วันอังคารที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2560

ตอนที่ 356 : คาดไม่ถึง…

มังกรวารีเป็นอาหารของมังกรปีกวารีในสมัยโบราณ ซึ่งชอบขบเคี้ยวพวกมันอย่างเพลินเพลินใจ!
ภูติผีมังกรปีกวารีของเมิ่งฮ่าวบินผ่านอากาศ ภาพลวงตาอันใหญ่โตของมันทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างสั่นสะเทือน
มังกรวารีสิบกว่าตัวที่อยู่ใกล้ๆ ส่งเสียงแผดร้องอย่างดุร้ายแหลมเล็กออกมา ซึ่งเต็มไปด้วยความหวาดกลัว ร่างของพวกมันสั่นสะท้าน และกำลังจะกระจายหลบหนีออกไปทั่วทุกทิศทาง เมื่อภาพลวงตาของมังกรปีกวารีส่งเสียงคำรามอย่างไร้เสียงออกมาอีกครั้ง สุนัขป่าที่อยู่บนพื้นดินเริ่มตัวสั่น และจากนั้นก็นอนหมอบลงไป สิงโตสีฟ้าขนาดใหญ่ก็ก้มศีรษะที่สั่นสะท้านของพวกมันลงไป และส่งเสียงแสดงความจำนนออกมาด้วยเช่นกัน
มังกรวารีดูเหมือนจะเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง แต่พวกมันก็ไม่กล้าจะขยับตัวเคลื่อนไหว ภูติผีมังกรปีกวารีของเมิ่งฮ่าวโฉบลงไป และกลืนกินพวกมันเข้าไป
สนามรบเงียบกริบราวป่าช้า ทุกคนอ้าปากหอบหายใจด้วยความตกตะลึงต่อภาพที่เห็น ซึ่งกำลังเกิดขึ้นในท้องฟ้า มังกรปีกวารีกลืนกินมังกรวารีตัวแล้วตัวเล่าลงไป
ในที่สุด มังกรวารีทุกตัวก็ถูกกลืนลงไป หลังจากนั้น มังกรปีกวารีก็บินกลับไปยังเมิ่งฮ่าวและหายตัวไป
ทุกสิ่งทุกอย่างเงียบกริบราวตกอยู่ในความตาย
เมิ่งฮ่าวกระแอมไอออกมาเบาๆ และจากนั้นก็เดินตรงไปยังหานเสวี่ยชาน เมือเขาไปถึงเบื้องหน้านาง ก็มองเห็นใบหน้าของนางเต็มไปด้วยความไม่อยากจะเชื่อและหวาดกลัว เช่นเดียวกับสีหน้าของบุรุษหนุ่มที่กำลังยืนอยู่ข้างกายนาง
“ข้าช่วยชีวิตเจ้า” เขากล่าว ดูท่าทางอึดอัดใจเล็กน้อย “เจ้ายังไม่ได้ตอบแทนข้า ก่อนที่จะได้ทำเช่นนั้น มันเหมาะสมแล้วที่เจ้าจะวิ่งหนีไป?” เขารู้สึกเคอะเขินอยู่เล็กน้อยที่จะต้องกล่าวคำพูดเช่นนี้กับหญิงสาวเยาว์วัย
หานเสวี่ยชานตัวสั่นสะท้าน ดวงตาที่สวยงามของนางสาดประกายความหวาดกลัวออกมา ด้วยความกระวนกระวาย นางไม่แน่ใจว่าต้องกล่าวตอบเยี่ยงไร
ในตอนนี้เองที่ดวงตาของนาง ทันใดนั้นก็เบิกกว้างขึ้น ไม่เพียงแต่นาง ทุกคนในสนามรบที่กำลังมุ่งความสนใจมาที่เมิ่งฮ่าวในตอนนี้ ต่างก็อ้าปากหอบหายใจออกมา
เสียงแผดร้องดังก้องอยู่ด้านหลังเมิ่งฮ่าว ขณะที่ยักษ์สูงเกือบสามสิบจ้างพุ่งตรงมาที่เขา กวัดแกว่งดาบเล่มใหญ่ของมันอยู่ในอากาศ
ดาบนี้ดูเหมือนจะสามารถผ่าอากาศให้แยกเป็นสองส่วนได้ เสียงแหลมเล็กดังเต็มอยู่ในอากาศ ขณะที่มันกรีดลงมายังเมิ่งฮ่าว มันไม่ได้กระจายระลอกคลื่นออกมา แต่ดูเหมือนจะดูดกลืนอากาศรอบๆ ข้างเข้าไป กลุ่มหมอกที่อยู่รอบๆ ตัวเมิ่งฮ่าวเริ่มเดือดพล่าน
ทั้งหมดนี้ต้องใช้เวลาในการอธิบาย แต่จริงๆ แล้วก็เกิดขึ้นในทันทีที่เมิ่งฮ่าวพูดจบ ดาบขนาดใหญ่ก็อยู่ห่างจากศีรษะเขาเพียงแค่สิบจ้าง!
ดาบเล่มนี้มีความยาวทั้งหมดหนึ่งร้อยจ้าง ยักษ์ตนนั้นสูงสามสิบจ้าง และเต็มไปด้วยพละกำลัง ถึงแม้มันจะไม่มีพื้นฐานฝึกตน ก็เห็นได้ชัดว่าแข็งแกร่งเพียงพอที่จะทำให้ใครก็ตามสั่นสะท้านด้วยความหวาดกลัว
ดาบตกลงมายังศีรษะเมิ่งฮ่าว ทำให้กลุ่มหมอกรอบๆ ตัวเขาพลุ่งพล่านปั่นป่วนกระจายออกไปทั่วทุกทิศทาง ยิ่งทำให้เมิ่งฮ่าวกลายเป็นจุดเด่นอยู่ในสนามรบ
แต่ในขณะที่ดาบใกล้เข้ามา เมิ่งฮ่าวไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้น เขายื่นมือขวาออกไป และคว้าจับดาบนั้นไว้ด้วยมือเปล่า เสียงระเบิดขนาดใหญ่ดังก้องออกไป
พลังมหาศาลพุ่งออกมาจากดาบเข้าไปในร่างเมิ่งฮ่าว ทำให้กระดูกของเขาเกิดเป็นรอยร้าว และบนพื้นดินรอบๆ ตัวเขาก็มีรอยร้าวปรากฎขึ้นมากมาย พลังอันมากมายมหาศาลนั้น ทำให้แม้แต่เท้าของเขายังต้องจมลงไปในพื้นดินถึงเจ็ดแปดชุ่น (1 ชุ่น = 2.3 เซนติเมตร)
สีหน้าเมิ่งฮ่าวไม่เปลี่ยนไป เขาหันร่างมองไปที่ยักษ์ตนนั้น
“กาลเวลา!” เขากล่าวเสียงราบเรียบ และกระบี่ไม้แห่งกาลเวลาสิบเล่มก็ลอยออกมาจากถุงสมบัติ เพื่อก่อตั้งเป็นค่ายกลกระบี่ดอกบัว หมุนวนอยู่ในอากาศเป็นวงกลมรอบๆ ยักษ์ตนนั้น
ยักษ์ส่งเสียงแผดร้องและพยายามจะกระชากดาบของมันกลับไป แต่ต้องพบกับความประหลาดใจ ไม่ว่ามันจะใช้กำลังมากมายแค่ไหน ดาบนั้นก็ยังคงติดอยู่ที่ปลายนิ้วของเมิ่งฮ่าว ไม่มีทางที่มันจะดึงกลับไปได้
ดวงตายักษ์ส่องประกายเป็นแสงสีเขียวขณะที่มันส่งเสียงแผดร้อง มันปล่อยมือจากดาบ และจากนั้นก็กำมือเป็นหมัด กระแทกลงมายังเมิ่งฮ่าว
“น่าสนใจนัก” เมิ่งฮ่าวกล่าวพร้อมกับหัวเราะ “น่าเสียดายจริงๆ ที่ต้องสังหารเจ้า” เขาโยนดาบยักษ์ไปที่ด้านข้าง บังคับกระบี่ไม้แห่งกาลเวลา และใช้วิชาระเบิดโลหิตชั่วพริบตา เพื่อหายตัวไปที่ด้านขวา ก่อนที่กำปั้นขนาดใหญ่มหึมาจะกระแทกลงมา เมื่อปรากฎตัวขึ้นอีกครั้ง เขาก็ไปอยู่ที่ด้านบนศีรษะของยักษ์ตนนั้น ใช้นิ้วชี้ข้างซ้ายชี้ลงไป
“ผนึกความเที่ยงธรรม!”
ทันใดนั้น เมิ่งฮ่าวก็มองเห็นภาพภูติผีพุ่งขึ้นมาจากทุกที่ในสนามรบ มีเขาคนเดียวที่มองเห็น ขณะที่เส้นใยปราณเส้นแล้วเส้นเล่าพุ่งเข้าไปในศีรษะของยักษ์ตนนั้นอย่างรวดเร็ว
ยักษ์ส่งเสียงแผดร้อง ใช้สองมือกระแทกตรงเข้ามายังเมิ่งฮ่าว แต่วิชาระเบิดโลหิตชั่วพริบตาก็แวบขึ้น และเขาก็หายตัวไปโดยสิ้นเชิง ไม่ว่ายักษ์จะพยายามจับตัวเขากี่ครั้ง มันก็ไม่สามารถจับได้ และเขายังคงใช้วิชาผนึกความเที่ยงธรรมอย่างต่อเนื่อง ภาพที่เห็นนี้ทำให้ดวงตาของพวกที่มองดูอยู่เต็มไปด้วยความตกตะลึง
“ได้รับการผนึกความเที่ยงธรรม เป็นสิ่งที่โชคดีสำหรับเจ้า, ถ้าเจ้ายังเอาแต่ต่อต้าน…” เขากดมือลงไปบนศีรษะยักษ์ ดวงตาสาดประกายด้วยแสงแปลกๆ สัมผัสได้ถึงเจตจำนงที่ต่อต้านกลับมาของยักษ์ตนนั้น แต่ก็รู้สึกได้ถึงความประสงค์ของปราณอสูรที่เขาส่งเข้าไปในตัวมันด้วยเช่นกัน ด้วยสีหน้าที่ลังเลจนบิดเบี้ยวดูเหมือนจะทำให้มันหยุดชะงักลง
เมิ่งฮ่าวบอกได้ว่ายักษ์ตนนี้ไม่เหมือนกับมนุษย์ทั่วไป แต่คล้ายกับพวกสัตว์ป่ามากกว่า มันมีร่างกายที่ใหญ่โต แต่จริงๆ แล้วก็ไม่อาจจะพูดเป็นภาษาออกมาได้ ความรับรู้ของมันค่อนข้างจำกัด และไม่อาจจะฝึกฝนวิถีเซียนได้
แต่เมื่อมันโจมตี ความแข็งแกร่งของร่างกายก็ระเบิดออกมา เทียบเท่ากับวงจรอันยิ่งใหญ่ขั้นสุดท้ายพื้นฐานลมปราณ ในบางครั้ง ความแข็งแกร่งล้วนๆ ของร่างกายมัน จริงๆ แล้วก็ยังน่ากลัวกว่าพลังพื้นฐานฝึกตนซะอีก
ดังนั้นเมิ่งฮ่าวจึงตัดสินใจที่จะทดสอบวิชาผนึกความเที่ยงธรรม เขาต้องการจะเห็นว่าการคาดเดาที่เกี่ยวกับผลกระทบของมันถูกต้อง…ด้วยการเป็นผู้ผนึกอสูร เขาควรจะสามารถใช้ผนึกความเที่ยงธรรมกับสิ่งมีชีวิตใดๆ ก็ได้ในสวรรค์และปฐพีแห่งนี้ ด้วยข้อพิสูจน์นี้ก็ช่วยให้มันกลายเป็นอสูร!
ขณะที่คำพูดดังออกมาจากปาก ยักษ์ตัวใหญ่ก็เริ่มสั่นสะท้าน แสงสีเขียวในดวงตาจางหายไป ราวกับว่าทันใดนั้น มันสามารถคิดได้ สีหน้าของมันไม่ได้ดุร้ายป่าเถื่อนอีกต่อไป แต่แสดงถึงการเชื่อฟังในคำสั่ง ตอนนี้มันกระจายปราณอสูรออกมาจากร่างกาย
ผู้ฝึกตนดินแดนสีดำไม่เข้าใจอย่างถ่องแท้ถึงสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นนี้ แต่ภาพที่เห็นก็ทำให้ทุกคนตกตะลึง ถึงแม้ว่าพวกมันดูเหมือนจะไม่ค่อยรู้สึกน่าเหลือเชื่อเท่ากับสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้กับมังกรปีกวารี
สำหรับผู้ฝึกตนทะเลทรายตะวันตก สิ่งที่เกิดขึ้นนี้ทำให้จิตใจพวกมันหมุนคว้างอย่างไม่อาจจะควบคุมตัวเองได้
โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับสามซือหลง ใบหน้าพวกมันเต็มไปด้วยความไม่อยากจะเชื่ออย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ราวกับว่าจิตใจพวกมันพังทลายลงไปโดยสิ้นเชิง สมองพวกมันหมุนไปมาจนถึงจุดที่ว่างเปล่าโดยสิ้นเชิง
“ยักษ์เถื่อนยอมจำนนจริงๆ…นั่นเป็นไปไม่ได้! ยักษ์เถื่อนไม่เคยยอมจำนน! แม้แต่ต้าซือหลงก็ไม่อาจจะทำเช่นนี้ได้ แม้เผ่าสวรรค์เถื่อนของพวกเราจะสามารถใช้พวกมันได้ แต่ก็เนื่องมาจากการจัดเตรียมอย่างพิเศษที่พวกเรามีกับพวกยักษ์เถื่อน นอกจากพวกเราแล้ว ก็ไม่มีใครในทะเลทรายตะวันตกทั้งหมดจะสามารถทำให้ยักษ์เถื่อนยอมจำนนได้!”
“ไม่มีอะไรที่เกี่ยวข้องกับพื้นฐานฝึกตน มันเหมือนกับเป็นกฎของยักษ์เถื่อน ศักดิ์ศรีและโลหิตของพวกมันไม่ยอมให้ทำเช่นนั้น แล้ว…แล้วเกิดอะไรขึ้น…?”
ซือหลงทะเลทรายตะวันตกต่างก็ตกตะลึง ขณะที่พวกมันมองเห็นเมิ่งฮ่าวยืนอยู่บนศีรษะของยักษ์ตนนั้น ไม่ได้สนใจในความปั่นป่วนวุ่นวายที่เขาได้สร้างขึ้นในสนามรบนี้เท่าใดนัก ไม่ได้สนใจต่อความตกตะลึงซึ่งผู้คนกำลังมองมา ไม่แม้แต่จะสังเกตว่ากลุ่มหมอกที่เขาสร้างขึ้น ได้ลอยขึ้นไปในอากาศและกลายเป็นสายฝนพิษตกลงมา
แต่เขากำลังมองลงไปยังหานเสวี่ยชานที่มีใบหน้าซีดขาวแทน
“ข้าช่วยชีวิตเจ้าไว้เป็นครั้งที่สองแล้วในตอนนี้” เขากล่าวพร้อมรอยยิ้ม “เจ้าต้องคิดหาวิธีตอบแทนข้า ขึ้นมาบนนี้ ข้าจะนำเจ้ากลับบ้าน” ทันใดนั้น ยักษ์ก็ก้มตัวลงไปบนพื้น แบฝ่ามือลงไปที่เบื้องหน้าหานเสวี่ยชาน
ทุกคนที่อยู่รอบๆ ตัวนางมองมา ขณะที่นางอ้าปากค้างมองขึ้นไปยังเมิ่งฮ่าว ไม่แน่ใจว่าทำไมนางถึงได้ทำเช่นนั้น จู่ๆ นางก็ยกเท้าขึ้น และก้าวไปบนฝ่ามือยักษ์ มันยกร่างนางขึ้นไป และวางไว้บนศีรษะของมัน เมื่อนางไปยืนอยู่ข้างกายเมิ่งฮ่าว ยักษ์ก็ส่งเสียงแผดร้อง และเริ่มเดินตรงไปยังกำแพงเมืองเซิ่งเสวี่ย
ด้านบนขึ้นไปในท้องฟ้า สองผู้ฝึกตนวิญญาณแรกก่อตั้งที่เคยต่อสู้กันอยู่ ตอนนี้ต่างก็จ้องไปยังภาพแปลกๆ ที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ด้านล่าง เมิ่งฮ่าวก็สังเกตเห็นความสนใจของพวกมันด้วยเช่นกัน
ยักษ์พุ่งตรงไป ทำให้เกิดเป็นสายลมส่งเสียงหวีดหวิวออกมา และพื้นดินก็สั่นสะเทือน ในที่สุด มันก็เข้าไปใกล้เกราะป้องกันของเมืองเซิ่งเสวี่ย ผู้ฝึกตนที่อยู่ด้านในมองเห็นทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้น แต่ตอนนี้ก็ไม่แน่ใจว่าควรจะเปิดเกราะป้องกันหรือปิดมันไว้ต่อไป
ในตอนนี้เองที่เสียงเป่าหลอดเขาสงคราม ทันใดนั้นก็ดังขึ้นมา โม่ถู่กงและผู้ฝึกตนทะเลทรายตะวันตกเริ่มถอยกลับไป รวมถึงขุมกำลังทั้งหมดที่อยู่รอบๆ เมือง ทั้งสัตว์ปีศาจและสัตว์อสูร หลังจากชั่วธูปไหม้หมดไปหนึ่งดอก ก็ไม่เห็นขุมกำลังของศัตรูอยู่รอบๆ เมืองเซิ่งเสวี่ยอีกต่อไป
สงครามครั้งแรกนี้เป็นการลองเชิงดูขุมกำลังของทั้งสองฝ่าย การต่อสู้ถูกจำกัดอยู่ที่ต่ำกว่าขั้นวิญญาณแรกก่อตั้ง แต่การปรากฎตัวของเมิ่งฮ่าวก็ทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างปั่นป้วนขึ้นมา ความเชื่อมั่นของกองกำลังโม่ถู่กงถูกทำลายไป ดังนั้นพวกมันจึงไม่ลังเลใดๆ ที่จะล่าถอยออกไปก่อน
เสียงโห่ร้องด้วยความยินดีดังขึ้นมาจากภายในเมืองเซิ่งเสวี่ย เมื่อโม่ถู่กงล่าถอยกลับไป ผู้คนมากมายก็เข้าใจว่าสงครามครั้งนี้เพิ่งจะเริ่มต้นขึ้นเท่านั้น
สำหรับหญิงชราวิญญาณแรกก่อตั้ง นางบินลงไปลอยอยู่เบื้องหน้าเมิ่งฮ่าว ขณะที่นางมองมา ความเงียบปกคลุมไปรอบๆ พวกเขา เกราะป้องกันยังคงไม่ได้เปิดออก สายตาทุกคู่จ้องมายังเมิ่งฮ่าว
“เจ้าต้องการอะไร?” หญิงชราถาม
“ตัวไหมหิมะเยือกเย็น” เมิ่งฮ่าวกล่าวตอบพร้อมรอยยิ้ม
“เจ้ามีข้อดีอะไร?” หญิงชราย้อนกลับมาด้วยน้ำเสียงที่ไม่รีบร้อน
“ข้าช่วยนางไว้” เมิ่งฮ่าวกล่าว ชี้ไปยังหานเสวี่ยชาน
หญิงชราส่ายหน้า “นั่นไม่เพียงพอ”
“ข้าช่วยนางสองครั้ง!” เมิ่งฮ่าวกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“ยังไม่เพียงพอ” หญิงชรามองมายังเมิ่งฮ่าวอย่างเยือกเย็น
เมิ่งฮ่าวลังเลชั่วครู่ “ข้าคิดว่าข้าคงต้องช่วยนางอีกครั้งเป็นครั้งที่สาม” เขากล่าว
“แม้แต่เจ้าจะแต่งงานกับนาง ก็ยังคงไม่เพียงพอ” หญิงชรากล่าวเสียงราบเรียบ “ต้องใช้เวลาหลายปีเพื่อเลี้ยงตัวไหมหิมะเยือกเย็นตามขั้นตอนของตัวไหมทั้งหมด ตอนนี้ตระกูลพวกเรามีดักแด้เหลืออยู่เพียงแค่สองตัวเท่านั้น!”
เมิ่งฮ่าวครุ่นคิดชั่วครู่ “ข้าชำนาญเรื่องพิษ” เขากล่าว
หญิงชรามองเขาอย่างลึกซึ้ง “ถ้าเจ้าปรุงยาพิษให้กับตระกูลหานเสวี่ยหนึ่งปี ข้าก็จะมอบตัวไหมหิมะเยือกเย็นให้แก่เจ้า แต่ถ้าข้าพบว่าเจ้ามีเจตนาอื่นอีก เจ้าก็จะไม่มีทางรอดชีวิตออกไปจากเมืองนี้ได้” ด้วยเช่นนั้น นางก็ชี้มือขวาไป ทำให้หานเสวี่ยชานบินตรงไปที่นาง คนทั้งสองบินตรงกลับไปยังเกราะป้องกัน
ก่อนที่จะผ่านทะลุเกราะป้องกันเข้าไป หานเสวี่ยชานมองกลับมายังเมิ่งฮ่าว
“ท่านยายรักษาคำพูดของนางเสมอ!” นางกล่าว “ถ้าท่านมีเจตนาร้ายใดๆ สายฟ้าสวรรค์ก็จะทำลายวิญญาณท่านไป ระมัดระวังตัวด้วย!”
เมิ่งฮ่าวยิ้ม และกำลังจะกล่าวคำพูดบางอย่าง แต่สีหน้าเขาก็เปลี่ยนไปในทันที โดยไม่หยุดชะงักลง เขายกมือขึ้นไปในอากาศ มีวิญญาณของปรมาจารย์ตระกูลหลี่อยู่ในมือ เสียงฟ้าร้องดังก้องกังวานออกมา และสายฟ้าก็พุ่งลงมากระแทกเข้าไปยังร่างวิญญาณ เสียงแผดร้องอย่างน่าอนาถใจดังออกมา ติดตามด้วยเสียงก่นด่าสาปแช่งอย่างดุร้าย เมิ่งฮ่าวรีบเก็บวิญญาณกลับเข้าไปในทันที
เขามองไปรอบๆ ดูทุกคน แม้แต่หญิงชราก็จ้องมาที่เขาด้วยความตกตะลึง
“อืม, น่าแปลกใจจริงๆ” เขากล่าวพร้อมกับส่งเสียงไอออกมา มีสีหน้ากระอักกระอ่วนอยู่เล็กน้อย “ช่างคาดไม่ถึงนัก”
Read »

ตอนที่ 355 : มังกรบนท้องฟ้า!

ดูเหมือนว่าผู้ฝึกตนที่ใกล้เข้ามา จริงๆ แล้วก็เตรียมตัวจะโจมตี เมิ่งฮ่าวแวบคิดขึ้น “ถึงข้าจะช่วยนางไว้ แต่ก็คงไม่มีใครเชื่อ” ผู้ที่นำอยู่ด้านหน้าเป็นบุรุษหนุ่มหน้าตาหล่อเหลา ซึ่งดูท่าทางกังวลใจเป็นอย่างมาก พื้นฐานฝึกตนของมันอยู่ในขั้นสุดท้ายสร้างแกนลมปราณ
ที่ติดตามมันมาเป็นผู้ฝึกตนสิบกว่าคน ผู้ที่อ่อนแอที่สุดอยู่ในขั้นต้นสร้างแกนลมปราณ มีอยู่สามคนที่อยู่ในขั้นเดียวกับบุรุษหนุ่มผู้นั้น, ขั้นสุดท้ายสร้างแกนลมปราณ
ที่อยู่ด้านหน้าของคนกลุ่มนี้เป็นดาวห้าดวงที่กำลังหมุนวนไปมา ค่ายกลเวทนี้ส่องแสงเจิดจ้า และทำให้พวกมันมีความรวดเร็วราวกับสายลมขณะที่พวกมันพุ่งโจมตี
ทันใดนั้น หานเสวี่ยชานก็พุ่งตรงออกไป ด้วยความรวดเร็วอย่างน่าเหลือเชื่อ ทำให้ดวงตาเมิ่งฮ่าวแวบแสงขึ้น เห็นได้ชัดว่า นางได้ปกปิดความเร็วที่แท้จริงของนางไว้ก่อนหน้านี้ ขณะที่นางบินตรงไป กลุ่มหมอกของน้ำแข็งและหิมะก็ปรากฎขึ้นใต้เท้าของนาง เกิดเป็นแรงขับเคลื่อนให้นางพุ่งตรงไป ผู้ฝึกตนอีกสองคนก็พุ่งออกไปด้วยเช่นกัน โดยการใช้วิชาเวทและของวิเศษช่วยเพิ่มความเร็ว
เห็นได้ชัดว่าพวกมันกังวลว่าเมิ่งฮ่าวจะโจมตี หรือทำบางอย่างเพื่อหยุดยั้งพวกมัน แต่วิชาเวทหรืออาวุธเวทที่พวกมันใช้ต่างก็สูญเปล่า เมิ่งฮ่าวไม่ได้กระทำสิ่งใดๆ นอกจากมองพวกมันจากไป รอยยิ้มอันลี้ลับปรากฎขึ้นบนใบหน้าจางๆ  เขาไม่ได้ถอยหลังไปแม้แต่ครึ่งก้าว ปล่อยให้พวกมันพุ่งออกไป
ทำให้สองผู้ฝึกตนจ้องมองมาด้วยความตกตะลึง แต่พวกมันก็ไม่มีเวลาที่จะขบคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ ขณะที่ยังคงระมัดระวังตัวอยู่เหมือนเช่นเคย พวกมันพาหานเสวี่ยชานบินลงไปยังสนามรบ พร้อมที่จะปกป้องนางด้วยชีวิตของพวกมัน ขณะที่หานเสวี่ยชานบินไปเรื่อยๆ แสงสีเงินก็ลอยออกมาจากร่างกาย ไม่ว่าแสงสีเงินนั้นกระจายไปที่ไหน สัตว์ปีศาจที่อยู่รอบๆ ก็จะหยุดเคลื่อนไหว และตัวสั่นสะท้านไปมา ทำให้พวกมันยากที่จะพุ่งเข้ามาได้อย่างรวดเร็ว
เมื่อหานเสวี่ยชานและผู้พิทักษ์ของนางห่างจากเมิ่งฮ่าวหลายร้อยจ้าง เขามองเห็นคนทั้งสามไปพบกับบุรุษหนุ่มผู้นั้นและกลุ่มของพวกมัน ทั้งสองกลุ่มดูเหมือนจะค่อนข้างตื่นเต้น แต่ก็รู้ว่านี่ไม่ใช่เวลาที่จะมาพูดคุยกัน ผู้ฝึกตนที่มาจากกลุ่มของบุรุษหนุ่มผู้นั้นกระจายออกเป็นรูปพัดเพื่อปกป้องหานเสวี่ยชาน และพวกมันก็มุ่งหน้าตรงเข้าไปในเมือง
ในตอนนี้เองที่หานเสวี่ยชานในที่สุดก็ถอนหายใจอย่างโล่งอกอออกมา นางมองกลับไปยังเมิ่งฮ่าวที่อยู่ห่างไกล แววตาฉลาดแกมโกงและแสงแห่งความอิ่มเอมใจสาดประกายออกมา
แต่ในขณะที่กลุ่มของพวกนางเริ่มเคลื่อนที่ไป มังกรวารี, ผู้ฝึกตนดินแดนสีดำ รวมถึงสุนัขป่าสีดำกลุ่มใหญ่ ก็พุ่งโจมตีตรงไปที่พวกมัน ที่ห่างไกลออกไปมีผู้ฝึกตนทะเลทรายแปดคนใกล้เข้ามาด้วยเช่นกัน สนามรบตกอยู่ในความปั่นป่วนวุ่นวาย แต่เมิ่งฮ่าวก็มองเห็นได้อย่างชัดเจนว่าเรื่องราวทั้งหมดนี้กำลังเข้มข้นมากขึ้นเรื่อยๆ
“อย่าคิดว่าข้าจะลืมเรื่องที่ช่วยชีวิตเจ้าไว้ได้อย่างง่ายดาย” เมิ่งฮ่าวพึมพำ ในตอนนี้ แม้เขาจะมองเห็นว่านี่ไม่ใช่เป็นการต่อสู้ที่ทุ่มเทกันอย่างสุดกำลัง ทั้งสองฝ่ายยังมีข้อวิตกกังวลต่างๆ มากมาย และได้ถนอมกำลังไว้
กลุ่มที่แข็งแกร่งมากที่สุดในสนามรบ ก็คือผู้ฝึกตนขั้นวิญญาณแรกก่อตั้งแห่งโม่ถู่กง ซึ่งยังไม่ได้ลงมือโจมตี บุคคลที่ถูกส่งไปคุ้มกันหานเสวี่ยชานอยู่ในขั้นสุดท้ายสร้างแกนลมปราณ เมืองเซิ่งเสวี่ยยังไม่ได้ส่งผู้ฝึกตนขั้นวิญญาณแรกก่อตั้งออกมา
“พวกมันยังไม่ได้ทุ่มเทสุดกำลัง” เมิ่งฮ่าวคิด กวาดมองไปรอบๆ สนามรบ “ทั้งสองฝ่ายต่างก็ปกปิดความแข็งแกร่งที่แท้จริงไว้ การต่อสู้รอบนี้เพียงแค่หยั่งเชิงดูขุมกำลังของแต่ละฝ่าย ดูแล้วไม่มีอะไรที่จะมาสร้างปัญหาให้กับข้าได้” เขาเริ่มเดินเนิบๆ ตรงไป ติดตามด้วยผู้ฝึกตนทะเลทรายตะวันตกที่งุนงงสับสน
ทันใดนั้น แสงก็แวบขึ้นภายในเมืองเซิ่งเสวี่ย มีเงาร่างพุ่งออกมาจากกำแพงเมือง เป็นหญิงชราที่มีผมสีเทา ผู้ฝึกตนวิญญาณแรกก่อตั้งหน้ากากสีเงิน แห่งโม่ถู่กงก้าวตรงไปขวางหน้า ดวงตาสาดประกาย คนทั้งสองไม่พูดจา พวกมันโจมตีซึ่งกันและกันด้วยความสามารถศักดิ์สิทธิ์ในทันที
เสียงระเบิดดังก้องออกมา และท้องฟ้าเหนือสนามรบก็มืดมัวลงไปในทันที
ในเวลาเดียวกันนั้น การเข่นฆ่าสังหารในสนามรบก็มีความเข้มข้นดุเดือดมากขึ้น ผู้ฝึกตนหลั่งไหลอกมาจากเมืองเซิ่งเสวี่ยเพื่อเข้าร่วมการต่อสู้มากยิ่งขึ้น
ขณะที่หานเสวี่ยชาน เริ่มมีความกังวลมากขึ้น ถึงแม้จะถูกห้อมล้อมไปด้วยผู้คุ้มกันจากเมืองเซิ่งเสวี่ย นางก็ยังคงอยู่ค่อนข้างห่างไกลจากกำแพงเมือง ยิ่งไปกว่านั้น สุนัขป่า, สิงโต, มังกรวารี และผู้ฝึกตนจากโม่ถู่กง และทะเลทรายตะวันตกที่อยู่รายรอบก็ทำให้ยากที่จะเคลื่อนที่ตรงไป ในกลุ่มคนนับสิบของผู้ฝึกตนเมืองเซิ่งเสวี่ย ตกตายไปแล้วสามคน
ดาวเวทห้าดวงหมุนวนอย่างรวดเร็ว แต่แม้จะมีลำแสงสีขาวเจิดจ้าพุ่งออกมา ก็ยังไม่อาจจะช่วยให้พวกมันหลุดพ้นไปจากอันตรายที่อยู่ตรงหน้าได้ ที่สำคัญมากไปกว่านั้น หนึ่งในยักษ์ขนาดใหญ่ก็กำลังใกล้เข้ามา กวัดแกว่งดาบยักษ์ของมันไปมา นอกจากนี้ กลุ่มมังกรวารีสิบกว่าตัวก็กำลังพุ่งตรงมายังดาวทั้งห้าดวงนั้น เห็นได้ชัดว่ามีความตั้งใจจะทำลายพวกมันไป
ถ้าดาวเวททั้งห้านั้นถูกทำลายไป พวกหานเสวี่ยชานก็จะยิ่งมีอันตรายมากขึ้น
เสียงแผดร้องดังก้องไปทั่ว ขณะที่มังกรวารีสิบกว่าตัวเริ่มคำราม ร่างพวกมันเปล่งแสงริบหรี่ขณะที่พุ่งตรงเข้าไปยังวัตถุเวทดาวห้าดวง เสียงระเบิดดังก้องไปทั่วในอากาศ ขณะที่ดาวทั้งห้าดวงเริ่มแตกออก ไม่นานหลังจากนั้น ก็แหลกสลายไปโดยสิ้นเชิง
เมื่อวัตถุเวทดาวห้าดวงแตกออก ผู้ฝึกตนสี่คนที่อยู่รอบๆ หานเสวี่ยชานก็ตายไป เมื่อนางได้ยินเสียงแผดร้องอย่างโหยหวนก่อนตายของพวกมัน ใบหน้าก็ซีดขาว นางมองไปขณะที่หนึ่งในผู้ฝึกตนเลือกที่จะระเบิดตัวเองก่อนที่จะถูกสังหารไป แรงระเบิดกระจายออกไป กระแทกเข้าไปยังศัตรูของพวกมัน ช่วยยืดระยะเวลาให้กลุ่มของนางเล็กน้อย
บุรุษหนุ่มในขั้นสุดท้ายสร้างแกนลมปราณ คว้าจับหานเสวี่ยชานไว้ด้วยความห่วงใย ดวงตาของมันแดงก่ำขณะที่ฉุดดึงนางตรงไปยังกำแพงเมือง ดูเหมือนมันกังวลใจว่า สัตว์อสูรและผู้ฝึกตนที่อยู่ใกล้ๆ จะใช้การระเบิดตัวเองด้วยเช่นกัน
ความอิ่มเอมใจที่หานเสวี่ยชานได้แสดงให้เมิ่งฮ่าวเห็นก่อนหน้านี้หายไปอย่างสิ้นเชิง แทนที่ด้วยความทุกข์ร้อน นางได้แต่กัดริมฝีปากขณะที่ติดตามบุรุษที่เบื้องหน้านางไป
ในตอนนี้เองที่เมิ่งฮ่าวเข้าไปในสนามรบ ก่อนที่เขาจะเคลื่อนที่ไปได้ไกล สุนัขป่าสีดำที่อยู่ใกล้ๆ ก็พุ่งตรงมา กระจายความโหดเหี้ยมอย่างบ้าคลั่งออกมา มือขวาเมิ่งฮ่าวพุ่งออกไป และคว้าจับไปที่ลำคอของหนึ่งในพวกมัน ใช้มือซ้ายบังคับให้เม็ดยาไหลเข้าไปในปากของมัน ซึ่งทำให้ตัวมันเริ่มสั่นอย่างรุนแรง ทันใดนั้นขนของมันก็เริ่มหลุดร่วงลงมาจากลำตัว จากนั้นร่างมันก็เริ่มบวมขึ้น ขั้นตอนทั้งหมดนี้ใช้เวลาเพียงแค่ไม่กี่อึดใจ ขณะที่สุนัขป่าตัวอื่นๆ เริ่มเข้ามาใกล้ เมิ่งฮ่าวก็ปล่อยมันไป
เสียงระเบิดดังก้องออกไป ขณะที่สุนัขป่าที่ไร้ขนตัวนั้นส่งเสียงแผดร้องแหลมเล็กออกมา และจากนั้นก็ระเบิดขึ้น ไม่มีเศษเลือดเนื้อ มีแต่กลุ่มหมอกสีดำกระจายออกไปทั่วทุกทิศทาง ทันทีที่สุนัขป่าที่เข้ามาใกล้สัมผัสกับกลุ่มหมอก ร่างของพวกมันก็เริ่มแห้งเหี่ยวไป ส่งเสียงกรีดร้องอย่างโหยหวนออกมา ขณะที่ร่างของพวกมันกลายเป็นกลุ่มหมอกด้วยเช่นกัน อย่างรวดเร็ว พื้นที่รอบๆ เมิ่งฮ่าวเต็มไปด้วยกลุ่มหมอกอันหนาแน่น
เขาเดินต่อไป ด้วยสีหน้าสงบนิ่งเหมือนเช่นเคย แน่นอนว่า ภาพที่เพิ่งจะเกิดขึ้นนี้ทำให้ดวงตาผู้ที่มองมาทุกคนเต็มไปด้วยความประหลาดใจ
ขณะที่เขาเดินต่อไป กลุ่มหมอกก็ม้วนตัวไปมา สังหารสัตว์ปีศาจที่เข้ามาสัมผัสมันไปทุกตัว ไม่นานนักก่อนที่เขาจะถูกห้อมล้อมด้วยกลุ่มหมอกที่กระจายออกไปทั่วทุกทิศทางในรัศมีสิบจ้าง ตอนนี้ผู้คนมากมายในสนามรบกำลังมองมายังทิศทางที่เขาเดินอยู่
หานเสวี่ยชานก็มองเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นนี้ด้วยเช่นกัน ในตอนนี้เองที่สิงโตสีฟ้าขนาดใหญ่ ยาวมากกว่าสิบจ้าง กระโจนเข้าใส่เมิ่งฮ่าว ก่อนที่มันจะทันเข้าไปใกล้ มือขวาเมิ่งฮ่าวก็ยื่นออกมารวดเร็วราวสายฟ้า คว้าจับไปที่ลำคอของสิงโต และอีกครั้งที่เขาใช้มือซ้ายบังคับให้เม็ดยาไหลเข้าไปในปากของมัน
ทุกคนมองดูด้วยความประหลาดใจ ขณะที่ขนของสิงโตยักษ์เริ่มหลุดล่วงในทันใด หลังจากนั้น มันก็ระเบิดออก ไม่มีเศษเลือดเนื้อแต่กลายเป็นกลุ่มหมอกสีฟ้า
หมอกสีฟ้ากระจายออกไปในอากาศที่เยือกเย็น หลอมรวมเข้ากับกลุ่มหมอกสีดำอย่างรวดเร็ว หมอกกลุ่มใหม่ขยายตัวออก และตอนนี้ เมิ่งฮ่าวก็ไม่จำเป็นต้องโจมตีสิงโตสีฟ้าใดๆ ด้วยตัวเอง ทันทีที่พวกมันสัมผัสกับกลุ่มหมอก เสียงแผดร้องอย่างโหยหวนน่ากลัวก็ดังก้องไปทั่วทั้งสนามรบ
เสียงหอบหายใจได้ยินออกมาจากผู้ฝึกตนโม่ถู่กงที่อยู่ใกล้ๆ
“นั่นคือใคร?!”
“นั่นก็คือ…ยาพิษ? คนผู้นั้นเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านพิษ!”
“นั่นไม่ใช่พิษร้ายธรรมดา เมื่อดูจากที่มันมีผลต่อสัตว์ปีศาจทะเลทรายตะวันตก! พิษนี้…มัน…”
ผู้ฝึกตนโม่ถู่กงถอยไปด้านหลัง ใบหน้าภายใต้หน้ากากของพวกมันเต็มไปด้วยความตกใจ เมื่อคิดว่าสัตว์ปีศาจของผู้ฝึกตนทะเลทรายตะวันตก ไม่มีวิธีที่จะหลบเลี่ยงพิษร้ายของเมิ่งฮ่าวได้ และพวกมันจะทำอะไรได้?
ที่ตกใจมากกว่าพวกมันก็คือผู้ฝึกตนทะเลทรายตะวันตก พวกมันทั้งหมดมองไปยังเมิ่งฮ่าวด้วยสายตาที่แปลกประหลาดใจและหวาดกลัว
ท่ามกลางขุมกำลังของทะเลทรายตะวันตก มีอยู่สามคนที่เห็นได้ชัดว่าไม่ได้มีรูปร่างสูงใหญ่เหมือนกับคนอื่นๆ แต่พวกมันก็ยังคงมีรอยสักภาพศักดิ์สิทธิ์อยู่ตามร่างกาย นี่เป็นซือหลงทะเลทรายตะวันตก เป็นมนุษย์ที่สามารถควบคุมสัตว์ปีศาจ
มังกรวารีทั้งหมด, สุนัขป่าสีดำ และสิงโตในพื้นที่บริเวณนั้นต่างก็อยู่ใต้การควบคุมของพวกมัน แต่พวกมันก็ดูเหมือนจะมีความตกใจมากกว่าคนอื่นๆ ที่อยู่ในสนามรบ ลมหายใจพวกมันเริ่มกระชั้นเร่งร้อนถี่เร็วขึ้นมา ขณะที่จ้องไปยังกลุ่มหมอกที่อยู่รายรอบเมิ่งฮ่าว จิตใจเต็มไปด้วยความประหลาดใจ
“ต้าซือหลง! มันเป็นต้าซือหลง…”
“มีเพียงซือหลงเท่านั้นที่จะเข้าใจสัตว์ปีศาจได้ดี แต่การที่สามารถสังหารพวกมันเช่นนั้น…”
เมิ่งฮ่าวเดินตรงไป ที่ด้านบน เสียงแผดร้องอย่างดุร้ายดังออกมา ขณะที่มังกรวารีสามตัวพุ่งตรงมา เมิ่งฮ่าวมองขึ้นไป แสงแปลกๆ สาดประกายอยู่ในดวงตา ไม่จำเป็นต้องใช้พิษในสถานการณ์นี้ สิ่งที่เขาต้องทำทั้งหมดก็คืออ้าปากไปยังทิศทางของมังกรวารีและสูดลมหายใจเข้าไปลึกๆ
ขณะที่ทำเช่นนั้น แกนมังกรปีกวารีที่อยู่ด้านในของแกนสีทอง ทันใดนั้นก็สั่นสะท้าน จู่ๆ ภาพลวงตาของมังกรปีกวารีขนาดใหญ่มโหฬารก็ปรากฎอยู่ด้านหลังเมิ่งฮ่าว
มันมีขนาดใหญ่โตมากมาย ยาวมากกว่าหลายร้อยจ้าง และก่อให้เกิดเป็นบรรยากาศที่กดขี่คุกคามซึ่งอยู่เหนือสิ่งมีชีวิตใดๆ ออกมาอย่างลึกล้ำ มันเป็นราชันแห่งท้องฟ้า! ขณะที่เมิ่งฮ่าวสูดลมหายใจเข้าไป มังกรปีกวารีก็อ้าปากของมันและพุ่งตรงไปยังมังกรวารี ดูเหมือนมันจะหิวโหยอดอยากมานาน ราวกับว่ามันไม่ไดกินอะไรมาเลยกว่าหมื่นปี
สามมังกรวารีส่งเสียงแผดร้องอย่างโหยหวนสิ้นหวังออกมา ตอนนี้พวกมันเผชิญหน้ากับมังการปีกวารี ทำให้พวกมันสั่นสะท้าน สีหน้าหวาดกลัว พวกมันต้องการจะหลบหนีไป แต่ก็ช้าไปเสียแล้ว
มังกรปีกวารีกลืนกินพวกมันลงไป เป็นภาพที่ทำให้ทุกคนในสนามรบหมุนคว้างปั่นป่วน ผู้ฝึกตนทะเลทรายตะวันตกจ้องมองมาด้วยดวงตาที่เบิกกว้าง อ้าปากหอบหายใจ ใบหน้าเต็มไปด้วยความตกตะลึง
“มัน…มันกลืนกินสัตว์ปีศาจเข้าไป!!”
“ต้าซือหลง! มันต้องเป็นต้าซือหลงอย่างแน่นอน!”
“ภูติผีมังกรปีกวารีก็คือปีศาจสวรรค์ของมัน! มันต้องเป็นปีศาจสวรรค์อย่างแน่นอน! ปีศาจสวรรค์ของต้าซือหลง (จ้าวมังกร) !!”
ผู้ฝึกตนโม่ถู่กง, ผู้ฝึกตนเมืองเซิ่งเสวี่ย ทุกคนต่างก็จ้องมายังภาพที่เบื้องหน้า จิตใจพวกมันหมุนคว้างไปมา มังกรปีกวารีที่อยู่ด้านหลังเมิ่งฮ่าว เงยหน้าขึ้นไปในท้องฟ้าส่งเสียงคำรามที่ไร้เสียงออกมา จากนั้นก็พุ่งตรงไปยังมังกรวารีที่เหลืออยู่
Read »

ตอนที่ 354 : หานเสวี่ยชาน

ด้วยการที่ไม่คุ้นเคยกับคำพูดนั้น เมิ่งฮ่าวถามขึ้น “ต้าซือหลง (จ้าวมังกร) คืออะไร?” เขาเดินเข้าไปหาผู้ฝึกตนทะเลทรายตะวันตก ซึ่งตอนนี้กำลังตัวสั่นไปมา ขณะที่มันเริ่มเกรงขามและหวาดกลัวเมิ่งฮ่าว
บุคคลที่กล่าวตอบเขาไม่ใช่ผู้ฝึกตนทะเลทรายตะวันตกที่กำลังสั่นสะท้าน แต่เป็นหญิงสาวชุดขาว, หานเสวี่ยชาน “ต้าซือหลง เป็นตำแหน่งสูงสุดของซือหลงทะเลทรายตะวันตก เหมือนกับเทพศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งตำแหน่งทั้งสองนี้เป็นตัวแทนของพลังอันสูงสุด ต้าซือหลงเลี้ยงสัตว์ปีศาจ เทพศักดิ์สิทธิ์ควบคุมภาพศักดิ์สิทธิ์มากกว่าห้าภาพขึ้นไป พลังการต่อสู้ของผู้ก่อตั้งทั้งสองเทียบเท่ากับขั้นตัดวิญญาณ และคนรุ่นหลังต่อมาก็มีพลังเกือบจะใกล้เคียงกัน”
เกราะป้องกันที่รายล้อมหญิงสาวได้หายไปแล้ว และนางก็เก็บตัวไหมที่อ่อนแรงไว้
เมิ่งฮ่าวหันหน้าไปมองนาง ครั้นแล้วนางก็ประสานมือและโค้งตัวให้
“ข้าคือหานเสวี่ยชาน แห่งตระกูลหานเสวี่ย ขอขอบคุณท่านเป็นอย่างมากที่เมตตาช่วยชีวิตข้าไว้, ผู้อาวุโส” ผู้ฝึกตนที่เหน็ดเหนื่อยหมดแรงข้างกายนางมองมายังเมิ่งฮ่าวด้วยความสำนึกในบุญคุณ แต่ก็ยังคงมีความระมัดระวังอยู่ในแววตา
นอกจากนี้ พลังที่เขาเพิ่งจะแสดงออกมาเมื่อครู่นี้ ไม่เพียงแต่จะทำให้ผู้ฝึกตนทะเลทรายตะวันตกขวัญหนีดีฝ่อเท่านั้น พวกมันก็เป็นเช่นเดียวกัน
ด้วยการโบกสะบัดชายแขนเสื้อ เมิ่งฮ่าวก็สังหารสุนัขป่าไปมากมาย เปลี่ยนโลหิตของพวกมันให้กลายเป็นกลุ่มหมอก ซึ่งทำให้เกิดเป็นสายฝนตกลงมาภายในรัศมีหนึ่งร้อยจ้าง ไร้สิ่งมีชีวิตใดๆ หลงเหลืออยู่ภายในพื้นที่บริเวณนั้น
วิธี่การเช่นนั้น ทำให้พวกมันเต็มไปด้วยความตกตะลึง ยิ่งไปกว่านั้น พวกมันก็ไม่สามารถมองเห็นพื้นฐานฝึกตนของเมิ่งฮ่าวได้อีกด้วย เขาแผ่พุ่งพลังอันลึกลับออกมา ทำให้คนทั้งหมดไม่อาจจะแสดงสิ่งใดๆ ต่อเขาได้นอกจากความเคารพนับถือ
“ข้าไม่ใช่ต้าซือหลง” เมิ่งฮ่าวกล่าว ส่ายหน้า “แต่เจ้าก็ติดหนี้ข้าหนึ่งครั้ง” เขาชี้นิ้วลงไปบนพื้น และในเวลาเดียวกันนั้น ก็กดลงไปบนหน้าผากของผู้ฝึกตนทะเลทรายตะวันตก
ร่างของมันเริ่มสั่นสะท้านขึ้นในทันที และดวงตาก็เต็มไปด้วยความว่างเปล่า ราวกับว่าทันใดนั้น มันสูญเสียความสามารถในการขบคิดไป
“พื้นฐานฝึกตนของมันอยู่เพียงแค่ขั้นต้นสร้างแกนลมปราณ” เมิ่งฮ่าวคิด “แต่มันก็สามารถควบคุมฝูงสัตว์ได้มากมาย นี่…ก็คือซือหลงทะเลทรายตะวันตก?” ตอนนี้เมิ่งฮ่าวเข้าใจถึงสถานการณ์แล้ว แต่เขาก็ยังคงอยากรู้อยากเห็นเกี่ยวกับซือหลง ดังนั้นจึงมองกลับไปยังหญิงสาวชุดขาว “ข้าไม่ได้ช่วยเจ้าโดยไร้เหตุผล” เขากล่าว
ดวงตาของสองผู้ฝึกตนที่ยืนอยู่ข้างกายนาง สาดประกายด้วยความระมัดระวังตัวมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะหลังจากที่พวกมันเห็นเมิ่งฮ่าวกดนิ้วลงไปที่หน้าผากของผู้ฝึกตนทะเลทรายตะวันตก ไม่รู้ว่าเขาได้ใช้วิธีการอะไร ทำให้บุรุษผู้นั้นจู่ๆ ก็ดูงุนงงเหม่อลอยไป เห็นได้ชัดว่าเป็นวิชาที่น่ากลัวเป็นอย่างมาก และทำให้พวกมันเริ่มกังวลใจมากยิ่งขึ้น
“โปรดบอกความต้องการของท่านมาโดยไม่ต้องลังเลใจ, ผู้อาวุโส” หานเสวี่ยชานกล่าว ด้วยเสียงแผ่วเบา
“ข้าต้องการตัวไหมหิมะเยือกเย็น” เขากล่าวตอบในทันที
สองผู้ฝึกตนที่ยืนอยู่ข้างกายนางขมวดคิ้ว ในเวลาเดียวกันนั้น พวกมันก็พยายามที่จะปกปิดความไม่พอใจที่มีต่อเมิ่งฮ่าวซึ่งปรากฎขึ้นในดวงตาไว้
หานเสวี่ยชานลังเลชั่วขณะ
“ผู้อาวุโส, ตัวไหมหิมะเยือกเย็นผูกมัดกับเจ้านายตั้งแต่เพิ่งจะถือกำเนิดขึ้นมา จากที่ข้าเคยกล่าวไว้ ตอนนี้ตระกูลหานเสวี่ยไม่ได้มีตัวไหมแรกกำเนิดเช่นนั้น แน่นอนว่า ข้าไม่ได้ปกปิดข้อมูลใดๆ ไว้ ถ้าท่านกลับไปพร้อมกับข้าที่เมืองเซิ่งเสวี่ย ข้าจะไปตรวจสอบเรื่องราวทั้งหมด และทำอย่างดีที่สุดเพื่อตอบแทนความเมตตาของท่าน” นางมองมายังเมิ่งฮ่าวด้วยดวงตาที่สวยงามเป็นอย่างยิ่งของนาง ซึ่งดูเหมือนจะไม่ได้มีเล่ห์เหลี่ยมใดๆ แอบซ่อนอยู่ นางรู้สึกขอบคุณที่เมิ่งฮ่าวได้ช่วยชีวิตนางไว้ แต่ก็ยังคงหวาดกลัวเขาด้วยเช่นกัน ทุกสิ่งทุกอย่างที่นางได้เห็นเมื่อครู่นี้ทำให้นางรู้สึกหวาดกลัวอย่างลึกล้ำ
คำพูดของนางฟังดูไม่เหมือนเป็นการบังคับ แต่จริงๆ แล้วก็ใช่ นางรู้สึกว่าถ้าไม่อาจจะให้คำตอบที่ถูกต้องแล้วละก็ ความเมตตาของคนผู้นี้ก็จะเปลี่ยนเป็นปฏิปักษ์ขึ้นในทันที
ยิ่งไปกว่านั้น นางก็ไม่แน่ใจว่าที่เขาปรากฎตัวขึ้นในที่แห่งนี้ตอนนี้เป็นเหตุบังเอิญ หรือว่าเขาได้จัดเตรียมเหตุการณ์ทั้งหมดไว้ แต่อย่างไรก็ตาม เขาก็ได้ช่วยชีวิตนางไว้อย่างแน่นอน หลังจากที่กลับไปยังเมืองเซิ่งเสวี่ย นางจะพยายามตอบแทนเขาให้ได้
เมิ่งฮ่าวครุ่นคิดชั่วครู่ ขณะที่มองไปยังหญิงสาว ดวงตาเต็มไปด้วยความลึกล้ำ จากนั้นเขาก็ส่งยิ้มน้อยๆ ให้และพยักหน้า
หญิงสาวชุดขาวแอบถอนหายใจด้วยความโล่งอก พร้อมกับการฝืนยิ้ม นางถอยไปด้านหลังสองสามก้าว สองผู้ฝึกตนสังเกตดูเมิ่งฮ่าวด้วยความระมัดระวังตัวมากขึ้นกว่าเดิมอย่างต่อเนื่อง ขณะที่พวกเขาออกไปจากผืนป่าด้วยกัน
ซือหลงทะเลทรายตะวันตก ติดตามเมิ่งฮ่าวไปพร้อมกับสีหน้าที่ว่างเปล่า ดูเหมือนมันจะไม่อาจควบคุมตัวเองได้ ซึ่งแน่นอนว่า ทำให้หานเสวี่ยชานและสองผู้ฝึกตนนั้นเต็มไปด้วยความแปลกใจ
เมืองเซิ่งเสวี่ย อยู่ในส่วนทิศเหนือของดินแดนสีดำ ถึงแม้มันจะอยู่ห่างไกลจากทะเลทรายตะวันตก แต่ก็ไม่ถือว่าไกลกันมากนัก พื้นดินในบริเวณนั้นถูกปกคลุมด้วยน้ำแข็งและหิมะตลอดปี ทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างกลายเป็นสีขาวโพลน
เมืองเซิ่งเสวี่ยค่อนข้างห่างไกลจากเมืองตงลั่ว ถึงแม้ทั้งสองเมืองจะเป็นสมาชิกของจิ่วเหมิง แต่ก็ไม่ค่อยได้ติดต่อกันเท่าใดนัก นอกจากนั้น ศักดิ์ฐานะของทั้งสองเมืองในจิ่วเหมิงก็เสื่อมโทรมลงเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา ถึงแม้ว่าพลังของตระกูลหานเสวี่ยจะลดน้อยลงไปเมื่อเร็วๆ นี้ ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นผู้นำของสหพันธ์ แต่พวกมันก็ยังคงมีความภาคภูมิใจและศักดิ์ศรีหลงเหลืออยู่
ยิ่งไปกว่านั้น ก็ยังมีข่าวลือเกี่ยวกับปรมาจารย์ขั้นตัดวิญญาณของพวกมัน ว่ายังคงเข้าฌาณตามลำพังอยู่อย่างต่อเนื่อง มันไม่ได้ปรากฎกายมาหลายร้อยปีแล้ว ทำให้ไม่มีใครมั่นใจว่ามันยังคงมีชีวิตอยู่หรือตายไปแล้ว
ถ้ามันยังมีชีวิตอยู่ ก็มั่นใจได้ว่าเมืองเซิ่งเสวี่ยคงไม่ประสบกับภัยร้ายแรงใดๆ
ดังนั้น ถึงแม้เมืองเซิ่งเสวี่ยจะไม่ได้รุ่งเรืองเหมือนเมื่อครั้งอดีต แต่ก็ยังคงสาดประกายด้วยศักดิ์ศรี
ตอนนี้ ทุกคนในเมืองเซิ่งเสวี่ยเต็มไปด้วยความโศกเศร้า แรงกดดันอันหนักอึ้งกดทับลงมาที่พวกมัน ราวกับว่ามีกลุ่มเมฆสีดำปกคลุมไปทั่วท้องฟ้าและกดลงมาบนพื้น กำแพงเมืองแก้วผลึกที่สดใสเป็นประกายราวกับน้ำแข็ง ยืนเต็มไปด้วยผู้ฝึกตนเมืองเซิ่งเสวี่ย พวกมันทั้งหมดจ้องมองไปยังโลกด้านนอกด้วยความระมัดระวัง
อาณาเขตที่ด้านนอกของเมืองเต็มไปด้วยความทุกข์ยาก ตอนนี้ ท้องฟ้าเต็มไปด้วยมังกรวารีสีดำสนิทมากมายจนนับไม่ถ้วน  พวกมันบิดตัวไปมาในอากาศ ดวงตาสีแดงสาดประกายอย่างดุร้าย ส่งเสียงแผดร้องแหลมเล็กออกมา ทำให้จิตใจของผู้ฝึกตนที่เฝ้ามองดูสั่นสะท้าน
ตอนที่ดูแค่แวบแรก ดูเหมือนมังกรวารีจะมีมากมายจนนับไม่ถ้วน แต่จริงๆ แล้ว ก็มีเพียงแค่ห้าสิบตัวที่บินเป็นวงกลมไปรอบๆ เมืองเซิ่งเสวี่ย ที่พื้นด้านล่างสามารถมองเห็นสิงโตสีฟ้าขนาดใหญ่เจ็ดสิบถึงแปดสิบตัว แต่ละตัวยาวเกือบสิบจ้าง ไม่ว่าพวกมันจะเดินไปที่ไหน พื้นดินที่อยู่ใต้เท้าพวกมันก็จะเปลี่ยนเป็นน้ำแข็งสีฟ้า
นอกเหนือจากสัตว์เหล่านี้ ก็ยังมีผู้ฝึกตนอีกนับพัน ซึ่งยืนอยู่ด้านหลังของเหล่าสัตว์ร้าย จ้องมองไปยังเมืองเซิ่งเสวี่ย พวกมันสวมใส่ชุดสีดำ และใบหน้าถูกปิดบังไว้ด้วยหน้ากาก พวกมันส่วนมากจะมีพื้นฐานฝึกตนอยู่ที่ขั้นพื้นฐานลมปราณ และสวมใส่หน้ากากสีขาว ท่ามกลางผู้ฝึกตนนับพัน มีเพียงสามสิบคนที่สวมใส่หน้ากากสีฟ้า
ผู้นำเป็นชายชราที่มีผมสีขาวปลิวไปมาและสวมหน้ากากสีเงิน จากกลิ่นอายพื้นฐานฝึกตนของมัน ก็เห็นได้ว่ามันอยู่ในขั้นวิญญาณแรกก่อตั้ง
ไกลออกไปยังภูเขาที่ถูกปกคลุมไปด้วยหิมะ มีบุรุษร่างสูงใหญ่นับร้อยยืนอยู่ ใบหน้าพวกมันไร้ความรู้สึก และมองเห็นรอยสักภาพศักดิ์สิทธิ์อยู่บนร่าง บางคนก็มีมากกว่าคนอื่นๆ กลิ่นอายของพวกมันดูแตกต่างไปจากผู้ฝึกตนอื่นๆ ดูท่าทางดุร้ายและแปลกประหลาดมากกว่าเล็กน้อย
นี่เป็นผู้ฝึกตนทะเลทรายตะวันตก
ระหว่างกองทัพของเมืองเซิ่งเสวี่ย และโม่ถู่กง เป็นที่ราบซึ่งยืดยาวกว้างใหญ่ซึ่งเต็มไปด้วยสายลมและหิมะ แยกพวกมันทั้งสองออกจากกัน
ที่ห่างไกลออกไปมีศิษย์ของโม่ถู่กงนับหมื่น กระจายออกไปก่อตัวเป็นกำแพงมนุษย์อยู่รอบๆ เมืองเซิ่งเสวี่ย ล้อมเมืองนี้เป็นรูปวงกลมไว้โดยสิ้นเชิง
ดูเหมือนสงครามอันยิ่งใหญ่ใกล้จะเกิดขึ้นแล้ว
ในเวลาเดียวกันนี้เองที่เมิ่งฮ่าวและคนอื่นๆ ปรากฎตัวขึ้นห่างไกลออกไป และมองเห็นภาพที่กระจายออกไปนี้ที่เบื้องหน้า สีหน้าเมิ่งฮ่าวยังคงสงบนิ่งเหมือนเช่นเคย แต่ใบหน้าของหานเสวี่ยชานและสองผู้ฝึกตนสลดลงในทันที
พวกเขาเดินทางมามากกว่าหนึ่งวัน และตลอดช่วงเวลานั้น เมิ่งฮ่าวไม่เคยถามนางเลยว่าทำไมนางถึงได้ออกไปจากเมืองเซิ่งเสวี่ย และหานเสวี่ยชานก็ไม่เคยบอกเล่าถึงรายละเอียดใดๆ
แต่จากการพูดคุยบางส่วนที่เขาได้ยินจากสองผู้ฝึกตน เขาก็รับรู้ได้ว่ากลุ่มของพวกมันในตอนแรกมีอยู่มากกว่าสามสิบคน แต่ในตอนนี้ มีเพียงพวกมันสองคนเป็นผู้คุ้มกันที่เหลืออยู่
“ดูเหมือนพวกเราไม่อาจจะเข้าไปในเมืองได้” เมิ่งฮ่าวกล่าวเสียงราบเรียบ ขุมกำลังของโม่ถู่กงตั้งแถวเรียงกันจนปิดกั้นเมืองเซิ่งเสวี่ยไว้โดยสิ้นเชิง ในตอนนี้ ยังไม่ได้ทำสงครามกัน ทำให้ไม่อาจจะบอกอะไรได้ แต่เมื่อพิจารณาจากกลุ่มคนที่อยู่ในขั้นวิญญาณแรกก่อตั้งอันแข็งแกร่ง ก็เห็นได้ชัดว่านี่ไม่ใช่การต่อสู้ที่ทัดเทียมกัน แต่เป็นการโจมตีโดยฝ่ายเดียว
หานเสวี่ยชานกำลังจะกล่าวคำพูดบางอย่าง แต่ทันใดนั้น เสียงของเขาวัวสงครามก็ดังก้องไปทั่ว มังกรวารีพุ่งตรงไปยังเมืองเซิ่งเสวี่ย สิงโตสีฟ้ายักษ์ก็พุ่งตรงไปด้วยเช่นกัน ร่างกายของพวกมันเรืองแสงออกมา ราวกับว่าเป็นลูกศรสีฟ้าขนาดใหญ่
ขณะที่เสียงเป่าหลอดเขาดังออกมา ผู้ฝึกตนโม่ถู่กงก็บินขึ้นไปในอากาศ ด้านหลังพวกมัน พื้นดินสั่นสะเทือนขณะที่ยักษ์สองตนปรากฎขึ้น แต่ละตนสูงเกือบสามสิบจ้าง ไม่แน่ชัดว่าพวกมันมาจากที่ไหน แต่พวกมันก็เดินตรงไปทำให้เกิดเป็นเสียงสั่นสะเทือนราวกับเสียงฟ้าคำราม ที่สะพายอยู่ด้านหลังของยักษ์ทั้งสองตนเป็นดาบขนาดใหญ่ที่ยาวเกือบหนึ่งร้อยจ้าง
ดูเหมือนจะเป็นดาบที่เก่าแก่โบราณ แต่พลังที่กระจายออกมาก็น่าประหลาดใจเป็นอย่างยิ่ง
ถ้าทั้งหมดนี้มีอยู่แค่นั้น ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอันใด แต่ขณะที่เสียงเป่าหลอดเขาดังออกมา ทะเลสีดำก็ปรากฎขึ้น ทะเลสีดำนี้เกิดขึ้นจากสุนัขป่าสีดำหลายหมื่นตัว ซึ่งกระจายออกไปทั่วทั้งพื้นดิน ขณะที่พวกมันพุ่งตรงไปยังเมืองเซี่งเสวี่ย
เกราะป้องกันรอบๆ เมืองเซิ่งเสวี่ยเปล่งประกายขึ้นมา ขณะที่ผู้ฝึกตนนับพันบินออกมาจากภายในเมือง พวกมันใช้วิชาและอาวุธเวทต่างๆ มากมาย ทำให้เกิดเป็นพลังที่พุ่งผ่านเกราะป้องกัน กรีดเฉือนเข้าไปในร่างสัตว์และผู้ฝึกตนที่ใกล้เข้ามา
นอกจากนี้ ลำแสงอันเจิดจ้าสีขาวก็พุ่งขึ้นมาจากในเมือง สูงขึ้นไปเหนือเมือง มีลำแสงอันเจิดจ้าห้าสายที่ดูคล้ายกับเป็นดวงดาวปรากฎขึ้น หมุนวนไปมา ด้วยการหมุนแต่ละครั้ง พวกมันก็กระจายแสงเป็นรูปทรงโค้งสีขาว กวาดผ่านกำแพงเมืองออกไป
เสียงระเบิดดังกึกก้องจนทำให้สวรรค์สะเทือนปฐพีสะท้าน ทุกสิ่งทุกอย่างสั่นไปมา เมิ่งฮ่าวไม่เคยได้เห็นการต่อสู้ระหว่างผู้ฝึกตนด้วยกันเช่นนี้มาก่อน
ขณะที่การต่อสู้เริ่มขึ้น เมิ่งฮ่าวยังได้สังเกตเห็นผู้คนนับสิบบินออกมาจากภายในเมือง ตรงไปยังเกราะป้องกันเรืองแสงนั้น ทันทีที่พวกมันพุ่งผ่านออกไป ดาวห้าดวงที่ลอยอยู่ก็ปรากฎที่ด้านบนพวกมัน ดาวทั้งห้าหมุนวนไปมา กระจายแสงสีขาวเป็นทรงโค้ง พุ่งไปยังสัตว์อสูรที่อยู่ตรงหน้าพวกมันจนส่งเสียงร้องโหยหวนออกมา ร่างกายสัตว์อสูรถูกฉีกออกเป็นชิ้นๆ ด้านบนขึ้นไป มังกรวารีหลบหนีออกไป ไม่อาจจะเข้าใกล้พวกมันได้
ไม่ใช่มีเพียงกลุ่มเดียวที่ปรากฎขึ้นเช่นนั้น แต่มีมากกว่าสิบกลุ่มที่พุ่งออกมาจากภายในเมือง เพื่อเข้าร่วมการต่อสู้กับขุมกำลังของโม่ถู่กงที่อยู่ด้านนอกกำแพงเมือง เสียงระเบิดดังก้องไปทั่วในอากาศ ตามมาด้วยเสียงแผดร้องแหลมเล็กโหยหวน และการต่อสู้ก็ยังคงดำเนินต่อไป
ไม่ใช่ว่าเมิ่งฮ่าวไม่เคยได้ร่วมเป็นสักขีพยานกับการต่อสู้ขนาดใหญ่ระหว่างผู้ฝึกตนด้วยกันเช่นนั้น แต่การต่อสู้เช่นนี้เป็นสิ่งที่เขาไม่เคยได้เห็นมาก่อน ภาพที่เห็นทำให้จิตใจเขาเริ่มหนักอึ้ง เขาไม่ใช่ผู้มาใหม่ในโลกการฝึกตนแห่งนี้ ดังนั้นจึงทำจิตใจให้เยือกเย็นลงได้อย่างรวดเร็ว
สิ่งที่สร้างความสนใจให้เขามากที่สุดก็คือ ยักษ์ขนาดใหญ่สองตนที่เดินเข้าไปในสนามรบ การเคลื่อนไหวของพวกมันเชื่องช้า แต่ในแต่ละก้าวที่พวกมันเดินไป ได้ทำให้พื้นดินสั่นสะเทือน และดาบเล่มใหญ่ที่พวกมันกวัดแกว่งไปมา ก็กระจายรังสีอันน่าตกใจออกมา
ทันใดนั้น หนึ่งในกลุ่มผู้ฝึกตนจากในเมืองก็เปลี่ยนทิศทาง มุ่งหน้าตรงมายังเมิ่งฮ่าวและกลุ่มของเขา เขาคิดว่าอาจจะเป็นความบังเอิญ แต่เมื่อได้เห็นแววยินดีที่เปล่งประกายอยู่ในดวงตาของหานเสวี่ยชาน เขาก็รู้ว่าคนกลุ่มนี้กำลังมานำนางกลับเข้าไปในเมือง
Read »

ตอนที่ 353 : ต้าซือหลง!

ผู้ฝึกตนทะเลทรายตะวันตก ส่งยิ้มอันโหดเหี้ยมและละโมบโลภมากให้กับหญิงสาว “เมื่อสัตว์ปีศาจเริ่มเป็นที่รู้จักอยู่ในทะเลทรายตะวันตก ตระกูลหานเซี่ย (寒血= โลหิตเยือกเย็น) ก็ได้สร้างต้าซือหลง (จ้าวมังกร) รุ่นแล้วรุ่นเล่าออกมา เมื่อข้ายังเยาว์ ก็เคยได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับตำนานทั้งหมดของตระกูลเจ้ามา”
“ต้าซือหลงมีพลังที่ยิ่งใหญ่กว่าภาพศักดิ์สิทธิ์มากนัก พวกมันคือจุดสูงสุดที่แท้จริงของทะเลทรายตะวันตก สำหรับข้า…ข้าเพียงเป็นซือหลงขั้นที่สาม แต่ถ้าข้ายึดมรดกของตระกูลหานเซี่ยมาได้…ข้าก็จะมีโอกาสกลายเป็นต้าซือหลง!”
“หานเสวี่ยชาน, เจ้าคิดว่าสัตว์ปีศาจของข้าเป็นอย่างไร?” ผู้ฝึกตนทะเลทรายตะวันตกหัวเราะเสียงดังขณะที่สุนัขป่าสีดำในบริเวณนั้นทั้งหมด ผงกศีรษะของพวกมันขึ้นและส่งเสียงหอนออกมา ราวกับว่าพวกมันกำลังโกรธเกรี้ยวอย่างดุร้าย
เกราะป้องกันเรืองแสงที่ปกคลุมล้อมรอบหญิงสาวชุดขาว กำลังส่งสัญญาณว่าจะแตกกระจายออกเป็นชิ้นๆ ใบหน้านางซีดขาว และโลหิตก็ไหลซึมออกมาจากมุมปาก ความสิ้นหวังปรากฎขึ้นในดวงตา แต่ก็ยังคงมีความมุ่งมั่นด้วยเช่นกัน
หันหน้าไปหาสองผู้ฝึกตนที่กำลังพิทักษ์คุ้มครองนาง กล่าวว่า “ไม่ต้องเป็นห่วงข้า, รีบไปในตอนที่พวกท่านยังสามารถไปได้เถอะ!”
สองผู้ฝึกตนดูท่าทางกังวล พวกมันกำลังจะกล่าวบางอย่างขึ้น แต่หญิงสาวก็มองมาใช้สายตาบอกว่าพวกมันไม่ควรพูด
ในเวลาเดียวกันนี้ ร่างของสุนัขป่าสีดำที่กำลังส่งเสียงเห่าหอน ทันใดนั้นก็เริ่มขยายขนาด และพวกมันก็พุ่งตรงมา กระแทกเข้าไปในเกราะป้องกัน ซึ่งตอนนี้ถูกทำลายไปมากกว่าครึ่งแล้ว จากที่เห็น เพียงโจมตีอีกแค่ครั้งเดียวก็จะทำให้มันแตกกระจายออกไปได้
สุนัขป่ากำลังจะโจมตีไปอีกครั้ง และดวงตาผู้ฝึกตนทะเลทรายตะวันตกก็กำลังสาดประกายด้วยแสงเจิดจ้า ในตอนนี้เองจู่ๆ ก็มีเสียงฝีเท้าที่กำลังเหยียบย่ำหิมะดังขึ้นมาจากด้านในของผืนป่า
เสียงนี้ดังขึ้นมาอย่างชัดเจน ผู้คนธรรมดาไม่ได้อาศัยอยู่ในพื้นที่แถบนี้ ดังนั้นทันใดที่เสียงเหยียบย่ำหิมะได้ยินออกมา ก็ทำให้หญิงสาวชุดขาวและผู้ฝึกตนที่ติดตามนางมา มองไปยังจุดที่เสียงดังมา ผู้ฝึกตนทะเลทรายตะวันตกก็มองไปพร้อมกับขมวดคิ้วด้วยเช่นกัน
ที่พวกมันมองเห็นก็คือ บุรุษหนุ่มที่สวมใส่ชุดยาว พร้อมกับเส้นผมที่ยาวสยายอยู่บนไหล่ ดูท่าทางสุภาพเรียบร้อย และกระจายกลิ่นอายของผู้ฝึกตนออกมา คนผู้นี้แน่นอนว่าก็คือ เมิ่งฮ่าว เขาเดินออกไปช้าๆ ไม่ว่าจะมองไปมุมไหนก็ดูเหมือนเป็นนักศึกษาอยู่ตลอดเวลา
จากกิริยาท่าทาง ดูเหมือนเขากำลังมีความสุขกับการเดินทอดน่องในอยู่ในสวนหลังบ้านยามราตรี ออกมาเดินชมหิมะที่ทับถมกันเป็นชั้นๆ อย่างสวยงามในสวนดอกไม้ เขาเดินไปช้าๆ ถือม้วนตำราอยู่ในมือ ทำให้ดูเป็นนักศึกษามากยิ่งขึ้น
ดวงตาผู้ฝึกตนทะเลทรายตะวันตกหดเล็กลง ราวกับมันไม่เชื่อว่ากลิ่นอายอันลึกซึ้งของเมิ่งฮ่าวนี้เป็นของจริง มันโบกสะบัดมือขวา และทันใดนั้นสุนัขป่าสีดำแปดตัวก็กระโจนตรงไปยังเมิ่งฮ่าว ส่งเสียงเห่าออกมา ดวงตาสีแดงคล้ำของพวกมันสาดประกายเจิดจ้า
หญิงสาวชุดขาวดูเหมือนจะผิดคาดต่อภาพที่เห็น แต่พลังทั้งหมดของนางก็ใช้ในการควบคุมตัวไหมหิมะเยือกเย็นอยู่ ทำให้นางไร้พลังที่จะไปช่วยเหลือใดๆ ได้แต่มองมาอย่างเงียบๆ
“เป็นขนที่สวยงามนัก” เมิ่งฮ่าวกล่าวเสียงแผ่วเบา มองไปยังสุนัขป่า “ถ้าเจ้านกแก้วอยู่ที่นี่ด้วย มันก็คงจะชอบมาก” สุนัขป่าเหล่านี้ไม่ได้เป็นภาพลวงตาที่ถูกสร้างขึ้นมาจากวิชาเวท แต่เป็นสิ่งมีชีวิตที่มีเลือดเนื้อ
แต่ก็มีบางสิ่งที่แตกต่างออกไป ราวกับว่าพวกมันมีพลังของภาพศักดิ์สิทธิ์อยู่ภายในร่าง นี่เป็นครั้งแรกที่เมิ่งฮ่าวได้เห็นสัตว์ป่าเช่นนี้ พวกมันมีอยู่มากกว่าหนึ่งร้อยตัว แต่ละตัวก็กระจายพลังเทียบเท่ากับขั้นสุดท้ายพื้นฐานลมปราณออกมา
ถ้าอยู่ในดินแดนด้านใต้ กลุ่มสุนัขป่าสีดำเช่นนี้เป็นขุมกำลังที่แข็งแกร่งมากเลยทีเดียว
“น่าสนใจนัก” เมิ่งฮ่าวกล่าว ขณะที่เดินตรงไป เขาตบไปที่ถุงสมบัติเบาๆ หยิบเอาเม็ดยาสีแดงออกมา บดขยี้มันให้กลายเป็นฝุ่นผงอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็โปรยไปในอากาศพร้อมกับโบกสะบัดชายแขนเสื้อ
สายลมก่อตัวขึ้น กระจายฝุ่นผงตรงไปยังสุนัขป่าทั้งแปดตัวที่กำลังพุ่งเข้ามา ทันทีที่พวกมันปะทะกับฝุ่นผงนั้น ก็เริ่มส่งเสียงหอนอย่างโหยหวนออกมา ไม่นานหลังจากนั้น พวกมันก็ระเบิดออกกลายเป็นกลุ่มหมอกโลหิตและเศษชิ้นเนื้อ โลหิตและชิ้นเนื้อนั้นเปลี่ยนเป็นสีดำในทันที และจากนั้นก็ละลายหายไปโดยสิ้นเชิง
ฝุ่นผงนั้นกระจายออกไปอย่างต่อเนื่อง และสุนัขป่าสีดำอีกมากมายส่งเสียงแผดร้อง และเริ่มเน่าเปื่อย จากนั้นร่างของพวกมันก็ระเบิดออก ทำให้โลหิตสีดำปลิวกระจายออกไป แปดเปื้อนหิมะสีขาว และมีกลิ่นเหม็นเน่าเต็มอยู่ในอากาศ สุนัขป่าตัวอื่นๆ ที่ไปแตะสัมผัสโดนโลหิตเหล่านั้น ก็จะเริ่มส่งเสียงแผดร้องขึ้นในทันที ร่างของพวกมันสั่นไปมา และภายในช่วงไม่กี่อึดใจ พวกมันก็ตกตายไปเช่นเดียวกัน
กลายเป็นปฏิกิริยาลูกโซ่ ขณะที่เมิ่งฮ่าวเดินตรงไป สุนัขป่าก็เริ่มส่งเสียงแผดร้องและตกตายไปมากขึ้นเรื่อยๆ โลหิตสีดำกระจายออกไป ลอยอยู่ในอากาศ ราวกับเป็นกลุ่มหมอกสีดำ ซึ่งพุ่งขึ้นไปในอากาศและก่อตัวกลายเป็นก้อนเมฆ
เพียงครู่เดียวสุนัขป่านับร้อยก็ถูกสังหารไปมากกว่าครึ่ง พวกที่เหลืออยู่หลบหนีไป ตัวสั่นสะท้าน หางอยู่ระหว่างขาหลังทั้งสองข้าง ขณะที่พวกมันมองมายังเมิ่งฮ่าว ดวงตาเต็มไปด้วยความหวาดกลัวอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
หญิงสาวชุดขาวมองเหตุการณ์ทั้งหมดด้วยดวงตาที่เบิกกว้าง ผู้ฝึกตนทั้งสองที่ข้างกายนางก็อ้าปากค้างด้วยเช่นกัน แม้แต่ผู้ฝึกตนทะเลทรายตะวันตกก็จ้องมองมาด้วยความตกตะลึง
“นี่…เจ้า…” มันพูดตะกุกตะกัก ร่างกายสั่นสะท้าน ดวงตาเบิกโพลงราวกับจะทะลุออกมาจากศีรษะ “เจ้ากำลังอยากหาที่ตาย, หือ?!?!” จากนั้นมันก็ส่งเสียงกู่ร้องออกมา ซึ่งเต็มไปด้วยโทสะเหลือประมาณ เส้นโลหิตบนใบหน้ามันโป่งพอง และดวงตาก็เต็มไปด้วยความโหดเหี้ยมและเส้นเลือดฝอย
มันยกมือขวาขึ้นมา ในมือเป็นศิลาสีดำ มันบดขยี้ศิลาก้อนนั้น และโบกสะบัดมือ กลุ่มหมอกสีดำก็กระจายออกมา จากนั้นก็กลายเป็นกระแสน้ำวน
“สัตว์ปีศาจจิ้งเหลนมังกรขั้นสอง, ออกมา!” ทันใดนั้น เสียงกระหึ่มกึกก้องก็ดังออกมาจากภายในกระแสน้ำวน ตามมาด้วยสัตว์เลื้อยคลานสีแดงเจิดจ้า มีความยาวประมาณหนึ่งจ้าง ตามติดมาด้วยตัวอื่นๆ ในที่สุดก็มีสิบตัว และจากนั้นก็เป็นสามสิบตัว!
เมื่อจิ้งเหลนสีแดงสามสิบตัวปรากฎขึ้น ก็กระจายพลังอันน่าตกใจออกมา เสียงแผดร้องของพวกมันทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างรอบๆ บริเวณนั้นสั่นสะเทือน
แสงแปลกๆ ส่องประกายอยู่ในดวงตาเมิ่งฮ่าว เขาได้สังเกตเห็นมานานแล้วว่า มีบางสิ่งที่แตกต่างไปเกี่ยวกับผู้ฝึกตนทะเลทรายตะวันตกนี้ มันมีรอยสักภาพศักดิ์สิทธิ์สองภาพอยู่บนร่าง หนึ่งเป็นสุนัขป่าสีดำ อีกหนึ่งเป็นภาพจิ้งเหลน ภาพศักดิ์สิทธิ์นี้ก็ไม่ได้แตกต่างไปจากผู้ฝึกตนทะเลทรายตะวันตกคนอื่นๆ ที่เขาเคยเห็นมา แต่เมิ่งฮ่าวก็รู้สึกได้ว่าจริงๆ แล้วก็มีบางสิ่งที่แปลกไป
“ผู้อาวุโส มันคือซือหลงแห่งทะเลทรายตะวันตก!” หญิงสาวชุดขาวกล่าวอย่างกังวลใจ นางรู้ว่าเมิ่งฮ่าวไม่คุ้นเคยกับสิ่งมีชีวิตเช่นนี้ และกล่าวต่อว่า “ซือหลงอาจจะมีพื้นฐานฝึกตนไม่สูงนัก แต่พวกมันสามารถออกคำสั่งสัตว์ปีศาจได้ ถ้าสังหารมันไป สัตว์ปีศาจก็จะแยกย้ายจากไปด้วย!”
“หลังจากที่ข้ากำจัดคนผู้นี้ ข้าก็จะจัดการเจ้า, เจี้ยนเหริน! (นางแพศยา)” ผู้ฝึกตนทะเลทรายตะวันตกแผดร้องออกมาอย่างดุร้าย มันโบกสะบัดมือตรงมายังเมิ่งฮ่าว และจิ้งเหลนสีแดงสามสิบตัวก็พุ่งตรงมาที่เขาอย่างบ้าคลั่ง พวกมันอ้าปากสีแดงขึ้น กระจายกลิ่นเหม็นของซากศพออกมา
เมิ่งฮ่าวมองไปยังจิ้งเหลนสีแดงอีกครั้ง จากนั้นก็ส่ายศีรษะ ยกมือขวาขึ้น และชี้นิ้วตรงไปยังกลุ่มเมฆสีดำที่ยังคงลอยอยู่กลางอากาศ ทันใดนั้น เม็ดฝนสีดำมากมายก็เริ่มตกลงมา หยดน้ำฝนกระจายไปปกคลุมทั่วกลุ่มจิ้งเหลนสีแดง และพวกมันก็เริ่มส่งเสียงแผดร้องโหยหวนออกมา ร่างกายสั่นสะท้านและเริ่มเน่าเปื่อย เพียงแค่ไม่กี่อึดใจ จิ้งเหลนสีแดงทั้งหมดที่อยู่ภายใต้กลุ่มเมฆสีดำที่กว้างประมาณหนึ่งร้อยจ้าง ก็กลายเป็นโครงกระดูก
เมิ่งฮ่าวยืนอยู่ในท่ามกลางสายฝนสีดำ แต่ก็ไม่มีแม้แต่หยดเดียวที่จะตกลงมาบนเสื้อยาวสีเขียว และเส้นผมสีดำที่ยาวเงางามของเขา ภาพที่เห็นนี้น่าตกใจเป็นอย่างยิ่ง ทำให้ผู้ฝึกตนทะเลทรายตะวันตกอ้าปากค้าง ดวงตาเต็มไปด้วยความไม่อยากจะเชื่อ
“เจ้า…เจ้าคือ ต้าซือหลง! (จ้าวมังกร)”
Read »

ตอนที่ 352 : ความวุ่นวายในดินแดนสีดำ!

ยามพลบค่ำในดินแดนสีดำ เมิ่งฮ่าวพุ่งผ่านอากาศไปอย่างรวดเร็วจนเกิดเป็นเสียงแหลมเล็กขึ้น ราวกับเป็นดาวตกสีเขียว ที่หายลับตาไปยังเส้นขอบฟ้า
นี่เป็นการเดินทางวันที่เจ็ดของเขาหลังจากที่ออกจากเมืองมา เขาได้เดินทางตามแผนที่ในแผ่นหยก บินไปตลอดเวลาโดยไม่มีการหยุดพัก เป็นเรื่องผิดปกติถ้าจะเห็นประตูเคลื่อนย้ายทางไกลอยู่ในดินแดนสีดำ ถ้าต้องการเดินทางไปที่ไหนสักแห่ง ก็จำเป็นต้องเดินทางด้วยพลังของตัวเอง
ตลอดเจ็ดวันที่ผ่านมา สายฟ้าจะฟาดลงมาเป็นระยะ ตามมาด้วยเสียงแผดร้องอย่างโหยหวนของปรมาจารย์ตระกูลหลี่ เมิ่งฮ่าวไม่ได้รับบาดเจ็บแม้แต่น้อย ในตอนนี้ เขากำลังบินอยู่เหนือซากปรักหักพังที่มีกลุ่มควันลอยขึ้นมา ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นบ้านเมืองของกลุ่มคนที่มีพลังขนาดเล็ก ท่ามกลางซากปรักหักพังนั้น เมิ่งฮ่าวมองเห็นซากศพอยู่บ้างเล็กน้อย
นี่เป็นภาพเหตุการณ์ครั้งที่ห้า ซึ่งเมิ่งฮ่าวได้เผชิญพบมาในช่วงเจ็ดวันนี้ เขามองลงไปชั่วครู่ และกำลังจะบินผ่านไป ทันใดนั้น เขาก็แค่นเสียงเย็นชาออกมา ดวงตาสาดประกายด้วยความเย็นเยียบ และโบกสะบัดมือขวา กระบี่บินพุ่งออกไป ตอนนี้มันหยุดชะงักห่างไกลออกไปสิบจ้าง
เสียงร้องอย่างดุร้ายทันใดนั้นก็ดังออกมาจากภายในซากปรักหักพังนั้น “โจมตี!”
แปดลำแสงปรากฎขึ้น พุ่งตรงมายังเมิ่งฮ่าว ท่ามกลางกลุ่มคนทั้งแปด มีหนึ่งคนอยู่ในขั้นสุดท้ายสร้างแกนลมปราณ สองคนอยู่ในขั้นกลางสร้างแกนลมปราณ และที่เหลือต่างก็อยู่ในขั้นต้นสร้างแกนลมปราณ กลุ่มคนที่มีพื้นฐานฝึกตนระดับนี้เมื่อโจมตีพร้อมกัน ก็ไม่ใช่เรื่องอันเล็กน้อย ขณะที่พวกมันบินออกมา ก็กระจายพลังอันน่าตกตะลึงมาพร้อมกันด้วย
แต่อย่างไรก็ตาม นอกจากผู้ฝึกตนขั้นสุดท้ายสร้างแกนลมปราณแล้ว บุรุษทั้งหมดต่างก็มีแววตาที่เซื่องซึม พื้นฐานฝึกตนของพวกมันแข็งแกร่ง แต่การเคลื่อนไหวก็แข็งกระด้าง ราวกับว่าเป็นหุ่นกระบอก
พวกมันกระแทกลงมายังเมิ่งฮ่าว ใช้อาวุธและวิชาเวทที่มีสีสันเจิดจ้า กระบี่บิน และขวดเวทเต็มอยู่ในอากาศ ในตอนที่กำลังจะกระแทกลงมาบนร่างเมิ่งฮ่าว เขาก็ขมวดคิ้ว จากนั้นก็ใช้วิชาระเบิดโลหิตชั่วพริบตา ทันใดนั้น ร่างกายเขาก็แวบขึ้นและหายไป เมื่อปรากฎตัวขึ้นอีกครั้ง เขาก็อยู่ห่างออกไปไกล
นี่ไม่ใช่การเคลื่อนย้ายทางไกลย่อย แต่การเคลื่อนที่ไปยังที่ห่างไกลเช่นนี้ในช่วงเวลาสั้นๆ ก็ทำให้น่าตกใจเป็นอย่างยิ่ง
เสียงระเบิดดังเต็มอยู่ในอากาศ ขณะที่ตำแหน่งที่เขาอยู่เมื่อครู่นี้ระเบิดออกเป็นแสงเจิดจ้า ซึ่งเป็นผลมาจากการโจมตีที่รวมกำลังกัน
สีหน้าเมิ่งฮ่าวเริ่มเคร่งเครียดขึ้น การโจมตีเมื่อครู่นี้เต็มไปด้วยความต้องการสังหาร แต่เขาก็แน่ใจว่าไม่เคยพบเห็นบุคคลกลุ่มนี้มาก่อน
“ความวุ่นวายในดินแดนสีดำได้บรรลุถึงระดับนี้แล้ว” เขาคิดพร้อมกับขมวดคิ้วไปด้วย ในตอนนี้เองที่กลุ่มบุรุษทั้งแปดได้ตระหนักว่าเมิ่งฮ่าวหายตัวไป พวกมันหมุนตัวไปรอบๆ และมองเห็นเขาอีกครั้ง ผู้ฝึกตนขั้นสุดท้ายสร้างแกนลมปราณส่งเสียงแค่นอย่างเย็นชา และความดุร้ายก็ปรากฎขึ้นในแววตา
“ผู้ฝึกตนขั้นต้นสร้างแกนลมปราณอันต่ำต้อย ดูเหมือนว่าเจ้าจะมีวิชาเวทอันยอดเยี่ยมบางอย่าง แต่ตอนนี้เจ้าก็มาพบเจอข้าแล้ว เจ้าไม่มีทางเลือกนอกจากจะมาเป็นเด็กดี และกลายเป็นหุ่นกระบอกของข้า ยิ่งข้ามีหุ่นกระบอกมากเท่าใด ข้าก็ยิ่งปลอดภัยมากขึ้นเท่านั้น” บุรุษผู้นั้นยกมือขวาขึ้น และทันใดนั้น ผู้ฝึกตนอีกเจ็ดคนที่เหลือก็พุ่งตรงมายังเมิ่งฮ่าว สีหน้าพวกมันนิ่งเรียบราวกับเป็นท่อนไม้
เมิ่งฮ่าวกระพริบตาหลายครั้งติดต่อกัน เพ่งพลังพื้นฐานฝึกตนเข้าไปในดวงตาข้างขวา ทันใดนั้น ภาพของโลกนี้ก็เปลี่ยนไป ด้วยการใช้วิชาสายตาเซียน เมิ่งฮ่าวก็สามารถมองเห็นเส้นใยบางๆ จำนวนมากมายติดอยู่ที่ร่างกายของผู้ฝึกตนทั้งเจ็ด เส้นใยเหล่านั้นเชื่อมต่อกลับไปยังกำปั้นของผู้ฝึกตนขั้นสุดท้ายสร้างแกนลมปราณ
ดูเหมือนบุคคลเหล่านี้จริงๆ แล้วก็เป็นหุ่นกระบอกภายใต้การควบคุมของมันทั้งหมด
ขณะที่พวกมันเร่งความเร็วตรงมาที่เขา เมิ่งฮ่าวก็ยกมือขึ้น กรีดไปที่นิ้ว ทำให้โลหิตไหลซึมออกมา ใบหน้าเขาเคร่งเครียด ชี้นิ้วตรงไป และทุกสิ่งทุกอย่างในขอบเขตการมองเห็นของเขาก็เปลี่ยนเป็นสีของโลหิต เสียงกระหึ่มกึกก้องดังเต็มอยู่ในอากาศ ตามมาด้วยปราณโลหิตซึ่งกลายเป็นการโจมตีพุ่งตรงออกไปยังเจ็ดผู้ฝึกตนที่ใกล้เข้ามา
เสียงกระหึ่มกึกก้องนั้นดังรุนแรงมากขึ้น ขณะที่ปราณโลหิตทำให้อากาศสั่นสะเทือนด้วยพลังที่เหมือนกับเป็นพลังของมังกร เจ็ดผู้ฝึกตนกระอักโลหิตออกมา ร่างกายของพวกมันปลิวละลิ่วไปด้านหลัง สีหน้าของผู้ฝึกตนขั้นสุดท้ายสร้างแกนลมปราณเปลี่ยนไป เมิ่งฮ่าวพุ่งตรงไปอีกครั้งด้วยการใช้วิชาระเบิดโลหิตชั่วพริบตา แค่เพียงกระพริบตา เขาก็ไปอยู่ตรงหน้าศัตรู โดยไม่ลังเลหรือมีเมตตาใดๆ เขายกนิ้วที่ชุ่มโชกไปด้วยโลหิตขึ้นมา และกดลงไปบนหน้าผากของมัน
ปราณโลหิตไหลเข้าไปในร่างของมัน ทำให้ตัวมันสั่นสะท้าน เส้นเลือดโผล่ขึ้นมาจากผิวหนัง และเส้นสีแดงๆ ก็ปรากฎขึ้นในดวงตา มันบิดตัวไปมาเล็กน้อย และจากนั้นก็ระเบิดออก
เมิ่งฮ่าวสะบัดชายแขนเสื้อ ป้องกันไม่ให้เศษเลือดเนื้อมาเปรอะเปื้อนตัว เขาสังหารฝึกตนขั้นสุดท้ายสร้างแกนลมปราณอย่างเรียบง่ายและรวดเร็ว หลังจากที่มันตายไป บุคคลทั้งเจ็ดก็เริ่มตัวสั่นสะท้าน โลหิตไหลซึมออกมาจากดวงตา, จมูกและปากของพวกมัน ขณะที่ค่อยๆ ตายไปอย่างช้าๆ
เมิ่งฮ่าวขมวดคิ้ว เก็บรวบรวมถุงสมบัติของพวกมันไว้ การต่อสู้ทั้งหมดนี้ค่อนข้างแปลกเล็กน้อย
“ดูเหมือนว่าทุกคนในดินแดนสีดำกำลังมีชีวิตอยู่ด้วยความหวาดกลัว ผู้อ่อนแอก็ปรารถนาจะเข้มแข็ง และจะสังหารโดยไร้ความเวทนา ถ้ากำจัดคู่ต่อสู้ได้ก็จะทำให้ตัวเองเข้มแข็งมากขึ้น” เขาหันหลัง หายตัวไปยังที่ห่างไกล ขณะที่มุ่งหน้าตรงไปยังเมืองเซี่งเสวี่ยต่อไป
“หวังว่าคงจะไม่มีอะไรรุนแรงเกิดขึ้นกับตระกูลหานเสวี่ย แห่งเมืองเซิ่งเสวี่ย พวกมันเป็นบุคคลเพียงกลุ่มเดียวที่สามารถเพาะเลี้ยงตัวไหมหิมะเยือกเย็น ถ้ามีการเปลี่ยนแปลงใดๆ แผนการของข้าก็คงจะพังพินาศสิ้น” ในตอนนี้เมิ่งฮ่าวได้เข้าใจอย่างถ่องแท้ถึงความวุ่นวายในดินแดนสีดำแล้ว เขามุ่งหน้าต่อไปด้วยความรวดเร็วสูงสุด
ไม่กี่วันต่อมา เขากำลังเดินทางผ่านเทือกเขา ทันใดนั้น เสียงระเบิดก็ดังขึ้น ดวงตาเมิ่งฮ่าวสาดประกายด้วยรังสีสังหาร ขณะที่ผู้ฝึกตนสิบกว่าคนเข้ามาใกล้ เขามุ่งหน้าบินต่อไป หลังจากเวลาชั่วธูปไหม้หมดไปหนึ่งดอก เมิ่งฮ่าวก็จากไป ทิ้งไว้เพียงความตายในเส้นทางที่ผ่านมา
การโจมตีเมื่อครู่นี้เกิดมาจากเหตุการณ์เมื่อไม่กี่วันก่อน เมื่อเมิ่งฮ่าวได้กลืนกินเม็ดยาเพื่อเพิ่มพื้นฐานฝึกตน ภาพเหตุการณ์นั้นถูกพบเห็นโดยผู้ฝึกตนบางคน ซึ่งนำไปสู่ความโลภท่ามกลางกลุ่มผู้ฝึกตนคนอื่นๆ และในตอนนี้ พวกมันทั้งหมดก็ตกตายไป
เวลาผ่านไปอย่างช้าๆ ครึ่งเดือนหลังจากนั้น เมิ่งฮ่าวก็ยังคงเดินทางต่อไปอย่างโดดเดี่ยว เขาได้เผชิญหน้ากับเหตุการณ์ค่อนข้างอันตรายตลอดเส้นทางที่ผ่านมา แต่สุดท้าย ด้วยกลยุทธ์อันน่ากลัวของเขาก็ทำให้ใครก็ตามที่มาหาเรื่องตกตายไป หลังจากนั้น เขาก็ใช้วิชาเวททำให้ศีรษะของพวกมันลอยตามมาด้านหลัง ขณะที่เขาเดินทางไป มันเป็นเส้นทางแห่งความตายและศีรษะที่ถูกตัดออกมา
ในที่สุด ศีรษะที่ถูกตัดมาก็เริ่มมีจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ มีอยู่หลายสิบหัว ซึ่งส่วนใหญ่ก็แห้งเหี่ยวไปแล้ว แต่ก็ยังมีบางส่วนที่ยังคงมีหยดโลหิตติดอยู่
ภาพที่เห็นนี้สร้างความตกตะลึงให้กับจิตใจของพวกคนร้ายต่างๆ มากมาย และทำให้เมิ่งฮ่าวเดินทางได้ปลอดภัยมากขึ้นเล็กน้อย ผู้คนที่ตั้งใจจะมาหาเรื่องเขาน้อยลงไปเรื่อยๆ
ผู้ฝึกตนที่มีสมองใดๆ ก็ตาม ถ้าได้มาเห็นศีรษะที่ลอยอยู่ ก็จะรีบขจัดความคิดที่จะมาตอแยเมิ่งฮ่าวออกไปในทันที
ผ่านไปอีกไม่กี่วัน เวลาหนึ่งเดือนกว่าก็ผ่านไป ตั้งแต่ที่เมิ่งฮ่าวได้ออกมาจากเมืองตงลั่ว เขาก็แทบจะเดินทางข้ามดินแดนสีดำมาทั้งหมด และได้เห็นเมืองที่ถูกปล้นและยึดไปมากมาย โดยไร้คำสั่ง ขุมกำลังของโม่ถู่กง และนักรบของจิ่วเหมิง ได้ทำสงครามกันนับครั้งไม่ถ้วน ทำให้ดินแดนสีดำถูกห่อหุ้มด้วยเปลวไฟแห่งสงคราม
ความวุ่นวายโกลาหลนี้ทำให้เห็นกฎแห่งป่าได้อย่างชัดเจนมากขึ้น ไม่มีความจำเป็นต้องปกปิดการกระทำใดๆ ไม่จำเป็นต้องหวั่นวิตกใดๆ มีเพียงผู้เข้มแข็งเท่านั้นที่จะอยุ่รอดได้ ขณะที่พวกอ่อนแอตกเป็นเหยื่อของผู้เข้มแข็ง
ภายในเวลาหนึ่งเดือน เก้าเมืองที่รวมตัวกันเป็นจิ่วเหมิง (เก้าสหพันธ์) มีเหลืออยู่เพียงแค่สี่เมือง ตระกูลในเมืองอื่นๆ ต่างก็ถูกกำจัดไปโดยโม่ถู่กง หรือไม่ก็ถูกบังคับให้หลบหนีไปหลบซ่อนตัวไว้ เป็นเรื่องยากสำหรับจิ่วเหมิงที่จะต่อต้านขุมกำลังที่รวมตัวกันของทะเลทรายตะวันตกและโม่ถู่กง (ราชวังดินแดนสีดำ)
ในวันหนึ่งก่อนที่เมิ่งฮ่าวจะได้ข่าวว่าเมืองเซิ่งเสวี่ยได้ถูกปิดล้อมไว้ ซึ่งทำให้จิตใจเขาจมดิ่งลงไป
“หวังว่าคงจะไม่มีสิ่งใดมาขวางทางข้าในที่นั่น” เขากล่าว ส่ายศีรษะ พุ่งตรงไปให้เร็วทีสุดเท่าที่จะทำได้ จากการคาดคำนวน ด้วยความรวดเร็วในตอนนี้ เขาก็คงจะไปถึงเมืองเซิ่งเสวี่ยที่อยู่ใกล้ๆ บริเวณนี้ได้ภายในเวลาสองวัน
ตอนนี้ เขาพุ่งผ่านพื้นดินที่ด้านล่างในท้องฟ้ายามสนธยา พื้นดินด้านล่างไม่ได้มีสีดำสนิทอีกต่อไป แต่ค่อนข้างจะซีดขาว มันไม่ใช่ดินสีขาว แต่เป็นหิมะ
อากาศเย็นมากจนเมิ่งฮ่าวสามารถมองเห็นลมหายใจของเขาเองได้
สายลมเย็นยะเยือกเสียดกระดูก และเริ่มมีหิมะตกลงมา
เป็นเวลานานมากแล้ว ตั้งแต่ที่เขาเคยเห็นหิมะตกลงมา อันที่จริง จากความทรงจำของเขา ครั้งสุดท้ายที่เขาเห็นหิมะก็คือยามราตรีที่มีหิมะตกหนักในแคว้นจ้าว เป็นตอนที่เขาได้ร่วมทางกับนักศึกษาในรถม้า และสนทนาด้วยกันอย่างออกรสชาติ
เกล็ดหิมะโปรยปรายลงมาจากท้องฟ้า และดวงตาเมิ่งฮ่าวก็สาดประกายขณะที่เขาเห็นหิมะกองสุมอยู่บนพื้น ที่ด้านล่างเป็นแนวป่า ถึงแม้จะไม่มีใบไม้บนต้นไม้แต่ละต้น แต่กิ่งก้านอันเหี่ยวแห้งของพวกมันก็กองสุมเต็มไปด้วยหิมะที่ซ้อนทับกัน
เมิ่งฮ่าวมองออกไปยังที่ห่างไกล และทันใดนั้นสีหน้าเขาก็เปลี่ยนไป เขาร่อนลงไปบนพื้นและหยุดบิน ชุดยาวสีเขียวพริ้วไปมาในสายลม ขณะที่เขาเดินผ่านแนวป่าเข้าไป
ลึกเข้าไปในผืนป่า มีผู้ฝึกตนอยู่สองคน ร่างกายแปดเปื้อนโลหิตและมีใบหน้าซีดขาว ยืนปกป้องอยู่เบื้องหน้าหญิงสาวเยาว์วัยอายุประมาณสิบเจ็ดสิบแปดปี นางสวมใส่เสื้อคลุมยาวสีขาว และมีความสวยงามเป็นอย่างยิ่ง แต่ก็ดูเหมือนจะตกอยู่ในสถานการณ์อันเลวร้าย ใบหน้าซีดขาวด้วยเช่นกัน และเต็มไปด้วยสีหน้าทุกข์ใจ มือขวาของนางถือตัวไหมที่ดูเหมือนจะสร้างมาจากแก้วผลึก มันกำลังปั่นเส้นไหมอยู่ในตอนนี้ ซึ่งกลายเป็นแสงเจิดจ้าล้อมรอบกลุ่มคนทั้งสามไว้ โชคร้ายที่ดูเหมือนว่าตัวไหมนั้นค่อนข้างจะอ่อนแอ ราวกับว่ามันใกล้จะตกตายไปแล้ว
คนกลุ่มนี้ถูกล้อมรอบไปด้วยสุนัขป่านับร้อยตัว ซึ่งกระจายกลุ่มควันสีดำออกมา และมีดวงตาสีแดงเจิดจ้า ด้านหลังสุนัขป่าเป็นผู้ฝึกตนทะเลทรายตะวันตก ร่างของมันตกแต่งด้วยรอยสักภาพศักดิ์สิทธิ์ กำลังจ้องมองอย่างตะกละตะกลามไปยังหญิงสาวในชุดขาวนางนั้น
ผู้ฝึกตนที่คุ้มครองหญิงสาวเป็นบุรุษและสตรี บุรุษส่งเสียงแหบแห้งร้องออกมา “เจ้าผู้ฝึกตนทะเลทรายตะวันตกอันต่ำช้า! เจ้าไม่กลัวพลังของปรมาจารย์ตัดวิญญาณแห่งตระกูลหานเสวี่ยของพวกข้า?!”
“ไม่จำเป็นที่จะพูดถึงว่าปรมาจารย์ตัดวิญญาณของพวกเจ้ายังมีชีวิตอยู่หรือไม่” ผู้ฝึกตนทะเลทรายตะวันตกกล่าวตอบด้วยเสียงแหบแห้ง “ถ้ามันยังมีชีวิตอยู่ มันก็คงจะให้ความสนใจกับสงครามของเมืองเซิ่งเสวี่ยแล้ว แต่ตอนนี้…เจ้าก็เป็นแค่สมาชิกของตระกูลหานเสี่ยแก่ๆ ธรรมดาคนหนึ่ง การที่เจ้าจะมีชีวิตอยู่หรือตายไป ก็ไม่มีความหมายใดๆ ต่อมัน”
บุรุษผู้นั้นโบกสะบัดมือขวา และสุนัขป่าสีดำนับร้อยก็กระโจนพุ่งเข้าใส่ กระแทกเข้าไปในเกราะป้องกันที่ถูกถักทอขึ้นมาโดยตัวไหม เสียงระเบิดดังก้องออกไป และดวงตาของผู้ฝึกตนทะเลทรายตะวันตกก็สาดประกายด้วยความโลภ
“ตระกูลหานเสวี่ย (寒雪 = หิมะเยือกเย็น) ของพวกเจ้า เปลี่ยนตัวอักษร ‘เซี่ย’ (血 = โลหิต) ในแซ่ด้วยตัวอักษร ‘เสวี่ย’ (雪 = หิมะ) แต่เจ้าคิดว่านั่นจะทำให้ทะเลทรายตะวันตกลืมพวกเจ้าไปแล้วจริงๆ?” มันหัวเราะขณะที่จ้องมองไปยังหญิงสาวนางนั้น
Read »

ตอนที่ 351 : เมืองก่านเชวี่ย

สามผู้อาวุโสวิญญาณแรกก่อตั้งแห่งเมืองตงลั่ว ยืนกัดฟันแน่น ราวกับมีควันลอยขึ้นมาอยู่ที่นั่น ผู้ฝึกตนนับร้อยที่อยู่ด้านนอกกลุ่มหมอกยังคงไม่ได้จากไป และสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนในสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น สีหน้าแปลกๆ ปกคลุมอยู่บนใบหน้าพวกมัน โดยไม่ต้องปรึกษาพูดคุยกัน พวกมันทั้งหมดต่างก็คิดในสิ่งเดียวกัน เมิ่งฮ่าวเป็นคนที่น่ากลัวยิ่งนัก
หลังจากผ่านไปพักใหญ่ ผู้อาวุโสอันดับแรกก็ถอนหายใจยาวออกมาและกล่าวว่า “ปล่อยให้คนในตระกูลข้าทั้งหมดเป็นอิสระ และเจ้าก็เอาเมืองนี้ไป!”
เมิ่งฮ่าวทั้งสิบกว่าคนยิ้ม ไม่มีใครกล่าววาจาหรือเคลื่อนไหว เพียงแต่มองไปยังสามผู้อาวุโสวิญญาณแรกก่อตั้งอย่างเงียบๆ
พวกมันมองไม่เห็นความนับถือแม้แต่น้อยนิดในแววตาของเขา เมิ่งฮ่าวไม่จำเป็นต้องนับถือพวกมัน ตั้งแต่ช่วงการต่อสู้ที่ด้านนอกของถ้ำกำเนิดใหม่ เขาได้ต่อสู้กับผู้เชี่ยวชาญวิญญาณแรกก่อตั้งมามากกว่าสิบคน พวกมันจึงไม่มีอะไรที่จะทำให้เขารู้สึกหวาดกลัว
ที่สำคัญมากไปกว่านั้น เมิ่งฮ่าวก็มีความเชื่อมั่นเป็นอย่างยิ่งว่า ถ้าเขาสวมใส่หน้ากากสีโลหิต ถึงแม้เขายังคงไม่อาจจะเปรียบเทียบกับพวกมันได้ แต่ก็สามารถที่จะต่อสู้กลับไปได้
ผู้อาวุโสคนแรกไม่กล่าวอะไรสักพัก แต่จากนั้นก็ส่งเสียงหัวเราะอย่างขมขื่นออกมา มันยกมือขึ้น จากนั้นก็กดลงไปที่หน้าอกอย่างแรง ทำให้ร่างกายสั่นสะท้านขณะที่กระอักโลหิตออกมาติดต่อกันสามครั้ง แต่ละครั้งก็ทำให้มันเริ่มอ่อนแอลง จนถึงครั้งสุดท้าย พื้นฐานฝึกตนของมันก็ลดลงครึ่งหนึ่ง
ถึงแม้มันจะยังคงอยู่ในขั้นวิญญาณแรกก่อตั้ง แต่พลังการต่อสู้ที่แท้จริงในตอนนี้ก็เกือบจะเท่ากับระดับเดียวกับขั้นวงจรอันยิ่งใหญ่สร้างแกนลมปราณ มันคงต้องใช้เวลาหลายเดือนกว่าที่จะฟื้นฟูกลับมาจากขั้นนี้ได้
หลังจากเงียบไปชั่วครู่ ผู้อาวุโสอันดับสองก็ถอนหายใจออกมา มันรู้ว่ามีเพียงสิ่งเดียวที่สามารถทำได้ในตอนนี้ ไม่มีทางเลือกอื่นอีก มันใช้ฝ่ามือตบไปที่หน้าอกด้วยเช่นกัน หลังจากกระอักโลหิตออกมา สีหน้าก็หม่นหมองทอดอาลัย
ผู้อาวุโสอันดับสามจ้องมายังเมิ่งฮ่าวอย่างดุร้ายสักพัก จากนั้นก็สูดลมหายใจลึกๆ มันก็ทำให้ตัวเองได้รับบาดเจ็บเช่นเดียวกัน ขณะที่กระอักโลหิตออกมา พื้นฐานฝึกตนของมันก็ลดถอยลง
“ตอนนี้เจ้าเชื่อพวกข้าแล้วหรือไม่?” ผู้อาวุโสอันดับแรกกล่าวเสียงเย็นชา ปาดเช็ดโลหิตออกจากมุมปาก
หนึ่งในเมิ่งฮ่าวทั้งสิบกว่าคนยิ้มอย่างเขินอายออกมา พยักหน้า เอามือแตะไปที่ถุงสมบัติ ขณะที่ทำเช่นนั้น ดวงตาผู้อาวุโสอันดับแรกก็เต็มไปด้วยแสงอันเจิดจ้า ทันใดนั้น มันก็อ้าปากขึ้น พ่นลำแสงออกมา
นี่คือกระแสวิญญาณแรกก่อตั้ง ซึ่งคล้ายคลึงกับแกนปราณ แต่ในแง่ของความแตกต่าง มันเป็นสวรรค์ และแกนปราณเป็นแค่ปฐพี กระแสวิญญาณแรกก่อตั้งมีสีแดง และมีความเข้มข้นเป็นอย่างมากเกินกว่าแสงสีแดงใดๆ ในสวรรค์และปฐพีนี้ มันไม่ได้มีปริมาณมากมาย แต่ก็เจิดจ้าอย่างที่สุด ทันทีที่มันปรากฎขึ้น ก็มาอยู่ที่เบื้องหน้าเมิ่งฮ่าวในทันใด จากนั้นก็กระจายออกปกคลุมทุกสิ่งทุกอย่างไว้ภายใน
แสงนั้นหายไปเพียงชั่วพริบตา ขณะที่เป็นเช่นนั้น เมิ่งฮ่าวที่กำลังแตะมือไปที่ถุงสมบัติ รวมถึงเมิ่งฮ่าวคนอื่นๆ ที่อยู่ในพื้นที่บริเวณนั้น ก็ถูกทำลายไป แต่สิ่งที่ตกลงไปบนพื้นไม่ใช่โลหิตและเศษเนื้อ แต่เป็นกลุ่มหมอก
ภาพที่เห็นนี้ทำให้ใบหน้าของผู้ฝึกตนวิญญาณแรกก่อตั้งเริ่มน่าเกลียดมากยิ่งขึ้น พวกมันใช้ทุกวิถีทางเพื่อจะกำจัดเมิ่งฮ่าว แต่ความรอบคอบและเล่ห์เหลี่ยมของปรมาจารย์จินกวงก็ทำให้พวกมันพ่ายแพ้ทุกครั้งไป
“แน่นอนว่าคนที่กำลังแตะไปที่ถุงสมบัติจริงๆ แล้วก็ไม่ใช่ข้า” เสียงดังออกมาจากกลุ่มหมอก ซึ่งพลุ่งพล่านปั่นป่วนไปมา และเมิ่งฮ่าวก็ก้าวเนิบนาบเดินออกไป “ผู้อาวุโส ข้าคิดว่าในสายตาของพวกท่านคงเห็นว่าร่างจำแลงของข้าเป็นเพียงแค่ภาพลวงตา การที่ท่านคิดว่าร่างจำแลงนั่นเป็นตัวจริงของข้า, คงเป็นความผิดของข้าเอง”
เขาโบกสะบัดมือ ทำให้กระแสของเม็ดยานับร้อยลอยออกไป พวกมันพุ่งตรงไปยังกลุ่มคนของตระกูลตงลั่ว หลอมรวมเข้ากับร่างกายพวกมันผ่านทางหน้าผาก
“ยาพิษนี้จริงๆ แล้วก็ไม่ได้อันตรายมากนัก” เมิ่งฮ่าวกล่าวพร้อมรอยยิ้ม “มันไม่ได้ร้ายแรง และจะไม่มีผลต่อพื้นฐานฝึกตน กล่าวได้ว่ามันเป็นแค่…ใบรับประกัน” เขาก้าวเท้าไปด้านข้าง และเส้นทางในกลุ่มหมอกก็เปิดออกนำไปสู่ด้านนอก กลุ่มหมอกปลดปล่อยผู้ฝึกตนนับร้อยจากตระกูลตงลั่วไป
สามผู้อาวุโสวิญญาณแรกก่อตั้งยืนอยู่ที่นั่นด้วยสีหน้าโกรธเคือง จ้องมายังเมิ่งฮ่าวที่ยืนอยู่คนเดียว ไม่อาจบอกได้ว่าเขาเป็นร่างจำแลงหรือไม่
หลังจากเงียบไปพักใหญ่ พวกมันก็เริ่มเดินออกมา เมื่อเดินผ่านเขาไป เมิ่งฮ่าวก็ส่งยิ้มให้เหมือนก่อนหน้านี้ ทันใดนั้น พวกมันก็หยุดลง และหันหน้ามามองเขา
“ไม่ต้องกังวลไป เมืองนี้เป็นของเจ้า” ผู้อาวุโสอันดับแรกกล่าว ด้วยเสียงจริงใจ “ตระกูลตงลั่วไม่ต้องการมันอีกต่อไป ความวุ่นวายแห่งสงครามได้ปกคลุมมายังดินแดนนี้แล้ว และตระกูลตงลั่วในตอนนี้ก็อ่อนแอเกินกว่าจะต่อสู้ได้อีก พวกเราจะไปหลบซ่อนตัว แต่ถ้ามีคนในตระกูลใดๆ ถูกทำร้ายจากพิษของเจ้า พวกข้าทั้งสามก็จะกำจัดเจ้าไป ถึงแม้พวกข้าจะต้องตายไปก็ตามที!” เมื่อพูดจบ มันก็สะบัดแขนเสื้อและเดินออกไป
เมิ่งฮ่าวยังคงยิ้มอยู่ตลอดเวลาอย่างต่อเนื่อง เขามองทุกคนจากไป จากนั้นก็ยกมือขวาขึ้นมาในทันที ในฝ่ามือของเขาเป็นปรมาจารย์ตระกูลหลี่ เกือบจะในเวลาเดียวกันนั้น เมื่อปรมาจารย์ตระกูลหลี่ปรากฎตัวขึ้น สายฟ้าทันใดนั้นก็ปรากฎขึ้นในท้องฟ้าที่มีสีสดใสด้านบน พุ่งลงมาฟาดไปบนร่างวิญญาณของปรมาจารย์ตระกูลหลี่
“ข้าขอสาปแช่งเจ้าให้ถูกลงทัณฑ์ด้วยพันมีดกรีดเฉือน…” ก่อนที่ชายชราจะทันได้ด่าทอสาปแช่งต่อไป เมิ่งฮ่าวก็เก็บมันกลับเข้าไปในหน้ากากสีโลหิต
การเคลื่อนไหวของเมิ่งฮ่าวเมื่อครู่นี้ ลื่นไหลประดุจเมฆาคล้อยเคลื่อน สายน้ำไหลริน เขาค่อนข้างชำนาญคล่องแคล่วแล้วในตอนนี้
สามอาวุโสวิญญาณแรกก่อตั้งมองกลับมา เมื่อพวกมันเห็นสายฟ้าฟาดลงมา และเห็นการกระทำของเมิ่งฮ่าว สีหน้าก็สลดลงและพวกมันก็แอบถอนหายใจอยู่ลึกๆ ด้านใน
เห็นได้ชัดว่าในตอนนี้ เมิ่งฮ่าวที่พวกมันเพิ่งจะเดินผ่านมาเป็นตัวจริงของเขา
ตระกูลตงลั่วทั้งหมดจากไปทั้งร้อยกว่าคน พวกมันออกไปจากเมืองตงลั่วที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นของพวกมัน จากไปพร้อมกับความว่างเปล่า
ไม่มีใครรู้ว่าพวกมันไปที่ไหน รู้แต่เพียงว่าหลายวันหลังจากนั้น ในดินแดนสีดำได้มีการประกาศว่าตระกูลตงลั่วได้แยกตัวออกมาจากจิ่วเหมิง (เก้าสหพันธ์)
ข่าวนี้กระจายไปทั่วดินแดนสีดำราวกับลมพายุ ยิ่งไปกว่านั้น ชื่อเสียงของปรมาจารย์จินกวงก็โด่งดังขึ้นมาจากการต่อสู้ครั้งนั้น
ตระกูลตงลั่วถูกแทนที่ เมืองตงลั่วถูกเปลี่ยนชื่อเป็นเมืองก่านเชวี่ย สร้างความสั่นสะเทือนไปทั่วทั้งดินแดนสีดำ หลังจากมีกลุ่มคนมากมายมาสังเกตการณ์และทำการสอบถามหลายเรื่อง สุดท้ายก็สรุปได้ว่า ตอนนี้วิหารจินกวงได้มาก่อตั้งขุมกำลังอยู่ในเมืองนี้อย่างเป็นปึกแผ่น
ผู้ฝึกตนรอบๆ บริเวณนั้นได้ไปอาศัยอยู่ในเมืองก่านเชวี่ย ในที่สุดวิหารจินกวงก็มีขุมกำลังมากกว่าหนึ่งพันห้าร้อยคน ทำให้ตอนนี้พวกเขามีความแข็งแกร่งมากกว่าเมืองตงลั่วในอดีต นอกเหนือจากสามผู้ฝึกตนขั้นวิญญาณแรกก่อตั้งนั้น
เมืองได้ถูกซ่อมแซมแล้วอย่างสมบูรณ์ รูปแบบก็แตกต่างไปจากเมืองตงลั่วดั้งเดิม ด้วยการตกแต่งเมืองก่านเชวี่ยตามรูปแบบของนกแก้ว ทำให้ตอนนี้มันดูเจิดจ้าและมีสีสันสดใสขึ้น!
เมิ่งฮ่าวปล่อยเรื่องทั้งหมดให้นกแก้วจัดการ ขณะที่เขาเตรียมตัวเข้าไปนั่งเข้าฌาณตามลำพัง ทุกสิ่งทุกอย่าง, กำแพงเมือง, ค่ายกลเกราะป้องกัน ทั้งหมดต่างก็เริ่มมีลักษณะสีสันฉูดฉาดของนกแก้ว
สำหรับต้นเถาวัลย์ เมิ่งฮ่าวได้นำมาปลูกไว้ในเมืองนี้ด้วย เพื่อเป็นระบบป้องกันของเมืองนี้
ใครก็ตามที่เข้าร่วมกับวิหารจินกวงก็มาอาศัยอยู่ในเมืองนี้ได้ แน่นอนว่า วิหารจินกวงไม่ใช่สำนัก ดังนั้นจึงมีผู้คนมาร่วมด้วยมากขึ้น เมืองนี้ไม่ได้เป็นเมืองที่แท้จริงอีกต่อไป แต่เป็นวิหาร!
เมิ่งฮ่าวได้เปลี่ยนให้แม่น้ำของเมืองให้กลายเป็นบึงน้ำ หลังจากที่ใส่เม็ดยาบางส่วนลงไป มันก็กลายเป็นบึงน้ำยาแห่งใหม่ ซึ่งกลายเป็นรากฐานทั้งหมดของวิหาร
ค่ายกลเวทใบไม้สีเขียวได้ถูกเปลี่ยนแปลงโดยนกแก้ว หลังจากที่กลายมาเป็นผู้ครอบครองเมือง นกแก้วก็ไม่ได้กำจัดพวกมันไป แต่ได้ใช้วิธีการบางอย่างเพื่อซ่อมแซมและปรับปรุงมัน ตอนนี้ค่ายกลเวทนี้สามารถกระจายแรงกดดันบดขยี้ออกมาได้
และก็เช่นกัน ตอนนี้มันเป็นใบไม้ที่…หลากสี
ภายในเมืองก็ถูกตกแต่งเหมือนก่อนหน้านี้ แบ่งออกเป็นสามชั้น แต่มีที่อยู่อาศัยอยู่บนชั้นสามเท่านั้น นั่นเป็นสถานที่สำหรับเมิ่งฮ่าวนั่งขัดสมาธิเข้าฌาณอยู่ในตอนนี้ เบื้องหน้าเขาเป็นเหยือกสีดำใบเล็กๆ ซึ่งได้มาจากต้าโถว นี่เป็นมรดกที่ได้มาจากพันธมิตรไฟโลกันต์แห่งขุนเขาที่สี่
เขาได้ศึกษาของชิ้นนี้มาแล้วหลายวัน เขาอยากจะใช้มันเหมือนกับที่ต้าโถวใช้เพิ่มความเร็วได้อย่างน่ามหัศจรรย์เช่นนั้นเป็นอย่างมาก ซึ่งเป็นความคิดที่น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง
เขาลูบไปที่พื้นผิวของเหยือก และทันใดนั้น ข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับความสามารถศักดิ์สิทธิ์ก็ปะทุขึ้นมาในจิตใจ “ระเบิดโลหิตชั่วพริบตา…?” เขากล่าวเสียงแผ่วเบา “ใช้พลังของโลหิตที่ไหลเวียนไปมาเพื่อเพิ่มความเร็วขึ้นในทันที”
ดวงตาเมิ่งฮ่าวสาดประกายขณะที่เขายกมือขึ้นไปถูสะเก็ดของคุนเผิงที่อยู่บนหน้าผาก ไม่ว่าเขาจะพยายามอย่างไร ก็ไม่อาจจะใช้พลังของมันได้อีกครั้ง
หลายวันหลังจากนั้น ขณะที่เมิ่งฮ่าวเสร็จสิ้นการฝึกฝนวิชาระเบิดโลหิตชั่วพริบตา ต้าโถวก็นำแผ่นหยกส่งมาให้เขาอย่างเคร่งขรึม เขาอ่านมันด้วยจิตสัมผัส จากนั้นดวงตาก็เริ่มเปล่งประกายออกมา
เมิ่งฮ่าวให้ต้าโถวไปสอบถามทั่วทั้งดินแดนสีดำ เพื่อค้นหาว่าตัวไหมหิมะเยือกเย็นมีอยู่ที่ไหน ถึงตัวไหมเช่นนี้จะเป็นสิ่งที่หายาก แต่ก็ไม่ได้เป็นของลี้ลับ โชคดีที่ต้าโถวใช้เวลาไม่นานก็ได้รับข้อมูลที่จำเป็นกลับมา
“เมืองเซิ่งเสวี่ย (นักบุญหิมะ)…” เมิ่งฮ่าวกล่าวพร้อมกับถอนหายใจออกมาเบาๆ จ้องไปยังแผ่นหยก รอยยิ้มน้อยๆ กระจายไปทั่วใบหน้า
มีเพียงสถานที่แห่งเดียวในดินแดนสีดำ ที่จะหาตัวไหมหิมะเยือกเย็นพบได้ ก็คือเมืองของจิ่วเหมิง (เก้าสหพันธ์), เมืองเซิ่งเสวี่ย!
เมืองนี้เป็นของตระกูลหานเสวี่ย เป็นตระกูลที่มีความแข็งแกร่งมากกว่าตระกูลตงลั่ว ปรมาจารย์ขั้นตัดวิญญาณของพวกมัน ทำให้พวกมันมั่นคงอยู่ต่อไปมานานหลายปี อันที่จริงในอดีต พวกมันมีชื่อเสียงโดดเด่นมากที่สุดในจิ่วเหมิง ด้วยปรมาจารย์ขั้นตัดวิญญาณทั้งสาม!
แต่โชคร้ายที่เมื่อไม่กี่ปีมานี้ ความแข็งแกร่งของพวกมันเริ่มตกต่ำลง ตอนนี้พวกมันมีปรมาจารย์ขั้นตัดวิญญาณเพียงแค่คนเดียว จากข่าวลือที่เล่ากันมา ปรมาจารย์คนสุดท้ายนี้กำลังมาถึงจุดสิ้นสุดของชีวิตแล้ว และแทบจะไม่ค่อยปรากฎตัวออกมาเลย ตอนนี้มันได้กลายเป็นกองหนุนแห่งเต๋าของตระกูลหานเสวี่ยไปแล้ว
เป็นที่ประจักษ์ชัดว่า มีแต่สายโลหิตโดยตรงของตระกูลเท่านั้น ที่จะสามารถครอบครองตัวไหมหิมะเยือกเย็นได้ด้วยวิธีการลับของตระกูล ที่สำคัญมากไปกว่านั้น ในตอนที่หลังจากมีชีวิตขึ้นมา ตัวไหมหิมะเยือกเย็นก็ได้ผูกมัดเจ้านายไว้ เป็นการผูกมัดที่ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้ เมื่อเจ้านายตายไป ตัวไหมก็จะตายไปด้วยเช่นกัน
เมิ่งฮ่าวเก็บแผ่นหยกไว้ ตัวไหมหิมะเยือกเย็นเกี่ยวข้องกับความสามารถที่จะเอาชนะทัณฑ์สวรรค์ของเขา และเขาต้องการมันเพียงแค่ตัวเดียวเท่านั้น หลังตรึกตรองอยู่ในใจสักครู่ เขาก็ลุกขึ้นยืนและออกไปจากที่พัก ขณะที่มองออกไปยังเมืองที่มีสีสันสดใส เขาก็รู้สึกตาลายอยู่เล็กน้อย
นกแก้วทะยานขึ้นไปในอากาศด้วยความตื่นเต้น ติดตามมาด้วยนกยูงสีแดงสามตัวที่มีท่าทางหงอยเหงา ที่ด้านล่างมีเสียงสวดมนต์ดังขึ้นมา ซึ่งเกี่ยวข้องกับคำว่า เชื่อมั่นในอู่เหยีย จะได้รับชีวิตนิรันดร์
สำหรับผีโต้ง ในที่สุดมันก็สามารถเริ่มให้โอวาทกับกลุ่มสมาชิกของวิหารได้นับพัน ตอนนี้ มันกำลังมองไปยังผู้ฝึกตนขั้นพื้นฐานลมปราณด้วยสีหน้าเคร่งขรึม ไม่สนใจท่าทางสั่นสะท้านด้วยความสิ้นหวังบนใบหน้าของคนผู้นั้น ขณะที่มันกำลังกระตือรือร้นอธิบายถึงความสวยงามของดวงอาทิตย์ตก เมื่อนานหลายปีมาแล้วในอดีต
เมิ่งฮ่าวมองไปชั่วครู่จากนั้นก็ถอนหายใจออกมา จากมุมมองของเขาดูเหมือนผู้ฝึกตนที่อยู่ในเมืองนี้จะแตกต่างเป็นอย่างมากกับสิ่งที่พวกมันเคยเป็นมาก่อน ต้องขอบคุณนกแก้วและผีโต้งสำหรับเรื่องเหล่านี้ หลังจากที่ครุ่นคิดสักพัก เขาก็หันหลังกลายเป็นลำแสงพุ่งจนหายลับตาไปในทันที
เมื่อนกแก้วมองเห็นเขาจากไป มันก็เริ่มตื่นเต้นขึ้นอย่างมากในทันใด
“ในที่สุดก็ไปแล้ว, ฮา ฮา ฮา! ต่อไปนี้อู่เหยียจะได้ทำตามแผนที่วางไว้เป็นเวลานานแล้ว มา มา, เด็กๆ ตอนนี้อู่เหยียจะสอนค่ายกลเซียนแบบที่สองให้กับพวกเจ้า ซึ่งเรียกว่า ค่ายกลสังหารเซียน!” นกแก้วตบไปที่หน้าอกด้วยปีกของมัน แผดเสียงดังก้องออกไปด้วยความตื่นเต้น “ค่ายกลนี้สามารถเขย่าสวรรค์สั่นพื้นปฐพี การใช้งานมันไม่อันตรายมากเท่าใด และไม่ทำให้พวกเจ้าบาดเจ็บแม้แต่น้อย อู่เหยียไม่เคยบาดเจ็บจากการใช้ค่ายกลนี้ทั้งเก้าครั้งจากในอดีตที่ผ่านมา! ดังนั้น พวกเจ้าทั้งหมดก็ไม่มีอะไรที่จะต้องกังวลใจ!”
Read »

Copyright © 2015 ผนึกสวรรค์ สยบมาร สะท้านเทพ

Designed by Templatezy | Distributed By Gooyaabi Templates