เมื่อเมิ่งฮ่าวตื่นขึ้นมา ก็พบว่าตัวเองกำลังมองไปที่แผ่นหลังของใครบางคน
เป็นเงาร่างที่งดงาม เส้นโค้งที่อ่อนช้อยขับเน้นให้เห็นถึงเนินไหล่ที่งดงาม เอวที่อ่อนนุ่มลาดลงไปยังสะโพกที่กลมกลึงสมบูรณ์แบบ
นางสวมใส่ชุดของหญิงสาวสีชมพูอ่อน ซึ่งเมิ่งฮ่าวแทบจะไม่เคยสังเกตเห็นเลย เมื่อเขามองไปที่นางก่อนหน้านี้
เส้นผมของนางยาวเป็นเงางาม และกระจายกลิ่นหอมของหญิงสาวที่ละเอียดอ่อนออกมา ทันใดนั้น ท้องฟ้าที่มืดคลึ้มก็ดูเหมือนจะสว่างขึ้นเล็กน้อยสำหรับเมิ่งฮ่าว
ไม่ใช่ว่าเมิ่งฮ่าวไม่ยินดีที่จะมองดูสิ่งที่สวยงาม แต่ด้วยการเป็นผู้ฝึกตน สิ่งแรกที่เขาทำเมื่อลืมตาขึ้นมา ไม่ใช่มองไปยังเงาร่างที่งดงามตรงหน้า แต่เขาส่งจิตสัมผัสออกไปเพื่อตรวจสอบว่า สิ่งของที่เป็นของเขาได้ถูกแตะต้องหรือไม่ หลังจากที่เขาหมดสติไป
เขาถูกล้อมรอบไปด้วยซากปรักหักพัง แต่ก็ยังบอกได้ว่ายังคงอยู่ในเมืองเซิ่งเสวี่ย ถึงแม้ว่าในตอนนี้ตัวเมืองมีแต่สิ่งปลูกสร้างที่พังทลาย มีบางอย่างที่แปลกไปเกี่ยวกับทุกสิ่งทุกอย่าง แสงสีเงินปกคลุมพื้นดิน เห็นได้ชัดว่าเป็นเวทอาคมอย่างหนึ่ง แต่เวทนี้ก็ดูเหมือนจะไม่สมบูรณ์ เห็นได้ชัดว่ามันกำลังเริ่มจะก่อตัวขึ้นมา
ทั้งหมดตกอยู่ในความเงียบ มีเพียงสิ่งเดียวที่สามารถได้ยินก็คือ เสียงปะทุที่ดังออกมาจากกองไฟในบริเวณนั้น
ที่ห่างไกลออกไป เขามองเห็นสองในสี่ผู้อาวุโสสูงสุดกำลังนั่งขัดสมาธิอยู่ที่นั่น นอกจากนี้ ยังมีผู้ฝึกตนอีกร้อยกว่าคน พวกมันทั้งหมดกำลังเข้าฌาณ เห็นได้ชัดว่าต่างก็เหนื่อยล้า
ผู้คนเกือบทั้งหมดนี้เป็นสมาชิกของตระกูลหานเสวี่ย มีเพียงส่วนน้อยที่ไม่ได้เป็นคนของตระกูล เมิ่งฮ่าวจำได้ว่าตอนที่เขามองลงมาก่อนที่จะหมดสติไป ก็ได้เห็นผู้คนประมาณสามร้อยคน
ผู้อาวุโสสูงสุดอีกสองคนของตระกูลหานเสวี่ยกำลังเพ่งสมาธิไปยังเวทอาคม และกำลังพูดคุยกันด้วยเสียงเบาๆ สีหน้าพวกมันดูกังวล และมองขึ้นไปบนท้องฟ้าเป็นระยะ
ตอนที่เมิ่งฮ่าวตื่นขึ้นมา สี่ผู้อาวุโสสูงสุดมองมาที่เขา ทำให้ไปกระตุ้นความสนใจของผู้ฝึกตนคนอื่นๆ ที่อยู่รอบๆ ในที่สุด ทุกคนก็ลืมตาขึ้นมา และมองมายังเมิ่งฮ่าว เงาร่างงดงามที่อยู่ตรงหน้าเขา แน่นอนว่าเป็นหานเสวี่ยชาน นางลืมตาขึ้นมาจากการเข้าฌาณ และหันมามองเมิ่งฮ่าว
ความยินดีสาดประกายอยู่ในแววตา รวมถึงบางสิ่งที่เป็นความหลงใหลของหญิงสาวและความเคารพรัก
เมิ่งฮ่าวสูดลมหายใจเข้าไปลึกๆ จากนั้นก็ค่อยๆ ลุกขึ้นนั่ง หานเสวี่ยชานเข้ามาใกล้ และจากนั้นก็ใช้แขนช่วยพยุงเขาขึ้นมา เขารู้สึกอ่อนแอ แต่พื้นฐานฝึกตนยังมีอยู่ครบถ้วนสมบูรณ์ ไม่ปฎิเสธการช่วยเหลือของนาง
เขามองเห็นสีหน้าซีดเซียวเศร้าหมองบนใบหน้าของนาง ซึ่งเต็มไปด้วยความทุกข์อันเนื่องมาจากเมืองของนางได้พังทลายไป, ความเสื่อมโทรมของตระกูล, ความสับสนต่อเรื่องในอนาคต, การไร้พลังที่จะกระทำสิ่งใดๆ และความกังวลใจที่มีต่อเขา
ทั้งหมดนี้ไม่ได้หายไปเพียงเพราะเมิ่งฮ่าวได้ตื่นขึ้นมา
ผู้อาวุโสอันดับแรกลุกขึ้นยืน และเข้ามาใกล้เมิ่งฮ่าว มองดูเขาชั่วครู่ จากนั้นก็ประสานมือและโค้งตัวลงต่ำ “ขอบพระคุณเป็นอย่างสูงสำหรับการช่วยเหลือของท่าน, เมิ่งต้าซือ ตระกูลหานเสวี่ยจะไม่มีทางลืมความเมตตาของท่านในครั้งนี้”
ผู้อาวุโสอันดับสอง, หญิงชรา และผู้อาวุโสอันดับสี่ ต่างก็บาดเจ็บ แต่พวกมันก็ประสานมือและโค้งตัวลงต่ำให้กับเมิ่งฮ่าวด้วยเช่นกัน
ไม่เพียงแต่พวกมันเท่านั้น ผู้ฝึกตนทั้งหมดที่อยู่รอบๆ บริเวณนั้น ต่างก็ลุกขึ้นมายืน จากนั้นก็โค้งตัวลงให้กับเมิ่งฮ่าว
ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นก่อนที่เมิ่งฮ่าวจะหมดสติไป ได้ประทับอยู่ในส่วนลึกของจิตใจพวกมัน ถ้าไม่มีเมิ่งฮ่าว พวกมันก็คงจะตายไปแล้ว กลายเป็นทะเลแห่งโลหิต
เมิ่งฮ่าวได้ช่วยชีวิตทุกคน และตระกูลหานเสวี่ยในที่แห่งนี้ด้วยตัวคนเดียว
พวกมันโค้งตัวให้กับเขาเต็มไปด้วยความจริงใจอย่างสูงสุด
เขาพยักหน้าแต่ก็ไม่พูดจาอะไรออกมา เป็นเรื่องเหมาะสมที่จะยอมรับการโค้งตัวของพวกมัน แต่ก็ค่อนข้างจะขัดแย้งกันในความคิดของเขา หลังจากผ่านไปสักพัก เมิ่งฮ่าวก็ค่อยๆ ถามขึ้น “ข้าหมดสติไปกี่วัน?”
“เจ็ดวัน” บุคคลที่ตอบคำถามไม่ใช่ผู้ฝึกตนที่อยู่รอบๆ ตัวเขา เสียงนั้นดังมาจากด้านหลัง เป็นเสียงที่เก่าแก่โบราณ และทำให้สีหน้าของผู้ฝึกตนที่อยู่รอบๆ ทั้งหมด เต็มไปด้ยความเคารพนับถือ
จิตใจเมิ่งฮ่าวทันใดนั้นก็สั่นสะท้าน หันไปเห็นชายชรากำลังเข้ามาใกล้จากภายในซากปรักหักพัง ติดตามด้วยสมาชิกตระกูลหานเสวี่ยสิบกว่าคน มันดูเหี่ยวแห้งร่วงโรยราวกับเพิ่งจะปีนออกมาจากหลุมฝังศพ เสื้อผ้ามันธรรมดา และพื้นฐานฝึกตนก็ไม่ได้สูงส่ง แต่ขณะที่มันเข้ามาใกล้ ก็รู้สึกราวกับว่าความวุ่นวายกำลังม้วนตัวไปมารอบๆ บริเวณนั้น
“ผู้อาวุโส…” เมิ่งฮ่าวกล่าว รู้สึกตกใจ เพียงมองแค่แวบแรก เขาก็บอกได้ว่านี่ก็คือปรมาจารย์รุ่นที่หกแห่งตระกูลหานเสวี่ย ผู้ฝึกตนตัดวิญญาณหานเสวี่ยเป้า การที่คนผู้นี้จู่ๆ ก็มาปรากฎตัวขึ้นทำให้น่าตกใจอยู่ไม่น้อย กล่าวกันตามหลักการ มันน่าจะตายไปแล้ว
มันเข้ามาใกล้เมิ่งฮ่าว และเมื่อได้เห็นสีหน้าเคร่งเครียดของเขา จึงอธิบายว่า “ข้าได้สลายพลังไปบางส่วน และเลิกล้มความพยายามที่จะทะลวงผ่าน ข้าไม่ใช่ขั้นตัดวิญญาณอีกต่อไปแล้ว เมื่อเจ้าดูดซับมรดกไปจากข้า, ข้าก็ปลดปล่อยพลังชีวิตของต้นป้อมปราการหนามเพื่อแลกเปลี่ยนกับอายุอีกสิบปี ภายในสิบปีข้าก็จะตายไป” ผู้ฝึกตนที่อยู่รอบๆ รวมถึงสี่ผู้อาวุโส ปกปิดความเจ็บปวดใจบนใบหน้าพวกมันไว้ แสดงแต่ความเคารพออกมา
“เจ้าทำได้ดีมาก” หานเสวี่ยเป้ากล่าว นั่งลงตรงหน้าเมิ่งฮ่าว รอยยิ้มอ่อนโยนปกคลุมใบหน้า “ข้าคิดว่าในดาวหนานเทียนแห่งนี้มีเพียงคนเดียวเท่านั้น ซึ่งอยู่ในขั้นสร้างแกนลมปราณ ที่สามารถรองรับมรดกของตระกูลข้าได้หมดทั้งหกรุ่น ซี่งคนๆ นั้นก็คือเจ้า”
จิตใจเมิ่งฮ่าวเต็มไปด้วยความขอบคุณ ในตอนนี้ เขาเข้าใจแล้วว่าคนผู้นี้ไม่ได้ตั้งใจที่จะครอบครองร่างกายเขาอย่างแท้จริง เมิ่งฮ่าวเพียงแต่ไปสะดุดกับความโชคดีอย่างไม่ตั้งใจเท่านั้น
เขากำลังจะพูดแต่หานเสวี่ยเป้าก็ส่ายหน้าตัดบทเขาไป มองมายังเมิ่งฮ่าวอย่างเงียบๆ กล่าวว่า “ถ้าเจ้ามาเข้าร่วมกับตระกูลหานเสวี่ย ภายใต้อำนาจของข้า เจ้าจะได้รับหานเสวี่ยชานเป็นภรรยา”
เมิ่งฮ่าวอ้าปากค้าง ที่ด้านข้างห่างออกไป ใบหน้าหานเสวี่ยชานเปลี่ยนเป็นสีแดง และนางก็ก้มหน้าลงเพื่อปกปิดความเอียงอายไว้
“ไม่ต้องกังวลใจ ข้าจะไม่ไปยุ่งเกี่ยวกับชีวิตรักของเจ้า นางจะเป็นหนึ่งในภรรยาของเจ้า ด้วยการเป็นสมาชิกของตระกูลหานเสวี่ย เจ้าก็จะเป็นปรมาจารย์ของกลุ่มคนรุ่นนี้!” ดวงตาหานเสวี่ยเป้าสาดประกายด้วยแสงแห่งความเคร่งขรึมจริงจัง
“ข้าจะทำให้การเข้าร่วมของเจ้ามีคุณค่ามากยิ่งขึ้น โดยการให้ข้อเสนอเจ้าสามข้อ”
“ข้าได้สลายพลังไปบางส่วน และไม่ใช่ขั้นตัดวิญญาณอีกต่อไป แต่ข้าก็มีความรู้แจ้ง ด้วยการช่วยเหลือของข้า เจ้าจะมีโอกาสบรรลุถึงขั้นตัดวิญญาณถึงแปดในสิบส่วน ภายในเวลาห้าร้อยปี! นี่เป็นข้อเสนอแรกที่ข้าจะมอบให้กับเจ้า!”
“โลหิตของตระกูลหานเสวี่ย ประกอบด้วยวิชาลับของต้าซือหลง มันมีความแข็งแกร่งมากกว่าวิชาเวทใดๆ ที่เจ้าเคยมี ด้วยการส่งต่อมาให้กับเจ้า สี่งมีชีวิตทั้งหมดก็จะไร้พลังที่จะกระทำสิ่งใดๆ นอกจากหลับอยู่ที่เบื้องหน้าเจ้า นี่ก็คือข้อเสนออันดับสอง!”
“ข้อเสนอที่สาม ถึงแม้ว่าตอนนี้ตระกูลหานเสวี่ยจะอยู่ในช่วงเสื่อมโทรม แต่กองหนุนเต๋าก็ยังคงอยู่ที่นี่ พวกเราไม่อาจจะอยู่ในสถานที่แห่งนี้อีกต่อไป ดังนั้นพวกเราจะเดินทางไปยังดินแดนด้านใต้ นานมาแล้ว ข้าเป็นสหายกับตานกุ่ยต้าซือ แห่งสำนักจื่อยิ่น พวกเราจะย้ายตระกูลเข้าไปยังสำนักจื่อยิ่น”
“มากับพวกเราออกจากดินแดนสีดำไปยังดินแดนด้านใต้ ด้วยนามของข้าก็จะได้รับการอุปการะจากตานกุ่ยต้าซือ เจ้าได้พิสูจน์แล้วว่าเต๋าแห่งการปรุงยาของเจ้าแข็งแกร่งแค่ไหน ถ้าข้าขอร้อง ตานกุ่ยต้าซือก็คงจะไว้หน้าข้าบ้างอย่างแน่นอน และจะยอมรับเจ้าเป็นศิษย์”
เสียงของหานเสวี่ยเป้าดังก้องอยู่ในหูเมิ่งฮ่าว เขานั่งคิดอยู่ที่นั่น ฝืนยิ้มให้กับตัวเอง นอกจากข้อเสนอความรู้แจ้งของขั้นตัดวิญญาณแล้ว ก็ไม่อะไรที่ดึงดูดใจเขามากนัก วิชาลับต้าซือหลงแน่นอนว่าทรงพลัง แต่เมิ่งฮ่าวก็ได้ครอบครองวิชาลับอันยิ่งใหญ่ทั้งสามไปเรียบร้อยแล้ว สำหรับการเป็นศิษย์ของตานกุ่ยต้าซือ จริงๆ แล้วก็ไม่ใช่เป็นความคิดที่ไม่ดึงดูดใจ ถึงแม้ว่าเมิ่งฮ่าวได้ตัดขาดจากสำนักจื่อยิ่นมานานแล้ว แต่เขาก็ยังคงนับถือตานกุ่ยต้าซือเป็นอาจารย์ของเขา
เขาได้โขกศีรษะสามครั้ง เพื่อกลายเป็นศิษย์ และการโขกศีรษะครั้งแรกนั้นก็จะคงอยู่ตลอดไปจวบชั่วชีวิต