เงาร่างทั้งหมดนี้ดูค่อนข้างเลือนลาง และดูเหมือนจะไม่มีพื้นฐานฝึกตน มีทั้งคนชราและคนหนุ่มสาว, บุรุษและสตรี พวกมันทั้งหมดดูเหมือนจะสับสนขณะที่แบกก้อนศิลาเซียน พวกมันเดินอย่างเหนื่อยล้าผ่านกลุ่มหมอกไปราวกับเป็นภูติผี
ขณะที่เมิ่งฮ่าวมองไปยังภูติผีเหล่านั้น ความรู้สึกถึงอันตรายอันร้ายแรงก็พุ่งขึ้นมาในจิตใจ ทำให้เขารู้สึกราวกับว่ากำลังเผชิญหน้ากับผู้ล่าอันน่ากลัว รู้สึกว่าถ้าเงาร่างแปลกๆ เหล่านี้วิ่งเข้ามาหา เขาก็คงต้องตายอย่างแน่นอน!
“พวกมันคืออะไร…?” เขาคิดขณะที่มองไปยังเงาร่างภูติผี พวกมันมีมากกว่าหนึ่งร้อยคนที่กำลังเดินผ่านเข้าไปในกลุ่มหมอก ขณะที่พวกมันเข้ามาใกล้และจากนั้นก็เดินผ่านเมิ่งฮ่าวไป เขาก็สัมผัสได้ถึงความหนาวเย็นอันรุนแรง เหมือนกับที่เขาเคยรู้สึกตอนที่อยู่ในความว่างเปล่า
ต่อมาเมิ่งฮ่าวเห็นหนึ่งในเงาร่างแปลกๆ ที่อยู่ภายในกลุ่มนั้น ผ่านเข้าไปยังก้อนศิลาขนาดใหญ่ซึ่งกำลังลอยอยู่ที่นั่นในกลางอากาศ เมื่อมันออกมาจากอีกด้าน ก็กำลังแบกภาพลวงตาของก้อนศิลาอยู่บนไหล่ ซึ่งมีรูปร่างหน้าตาเหมือนกับก้อนศิลาขนาดใหญ่นั้นทุกประการ
ราวกับว่าที่มันกำลังแบกอยู่นั้นเป็นวิญญาณของก้อนศิลา ขณะที่มันนำออกไปในที่ห่างไกลถึงแม้ว่าศิลาเซียนที่มีความกว้างสามร้อยจ้างนี้ยังคงลอยอยู่ในกลางอากาศ เมิ่งฮ่าวก็สัมผัสได้ว่ามันได้ตายไปแล้ว ราวกับว่ามันสูญสิ้นพลังที่จะท่องเที่ยวไปในความว่างเปล่านี้
ขณะที่เงาร่างเหล่านั้นเคลื่อนที่ห่างออกไปไกล เสียงของพวกมันก็ดังก้องออกมาอย่างต่อเนื่อง
“เมื่อไหร่ที่สะพานแห่งเซียนนี้จะปรากฎขึ้นใหม่อีกครั้ง…? พวกเราจะได้พบกับท่านอีกวันไหน…?”
เสียงนี้ค่อยๆ จางหายไป กลุ่มหมอกที่ม้วนตัวไปมา ทันใดนั้นก็กลายเป็นลมพายุ ทำให้รอยร้าวสีเทาที่อยู่ในท้องฟ้าเริ่มหมุนไปด้วยกัน ดูดอี้เฉินจื่อ, เมิ่งฮ่าว และแม้แต่ศิลาเซียนที่มีขนาดสามร้อยจ้างเข้าไป
อันที่จริง ซากปรักหักพังและสิ่งต่างๆ ที่อยู่ภายในบริเวณนั้น ต่างก็ถูกกวาดเข้าไปในลมพายุนั้นไม่มีอะไรต้านทานได้ ทุกสิ่งทุกอย่างถูกดูดเข้าไป จากนั้น พายุก็เริ่มหายไปในทันที ส่งผลให้ทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ด้านใน พุ่งออกไปทั่วทุกทิศทาง
เมิ่งฮ่าวมีความรู้สึกเหมือนกับตอนที่เขาถูกกวาดออกไปโดยปีกของคุนเผิงเมื่อหลายปีก่อน สายลมทึ้งร่างเขา พยายามที่จะฉีกกระชากออกเป็นชิ้นๆ ขณะที่ลมพายุส่งให้เขาพุ่งออกไปยังที่ห่างไกล
ถ้าเขาเป็นผู้ฝึกตนสร้างแกนลมปราณธรรมดาทั่วไป ก็คงจะถูกสังหารไปโดยไม่ต้องสงสัย อย่างไรก็ตามเมิ่งฮ่าวมีสามภาพศักดิ์สิทธิ์ของห้าธาตุ ซึ่งทำให้เขาก้าวข้ามช่องว่างที่มีอยู่ของสร้างแกนลมปราณและวิญญาณแรกก่อตั้ง เขากัดฟันแน่น และโคจรพื้นฐานลมปราณเพื่อต่อต้านผลกระทบที่เกิดจากลมพายุที่ดุร้ายนี้
หลังจากผ่านไปหนึ่งชั่วยาม เมิ่งฮ่าวก็สามารถสะกดพลังของลมพายุนี้ได้ เขาใช้การเคลื่อนย้ายทางไกลย่อย หนีออกไปจากภายในพลังการทำลายล้างของมัน
เมื่อเขาออกมาจากอาณาเขตของลมพายุได้ในที่สุด ก็ต้องกระอักโลหิตออกมา และใบหน้าก็เปลี่ยนเป็นสีขาวซีด เขาได้เคลื่อนย้ายทางไกลไปอยู่บนเทือกเขา ซึ่งเขาก็เร่งขุดถ้ำแห่งเซียนขึ้นมาอย่างรวดเร็ว และนั่งลงไปขัดสมาธิเพื่อเข้าฌาณ
ไม่กี่วันหลังจากนั้น ลมพายุก็ค่อยๆ สงบลง เมิ่งฮ่าวออกมาจากถ้ำแห่งเซียน และบินขึ้นไปในอากาศ เขาลอยอยู่ที่นั่น มองออกไปยังภาพระเกะระกะที่ลมพายุได้ทิ้งไว้ด้านหลัง ลมพายุนี้ได้กวาดออกไปทั่วทั้งพื้นดิน ทำให้แม้แต่ยอดเขามากมายยังได้พังทลายลง
“ภูติผีเหล่านั้นเป็นอะไรกันแน่…?” เมิ่งฮ่าวขมวดคิ้ว เขามีความรู้สึกแปลกๆ เกี่ยวกับอาณาจักรแห่งซากสะพานที่ลึกลับนี้
เขาไม่อาจจะค้นหาร่องรอยของอี้เฉินจื่อได้ เมื่อคิดไปถึงระดับพื้นฐานฝึกตนของบุรุษผู้นี้ มันก็คงจะสามารถหลบหนีออกมาจากลมพายุอันรุนแรงนี้ได้ ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อมันรู้สึกหวาดกลัวเมิ่งฮ่าว ก็เป็นไปได้สูงที่มันจะออกจากดินแดนแถบนี้ไปอย่างรวดเร็วเท่าที่จะเป็นไปได้
เมิ่งฮ่าวพึมพำกับตัวเอง มองออกไปยังที่ห่างไกล ทันใดนั้นเขาก็ต้องตกตะลึงเมื่อพบว่า สิ่งที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกลนัก มีสิ่งของที่กำลังเรืองแสงขนาดใหญ่อยู่ ภายในแสงที่เรืองรองนั้นเป็นเม็ดดิน มันก็คือดินเซียน!
ร่างเขาแวบขึ้นขณะที่พุ่งตรงไป เขาเร่งรวบรวมมันไว้อย่างรวดเร็ว จิตใจเต้นรัวไม่เป็นจังหวะ ต่อมา เขาส่งจิตสัมผัสออกไปทั่วทุกทิศทาง อย่างน่าตกใจ เมื่อเขาพบว่ายังมีอีกสามแห่ง ที่มีดินเซียนกำลังลอยอยู่กลางอากาศ
ถึงแม้ว่าพวกมันจะเป็นเพียงเม็ดเล็กๆ แต่กระนั้นพวกมันก็ยังคงเป็นดินเซียน
“ตอนนี้ข้าได้มันมาแล้ว” เขาคิด “ลมพายุนั่นได้ทำให้ดินเซียนที่อยู่ในบริเวณนี้ลอยขึ้นมา…ถ้าเช่นนั้น ในขณะนี้ก็ต้องมีดินเซียนลอยอยู่ในอากาศ!” ดวงตาสาดประกายด้วยความยินดี โดยไม่ลังเลเขาเคลื่อนย้ายทางไกลออกไป ใช้เวลาไม่นานเขาก็รวบรวมดินเซียนทั้งสามแห่งไว้ได้ หลังจากนั้นก็พุ่งออกไปยังที่ห่างไกล
หลังจากผ่านไปครึ่งวัน เมิ่งฮ่าวก็เริ่มหายใจอย่างหนักหน่วง เพียงช่วงเวลาสั้นๆ เขาก็รวบรวมดินเซียนจนมีขนาดเท่ากำปั้นได้
ตลอดช่วงเวลานี้ เขาเห็นผู้ฝึกตนอื่นๆ พุ่งตัวไปรอบๆ เพื่อค้นหาดินเซียนที่ถูกลมพายุพัดให้ลอยขึ้นมาอย่างบ้าคลั่งด้วยเช่นกัน บางคนยังได้ต่อสู้กันอีกด้วย ถึงแม้ว่าจะไม่เกิดขึ้นมากนักก็ตามที หลังจากที่เวลาผ่านไป พวกมันก็รู้สึกว่าควรจะใช้เวลาในการตามหาดินเซียนดีกว่าที่จะมาต่อสู้กัน
“ดินเซียนก็คือสิ่งสำคัญสำหรับการสร้างภาพศักดิ์สิทธิ์ธาตุดิน!” เมิ่งฮ่าวคิด ดวงตาเป็นสีแดงก่ำ ขณะที่คว้าจับดินเซียนจำนวนเล็กน้อยที่เขาพบ ถ้ามีใครพยายามจะมาแย่งชิง เขาก็จะระเบิดพลังโจมตีออกไปโดยไม่ลังเล
หนึ่งชั่วยามหลังจากนั้น
กำปั้นเมิ่งฮ่าวก็กระแทกลงไปยังผู้ฝึกตนขั้นต้นวิญญาณแรกก่อตั้ง ส่งผลให้มันลอยละลิ่วไปด้านหลัง เมิ่งฮ่าวคว้าจับดินเซียนที่อยู่ตรงหน้าไว้ และจากนั้นก็มุ่งหน้าต่อไป
ผู้ฝึกตนวิญญาณแรกก่อตั้งมองไปยังเมิ่งฮ่าวขณะที่เขาจากไป และดวงตาก็เต็มไปด้วยความหวาดกลัว พลังระเบิดเมื่อครู่นี้ได้ทำให้วิญญาณแรกก่อตั้งของมันสั่นสะท้าน และทำให้มันเต็มไปด้วยความตกใจ
“นั่นคือใคร…?”
สามชั่วยามต่อมา
สามเงาร่างกำลังต่อสู้กันอยู่กลางอากาศ เมิ่งฮ่าวก็คือหนึ่งในนั้น เขาใช้สองมือร่ายเวทอย่างรวดเร็ว ทำให้ทะเลเปลวไฟพุ่งออกมา กระจายออกไปทั่วทุกทิศทาง บังคับให้ศัตรูทั้งสองคนถอยไปด้านหลัง เมิ่งฮ่าวโบกสะบัดชายแขนเสื้อ รวบรวมดินเซียนไว้ จากนั้นก็พุ่งออกไปยังที่ห่างไกลสองผู้ฝึกตนกัดฟันแน่น จิตใจพวกมันเต็มไปด้วยความหวาดกลัว และไม่กล้าจะไล่ติดตามไป ทำได้แค่เพียงกระทืบเท้าและจากนั้นก็มุ่งหน้าตรงไปยังทิศทางอื่นเพื่อค้นหาดินเซียนต่อไป
เวลาไหลผ่านไป หนึ่งวันหลังจากนั้น ดวงตาเมิ่งฮ่าวกลายเป็นสีแดงก่ำโดยสิ้นเชิง เขารวบรวมดินเซียนได้จนมีขนาดเท่ากับศีรษะของเด็กทารก ดินทั้งหมดถูกเก็บอยู่ในถุงสมบัติ เขาบินผ่านอากาศต่อไป เพื่อค้นหาเพิ่มอีก แต่ก็ใช้เวลาเกือบสองชั่วยามที่เขาไม่เห็นดินเซียนอีก ดูเหมือนมันจะถูกเก็บไปหมดแล้ว
“คนอื่นๆ เก็บรวบรวมมันไว้? ไม่เป็นไร!” เขาคิด รังสีสังหารเต็มอยู่ในดวงตา ในโลกแห่งการฝึกตน ผู้ใดแข็งแกร่งกว่าผู้นั้นก็คือกฎ การแย่งชิงเป็นเรื่องปกติธรรมดา และเป็นสิ่งที่เมิ่งฮ่าวคุ้นเคยมานานแล้ว ดวงตาเขาสาดประกายด้วยรังสีสังหาร พุ่งออกไปค้นหาผู้ฝึกตนอื่นๆ
วันต่อมา เสียงระเบิดดังเต็มอยู่ในอากาศ มองเห็นใบหน้าขนาดใหญ่กำลังพังทลายลงอยู่ในกลางอากาศ ขณะที่เป็นเช่นนั้น ผู้ฝึกตนวัยกลางคนกระอักโลหิตออกมา ใบหน้าซีดขาว และดวงตาก็เต็มไปด้วยความประหลาดใจ โดยไม่ลังเล มันหยิบเอาดินเซียนหนึ่งกำออกมาจากถุงสมบัติ และโยนออกไปที่เบื้องหน้า จากนั้นก็กระทืบเท้าและหลบหนีจากไป
เมิ่งฮ่าวโผล่ออกมาจากกลุ่มหมอกที่ม้วนตัวไปมา และคว้าจับมันไว้ โดยไม่หยุดชะงักแม้แต่น้อย เขาพุ่งตัวออกไปยังทิศทางอื่น เพื่อค้นหาผู้ฝึกตนอื่นๆ อีก
สองวันหลังจากนั้น ชายชราใบหน้าแดงก่ำ ซึ่งมีสองผู้ฝึกตนวิญญาณแรกก่อตั้งขนาบข้าง ได้สังหารผู้ฝึกตนอื่นอย่างโหดร้ายเพื่อแย่งชิงดินเซียนของมันไป ในตอนที่พวกมันรู้สึกยินดีที่เก็บรวบรวมถุงสมบัติของคนผู้นั้นได้ หมอกสีแดงทันใดนั้นก็ปรากฎขึ้นจากที่ห่างไกล ภายในกลุ่มหมอก ใบหน้าขนาดใหญ่ก็ปรากฎขึ้นในทันที
ทันทีที่ชายชราหน้าแดงก่ำมองเห็นใบหน้านี้ จิตใจมันก็เต็มไปด้วยเสียงกระหึ่ม หนังศีรษะมันด้านชา มันจดจำใบหน้านี้ได้ ใบหน้านี้เคยปรากฎขึ้นเมื่อหลายวันก่อน ตอนที่มันกำลังต่อสู้อยู่กับคนทั้งเจ็ด และจากนั้นก็ได้พบกับผู้ฝึกตนที่น่ากลัวซึ่งเกือบจะบดขยี้พวกมันทั้งหมดไป
สองผู้ฝึกตนวิญญาณแรกก่อตั้งที่อยู่ข้างกายชายชราหน้าแดงก่ำ มองไปที่กลุ่มหมอกที่ม้วนตัวไปมา พวกมันอุทานออกมาด้วยเสียงแหบแห้ง “มันคือเซี่ยเมี่ยนเหล่าไกว้!” (ผู้พิสดารหน้าโลหิต)สีหน้าพวกมันสลดลงในทันที และเริ่มหมุนตัวไปรอบๆ เพื่อจะหลบหนี
ในช่วงหลายวันมานี้ นาม ‘เซี่ยเมี่ยนเหล่าไกว้’ ได้แพร่กระจายออกไป จากคำพูดที่บอกเล่าต่อๆ กันมา มันเป็นผู้ฝึกตนที่น่ากลัวซึ่งสวมใส่หน้ากากสีโลหิต พื้นฐานฝึกตนของมันน่าแปลกประหลาดยิ่ง และมันจะแช่งยิงดินเซียนไปจากคนอื่นๆ ผู้ที่ตกเป็นเหยื่อการแย่งชิงของมันมีอยู่มากมาย ทำให้น้อยคนนักจะยินดีอยู่ในอาณาเขตแห่งนี้
ทุกคนพยายามระมัดระวังตัว ทันทีที่พวกมันมองเห็นหน้ากากสีโลหิต ก็จะหลบหนีไป
คนทั้งสามจากเมื่อครู่นี้เริ่มหลบหนีออกไปยังสามทิศทางที่แตกต่างกันในทันที เสียงระเบิดดังเต็มอยู่ในอากาศ และสองคนกระอักโลหิตออกมา โดยไม่ลังเล พวกมันหยิบเอาดินเซียนออกมาจากถุงสมบัติและโยนออกไป พวกมันรู้ว่าสิ่งที่เซี่ยเมี่ยนเหล่าไกว้ต้องการคืออะไร ถ้ายื่นส่งดินเซียนให้แก่มันโดยดี มันก็จะไม่สังหารใคร แต่ถ้าต่อสู้กลับไป ก็ต้องตายอย่างแน่นอน
“บัดซบ…ถ้าข้ารู้ว่าจะเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น ข้าก็คงจากไปในตอนที่ข้าได้ครอบครองดินเซียนนี้ตั้งแต่ตอนแรกๆ แล้ว บัดซบ, เซี่ยเมี่ยนเหล่าไกว้!” สองผู้ฝึกตนที่กำลังหลบหนีหอบหายใจออกมา จิตใจเต็มไปด้วยความสับสน แต่พวกมันก็ไม่อาจจะทำอะไรได้นอกจากตัดสินใจออกไปจากบริเวณนี้
ไม่กี่วันหลังจากนั้น ก็ไม่มีผู้ฝึกตนหลงเหลืออยู่ในบริเวณนั้นอีกต่อไป มีเพียงเมิ่งฮ่าว ซึ่งได้แย่งชิงดินเซียนมาจากผู้ฝึกตนส่วนใหญ่ และตอนนี้เขาก็มีดินเซียนซึ่งมีขนาดเท่ากับศีรษะมนุษย์ รวมทั้งมีชื่อเสียงอันน่าหวาดกลัวติดตัวมาด้วย
หลังจากที่พยายามได้รับความรู้แจ้งที่เกี่ยวข้องกับดินเซียน เมิ่งฮ่าวก็ตระหนักว่าเขายังคงรวบรวมมันได้ไม่มากพอ!
โชคร้ายที่ผู้ฝึกตนทั้งหมดได้หลบหนีจากไป แม้จะค้นหาต่อไปก็ไม่พบเห็นอันใด ในตอนนี้เองที่มีก้อนศิลาขนาดกว้างหนึ่งร้อยจ้างพุ่งฝ่าอากาศตรงมา เขาใช้การเคลื่อนย้ายทางไกลไปอยู่บนก้อนศิลานั้นในทันที และนั่งลงขัดสมาธิเข้าฌาณ ก้อนศิลาพุ่งออกไปในความว่างเปล่า ขณะที่มันมุ่งหน้าตรงไปยังดินแดนขนาดใหญ่แห่งอื่นต่อไป
เมิ่งฮ่าวไม่รู้ว่าผู้ฝึกตนที่หลบหนีไปนั้น ได้นำนาม ‘เซี่ยเมี่ยนเหล่าไกว้’ ไปกับพวกมัน และกระจายข่าวนี้ไปยังเขตอื่นๆ เพียงไม่นานนักผู้ฝึกตนเกือบทั้งหมดของทะเลทรายตะวันตกก็ได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับตัวเขา
ขณะที่ก้อนศิลาพุ่งผ่านเข้าไปในความว่างเปล่า ทุกสิ่งทุกอย่างก็กลายเป็นสีดำ เมิ่งฮ่าวนั่งขัดสมาธิอยู่ที่นั่น ดวงตาสาดประกาย
“ข้าได้เผชิญหน้ากับผู้คนมากมาย แต่ก็ยังไม่เห็นว่าภูติสาวจื่อเซียงไปอยู่กับใคร…และข้าก็ไม่เห็นจ้าวโยวหลันด้วยเช่นกัน ข้าอยากรู้นักว่านางไปอยู่ที่ไหน” เมิ่งฮ่าวตกอยู่ในห้วงภวังค์ หยิบเอาแผ่นหยกแผนที่ออกมา มองไปที่มันเพื่อยืนยันถึงจุดหมายปลายทาง เขากำลังมุ่งหน้าตรงไปยังศิลาเซียนที่มีขนาดใหญ่มากที่สุดในตอนนี้
“อาณาจักรแห่งซากสะพานกว้างใหญ่นัก ศิลาเซียนแต่ละก้อนก็เป็นแต่ละอาณาจักร และมีอาณาจักรเช่นนี้อยู่เกือบหมื่น อย่างไรก็ตามผู้ฝึกตนทะเลทรายตะวันตกก็สำรวจพวกมันได้เพียงแค่สิบกว่าแห่งเท่านั้น”
สองสามวันหลังจากนั้น ความว่างเปล่าก็เริ่มหนาวเย็นมากยิ่งขึ้น แม้แต่จะมีของวิเศษที่ใช้ต่อต้านความหนาว เมิ่งฮ่าวก็ยังต้องจุดเปลวไฟอมตะขึ้นมาอย่างต่อเนื่องเพื่อให้รู้สึกตัวอยู่ตลอดเวลา ขณะที่เขามองออกไปยังความมืดมิดของความว่างเปล่า ดวงตาทันใดนั้นก็เบิกกว้างขึ้น
ที่ห่างไกลออกไปในความมืด เขามองเห็นบุรุษผู้หนึ่งเคลื่อนที่ผ่านความว่างเปล่ามา มันสวมใส่ชุดยาวสีฟ้า และมีกระบี่แขวนไว้ที่ด้านหลัง ถือขวดสุราอยู่ในมือ ขณะที่มันก้าวเนิบนาบผ่านความว่างเปล่าตรงมา ก็จิบสุราเป็นระยะ มีสีหน้าหดหู่และเต็มไปด้วยความโศกเศร้า
ความหนาวเย็นของความว่างเปล่านี้ ดูเหมือนจะลดลงจนกลายเป็นสายลมอันสดชื่นอยู่รอบๆ ตัวมัน พัดเส้นผมของมันให้พริ้วไสวไปมา มันไม่ได้ก้าวเดินอย่างทุลักทุเล เพียงเดินไปราวกับว่าทุกสิ่งทุกอย่างเป็นเรื่องปกติ ความว่างเปล่ารอบๆ ตัวมันดูเหมือนจะกลายเป็นระลอกคลื่นบิดเบี้ยวไปมา และความหนาวเย็นก็ดูเหมือนไม่ต้องการจะเข้าไปใกล้มัน แต่หลีกเลี่ยงมันไปเอง
จิตใจเมิ่งฮ่าวหมุนคว้าง และสีหน้าก็เต็มไปด้วยความประหลาดใจ
เขามองไปยังบุรุษผู้นั้น และมันก็มองกลับมา