วันพุธที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

ตอนที่ 357 : โจวเซียนเซิงผู้เย่อหยิ่ง

Posted By: wuxiathai - 18:02
เมืองเซิ่งเสวี่ย กว้างใหญ่กว่าเมืองตงลั่วมากนัก และถูกแบ่งออกเป็นเมืองชั้นใน และเมืองชั้นนอก เมืองชั้นในเป็นของตระกูลหานเสวี่ย ในขณะที่เมืองชั้นนอกเป็นของผู้ฝึกตนอื่นๆ
ด้วยภูมิอากาศที่เต็มไปด้วยกลุ่มเมฆ จึงมักจะทำให้เกิดพายุหิมะอยู่เสมอมา เนื่องจากเช่นนี้ จึงทำให้เกิดเป็นภาพของหิมะสีขาวปกคลุมไปทั่ว ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่เคยเห็นในดินแดนด้านใต้มาก่อน
ในเขตตะวันออกของเมืองชั้นนอก มีคฤหาสน์เรียงรายอยู่เป็นทิวแถว แต่ละคฤหาสน์ประกอบไปด้วยน้ำพุลมปราณ ถึงแม้พลังลมปราณที่กระจายอกมาไม่ได้มากมายนัก แต่ในดินแดนสีดำ ที่อยู่อาศัยเช่นนี้ก็ถือว่าหรูหรามากแล้ว
แต่ละคฤหาสน์ถูกแยกออกเป็นเอกเทศ และถูกปกป้องไว้ด้วยเวทอาคม เพื่อป้องกันไม่ให้แขกที่ไม่ได้รับเชิญสามารถเข้าไปได้ ที่ยิ่งสำคัญมากไปกว่านั้น เวทป้องกันนี้จริงๆ แล้วก็เชื่อมต่อกับค่ายกลเวทป้องกันหลักของเมืองเซิ่งเสวี่ย ทำให้พวกมันมีพลังอันน่าเหลือเชื่อ
ผู้คนที่ได้ครอบครองคฤหาสน์เหล่านี้ ส่วนใหญ่เป็นแขกที่มีความสำคัญอย่างสูงสุด แน่นอนว่า นี่ก็เป็นสถานที่อยู่อาศัยของเมิ่งฮ่าวที่ตระกูลหานเสวี่ยจัดเตรียมไว้ให้
คฤหาสน์ของเขาและลานบ้านไม่ได้ใหญ่โตมากนัก แต่ก็ไม่ได้เล็กด้วยเช่นกัน ยักษ์เถื่อนกำลังยืนอยู่ราวกับภูเขาลูกน้อยๆ ส่งเสียงกรนออกมาเบาๆ มันตื่นขึ้นมาเป็นระยะ เมื่อหยิบชิ้นเนื้อขึ้นมาจากเนื้อกองใหญ่ที่ด้านข้าง หย่อนเข้าไปในปาก กลืนมันลงไป ถ้ามันตื่นขึ้นมา และพบว่าไม่มีเนื้ออยู่รอบๆ ก็จะเบิกตาจนกว้างขึ้นและส่งเสียงแผดร้องออกมา
“เนื้อ…เนื้อ…” นั่นเป็นสิ่งที่มันพูดได้
เมื่อไหร่ที่เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น เมิ่งฮ่าวก็จะวิ่งออกไปเพื่อหาเนื้อให้อย่างช่วยไม่ได้ ไม่นานนักเมิ่งฮ่าวก็เริ่มสงสัยว่าระหว่างเขาและยักษ์เถื่อน ใครเป็นเจ้านายใครกันแน่…
นอกเหนือจากยักษเถื่อนที่ชอบกินเนื้อแล้ว ก็ยังมีบุรุษวัยกลางคนอยู่ในลานบ้าน ท่าทางขมขื่นปกคลุมอยู่บนใบหน้าของมันอย่างต่อเนื่อง ราวกับว่ามันมีผลแตงที่ขมฝาดติดอยู่ในปากอยู่ตลอดเวลา หลังจากที่ให้อาหารยักษ์เถื่อนเพียงแค่สองครั้ง เมิ่งฮ่าวก็ตัดสินใจส่งมอบงานศักดิ์สิทธิ์เช่นนั้นต่อบุรุษผู้นี้
มันไม่ใช่ใครอื่นนอกจากเป็นซือหลงทะเลทรายตะวันตก ซึ่งเมิ่งฮ่าวจับตัวมา เขาได้ปลดผนึกให้มัน แต่จากนั้นก็บังคับให้มันกลืนยาพิษลงไป เพื่อป้องกันไม่ให้มันกระทำสิ่งใดๆ นอกจากถอนหายใจและยอมรับในชะตากรรมของตัวเอง
หนึ่งในข้อเรียกร้องอื่นๆ ของเมิ่งฮ่าวก็คือ ให้หานเสวี่ยชานนำเมล็ดบัวจำนวนมากมาให้ ซึ่งเขาก็ทำการเร่งปฏิกิริยาเมล็ดบัวเหล่านั้น และนำมาปลูกไว้ในลานบ้าน
ตอนนี้ ทั่วทั้งลานบ้านเต็มไปด้วยดอกบัว แน่นอนว่าดอกบัวธรรมดาทั่วไปไม่อาจจะปลูกขึ้นได้ในสถานที่แห่งนี้ นี่เป็นดอกบัวหิมะ
ดอกบัวหิมะเต็มอยู่ในลานบ้านด้วยความสวยงาม บ่อยครั้งที่เมิ่งฮ่าวมักจะจ้องไปยังดอกบัวเหล่านั้นตลอดทั้งวัน
จากการเฝ้าสังเกตดูรูปร่างของดอกบัว เขาก็สัมผัสได้ถึงแก่นแท้ของพวกมัน เมื่อได้รับความรู้แจ้งของแก่นแท้ดอกบัว ก็ทำให้เขาสามารถพัฒนาค่ายกลกระบี่ดอกบัวให้ก้าวหน้าไปมากขึ้น
ชีวิตเช่นนั้นดูเหมือนจะแปลกๆ สำหรับซือหลงทะเลทรายตะวันตก แต่….ในที่สุดเมิ่งฮ่าวก็ถามนามของมัน รวมถึงข้อมูลอื่นๆ มันช่วยให้เมิ่งฮ่าวเข้าใจว่าสัตว์ปีศาจคืออะไร และจากนั้นจิตใจของบุรุษวัยกลางคนซึ่งมีนามว่า กู่ลา ก็เริ่มหนาวเย็น และเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง
นั่นเป็นเพราะว่าเมิ่งฮ่าวชอบการศึกษาเรียนรู้ เขาชอบศึกษาโลหิต, กระดูก, ชิ้นเนื้อและภาพศักดิ์สิทธิ์ แต่ละครั้งที่เขาศึกษาสิ่งใดๆ เหล่านี้ มันก็เหมือนกับเป็นฝันร้ายของกู่ลา
ตอนนี้เมิ่งฮ่าวนั่งขัดสมาธิอยู่เบื้องหน้าดอกบัว ขณะที่เขาศึกษามัน ข้อมูลเกี่ยวกับซือหลงทะเลทรายตะวันตกก็หมุนคว้างไปมาในจิตใจ “ซือหลงถูกแบ่งออกเป็นเก้าอันดับ อันดับที่เก้าถูกเรียกว่าต้าซือหลง สัตว์ปีศาจก็ถูกแบ่งเป็นหลายอันดับด้วยเช่นเดียวกัน และพวกมันก็เป็นสิ่งมีชีวิตที่แปลกประหลาด ซึ่งอาศัยอยู่ในทะเลทรายตะวันตก จนกระทั่งถูกเรียกว่าสัตว์ปีศาจ”
“หลังจากอันดับที่หนึ่งถึงเก้าของสัตว์ปีศาจ ก็จะเป็นอันดับที่สิบ ซึ่งถูกเรียกว่าปีศาจปฐพี อันดับที่สิบเอ็ดเป็นปีศาจสวรรค์ และอันดับที่สิบสองก็คือ…ภาพศักดิ์สิทธิ์!” แสงแปลกๆ สาดประกายอยู่ในดวงตาเมิ่งฮ่าว ตอนนี้เขาได้เรียนรู้เกี่ยวกับสัตว์ปีศาจมากขึ้น ความเข้าใจเกี่ยวกับภาพศักดิ์สิทธิ์ของทะเลทรายตะวันตกก็ครบถ้วนสมบูรณ์มากขึ้น เขาไม่ได้ไม่รู้เรื่องใดๆ อีกต่อไป
จากตำนานในทะเลทรายตะวันตก ภาพศักดิ์สิทธิ์ของแต่ละชนเผ่า เดิมทีก็มาจากสัตว์ปีศาจอันดับสิบสอง ซึ่งสามารถใช้ปีศาจสวรรค์ได้เช่นกัน มีเพียงสัตว์ปีศาจที่อยู่ในอันดับสูงเช่นนั้นถึงจะกลายมาเป็นภาพศักดิ์สิทธิ์ได้ หลังจากที่เป็นเช่นนั้น โลหิตจากลูกหลานพวกมันก็จะสามารถใช้วาดภาพรอยสักภาพศักดิ์สิทธิ์ เหมือนกับว่าภาพศักดิ์สิทธิ์นี้จะถูกส่งต่อไปยังรุ่นสู่รุ่นได้
ชนเผ่าขนาดใหญ่ก็จะมีภาพศักดิ์สิทธิ์อยู่มากมาย ชนเผ่าเล็กๆ และอ่อนแอก็อาจจะมีเพียงแค่ภาพเดียว
นั่นก็คือภาพศักดิ์สิทธิ์แบบดั้งเดิม สามารถกล่าวได้ว่ามีภาพศักดิ์สิทธิ์ที่แตกต่างกันอย่างมากมายเกิดขึ้นมา เพราะวิธีการต่างๆ ในช่วงเวลานั้น สัตว์ปีศาจอันดับสิบสองก็ปรากฎขึ้น
“สัตว์ปีศาจอันดับสิบสองจะมีความแข็งแกร่งแค่ไหนกันนะ?” เมิ่งฮ่าวคิด เขาไม่มีทางรู้ได้ เพราะว่ากู่ลาอธิบายไม่ชัดเจน มันได้แต่บอกว่าพวกมันมีความแข็งแกร่งเป็นอย่างยิ่ง ขณะที่รายละเอียดต่างๆ น้อยคนนักที่จะรู้อย่างแท้จริง
ในทะเลทรายตะวันตก ผู้ฝึกตนมากมายฝึกฝนพลังภาพศักดิ์สิทธิ์ แต่มีเพียงผู้คนที่สามารถควบคุมสัตว์ปีศาจได้อย่างแท้จริง จึงจะเป็นซือหลง!
นอกเหนือจากการศึกษาภาพศักดิ์สิทธิ์ เมิ่งฮ่าวยังได้รับการรู้แจ้งที่เกี่ยวข้องกับสัญลักษณ์เวทในดินเซียนได้มากขึ้น เขาแทบจะทำมันเป็นลำดับที่สอง ถ้าเขาไม่ได้ยุ่งกับการค้นคว้าวิจัยเรื่องอื่นๆ เขาก็จะใช้เวลาอยู่ที่ด้านนอก พยายามให้ได้รับการรู้แจ้งเกี่ยวกับดินเซียนมากขึ้น
ในที่สุด เขาก็อยู่ในเมืองเซิ่งเสวี่ยแล้วหลายวัน แต่ตระกูลหานเสวี่ยก็ไม่ได้พูดเกี่ยวกับเรื่องตัวไหมหิมะเยือกเย็นอีกเลย อันที่จริง พวกมันก็ไม่ได้พูดเกี่ยวกับเรื่องที่เขาต้องปรุงยาพิษให้ด้วยเช่นกัน ขณะที่หลายวันผ่านไป ไม่มีใครมาหา เขาอยู่คนเดียวด้านในคฤหาสน์ ราวกับว่าพวกมันได้ลืมเขาไปเกือบหมดแล้ว
เขาก็ไม่ได้รีบร้อน หลังจากที่แสดงพลังในการต่อสู้เมื่อหลายวันก่อน เขาก็แน่ใจว่าตระกูลหานเสวี่ยคงจะวางแผนที่จะใช้เขาในบางเรื่อง ในที่สุดก็คงมีใครสักคนมาเรียกเขาไป
ยิ่งไปกว่านั้น ขณะที่เกิดความขัดแย้งเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะเมื่อมันบรรลุถึงขั้นสุดท้าย เมิ่งฮ่าวก็มั่นใจว่า ยาพิษของเขาก็จะยิ่งมีประโยชน์มากขึ้น เขาเป็นแขกผู้มาเยือนและพวกมันก็เป็นผู้เหย้า ซึ่งเป็นความจริงที่ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้ แต่ในขณะที่แขกผู้มาเยือนกลายเป็นผู้แข็งแกร่งมากขึ้น ผู้เหย้าก็จะถูกบังคับให้ต้องอ่อนข้อให้บ้างตามปกติ
ดังนั้น เมิ่งฮ่าวจึงมีความสุขกับการดูดอกไม้, ศึกษาภาพศักดิ์สิทธิ์ และได้รับความรู้แจ้งจากดินเซียน
ในเวลาเดียวกันนั้น ลึกเข้าไปในใจกลางเมืองชั้นในของเมืองเซิ่งเสวี่ย หญิงชรานั่งขัดสมาธิพร้อมกับบุคคลอื่นๆ อีกสามคน ในห้องโถงหลักของตระกูลหานเสวี่ย เบื้องหน้าพวกมันมีตะเกียงน้ำมันลุกไหม้อยู่ เปลวไปสั่นระริกไปมาในสายลมหนาว ทำให้เกิดเป็นเงาริบหรี่อยู่ในห้องโถง
บุคคลทั้งสี่นี้เป็นสี่ผู้อาวุโสสูงสุดของตระกูลหานเสวี่ย ทั้งมีพื้นฐานฝึกตนขั้นวิญญาณแรกก่อตั้ง และมีอำนาจในการจัดการเรื่องราวต่างๆ ของเมืองนี้
หนึ่งในสี่เป็นชายชราเส้นผมสีเทา มีเครื่องหมายรูปดวงจันทร์อยู่บนหน้าผาก เครื่องหมายนั้นแวววาวขณะที่มันพูด “ข้ายังคงไม่เห็นด้วยกับคำแนะนำของผู้อาวุโสสาม เรื่องที่เกี่ยวข้องกับตัวไหมหิมะเยือกเย็นเป็นเรื่องที่สำคัญมาก ตอนนี้ก็มีดักแด้เพียงแค่สองตัวที่จะสามารถเปลี่ยนเป็นตัวไหมได้ แล้วพวกเราจะส่งมอบให้บุคคลภายนอกหนึ่งตัวได้อย่างไร!?”
บุคคลทั้งสี่นี้ กำลังพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องของเมิ่งฮ่าวมาได้พักหนึ่งแล้ว
“ข้าเห็นพ้องกับผู้อาวุโสสอง” บุรุษวัยกลางคนกล่าวเสียงเย็นชา มันมีสีหน้าเคร่งเครียด “นอกจากนั้น พวกเราก็ไม่รู้ว่าผู้ฝึกตนที่เชี่ยวชาญด้านพิษนี้มาจากที่ไหน พื้นฐานฝึกตนของมันแค่อยู่ในขั้นสร้างแกนลมปราณ แต่ก็บังอาจคุยโวเรียกร้องตัวไหมหิมะเยือกเย็น?! นอกจากนั้น มันยังเห็นว่าเมืองเซิ่งเสวี่ยใกล้จะพังทลายลงไปได้ทุกเมื่อ ดังนั้นมันจึงมาที่นี่และพยายามจะขู่กรรโชกสิ่งของไปจากพวกเรา ในความคิดของข้า พวกเราน่าจะไปสังหารมัน เพื่อเป็นคำเตือนไม่ให้คนอื่นๆ ทำเช่นนี้อีก!”
“พวกเราได้พูดคุยเกี่ยวกับเรื่องนี้มาสักพักแล้ว” หญิงชรากล่าว “ไม่ว่าจุดประสงค์ของคนผู้นั้นจะเป็นเช่นไร การที่มันมาถึงในเวลาเช่นนี้ก็เห็นได้ชัดว่าน่าสงสัยนัก แต่ในการต่อสู้เมื่อไม่กี่วันก่อน มันได้แสดงถึงพลังที่ทำให้ข้าเกิดความสนใจขึ้นมา พวกเราจะปิดประตูต่อหน้าพันธมิตรเช่นนี้จริงๆ? ถ้าทำเช่นนั้น แล้วใครจะกล้ามาช่วยเหลือพวกเราอีก? ผู้อาวุโสสี่ ท่านบอกว่าพวกเราไม่รู้ว่ามันมาจากไหน แต่ทุกคนในดินแดนสีดำก็ไม่ใช่ผู้ฝึกตนเร่ร่อนเช่นเดียวกัน? แล้วมันจะพิสูจน์ได้อย่างไรว่ามันมาจากไหน?”
“ยิ่งไปกว่านั้น ข้าก็ได้ให้คำสัญญาไปแล้ว ข้าไม่อาจกลับกลอกคืนคำ ถ้าพิษของมันไม่มีประสิทธิภาพใดๆ ก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าพิษเหล่านั้นช่วยให้พวกเราได้รับชัยชนะ ตัวไหมหิมะเยือกเย็นก็ต้องเป็นของมัน!” เสียงของนางเยือกเย็นแต่ก็ทรงพลัง
ห้องโถงหลักตกอยู่ในความเงียบสักพัก มีเพียงผู้อาวุโสอันดับแรกที่ยังไม่ได้พูด มันมีเส้นผมสีขาวและหน้าตาที่เก่าแก่ดูโบราณ มีรูปร่างเตี้ยเล็กจนเกือบเหมือนคนแคระ ในที่สุด มันก็ลืมตาขึ้น
ทันใดนั้น ดวงตามันก็สาดประกายเป็นแสงเจิดจ้าขึ้นมา ทำให้ห้องโถงหลักสว่างมากขึ้นกว่าเดิมในทันที ดูเหมือนแสงนั้นจะสะกดข่มแสงที่กระจายออกมาจากตะเกียงน้ำมันลงไป
ทันใดนั้น มันก็เริ่มพูด ผู้อาวุโสทั้งสามคน แม้แต่หญิงชรา ต่างก็ก้มศีรษะลง
“ก็ดี” มันกล่าว “ท่านทั้งสามได้โต้แย้งในเรื่องนี้มาพอสมควรแล้ว ก่อนที่พวกเราจะตัดสินใจใดๆ ให้รอจนกว่าโจวเซียนเซิง (ท่านโจว) แยกแยะพิษที่อยู่ในโลหิตนั่นให้ได้ก่อน!”
เวลาผ่านไป สองชั่วยามหลังจากนั้น จู่ๆ เสียงฝีเท้าก็ได้ยินมาในห้องโถงหลัก ผู้อาวุโสทั้งสี่เงยหน้าขึ้น มองเห็นชายชราเดินเข้ามาใกล้ ชายชราผู้นั้นสวมใส่ชุดยาวสีดำ และใบหน้าก็เต็มไปด้วยความหยิ่งยโส ขณะที่มันเดินตรงมา ก็มีหญิงสาวเยาว์วัยสองนางเดินติดตามมาอย่างระมัดระวัง ดวงตาของพวกนางเปล่งประกายด้วยความเคารพอย่างแรงกล้า ราวกับว่าเพียงชายชราผู้นั้นพูดออกมาคำเดียว พวกนางก็สามารถทำทุกสิ่งทุกอย่างให้ได้
ขณะที่ชายชราเดินเข้ามาในห้องโถงหลัก ผู้อาวุโสที่สอง, สามและสี่ ลุกขึ้นมายืน ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม
“โจวเซียนเซิง” พวกมันกล่าวคำทักทาย
“สหายเต๋าทั้งหลาย, สบายดี?” โจวเซียนเซิงกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ สีหน้าหยิ่งผยองเหมือนที่เป็นอยู่ประจำ หน้าตาของมันไม่ได้ดูโบราณ แต่ใบหน้าสาดประกายแสดงถึงความมีสุขภาพดี ความเย่อหยิ่งดูเหมือนจะกระจายออกมาจากตัวมัน เห็นได้ชัดว่า มันคุ้นเคยกับการอยู่ในตำแหน่งอันสูงส่ง หรืออย่างน้อยก็คุ้นเคยกับการมีผู้คนประจบเอาใจ
ถ้าเมิ่งฮ่าวอยู่ที่นี่ เขาก็จะต้องตกตะลึงอย่างไม่อยากจะเชื่อ เขาต้องจดจำชายชราผู้นี้ได้ มันไม่ใช่ใครอื่นนอกจากเจ้าแห่งเตาแผนกเม็ดยาบูรพา โจวเต๋อคุน ผู้ซึ่งถูกจับตัวมายังดินแดนสีดำ!
ถึงแม้การเริ่มต้นของพวกเขาจะไม่ค่อยราบรื่นเท่าใดนัก แต่ในที่สุดเมิ่งฮ่าวก็ได้พัฒนาเป็นความสัมพันธ์อันดีกับโจวผู้ชรา และคนทั้งสองในที่สุดก็กลายเป็นสหายที่ดีต่อกัน มันได้นำเมิ่งฮ่าวไปเยี่ยมเยียนตระกูลผู้ฝึกตนหลายตระกูล ซึ่งคนทั้งสองได้รับการต้อนรับราวกับเป็นเชื้อราชวงศ์ สีหน้าของโจวเต๋อคุนในตอนนี้ เหมือนกับตอนก่อนหน้านั้น
การถูกจับตัวมาของมันทำให้เมิ่งฮ่าวกังวลใจ หลังจากที่เขามาถึงดินแดนสีดำ ก็ได้ทำการสอบถามเรื่องราวของมัน แต่เขาก็ไม่ได้รับข้อมูลใดๆ กลับมา เขาจึงคิดว่าโจวเต๋อคุนคงกำลังถูกทรมานอยู่ในสถานที่ไหนสักแห่งในดินแดนสีดำ…
แต่ก็ดูเหมือนจะเป็นตรงกันข้าม โจวเต๋อคุนในตอนนี้ดูดีกว่าก่อนหน้านี้มาก หน้าตาที่แก่ชราจากก่อนหน้านี้ถูกแทนที่ด้วยสีหน้าที่แดงก่ำ จากความเคารพ, สายตาที่เอียงอายเมื่อมองไปที่มันโดยหญิงสาวเยาว์วัยทั้งสอง ก็เห็นได้ชัดว่าโจวผู้ชราก็เหมือนกับต้นไม้ผุที่ทันใดนั้นก็ผลิดอกออกมา ดอกแล้วดอกเล่า…
“โจวเซียนเซิง การค้นคว้าพิษของท่านไปถึงไหนแล้ว?” ผู้อาวุโสอันดับแรกกล่าวพร้อมรอยยิ้ม มันยังคงนั่งขัดสมาธิอยู่ แต่สีหน้าดูอ่อนโยนมีมารยาท พูดกับโจวเต๋อคุนราวกับว่ามีศักดิ์ฐานะเท่าเทียมกัน ถึงแม้ว่าจริงๆ แล้ว โจวเต๋อคุนเพียงอยู่ในขั้นสุดท้ายพื้นฐานลมปราณก็ตามที
“เมื่อพิจารณาจากระดับเต๋าแห่งการปรุงยาของข้า” โจวเต๋อคุนกล่าวตอบด้วยความเย่อหยิ่ง “มีเพียงสองคนเท่านั้นในใต้หล้านี้ที่จะมีความสามารถเหนือกว่าข้า หนึ่งก็คืออาจารย์ของข้า ซึ่งพวกท่านทั้งหลายรู้จักกันดีในนามว่า เจ้าโอสถจอมปีศาจ! อีกคนก็คือศิษย์ผู้น้องของข้า, ฟางมู่ นอกจากสองคนนี้ ข้ากล้าจะบอกว่าไม่มีใครเก่งเกินไปกว่าข้าได้!” มันโบกสะบัดมือ ขวดหยกก็ปรากฎขึ้น
“โลหิตพิษที่ท่านให้ข้ามานี้ไม่ธรรมดาเป็นอย่างยิ่ง ข้าต้องใช้เวลาหลายวันเพื่อศึกษาค้นคว้า ก่อนที่จะเข้าใจมันได้อย่างสมบูรณ์ ในสถานที่แห่งอื่น บุคคลผู้นี้อาจจะถูกยกย่องว่าเป็นผู้ถูกเลือกแห่งสวรรค์ แต่ในสายตาของข้า มันก็แค่เก่งกว่าอาจารย์ปรุงยาอยู่เล็กน้อย ข้าสามารถกำจัดพิษของมันได้เพียงแค่หนึ่งอึดใจ! บุรุษผู้นี้ควรจะรู้ว่าเต๋าแห่งพิษไม่ใช่เรื่องง่าย เมื่อมาถึงจุดสูงสุดของเต๋าแห่งการปรุงยา ก็มีเพียงคนเดียวในโลกนี้ที่ข้ายอมรับ ซึ่งก็ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากศิษย์น้องของข้า, ฟางมู่ เมื่อเม็ดยาแปลงปีศาจของมันปรากฎขึ้น นามของเจ้าโอสถจอมกระถางก็โด่งดังขึ้นมา สามารถกล่าวได้ว่ามันก็คือปรมาจารย์แห่งพิษร้ายทั้งหมดในตอนนี้!” มันพูดจบด้วยท่าทางหยิ่งผยอง เห็นได้ชัดว่า โจวเต๋อคุนกำลังกล่าวเป็นนัยว่า ถ้าศิษย์น้องของมันเก่งกล้าสามารถจนน่าเหลือเชื่อเช่นนั้น พลังความสามารถของมันก็คงจะลึกล้ำเหนือจินตนาการใดๆ จะคาดคิดได้
ใบหน้าของเหล่าผู้อาวุโสดูจริงจังและสุภาพอ่อนโยน ยกเว้นผู้อาวุโสอันดับแรก ด้านหลังโจวเต๋อคุน หญิงสาวเยาว์วัยทั้งสองจ้องมองมันด้วยแววตาเคารพรัก

About wuxiathai

Organic Theme is officially developed by Templatezy Team. We published High quality Blogger Templates with Awesome Design for blogspot lovers.The very first Blogger Templates Company where you will find Responsive Design Templates.

Copyright © 2015 ผนึกสวรรค์ สยบมาร สะท้านเทพ

Designed by Templatezy | Distributed By Gooyaabi Templates