สองเงาร่าง หนึ่งไล่ล่า หนึ่งหลบหนี พุ่งฝ่าอากาศไปด้วยความรวดเร็วสูงสุด
เมิ่งฮ่าวสวมใส่หน้ากากสีโลหิต และดวงตาก็สาดประกายด้วยความเย็นชา เส้นใยของดักแด้ไร้ตาหมุนวนไปรอบๆ ร่าง กระจายเป็นเสียงหึ่งๆ ออกมา เขาใช้การเคลื่อนย้ายทางไกลย่อยเป็นระยะเพื่อเข้าไปใกล้อี้เฉินจื่อมากยิ่งขึ้น
ขณะที่อี้เฉินจื่อ พุ่งตรงไปด้วยความรวดเร็วเท่าที่มันสามารถทำได้ มันมีพื้นฐานฝึกตนอยู่ในขั้นกลางวิญญาณแรกก่อตั้ง และมีความสามารถศักดิ์สิทธิ์ที่ไม่ธรรมดา มันเป็นคนที่มีจิตใจโหดร้าย และจริงๆ แล้วก็เป็นผู้ที่มีชื่อเสียงชั่วร้ายอยู่ในทะเลทรายตะวันตก
ครั้งหนึ่งมันเคยเป็นคนของเผ่าหลงจิ้ว แต่มีโอกาสได้รับวาสนาเล็กน้อย ทำให้มันได้ครอบครองเวทปีศาจ เพื่อที่จะฝึกฝนเวทปีศาจนี้ มันได้แอบสังหารคนในเผ่าของมันเอง เพื่อให้กลายเป็นภาพศักดิ์สิทธิ์บนร่างของมัน แรงกระตุ้นยั่วยุของวิชาลับนี้เป็นสิ่งที่ยากจะต่อต้านได้ เมื่อเรื่องราวถูกเปิดเผย มันก็ยอมรับผิดและได้รับการให้อภัยจากคนในเผ่า อย่างไรก็ตาม มันก็แอบใช้วิธีการอันป่าเถื่อนเพื่อสังหารหัวหน้าเผ่าหลงจิ้ว ซึ่งไม่ใช่ใครอื่นแต่เป็นบิดาของมันเอง!
หลังจากนั้น มันก็ได้สังหารคนในเผ่าที่เหลืออย่างเลือดเย็น ไม่ว่าจะชราหรือทารก พวกมันทั้งหมดถูกสังหารเพื่อสังเวยกลายเป็นภาพศักดิ์สิทธิ์ มันได้กระทำเช่นนี้จนมีพื้นฐานฝึกตนอยู่ในขั้นต้นวิญญาณแรกก่อตั้ง
สิ่งทั้งหมดนี้ได้เกิดขึ้นเมื่อหกสิบปีก่อน ทำให้กลายเป็นเรื่องอื้อฉาวใหญ่โตไปทั่วทั้งทะเลทรายตะวันตก แม้เผ่าหลงจิ้วจะเป็นชนเผ่าเล็กๆ แต่เรื่องราวการทรยศเผ่าของตัวเองเช่นนี้เป็นสิ่งที่ยอมรับไม่ได้ ด้วยเหตุนี้ อี้เฉินจื่อจึงกลายเป็นผู้ที่มีชื่อเสียงชั่วร้ายไปทั่วทั้งทะเลทรายตะวันตกในทันที
ในช่วงเวลาหกสิบปีที่ผ่านมา มันได้ปรากฎกายขึ้นอีกสามครั้งในทะเลทรายตะวันตก แต่ละครั้งมันได้สังหารไปหนึ่งเผ่า สองครั้งแรกเป็นเผ่าเล็กๆ แต่ครั้งที่สามเป็นเผ่าขนาดกลาง ทำให้มันมีโอกาสก้าวเข้าไปในขั้นกลางวิญญาณแรกก่อตั้ง หลังจากนั้น มันก็หายสาบสูญไปอย่างไร้ร่องรอย
ขณะที่มันพุ่งผ่านอากาศไปราวกับสายฟ้า อี้เฉินจื่อก็คิดอยู่ในใจ “ถ้าข้าได้ดินเซียนมามากพอ ข้าก็สามารถใช้มันพร้อมกับวิชาลับของข้า เพื่อกระตุ้นพลังของภาพศักดิ์สิทธิ์ หลังจากนั้น ข้าก็ต้องหาโลหิตมาสังเวยอีกหนึ่งแสนคน! ซึ่งจะทำให้ข้ามีโอกาสผ่านเข้าไปในขั้นสุดท้ายวิญญาณแรกก่อตั้ง!” แต่ละครั้งที่เมิ่งฮ่าวใช้การเคลื่อนย้ายทางไกลย่อย มันก็กระทำเช่นเดียวกัน
ขณะที่เวลาดำเนินไป มันก็ยังคงรักษาระยะห่างระหว่างเมิ่งฮ่าวไว้ได้ ทำให้เป็นเรื่องยากสำหรับเมิ่งฮ่าวที่จะตามจับมันได้!
ใบหน้าขนาดใหญ่รอบๆ เมิ่งฮ่าว ทันใดนั้น ก็ขยายจนมีขนาดใหญ่มากขึ้น และจากนั้นก็พุ่งตรงไป กระจายพลังการโจมตีออกไป สีหน้าอี้เฉินจื่อเปลี่ยนไป แต่มันก็ไม่ยอมลดความเร็วลงแม้แต่น้อย แต่เริ่มพุ่งไปเร็วมากขึ้นกว่าเดิม
“บัดซบ, เจ้าคนผู้นี้ทำไมถึงได้รวดเร็วเช่นนี้!?” เขาคิด แผดร้องอยู่ในใจ อี้เฉินจื่อหลบหนีต่อไป เป็นเวลานานมากแล้วที่มันต้องทุ่มสุดตัวเช่นนี้
“ต้องการจับข้า? เจ้ายังไม่คู่ควร!” อี้เฉินจื่อแค่นเสียงเย็นชา จากนั้นก็ใช้ความสามารถศักดิ์สิทธิ์ที่มันภาคภูมิใจเพิ่มความเร็วขึ้นอีกครั้ง
ในเวลาเดียวกันนั้น เมิ่งฮ่าวจู่ๆ ก็ยกมือขึ้นเพื่อใช้วิชาผนึกอสูรรุ่นแปด ทันทีที่วิชานี้ปรากฎขึ้น ฉับพลันนั้น อี้เฉินจื่อก็หยุดอยู่กลางอากาศ การที่ต้องมาหยุดอย่างฉับพลันเช่นนี้ก็ทำให้มันหวาดกลัวแทบตาย ถึงแม้มันจะฟื้นคืนกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้อย่างรวดเร็ว แต่ในช่วงเวลานั้น ระลอกคลื่นพลังของวิชาเวทไร้หน้าของเมิ่งฮ่าวก็มาถึง
เสียงระเบิดดังเต็มอยู่ในอากาศ ขณะที่โลหิตกระจายออกมาจากปากของอี้เฉินจื่อ แต่เกล็ดปลาห้าชิ้นก็ปรากฎขึ้นในทันที จากนั้นก็ระเบิดออก ทำให้มันมีความเร็วมากขึ้น หลบหนีจากไปได้อีกครั้ง“บัดซบ, นั่นเป็นความสามารถศักดิ์สิทธิ์อะไรกัน?!?!” อี้เฉินจื่อคิด สีหน้ามันซีดขาว ก้มหน้าด้วยความมุ่งมั่น พุ่งไปข้างหน้าด้วยความรวดเร็วมากที่สุด เท่าที่มันจะทำได้ต่อไป
เวลาผ่านไป ในที่สุดก็เป็นอีกหนึ่งวันต่อมา
เมิ่งฮ่าวกำลังขมวดคิ้ว มองขึ้นไปยังอี้เฉินจื่อที่เบื้องหน้า ซึ่งกำลังเคลื่อนที่ไปอย่างรวดเร็วเพิ่มมากขึ้น รังสีสังหารในดวงตาเมิ่งฮ่าวเข้มข้นมากกว่าเดิม อี้เฉิงจื่อผู้นี้เป็นหนึ่งในผู้ฝึกตนที่รวดเร็วมากที่สุดที่เขาเคยพบเจอมา ดูเหมือนว่ามันจะมีความเป็นเลิศในด้านการหลบหนี ซึ่งทำให้มันหลอมรวมเข้ากับอากาศ เมื่อรวมเข้ากับการเคลื่อนย้ายทางไกลย่อย พลังของมันก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้น
เมื่อได้เห็นระยะห่างระหว่างคนทั้งสองเพิ่มมากขึ้นอีกครั้ง เมิ่งฮ่าวก็ทำให้แสงสีโลหิตกระจายออกไปรอบๆ ตัว วิชาระเบิดโลหิตในพริบตาทำให้มีความเร็วเพิ่มขึ้นหลายเท่า ร่างกายเขาเลือนลางลงจนดูคล้ายกับเป็นภูติผี และจากนั้นเขาก็ใช้การเคลื่อนย้ายทางไกลย่อย เพื่อเข้าไปใกล้ได้อีกครั้งแต่โชคร้าย ทันทีที่เขาเข้าไปใกล้ อี้เฉินจื่อก็หายตัวไปอีกครั้ง กลายเป็นกลุ่มควันสีเขียวเคลื่อนที่ได้เร็วขึ้นเป็นร้อยเท่าจากก่อนหน้านี้
ในท่ามกลางความเร็วที่เพิ่มขึ้นอย่างน่าเหลือเชื่อนี้ มันได้ใช้การเคลื่อนย้ายทางไกล ทำให้ยิ่งมีระยะห่างไกลออกไปมากขึ้น
“วิชานั้นอีกแล้ว!” เมิ่งฮ่าวคิด ตอนนี้ระยะห่างระหว่างคนทั้งสองได้เพิ่มขึ้นอีกครั้ง เมิ่งฮ่าวตกตะลึง และรังสีสังหารของเขาก็ยิ่งเข้มข้นมากขึ้น เขาใช้วิชาระเบิดโลหิตในพริบตาและการเคลื่อนย้ายทางไกลย่อยต่อไป ตอนนี้เขาอยู่ห่างจากอี้เฉินจื่อที่เพิ่งจะใช้วิชาการหลบหนีของมันออกมาประมาณหนึ่งพันจ้าง
เมิ่งฮ่าวตบไปที่ถุงสมบัติ หยิบเอาอาวุธเวทออกมาหลายชิ้น สิ่งของเหล่านี้เขาได้มาหลังจากที่เข้ามาในทะเลทรายตะวันตก บางชิ้นก็ได้มาจากการทำสงครามกับเผ่าห้าพิษ และบางชิ้นก็ได้มาจากผู้ฝึกตนเผ่าจินโห่ว (ทองคำราม)
เขาโบกสะบัดมือ ทำให้อาวุธเวทเหล่านั้นกลายเป็นลำแสงพุ่งตรงไป
“ตูม!” เมิ่งฮ่าวตะโกนออกมา ดวงตาสาดประกายด้วยแสงอันเย็นเยียบ ทันใดนั้น อาวุธเวทสิบกว่าชิ้นก็เริ่มสั่นสะท้านและจากนั้นก็เริ่มระเบิดออก เมิ่งฮ่าวเกลียดการที่ต้องสูญเสียสิ่งที่มีค่าเช่นนี้ แต่ตอนนี้ก็ไม่ใช่เวลาที่จะมานั่งคิดถึงสิ่งของเหล่านี้ ขณะที่อาวุธเวทระเบิดออก เสียงกระหึ่มก็ดังก้องขึ้นมา และระลอกคลื่นอันรุนแรงก็กระจายออกไปทั่วทุกทิศทาง
ขณะที่พลังของการระเบิดกระจายออกไป เมิ่งฮ่าวก็ทำให้ค่ายกลกระบี่กาลเวลาปรากฎขึ้น กระบี่ไม้กาลเวลาหมุนเป็นวงกลม กลายเป็นลำแสงพุ่งตรงไป
เมิ่งฮ่าวหยิบยืมพลังของการระเบิดเพิ่มความเร็วขึ้น ถ้าเขาทำเช่นนี้ ก็จะสามารถเคลื่อนที่ไปได้หลายร้อยจ้าง เข้าไปใกล้อี้เฉินจื่อมากยิ่งขึ้น
แต่ถึงจะใช้วิธีการเช่นนี้ เขาก็ยังไม่อาจจะไล่ตามมันทัน ดังนั้น เมิ่งฮ่าวจึงไม่ได้ใช้แรงระเบิดเพื่อเพิ่มความเร็วของเขาเอง แต่…ช่วยเพิ่มความเร็วให้กับค่ายกลกระบี่ดอกบัว
กระบี่ไม้แห่งกาลเวลาภายในค่ายกลมีความรวดเร็วอยู่แล้ว แต่เมื่อรวมกับแรงระเบิด ระยะห่างหนึ่งพันจ้างก็ใกล้เข้าไปในชั่วพริบตา แม้ขณะที่อี้เฉินจื่อกำลังใช้วิชาหลบหนีของมัน ค่ายกลกระบี่ก็มาปรากฎอยู่ด้านหลังมัน หมุนวนด้วยพลังระเบิดแห่งกาลเวลา
พลังแห่งกาลเวลาทำให้เกิดเป็นระลอกคลื่นกระจายออกไปในอากาศ จากนั้นเมิ่งฮ่าวก็ขมวดคิ้ว วิชาหลบหนีของอี้เฉินจื่อช่างแปลกประหลาดอย่างแท้จริง แม้แต่พลังของค่ายกลกระบี่แห่งกาลเวลาก็ไม่อาจจะทำอะไร เพื่อป้องกันไม่ให้อี้เฉินจื่อกลายเป็นกลุ่มควันสีเขียวพุ่งออกไปยังที่ห่างไกล ในตอนนี้เองที่เวทผนึกอสูรรุ่นแปดได้ถูกใช้ออกมาในทันใด
เมื่อการหยุดชะงักได้เกิดขึ้นในฉับพลัน เสียงแผดร้องอย่างน่าอนาถใจก็ได้ยินมา แต่กลุ่มควันสีเขียวก็ยังคงพุ่งห่างออกไปอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจากนั้นก็กลายร่างกลับเป็นอี้เฉินจื่ออีกครั้ง
ทันทีที่มันปรากฎกายขึ้น ก็กระอักโลหิตออกมากองใหญ่ สีหน้าซีดขาว เส้นผมของมันเปลี่ยนเป็นสีขาวในทันที ร่างกายแก่ชราลงอย่างเห็นได้ชัด มีสีหน้าตกใจ สั่นไปทั้งร่างอย่างรุนแรง ดวงตาเต็มไปด้วยความหวาดกลัว
“ความสามารถศักดิ์สิทธิ์แปลกๆ นั่นอีกแล้ว!” มันกล่าว หนังศีรษะด้านชา “และ…อาวุธเวทอื่นอีก!!” มันเพิ่งจะประสบกับการที่ต้องสูญเสียอายุขัยไปสามร้อยปี ทำให้มันรู้สึกหวาดกลัวเป็นอย่างยิ่ง เป็นความหวาดกลัวที่แสดงออกมาจากส่วนลึกของจิตใจ มันกระอักโลหิตออกมาอีก และจากนั้นก็พุ่งทะยานหลบหนีไปอีกครั้ง
“บัดซบ, บัดซบ! นี่เป็นดินเซียนแค่ครึ่งส่วน มันคุ้มค่าที่จะทำเช่นนี้?!?!” อี้เฉินจื่อขบฟันแน่น ขณะที่มันพุ่งฝ่าอากาศจนเป็นเสียงแหลมเล็ก
ดวงตาเมิ่งฮ่าวเย็นเยียบและแข็งกระด้างขณะที่เขาขมวดคิ้ว
“พลังของค่ายกลกระบี่ดอกบัวจริงๆ แล้วก็แข็งแกร่งขึ้นมากเมื่ออยู่ในที่แห่งนี้ แต่ก็ไม่มากเท่ากับตอนที่อยู่ในความว่างเปล่า มันอ่อนแอกว่าถึงเจ็ดในสิบส่วน”
“เป็นไปได้หรือไม่ว่า พลังแห่งกาลเวลาในค่ายกลกระบี่ จะบรรลุถึงหนึ่งพันปีอันน่ากลัว เมื่อมันอยู่ในความว่างเปล่าเท่านั้น?” เมิ่งฮ่าวตกอยู่ในห้วงความคิด ขณะที่เขาไล่ตามอี้เฉินจื่อไปอีกครั้ง
เวลาอีกวันหนึ่งก็ผ่านไป
“ทำไมมันยังไม่อยู่ที่นี่อีก” อี้เฉินจื่อคิด “จากการคำนวนของข้า มันควรจะอยู่ที่นี่ ในตอนนี้!” อี้เฉินจื่อมีท่าทางซีดเซียว โดยเฉพาะเมื่อคิดว่าเมิ่งฮ่าวได้กลืนเม็ดยาลงไปอย่างต่อเนื่อง อี้เฉินจื่อมีความรู้สึกผสมปนเปกันไป อย่างไรก็ตาม เมื่อมันขโมยสิ่งของ มันก็ยินยอมตายแต่ไม่ยอมคืนกลับไป นี่เป็นกฎของมัน กัดฟันแน่นมองไปยังเมิ่งฮ่าวที่ไล่ล่ามาอย่างต่อเนื่อง มันใช้วิชาหลบหนีของมันขึ้นอีกครั้ง
ในตอนนี้เองที่ห่างไกลออกไปในท้องฟ้า ลำแสงปรากฎขึ้น ลำแสงที่กำลังพุ่งเข้ามานี้ไม่ใช่ผู้ฝึกตน แต่เป็นก้อนศิลาที่มีความกว้างสามร้อยจ้าง ก้อนศิลานี้เคลื่อนที่ด้วยความเร็วสูงสุดตามวงโคจรของมัน จากที่เห็น มันกำลังเข้ามาใกล้ชายขอบของพื้นดินอันกว้างใหญ่นี้
“มันมาแล้ว!” อี้เฉินจื่อคิด ดวงตาสาดประกายด้วยความดีใจ ในขณะที่เมิ่งฮ่าวขมวดคิ้ว อี้เฉินจื่อก็พุ่งทะยานขึ้นไปในอากาศอย่างฉับพลัน เมิ่งฮ่าวมองไปขณะที่มันร่ายเวทอาคม เตรียมใช้วิชาเวทที่ไม่รู้ว่าคืออะไร ทันใดนั้น ก้อนศิลาที่ลอยมาจากในที่ห่างไกลก็เปลี่ยนทิศทาง และพุ่งตรงมาที่มัน
“มันสามารถควบคุมก้อนศิลาในสถานที่แห่งนี้ได้!” เมิ่งฮ่าวคิด ม่านตาหดเล็กลง เมื่อได้เห็นอี้เฉินจื่อมุ่งหน้าตรงไปยังก้อนศิลา ดวงตาเมิ่งฮ่าวทันใดนั้นก็เต็มไปด้วยแสงอันเจิดจ้า ในช่วงวิกฤตนี้ โดยไม่ลังเลเขาชี้นิ้วออกไป ใช้เวทผนึกอสูรรุ่นแปด ขณะที่อี้เฉินจื่อกำลังจะตกลงไปบนก้อนศิลา ในขณะที่อี้เฉินจื่อกำลังจะกลายร่างกลายเป็นกลุ่มควันสีเขียว มันได้คาดเดาไว้นานแล้วว่าศัตรูของมันจะใช้ความสามารถศักดิ์สิทธิ์ที่แปลกๆ นี้อีกครั้ง ดังนั้น มันจึงได้กลายเป็นกลุ่มควันสีเขียวและจากนั้นก็ไปปรากฎกายขึ้นใหม่อีกครั้งบนพื้นผิวของก้อนศิลา
“หวังว่าจะได้พบกับเจ้าอีกครั้งในวันข้างหน้า, สหายเต๋า!” มันตะโกนออกมา หัวเราะเสียงดัง อย่างไรก็ตาม ในตอนนี้เองที่สีหน้ามันทันใดนั้นก็เต็มไปด้วยความตกใจ ขณะที่มันสังเกตเห็นว่าก้อนศิลาใต้เท้ามัน…ฉับพลันนั้นก็หยุดการเคลื่อนที่
เวทรุ่นแปดของเมิ่งฮ่าวไม่ได้เล็งเป้าหมายไปยังอี้เฉินจื่อ แต่เป็นก้อนศิลาขนาดใหญ่นี้
เมื่อก้อนศิลาหยุดเคลื่อนที่ เส้นใยของดักแด้ไร้ตาจู่ๆ ก็เริ่มหมุนวน พันไปรอบๆ ก้อนศิลา ไม่นานต่อมา ก้อนศิลาก็กลับมาเป็นเหมือนเดิม และพุ่งตรงไป ขณะที่เป็นเช่นนี้ มันก็ดึงเมิ่งฮ่าวตามไปด้วย
เมื่อถูกดึงด้วยความเร็วเดียวกับก้อนศิลา เมิ่งฮ่าวก็พุ่งไปยืนอยู่บนพื้นผิวของมันในทันที ยกมือขวาขึ้นมา และต่อยหมัดที่มีพลังรุนแรงออกไป สีหน้าอี้เฉินจื่อเปลี่ยนไป มันกัดฟันแน่นขณะที่เตรียมตัวต่อสู้กลับไป
เสียงระเบิดดังเต็มอยู่ในอากาศ อี้เฉินจื่อกลิ้งไปบนก้อนศิลา พ่นโลหิตออกมาจากปาก เส้นใยดักแด้ไร้ตาคลายออก และเมิ่งฮ่าวก็ใช้การเคลื่อนย้ายทางไกลย่อย เมื่อเขาปรากฎขึ้นอีกครั้ง ก็ไปอยู่ตรงหน้าอี้เฉินจื่อ ยืดมือขวาออกไปหมายจะสังหารมัน
แต่ในตอนนี้เองที่ทั่วทั้งท้องฟ้าจู่ๆ ก็กลายเป็นสีเทา และกลุ่มหมอกสีเทาได้ม้วนตัวออกมาปกคลุมไปทั่ว ทุกสิ่งทุกอย่างเริ่มกลายเป็นทะเลสีเทา
ในเวลาเดียวกันนั้น เมิ่งฮ่าวก็รู้สึกประหลาดใจ เมื่อพบว่าทั่วร่างของเขา…ไม่อาจจะขยับเคลื่อนไหวได้โดยสิ้นเชิง อี้เฉินจื่อก็ตกอยู่ในสถานการณ์นี้เช่นเดียวกัน
ราวกับว่าทุกสิ่งทุกอย่างในโลกแห่งนี้ ฉับพลันนั้นก็หยุดนิ่งไป
ในเวลาเดียวกันนั้น ก็มองเห็นเงาร่างของฝูงชนกำลังเคลื่อนที่อยู่ในกลุ่มหมอก พวกมันมีสีหน้าที่ว่างเปล่า และกำลังแบกก้อนศิลาเซียนอยู่บนไหล่ ขณะที่พวกมันเดินอย่างเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า ย่ำผ่านกลุ่มหมอกไป
เสียงแปลกๆ แผ่วเบา ทันใดนั้นก็ได้ยินดังก้องไปทั่วในโลกแห่งนี้ “เมื่อไหร่ที่สะพานเซียนแห่งนี้จะปรากฎขึ้นใหม่อีกครั้ง…? พวกเราจะได้พบกับท่านอีกวันไหน…?”