สายตาเมิ่งฮ่าวพล่าเลือน ทันทีที่ทุกสิ่งทุกอย่างเริ่มมองเห็นได้ชัดขึ้นอีกครั้ง เขาก็ส่งจิตสัมผัสออกไป ขณะที่มองไปรอบๆ อย่างระมัดระวังตัว
“นี่คืออาณาจักรแห่งซากสะพาน?” เขาลังเลอยู่ชั่วครู่ ขณะที่มองลงไปยังศิลาเซียนที่ถืออยู่ในมือ เป็นเพราะสิ่งนี้ที่ได้นำเขามายังสถานที่ในตอนนี้
เขาถูกห้อมล้อมไว้ด้วยซากปรักหักพัง มองเห็นสีต่างๆ ในท้องฟ้า ซึ่งบางครั้งก็เป็นสีแดง และกลายเป็นสีดำเป็นระยะ สายฟ้าเต้นไปมาอยู่ด้านบน ทิ้งอยู่เบื้องหลังด้วยสิ่งที่คล้ายกับเป็นรอยร้าว
ดินแดนแห่งนี้เป็นซากปรักหักพังโดยสิ้นเชิง มีศพทอดซากอยู่โดยไม่มีใครรู้ว่านานกี่ปีมาแล้ว มองเห็นร่องรอยแห่งกาลเวลาได้ทั่วทุกที่ ที่ซึ่งเมิ่งฮ่าวกำลังยืนอยู่ในตอนนี้ ครั้งหนึ่งเคยเป็นเมืองมาก่อน
กลิ่นอายแห่งความตายเต็มอยู่ในอากาศ โลกแห่งนี้ดูเหมือนจะคล้ายกับกรงขัง เป็นสถานที่ซึ่งถ้าติดอยู่เป็นเวลานาน ก็จะจบลงด้วยการถูกฝังอยู่ที่นั่นซึ่งคล้ายกับเป็นกลิ่นอายแห่งความตาย
เมิ่งฮ่าวขมวดคิ้วเล็กน้อย ขณะที่เก็บศิลาเซียนไว้ มองไปรอบๆ ขณะที่เขาทบทวนเหตุการณ์จนกระทั่งมาถึงยังที่แห่งนี้อย่างระมัดระวัง หลังจากผ่านไปสักพัก ดวงตาก็สาดประกาย ขณะที่เขารำลึกได้ถึงภาพที่อยู่ด้านนอก เมื่อเซียนทั้งแปดจากไปและจากนั้นก็กลับมาอย่างรวดเร็ว
พึมพำกับตัวเองชั่วขณะ เมิ่งฮ่าวเดินตรงไปอย่างระมัดระวัง สถานที่แห่งนี้ดูเหมือนจะทำให้จิตสัมผัสของเขาอ่อนแอลงมาก ทำให้ยากที่จะมองเห็นสถานที่อันห่างไกลออกไป อันที่จริง ขอบเขตการมองเห็นของเขาในตอนนี้ได้ถูกจำกัดไว้ที่ประมาณห้าร้อยจ้าง เมื่อมองขึ้นไปยังสายฟ้าในท้องฟ้า ความคิดที่จะบินขึ้นไปของเมิ่งฮ่าวก็หายไปในทันที
เวลาผ่านไป ในที่สุดก็เป็นอีกหนึ่งเดือนหลังจากนั้น ในช่วงเวลานั้น เมิ่งฮ่าวก็สำรวจไปทั่วทั้งบริเวณนั้นได้ครึ่งหนึ่ง ไม่พบกับสิ่งมีชีวิตใดๆ รวมถึงผู้ฝึกตนที่มาจากทะเลทรายตะวันตกอื่นๆอาณาจักรแห่งนี้มีขนาดเล็กมากๆ และดูเหมือนจะมีรูปร่างไม่เหมือนดินแดนปกติทั่วไป ขอบของมันมีแต่ความขรุขระ ตอนนี้เมิ่งฮ่าวกำลังยืนอยู่บนริมขอบเช่นนั้น
เบื้องหน้าเขามีแต่ความมืดมิด, หมองมัวและหนาวเย็น ดูเหมือนมันสามารถกลืนกินทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่รอบๆ บริเวณนั้นลงไปได้จนหมดสิ้น เมิ่งฮ่าวพึมพำกับตัวเอง ยกมือขึ้นและทำท่าคว้าจับ ก้อนศิลาที่อยู่ใกล้ๆ ก็ลอยเข้ามาอยู่ในมือทันที เขาโยนมันออกไปในความมืดมิด ทันทีที่มันเข้าไปในความมืด ก็กระดอนกลับเข้ามาอยู่ในมือเมิ่งฮ่าวอีกครั้ง เขามองลงไปยังก้อนศิลา และสังเกตเห็นว่าส่วนหนี่งของมันที่สัมผัสไปโดนความมืด ดูเหมือนจะถูกเฉือนด้วยมีด กลายเป็นรอยแบนราบเรียบโดยสิ้นเชิง
เมิ่งฮ่าวขมวดคิ้วลึกมากขึ้น ขณะที่เขาค่อยๆ ถอยไปด้านหลัง ความว่างเปล่าสีดำนี้ทำให้เขารู้สึกถึงอันตรายอย่างน่าเหลือเชื่อ ได้แต่คิดว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับร่างกายของตัวเอง ถ้าเขาวิ่งเข้าไปในความมืดนั้น
“มีบางอย่างผิดปกติ ถ้านี่คืออาณาจักรแห่งซากสะพาน ทำไมข้าถึงอยู่ตามลำพังเพียงคนเดียวในที่นี้? นอกจากนั้น…สถานที่แห่งนี้ก็ดูเหมือนจะเล็กมาก ยิ่งไปกว่านั้น ก็ไม่มีดินเซียนซึ่งหัวหน้าเผ่าอูปิงได้กล่าวถึง!”
“นอกจากซากปรักหักพังของเมืองแล้ว ข้าก็ไม่เห็นสะพานเซียนเดินหนที่ยังหลงเหลืออยู่เลย!” เมิ่งฮ่าวหันหลังเดินไปสำรวจโลกแห่งนี้ด้วยความระมัดระวังอีกครั้ง
เวลาอีกครึ่งเดือนได้ผ่านไป เมิ่งฮ่าวมีสีหน้าเคร่งเครียดขึ้น เขายืนอยู่ตรงจุดศูนย์กลางของอาณาจักรแห่งนี้ มองไปยังแผ่นศิลาตัวอักษร
ศิลาที่มีรอยจารึกตัวอักษรนั้นแตกร้าว แต่ก็ยังไม่ได้สลายกลายเป็นชิ้นๆ มันค่อนข้างจะอยู่ในสภาพดี และบนพื้นผิวของมันก็มองเห็นเป็นตัวอักษรขนาดใหญ่อยู่เลือนลาง
“ยิงยุ่นเฉิง (เมืองเสียงเพลง)…” เมิ่งฮ่าวพูดเสียงแผ่วเบา ท่าทางเบื่อหน่ายปรากฎขึ้นในแววตา ทันใดนั้นก็คิดย้อนกลับไปยังเซียนทั้งแปดที่เขาได้เห็นเมื่อตอนมาถึงที่แห่งนี้ รวมถึงภูติสาวจื่อเซียง
“สำนักเยาเซียน (เซียนภูติ) ปลอมตัวเป็นหุ่นกระบอก ภูติสาวจื่อเซียงพยายามที่จะหลบหนีการไล่ล่าสังหาร…” เมื่อจมอยู่ในความครุ่นคิด เมิ่งฮ่าวก็นั่งลงขัดสมาธิ
“ภูติสาวจื่อเซียง มาจากสำนักที่ถูกเรียกว่า สำนักเยาเซียน นางหลอกเอาของวิเศษไปจากนายน้อยของเซียนทั้งแปดเหล่านั้น จากนั้นนางก็ทำให้ตัวเองกลายเป็นหุ่นกระบอกเพื่อหลบหนีการไล่ล่าของพวกมัน”
“หลังจากที่นางหลบหนีไป ทำไมคนทั้งแปดถึงไม่ได้ไล่ตามมาอีก แต่มีท่าทางตื่นเต้นและฉุนเฉียว…?” ทันใดนั้น แววตาจดจ่อตั้งใจก็เต็มอยู่ในดวงตา
“จริงๆ แล้ว นางไม่ได้หลบหนีไป! นางได้ใช้วิธีการบางอย่างเพื่อหลอกให้พวกที่ไล่ตามมาทั้งแปดคนนั้นสับสนและจากไป แต่พวกมันรู้ว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้องโดยเร็ว และรีบไล่ติดตามมาในทันที ถ้าดูจากมุมมองเช่นนั้น…บางทีนางได้ทำบางอย่างที่แตกต่างไปจากสิ่งที่ข้าคาดคิดไว้โดยสิ้นเชิง หรือบางทีนางได้มาอยู่ในอาณาจักรแห่งซากสะพานด้วยพลังของนางเองเพื่อสำรวจมัน ความเป็นไปได้สุดท้ายก็คือ…นางได้มาอยู่ท่ามกลางพวกเราซึ่งเป็นผู้ฝึกตนที่มาจากทะเลทรายตะวันตก!” เมิ่งฮ่าวนั่งนิ่งอยู่ที่นั่นอย่างเงียบๆ ภูติสาวนางนี้กำลังถูกไล่ล่าโดยเซียนทั้งแปด และเห็นได้ชัดว่ามีพื้นฐานฝึกตนที่ลึกล้ำยิ่ง
บุคคลเช่นนี้เป็นคนที่เมิ่งฮ่าวไม่ต้องการจะไปตอแยด้วย จึงไม่จำเป็นที่จะคิดวิเคราะห์ต่อไป เมิ่งฮ่าวตัดสินใจว่าเขาจำเป็นต้องระมัดระวังตัวให้มากไว้ ถึงแม้จะดูเหมือนว่าผู้ฝึกตนทะเลทรายตะวันตกจะแยกย้ายกระจัดกระจายกันออกไป เขาก็มีความรู้สึกว่าการคาดเดาข้อสุดท้ายน่าจะเป็นความจริงมากที่สุด
“ใครคือคนที่นางแอบซ่อนตัวอยู่ด้วย…” เมิ่งฮ่าวคิด ทันใดนั้น เขาก็มองขึ้นไปในท้องฟ้า และเห็นเงาเลือนลางสีดำกำลังใกล้เข้ามาด้วยความเร็วสูงสุด เงาเลือนลางนั้นไม่ใช่ผู้ฝึกตน แต่เป็นก้อนศิลาขนาดใหญ่!
ก้อนศิลานั้นมีความกว้างไม่ต่ำกว่าหนึ่งพันจ้าง มันส่งเสียงแหวกฝ่าอากาศลงมาจากด้านบน ทำให้เกิดเป็นสายฟ้าปะทุขึ้นในทุกที่ที่มันพุ่งผ่านไป และฉีกกระชากอากาศให้สลายกลายเป็นชิ้นๆ ราวกับว่ามีพลังบดขยี้อันน่าเหลือเชื่อกำลังกดทับลงมา
มันเคลื่อนที่มาด้วยความรวดเร็วอย่างน่าเหลือเชื่อขณะที่พุ่งต่ำลงมา ทำให้เกิดเป็นแรงกดดันอันมหาศาล ส่งผลให้พื้นดินสั่นสะเทือน ม่านตาเมิ่งฮ่าวหดเล็กลง และเขากำลังจะล่าถอยหลบออกไป แต่ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกว่าก้อนศิลาที่มีความกว้างกว่าหนึ่งพันจ้างนี้ จริงๆ แล้วก็ไม่ได้พุ่งเข้ามากระแทกดินแดนที่เขากำลังอยู่ในตอนนี้ มันเริ่มเปลี่ยนทิศทางเป็นวงโค้ง และพุ่งออกไปยังจุดอื่นในความดำมืด
เมิ่งฮ่าวจ้องไปยังก้อนศิลาก่อนที่จะสูดลมหายใจเข้าไปลึกๆ ขณะที่เขามองดูก้อนศิลาขนาดใหญ่นั้นผ่านเข้าไปในความมืดมิด ออกไปนอกขอบเขตของอาณาจักรแห่งนี้
ขณะที่มันเป็นเช่นนั้น ความว่างเปล่าอันมืดมิดดูเหมือนจะแตกกระจายไป และมองเห็นเป็นช่องว่างขนาดใหญ่เกิดขึ้น ก้อนศิลาผ่านเข้าไปและจากนั้นก็หายสาบสูญไป
เหตุการณ์ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นในช่วงเวลาสั้นๆ ชั่วธูปไหม้หมดไปหนึ่งดอก เมิ่งฮ่าวมีเวลาเพียงน้อยนิดที่จะคิดถึงเรื่องราวเหล่านี้ เมื่อก้อนศิลาหายเข้าไปในความว่างเปล่าอันมืดมิด ม่านตาเขาหดเล็กลง และจิตใจก็รู้สึกราวกับมีสายฟ้าฟาดลงมา ทันใดนั้นเขาก็คิดย้อนกลับไปเมื่อตอนที่เข้ามาใกล้สะพานเซียนเดินหน และได้เห็นช่องว่างระหว่างก้อนศิลาต่างๆ ของสะพาน และฝุ่นผงที่อยู่ภายในนั้น
“ก้อนศิลาหนึ่งพันจ้างนั้น เป็นหนึ่งในเศษชิ้นส่วนของฝุ่นที่มากมายนับไม่ถ้วนซึ่งข้าได้เห็นก่อนหน้านี้ พวกมันลอยไปมาอยู่ในช่องว่างระหว่างศิลาซึ่งสร้างขึ้นมาเป็นสะพานเซียนเดินหนอยู่ตลอดเวลา!”
“ถ้าเช่นนั้น ข้าก็ต้องอยู่บนสะพานเซียนเดินหนอย่างแน่นอน ในปีที่มันพังทลายลง ก็แตกสลายกลายเป็นชิ้นส่วนมากมายนับไม่ถ้วน ถ้าข้าต้องการจะออกไปจากที่นี่ ก็มีเพียงหนทางเดียว…ด้วยการช่วยเหลือของฝุ่นนั่น!” จิตใจเขาหมุนคว้าง ขณะที่เริ่มเข้าใจมากขึ้น เขาสูดลมหายใจเข้าไปลึกๆ ขณะที่นั่งลงขัดสมาธิเพื่อรอคอยอย่างเงียบๆ
เวลาผ่านไป เนื่องจากความเข้าใจของเมิ่งฮ่าว เวลาที่ผ่านไปในสถานที่แห่งนี้ แตกต่างจากโลกที่ด้านนอก ถ้าโลกภายนอกผ่านไปหกเดือนหรือหนึ่งปี ก็ไม่อาจจะปิดบังผู้ฝึกตนซึ่งเข้ามาในสถานที่แห่งนี้ได้ ยิ่งไปกว่านั้น หัวหน้าเผ่าอูปิงก็ไม่ได้พูดถึงเรื่องนี้
สามเดือนผ่านไป ในช่วงเวลานั้น เมิ่งฮ่าวได้เห็นก้อนศิลาขนาดใหญ่ผ่านมาและจากไป เขาไม่ได้รีบเร่งกระทำการใดๆ แต่คอยสังเกตดูอย่างรอบคอบในสิ่งที่เกิดขึ้น หลังจากที่ก้อนศิลากระแทกเข้าไปในความว่างเปล่าที่มืดมิด ในที่สุดของวันหนึ่ง ก้อนศิลาจู่ๆ ก็ใกล้เข้ามา ซึ่งมีความกว้างเกือบหนึ่งพันจ้าง
เมื่อก้อนศิลานี้ปรากฎขึ้น เมิ่งฮ่าวก็สูดลมหายใจเข้าไปลึกๆ ร่างเขาทันใดนั้นก็หายแวบไป เมื่อปรากฎขึ้นใหม่อีกครั้ง เขาก็อยู่ในกลางอากาศ ก้าวเท้าลงไปบนก้อนศิลาซึ่งกำลังพุ่งผ่านอากาศไป
ทันทีที่เขาหยั่งเท้าลงไป ฉับพลันนั้นเมิ่งฮ่าวก็รู้สึกราวกับว่า มีพลังที่น่ากลัวบางอย่างพร้อมที่จะฉีกกระชากตัวเขาให้กลายเป็นชิ้นๆ เขาโคจรพื้นฐานฝึกตน และภาพศักดิ์สิทธิ์ที่เรืองแสงสามภาพโผล่ออกมา ในตอนนี้ เขาสามารถบังคับตัวเองให้ยืนอย่างมั่นคง นั่งลงขัดสมาธิในทันทีและจ้องมองออกไปยังเบื้องหน้า
ก้อนศิลาเคลื่อนที่ไปด้วยความรวดเร็วอย่างน่าเหลือเชื่อ เพียงชั่วพริบตา มันก็ผ่านดินแดนนั้นไป ชั่วระยะสูดลมหายใจเข้าออกสิบครั้ง มันก็ไปถึงความว่างเปล่าที่มืดมิด จิตใจเมิ่งฮ่าวเต้นรัวด้วยความกังวล ความพยายามนี้ก็คือการเสี่ยงดวง แต่เมื่อได้สังเกตสิ่งที่เกิดขึ้นกับก้อนศิลาอื่นๆ ทั้งหมด เขาก็มีความมั่นใจ
เพียงชั่วพริบตา ก้อนศิลาก็เข้าไปถึงความว่างเปล่าสีดำ กระแทกเข้าไป ทำให้ระลอกคลื่นในความมืดมิดนั้น เกิดเป็นช่องว่างขึ้น และมันก็ผ่านเข้าไป ขณะที่มันพุ่งผ่านเข้าไป เมิ่งฮ่าวก็บังคับพลังลมปราณให้มั่นคงและเพ่งสมาธิตั้งมั่น นั่งลงขัดสมาธิอยู่ด้านบนก้อนศิลาที่ดูเหมือนจะน่ากลัว แต่จริงๆ แล้วก็ไม่ได้มีอันตรายใดๆ ตอนนี้เขาออกมาจากความว่างเปล่าสีดำนั้น
ในตอนที่เขาผ่านเข้าไปในความว่างเปล่า ทันใดนั้นเมิ่งฮ่าวก็รู้สึกหนาวเย็น ความหนาวที่รุนแรงนั้นเป็นสิ่งที่สามารถแช่แข็งจิตวิญญาณได้ เมิ่งฮ่าวรีบโคจรพื้นฐานฝึกตนอย่างรวดเร็วเพื่อต่อสู้กับความหนาวเย็นนั้น
ดวงตาเขาเบิกกว้างขณะที่มองไปรอบๆ ความมืดมิดนี้ดูเหมือนจะไร้จุดสิ้นสุด แต่เขาก็สามารถมองเห็นลำแสงหลากสีกำลังลอยไปมาอยู่รอบๆ
แต่ละลำแสงเหล่านั้นก็คือก้อนศิลาขนาดใหญ่มหึมา!
“วิธีนี้น่าจะได้ผลดี อาณาจักรแห่งซากสะพานแห่งนี้ ประกอบไปด้วยสะพานเซียนเดินหนที่ยังหลงเหลืออยู่ ผู้คนที่มายังที่แห่งนี้ได้เคลื่อนที่ไปมาระหว่างเศษซากของสะพานเซียนเดินหน ซึ่งก็คือก้อนศิลาเหล่านี้!” ร่างเขาเริ่มสั่นสะท้านเนื่องจากความหนาวเย็นนี้ เขาโคจรพื้นฐานฝึกตน แต่ทำแค่นั้นยังไม่เพียงพอ ร่างกายเริ่มนิ่งแข็ง ด้วยดวงตาที่สาดประกาย เขาเริ่มโคจรพลังของภาพศักดิ์สิทธิ์ธาตุไฟ ทำให้ร่างกายไม่แข็งตัวไปเพราะความหนาวเย็น ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ ก็ยังมีเกล็ดน้ำแข็งเป็นชั้นๆ ปรากฎขึ้นบนผิวหนัง ดูเหมือนเขาแทบจะกลายเป็นรูปปั้นน้ำแข็ง
“ด้วยวิธีนี้ ข้าน่าจะสามารถทนต่อไปได้นานขึ้นอีกเล็กน้อย โชคดีที่ข้ามีเปลวไฟอมตะ มิเช่นนั้น ถ้าไม่มีการเตรียมตัวขับไล่ความหนาวเย็นได้ทันเวลา ก็คงจะเป็นเรื่องยากที่จะมีชีวิตรอดไปจากที่แห่งนี้” ความหนาวเย็นรอบตัวเขาเริ่มรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ เมิ่งฮ่าวนั่งนิ่งอยู่ที่นั่น เพื่อป้องกันไม่ให้ความร้อนกระจายออกไปจากร่างกาย และช่วยรักษาพลังชีวิตให้ยังคงอยู่ต่อไป
เวลาผ่านไป เมิ่งฮ่าวไม่แน่ใจว่าก้อนศิลาได้พาเขาไปผ่านอาณาจักรแห่งความมืดมิดนี้นานเท่าใด ฉับพลันนั้น ก้อนศิลาที่มีขนาดใหญ่ประมาณสามร้อยจ้างก็ปรากฎขึ้นในที่ห่างไกล จากเส้นทางที่มันแหวกฝ่าอากาศตรงมาที่เขา ดูเหมือนว่ามันจะพุ่งผ่านเมิ่งฮ่าวและก้อนศิลาของเขาไป
ขณะที่ก้อนศิลาทั้งสองเข้ามาใกล้กันมากขึ้นเรื่อยๆ เสียง “อี๋!?” แผ่วเบาก็ได้ยินมาในทันที
“ข้ามาเจอใครบางคนที่ไม่มีของวิเศษช่วยขจัดความหนาวเย็น! ช่างโชคดีอะไรเช่นนี้! ฮา ฮา ฮา!” เป็นเสียงของบุรุษ และขณะที่ก้อนศิลานั้นเข้ามาใกล้ เมิ่งฮ่าวก็รับรู้ได้ถึงบุรุษวัยกลางคนที่นั่งขัดสมาธิเข้าฌาณอยู่ด้านบนก้อนศิลานั้น
พื้นฐานฝึกตนของมันอยู่ในขั้นต้นวิญญาณแรกก่อตั้ง และร่างกายก็สาดประกายด้วยรอยสักภาพศักดิ์สิทธิ์ ที่หน้าผากของมันมีรอยสักภาพศักดิ์สิทธิ์สีทองที่ดูคล้ายกับเป็นราชสีห์ มันถูกห้อมล้อมไว้ด้วยก้อนศิลาสีขาวห้าก้อน ซึ่งกระจายเป็นเกราะป้องกันออกมา ห่อหุ้มบุรุษผู้นั้นไว้ ปกป้องมันจากความหนาวเย็น
ขณะที่คำพูดของบุรุษผู้นั้นดังก้องออกมา มันก็เลียริมฝีปาก ดวงตาเต็มไปด้วยแสงอันคมกริบ และขณะที่ก้อนศิลาของมันเข้ามาใกล้ก้อนศิลาของเมิ่งฮ่าว ทันใดนั้นมันก็ลุกขึ้นยืน ร่างหายแวบไป เมื่อมันปรากฎตัวขึ้นอีกครั้ง ก็มายืนอยู่บนก้อนศิลาของเมิ่งฮ่าว มันยกมือขึ้น และราชสีห์ทองคำก็ปรากฎขึ้นอย่างน่ามหัศจรรย์ ส่งเสียงร้องคำรามขณะที่พุ่งตรงมายังเมิ่งฮ่าว
“ข้าจะสังหารเจ้าเพื่อช่วยยุติความทุกข์ทรมานนี้ และข้า, เซีย ก็จะมีคู่แข่งลดน้อยลงอีกหนึ่งคน โอกาสที่ข้าจะได้วิญญาณอสูรก็จะยิ่งมีมากขึ้น!”