันเกือบครึ่งชั่วยาม หนึ่งมนุษย์ หนึ่งภาพวาด ภายในขอบเขตของเกราะป้องกัน
ในที่สุด เสียงแผดร้องอย่างไม่ยินยอมก็เริ่มจางหายไปอย่างช้าๆ สุดท้ายภาพวาดก็ตกลงไปบนพื้นพร้อมเสียงดังผลุบ เมิ่งฮ่าวถอนหายใจยาวออกมา และหลับตาลง หลังจากผ่านไปนานสักพัก เขาก็ลืมตาขึ้นอีกครั้ง และมีท่าทางฟื้นคืนกลับมาเป็นปกติ ความเคร่งขรึมปรากฎขึ้นในดวงตา
“จริงๆ แล้ว มันก็ตื่นขึ้นมาชั่วคราว!” แววโทสะแวบผ่านดวงตา พลังที่แสดงออกมาโดยดอกปี่อ้านในช่วงการดิ้นรนของมันเมื่อครู่นี้ รุนแรงเป็นอย่างยิ่ง และเห็นได้ชัดว่าไม่ใช่พลังที่เพิ่งจะตื่นขึ้นมา กลับกันดูเหมือนว่ามันจะรอจนกระทั่งแข็งแรง เพื่อจะทำลายผนึกให้ได้ในครั้งเดียว
“ข้าคิดว่ามันจะถูกผนึกและหลับไปตลอดเวลา แต่จริงๆ แล้วมันก็ตื่นขึ้นมาด้วยเหตุผลบางอย่าง และจากนั้นก็กลับไปสงบนิ่งไม่ขยับตัวอีกครั้ง รอจนถึงจุดที่วิกฤตอย่างสมบูรณ์ เมื่อข้ามีการเตรียมพร้อมน้อยที่สุด เพื่อต่อสู้กับอำนาจทั้งหมดของมัน…” เมิ่งฮ่าวสูดลมหายใจเข้าไปลึกๆ จากนั้นก็มองลงไปยังจี้ที่ถืออยู่ในมือ
“เป็นไปได้หรือไม่ว่าของสิ่งนี้จะไปกระตุ้นปฏิกิริยาบางอย่างของดอกปี่อ้านขึ้นมา? ตอนที่ข้าสังเกตได้ถึงสัญญาณการตื่นของมัน ก็ไม่อาจจะต่อต้านได้อีกต่อไป และทำให้มันระเบิดพลังออกมา!?” เมิ่งฮ่าวนั่งเข้าฌาณอย่างเงียบๆ เขาตระหนักดีว่าถ้าไม่ใช่ว่ามันเกิดขึ้นในวันนี้ ถ้าดอกปี่อ้านมีเวลาในการสร้างความแข็งแรงขึ้นมากกว่านี้ ก็คงจะมีความเป็นไปได้สูงที่จะเกิดช่วงวิกฤตขึ้น ตอนที่เขาไม่ระมัดระวังตัว จนทำให้ดอกปี่อ้านหลุดออกมาจากผนึกและยึดร่างเขาไป!
เมื่อคิดเช่นนี้ก็ทำให้ความหวาดกลัวค่อยๆ กระจายไปทั่วจิตใจเมิ่งฮ่าว แม้จะมีพื้นฐานฝึกตนถึงระดับนี้ และมีจิตใจที่แข็งแกร่งมากก็ตามที
“สิ่งนี้คืออะไร?” เขาคิด ขณะที่ศึกษาจี้เงิน “หลังจากที่หลบซ่อนอยู่ด้วยความระมัดระวัง ดอกปี่อ้านก็ทำลายการปกปิดของมันไว้โดยไม่รู้ตัวเนื่องจากของชิ้นนี้” ดวงตาเขาสาดประกาย และส่งจิตสัมผัสออกไป แต่ก็ไม่ได้อะไรกลับมา
หลังจากที่ครุ่นคิด เมิ่งฮ่าวก็ยกมือขึ้นและกดลงไปบนดวงตาข้างซ้าย เนื่องจากการคงอยู่ของเซียนชี้ทางที่มีอยู่ภายในร่าง เขาจึงสามารถโคจรเศษเสี้ยวของปราณเซียนที่อยู่ด้านในได้ มันรวมตัวกันในดวงตาของเขา ซึ่งจากนั้นเขาก็กระพริบตาติดต่อกันหลายครั้ง ทันใดนั้น ก็มีแสงเจิดจ้าขึ้นขณะที่เขาตรวจสอบจี้เงินนั้น
ฉับพลันนั้น จี้เงินก็ดูแตกต่างไปจากเดิมก่อนหน้านี้ อันที่จริง ก็เห็นได้ชัดว่ามันไม่ใช่เป็นเพียงแค่จี้เท่านั้น อย่างน่าตกใจ มันก็คือดอกปี่อ้าน
ตอนนี้มันมีอยู่เจ็ดกลีบ แต่ทั้งหมดมีสีเดียวกัน ยิ่งไปกว่านั้น มันกระจายกลิ่นอายแห่งความตายออกมา มีพลังชีวิตเหลืออยู่ภายในเพียงเบาบางเล็กน้อยเท่านั้น
ดูเหมือนว่ามันจะอยู่ในขั้นพิเศษบางอย่าง ราวกับว่าพลังชีวิตของมันกำลังพยายามดิ้นรนอยู่ และปรารถนาที่จะมีชีวิตจริงๆ ขึ้นมาอีกครั้ง
ทันใดนั้นเมิ่งฮ่าวก็เข้าใจ “นี่…อย่าบอกข้านะว่านี่…ก็คือเมล็ดดอกปี่อ้าน!?”
ดวงตาด้านซ้ายเขาแวบขึ้น จากนั้นก็กลับมาเป็นปกติเหมือนเดิม ใบหน้าซีดขาวขณะที่มือขวากำแน่นไปรอบๆ จี้
ตอนนี้เขากำลังหายใจอย่างหนักหน่วง และต้องใช้เวลานานก่อนที่เขาจะฟื้นสติกลับคืนมา
“จี้นี้คืออะไรกันแน่? มันไปกระตุ้นการเปลี่ยนแปลงตามสัญชาตญาณในดอกปี่อ้าน แม้ว่ามันจะอยู่ท่ามกลางความหวาดกลัวที่กำลังถูกตรวจพบโดยข้า” ความเย็นชาเติมเต็มอยู่ในดวงตา และเขากำลังจะบดขยี้เมล็ดนั้นด้วยมือ แต่ทันใดนั้น มีบางสิ่งแวบขึ้นมาในจิตใจ หลังจากที่ตรึกตรองใคร่ครวญอยู่ชั่วขณะ เขาก็ยกเมล็ดนั้นขึ้นมาอีกครั้ง และตรวจสอบมันอย่างละเอียด จากนั้นดวงตาก็เริ่มสาดประกายด้วยแสงแปลกๆ
“การทำลายมันอาจจะช่วยแก้ปัญหาหลักได้ แต่ก็น่าเสียดายอยู่เล็กน้อย เมล็ดนี้จะเป็นสิ่งที่ดีที่สุดเพื่อใช้อ้างอิงในการศึกษาดอกปี่อ้านและค้นพบจุดอ่อนของมัน” ดวงตาเขาสาดประกายขณะที่เก็บเมล็ดดอกปี่อ้านไว้
“ข้าเป็นหนี้อูเฉินและพี่สาวของมันอย่างมาก” เขาคิด ด้วยเช่นนั้น เขาก็โบกสะบัดมือ ทำให้เกราะป้องกันหายไป เป็นช่วงเวลายามเช้าตรู่พอดี
“ในแง่ของธาตุทั้งห้า ภาพศักดิ์สิทธิ์ของเผ่าอูต๋าเป็นธาตุไม้ เผ่าอื่นๆ ทั้งหมดก็มาจากรากเหง้าเดียวกัน ข้าได้ครอบครองภาพศักดิ์สิทธิ์ต้นชิงมู่ เดิมทีข้าไม่ได้วางแผนที่จะเข้าร่วมกับเรื่องต่างๆ ของเผ่า จริงๆ แล้ว ข้าไม่จำเป็นต้องเข้าไปในดินแดนสักการะของอีกาศักดิ์สิทธิ์เพื่อพบกับเหยียนซงและคนอื่นๆ อีก ข้ากำลังจะจากไป แต่ตอนนี้…ข้าคิดว่าน่าจะดีกว่าถ้าอยู่ที่นี่ให้นานขึ้นไปอีกเล็กน้อย ข้าจะได้ค้นคว้าเพื่อหาว่ามารดาของอูหลิงมีเมล็ดดอกปี่อ้านได้อย่างไร! รวมถึง ถ้าข้าโชคดี ข้าอาจจะได้รับภาพศักดิ์สิทธิ์ธาตุทองอีกด้วย”
เมื่อมาถึงเรื่องที่เกี่ยวข้องกับธาตุไม้และธาตุไฟ มากกว่าครึ่งปีที่เมิ่งฮ่าวได้สังเกตการณ์และได้รับความรู้แจ้ง เขาได้ร่องรอยสำคัญมากที่สุดจากอีกาสีทอง ซึ่งบินออกมาจากดินแดนสักการะของอีกาศักดิ์สิทธิ์เมื่อปีก่อน จากสิ่งที่เมิ่งฮ่าวสามารถบอกได้ มันไม่ได้กระจายเจตจำนงของไฟออกมา แต่เป็นเจตจำนงอย่างน่าตกใจของธาตุทองออกมา
หลังจากตัดสินใจได้แล้ว เมิ่งฮ่าวก็หลับตาลง และเริ่มเข้าฌาณ เขาโคจรหมุนเวียนพื้นฐานฝึกตน และเริ่มตรวจสอบภายในร่างกาย สุดท้าย เขาก็หยิบเอาภาพวาดออกมาศึกษาสักพัก ในที่สุด รอยยิ้มอันเย็นชาก็เผยอขึ้นมาที่มุมปาก และเขาก็เก็บภาพวาดไว้
เขาไม่มั่นใจว่าดอกปี่อ้านกำลังหลับอยู่จริงๆ ในตอนนี้ หรือเพียงแค่แสร้งทำ แต่ตอนนี้เขาก็เตรียมพร้อมไว้แล้ว ถึงแม้ดอกปี่อ้านจะมีปฏิกิริยาขึ้นมาในทันที เขาก็เชื่อมั่นว่าสามารถสะกดมันลงได้เป็นครั้งที่สอง
“อันที่จริง ข้าน่าจะสะกดมันไว้จนถึงจุดที่ มันไม่อาจจะดูดซับข้าได้ จากนั้นข้าจะบังคับให้มันโผล่ออกมา! เมื่อมันเกิดขึ้น ข้าจะเป็นดอกปี่อ้าน แต่ดอกปี่อ้านจะไม่ใช่ข้า!”
สีหน้าเมิ่งฮ่าวเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น ขณะที่เขาพึมพำกับตัวเอง
“วันที่ดอกปี่อ้านบานเจ็ดสี, ดอกไม้ร่วงหล่น, เซียนอมตะ, หนึ่งพันปี…ถ้าข้าสามารถเป็นนายของดอกปี่อ้านที่ลึกลับนี้อย่างเต็มตัว การเป็นเซียนอมตะ…ก็จะไม่ใช่สิ่งที่ไกลเกินเอื้อม…” เมิ่งฮ่าวเงยหน้าขึ้นไปมองยังท้องฟ้า ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกว่ามีความตั้งใจอย่างแรงกล้าที่จะบรรลุถึงขั้นเซียนอมตะ
“ไม่สำคัญว่าจะเป็นการผนึกอสูรหรือเซียนอมตะ ถ้ายังไม่บรรลุถึงขั้นนั้น…ข้าก็ไม่มีอะไรนอกจากเป็นมดแมลงในสวรรค์และปฐพีแห่งนี้” ด้วยเช่นนั้น เขาหลับตาลง ปกคลุมไปด้วยแสงแห่งความหวังที่สามารถมองเห็นได้จากภายใน