เมื่อเมิ่งฮ่าวส่งจิตสัมผัสออกมา เขาเริ่มรู้สึกถูกตัดขาดจากสวรรค์และปฐพี เขาคุ้นเคยกับความรู้สึกนี้ ซึ่งเป็นความรู้สึกเดียวกับที่เขาเคยรู้สึก เมื่ออยู่ในระดับสิบ ขั้นรวบรวมลมปราณ หรือระดับสิบสามก่อนหน้านี้
ถึงแม้ว่าตอนนี้ ความรู้สึกนี้จะรุนแรงมากขึ้น ราวกับว่าสวรรค์ไม่ยอมรับพลังการฝึกตนของเขาเลย แต่เขาก็ยังรู้สึกถึงความแข็งแกร่งของขั้นที่แตกต่างนี้ ดูเหมือนว่าถึงแม้สวรรค์จะไม่ยอมรับ…แต่มันก็ตอบโต้กลับ และเป็นเพราะสาเหตุนี้ มันจึงมีความแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น
การต่อต้านนี้ ไม่ได้มาจากเมิ่งฮ่าว แต่มาจากเสาแห่งเต๋า และพลังลมปราณภายในร่างของเขา!
หลังจากที่รู้สึกถึงการขัดขวางจากสวรรค์ เมิ่งฮ่าวก็รีบหาสาเหตุ…ไม่มีพลังลมปราณจากสวรรค์และปฐพี ที่เขาดูดซับเข้าไปในร่างหลุดรอดออกมาได้แม้แต่น้อย แต่เขาก็ไม่สามารถดูดซับเข้าไปได้อีกเลย วงจรนี้ถูกตัดขาดไปจากสวรรค์และปฐพี ไม่ยอมให้ทำเช่นนี้อีกต่อไป!
ในเวลาเดียวกันนั้น เนื่องจากเขาไม่อาจกระจายพลังลมปราณออกมา เขาจึงสามารถทำสิ่งที่แปลกๆ ได้อย่างคลุมเครือ เขาสามารถสัมผัสได้ถึงร่องรอยบางอย่างที่มองไม่เห็น เมื่อเขายึดจับมันไว้ได้ เขาก็เริ่มมีความแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้นในทันที
ร่องรอยนี้ไม่ถูกยินยอมจากสวรรค์ ดังนั้นมีแต่ผู้ฝึกตนที่ถูกปฏิเสธจากสวรรค์เท่านั้น ถึงจะสามารถมองเห็นมัน และได้รับการรู้แจ้งที่เกี่ยวกับมันได้
ถึงแม้ว่าเมิ่งฮ่าวไม่ได้ตระหนักถึงมัน แต่ในโลกแห่งการฝึกตน ร่องรอยนี้ถูกเรียกว่า ข้อห้ามแห่งเต๋า! ผู้ฝึกตนทุกคน ที่บรรลุขั้นพื้นฐานลมปราณ สามารถสัมผัสถึงมันได้
ในเวลาเดียวกับที่เมิ่งฮ่าวเริ่มสัมผัสได้ถึงข้อห้ามแห่งเต๋า ก็มีบางอย่างทำให้ร่างของเขาสั่นสะท้าน เสียงแตกหักดังออกมา เมื่อรอยร้าวปรากฎขึ้นบนเสาแห่งเต๋าของเขา เมื่อมันเกิดขึ้น เมิ่งฮ่าวก็กระอักโลหิตออกมา และเขาก็ถูกตัดขาดจากขั้นพิเศษนี้
พลังลมปราณจำนวนมากมายมหาศาล ไหลออกมาจากรอยร้าวของเสาแห่งเต๋า เมิ่งฮ่าวไม่มีพลังพอที่จะหยุดการเกิดขึ้นนี้ได้ ร่างของเขาก็เชื่อมต่อกับสวรรค์ และปฐพีอีกครั้งหนึ่ง
ถึงแม้ว่า พลังลมปราณที่ไหลออกมาอย่างรวดเร็วนี้ จริงๆ แล้ว ก็ไม่อาจเปรียบเทียบได้กับจำนวนที่เขาได้ดูดซับเข้ามา แต่ในตอนนี้เขาก็กลับเข้าไปสู่วงจรแห่งสวรรค์และปฐพีอีกครั้ง
ร่องรอยแปลกๆ ที่เขาเพิ่งจะสามารถสัมผัสได้ ก็ไม่อาจรู้สึกได้อีกต่อไป เขาไม่ได้ถูกปฏิเสธจากสวรรค์และปฐพีอีกแล้ว แต่ถูกยอมรับ และในตอนนี้ก็เป็นส่วนหนึ่งของมัน
ความอ่อนแอแวบปรากฎขึ้นภายในจิตใจ เมิ่งฮ่าวเงยหน้าขึ้น มองทะลุผ่านออกไปยัง ด้านนอกของถ้ำแห่งเซียน เมื่อเขามองไปยังท้องฟ้าด้านนอก ดวงตาก็ส่องประกายสว่างจ้า อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
นี่คือพื้นฐานไร้ตำหนิ พร้อมรอยร้าวหนึ่งจุด ซึ่งจริงๆ แล้ว ก็ดีที่สุดสำหรับเมิ่งฮ่า ถ้าเป็นพื้นฐานรอยร้าว เขาก็จะอ่อนแอลง และถ้าเป็นพื้นฐานแตกร้าว ซึ่งมีรอยแตกมากขึ้น ก็จะทำให้เขายิ่งอ่อนแอมากขึ้น
“ตราบเท่าที่มันมีรอยแตก” เมิ่งฮ่าวพึมพำ “มันก็ยังไม่สมบูรณ์ และทำให้สวรรค์ยอมรับมัน…” ดวงตาของเขาส่องประกายเจิดจ้า
“เนื่องจากเสาแห่งเต๋ามีรอยร้าว ไม่ว่าข้าจะบรรลุการฝึกตนขั้นไหน ข้าก็สามารถดูดซับ และปลดปล่อยได้ตลอดเวลา แล้วที่ข้าฝึกฝนในวิถีทางนี้ เพื่อตัวข้าเอง…หรือเพื่อสวรรค์กันแน่?” เมิ่งฮ่าวนิ่งเงียบอยู่ชั่วครู่ จริงๆ แล้ว คำถามนี้ลึกซึ้งเกินกว่าผู้ฝึกตนขั้นพื้นฐานลมปราณ จะสามารถครุ่นคิดใคร่ครวญได้
อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่ที่เมิ่งฮ่าวได้ศึกษาตำรารวบรวมลมปราณ จากคัมภีร์สุดยอดวิญญาณ และรู้ถึงวิธีการบรรลุพื้นฐานสมบูรณ์ เขาก็คิดเองว่ามันคงเป็นเรื่องปกติ สำหรับคนที่อยู่ในขั้นตัดวิญญาณจะสามารถเข้าใจได้
ในขณะที่เมิ่งฮ่าวบรรลุขั้นพื้นฐานไร้ตำหนิ ก็เป็นช่วงเวลาดึกมากแล้ว ผู้ฝึกตนทั้งเจ็ดด้านนอก มองไปที่พลังลมปราณที่พลุ่งพล่านปั่นป้วนไปมา จากนั้นก็มองตรงไปที่ถ้ำของเมิ่งฮ่าวภายในหุบเขา
“เกิดอะไรขึ้น?”
“ทำไมพลังลมปราณทั้งหมดนี้ กำลังถูกดูดเข้าไปในทิศทางนั้น?” หลังจากบ่นเช่นนี้ คนทั้งเจ็ดก็รีบพุ่งตรงไป แต่เมื่อพวกมันเข้าไปใกล้ ก็ถูกบังคับให้หยุดลง
ร่างของพวกมันสั่นสะท้าน รู้สึกถึงพลังลมปราณที่ไม่คงที่ ราวกับว่ามันจะถูกกวาดออกไปจากร่างได้ทุกเมื่อ พวกมันยืนอยู่ที่นั่นด้วยความตกใจ ไม่แน่ใจว่า จริงๆ แล้วเกิดอะไรขึ้น
สำหรับบุคคลกลุ่มนี้ พื้นฐานลมปราณเป็นอะไรที่ห่างไกลมาก พวกมันไม่คิดว่า จะมีใครสามารถบรรลุถึงขั้นนี้ในหุบเขาแห่งนี้
ในความตกใจ พวกมันไม่กล้าคืบหน้าออกไปไกล ยื่นนิ่งอยู่ที่นั่น คาดเดาไปต่างๆ นาๆ ในที่สุดก็สรุปว่า สิ่งแปลกๆ ที่เกิดขึ้นนี้ เป็นเพราะเกิดจากตัวของหุบเขาเอง
เนื่องจากพวกมันไม่สามารถเข้าไปใกล้ได้ การคาดเดาจึงเป็นสิ่งที่ดีที่สุด ที่พวกมันสามารถทำได้ ไม่มีทางที่จะพิสูจน์ หรือไม่พิสูจน์สิ่งใดๆ ได้
“ข้าสัมผัสได้ถึงพลังอันมากมายมหาศาล อยู่ในหุบเขาแห่งนี้” เฒ่าคางคกกล่าว พร้อมกับสูดลมหายใจเข้าลึกๆ และดวงตาก็หดแคบลง “มันเป็นบางสิ่งบางอย่างที่ไกล ไกลเกินพวกเรามากนัก”
“โชคร้ายที่พวกเราเข้าไปใกล้ไม่ได้ จริงๆ แล้ว มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่? ข้ารู้สึกว่า ยิ่งเข้าไปใกล้มากเท่าไหร่ พลังลมปราณภายในร่างของข้า ก็จะถูกดูดออกไป…”
“มีบางสิ่งที่แปลกๆ เกิดขึ้นกับพลังลมปราณ ในสองปีที่ผ่านมานี้ ตอนนี้ก็มีสิ่งอื่นเกิดขึ้นอีก…” คนทั้งเจ็ดมองตากันไปมา จากนั้นก็เงียบลง จิตใจของพวกมันเต็มไปด้วยการคาดเดาต่างๆ นาๆ
ในขณะเดียวกันนั้น ภายในถ้ำ เมิ่งฮ่าวเงยหน้าขึ้น ดวงตาสาดประกาย ถ้าเขาไม่เคยสัมผัสขั้นพื้นฐานสมบูรณ์เลย ก็ไม่เป็นไร แต่เมื่อเคยรู้สึกได้ในช่วงสั้นๆ จากนั้น ขั้นพื้นฐานสมบูรณ์ก็หายไป และพลังก็ลดลง จึงทำให้ความปรารถนาของเขารุนแรงมากยิ่งขึ้น
“พื้นฐานสมบูรณ์…” ดวงตาส่องประกาย และเขาก็ยืนขึ้น โบกสะบัดแขนเสื้อ กลุ่มหมอกที่เบื้องหน้าก็กระเพื่อมไปมา จากนั้นก็รวมตัวกันเป็นธงเล็กๆ และลอยมาอยู่ในมือ
เขาจ้องไปที่มัน พ่นพลังลมปราณออกมาเล็กน้อย ไปปกคลุมที่ธงเล็กๆ นั้น มันก็กลายเป็นลำแสงสีดำ ลอยเข้าไปในปากของเขา
ในช่วงของขั้นรวบรวมลมปราณ เมิ่งฮ่าวฝืนใช้ธงผืนนี้ด้วยความอดทน แต่ตอนนี้เขาอยู่ในขั้นพื้นฐานลมปราณ เขาสามารถปรับแต่งใช้มันได้หลายวิธีมากขึ้น
เมิ่งฮ่าวมองดูด้วยความพึงพอใจ ผ่านไปสักพัก ดวงตาของเขาก็ส่องประกาย
“ด้วยตำรารวบรวมลมปราณ ของคัมภีร์สุดยอดวิญญาณ ช่วยให้สร้างแกนทะเลแห่งที่สองได้ เมื่อแกนทะเลแห่งที่สองขยับจากขั้นรวบรวมลมปราณ เป็นขั้นพื้นฐานลมปราณ มันก็จะช่วยทำให้พื้นฐานลมปราณของคนผู้นั้นดียิ่งขึ้น สำหรับข้า ถึงแม้มันจะไม่สร้างความแตกต่างมากนักก็ตาม แต่…ข้าก็ควรจะสร้างมันเพิ่ม”
ดวงตาสาดประกาย เขากลับลงไปนั่งขัดสมาธิ และนึกไปถึงตำรารวบรวมลมปราณ ของคัมภีร์สุดยอดวิญญาณ หลายชั่วยามหลังจากนั้น เขาก็ลืมตาขึ้น
เสียงกระหึ่มกึกก้องดังอยู่ภายในร่าง เมื่อมองเข้าไป เขาก็เห็นด้านนอกของเสาแห่งเต๋า มีพื้นที่ใหม่เกิดขึ้น เป็นทะเลสีทองอันกว้างใหญ่ไพศาล นี่คือแกนทะเลแห่งที่สองของเมิ่งฮ่าว
เมื่อทำได้สำเร็จลุล่วง เขาก็ยกมือขึ้น หินก้อนใหญ่ที่เขาใช้ปิดผนึกถ้ำแห่งเซียน ก็ระเบิดกลายเป็นชิ้นๆ จากนั้นก็กลายเป็นเถ้าฝุ่น เมิ่งฮ่าวพุ่งออกไป กลายเป็นแสงเลือนลาง พุ่งขึ้นไปในอากาศ จากนั้นก็หยุดลง ลอยอยู่กลางอากาศ
เขามองกลับไปยังถ้ำแห่งเซียน พร้อมรอยยิ้ม ย้อนกลับไปเมื่อเขายังอยู่ในขั้นรวบรวมลมปราณ ถ้าเขาขยับนิ้วด้วยวิธีที่เขาเพิ่งจะทำไปนั้น ก็ไม่มีทางที่จะสามารถป่นหินให้แหลกละเอียดได้ แต่ตอนนี้ เป็นเรื่องง่ายมากที่จะทำเช่นนั้น
“ช่องว่างระหว่าง รวบรวมลมปราณ และพื้นฐานลมปราณ ช่างแตกต่างกันราวท้องฟ้า และผืนดิน” เมิ่งฮ่าวพูดกับตัวเอง
“เป็นความจริงยิ่งนัก, ข้าควรจะแข็งแกร่งมากกว่านี้ แต่โชคร้าย ที่เสาแห่งเต๋าของข้าแตกออกด้วยมีดที่มองไม่เห็น…ซึ่งก็เป็นวิถีชีวิตของผู้ฝึกตน ที่ไม่สามารถทำอะไรกับมันได้ ถ้าข้าสามารถซ่อมแซมเสาแห่งเต๋า ข้าก็สามารถสร้างพื้นฐานสมบูรณ์ได้ การที่จะทำเช่นนั้น ข้าต้องปรุงเม็ดยาพื้นฐานสมบูรณ์ก่อน แต่คำถามที่สำคัญสุดของข้าในตอนนี้ก็คือ…นี่เป็นเครื่องหมายอะไร…?”
เขาจ้องลงไปยังมือขวา ที่นั่น, บนหลังมือของเขา มีเครื่องหมายเวทอาคมแปลกๆ ซึ่งกำลังจางหายไปอย่างช้าๆ มันไม่ได้มีอยู่บนผิวหนังของเขา แต่อยู่ภายในร่างเขา เมื่อมองไปที่มัน เมิ่งฮ่าวก็รู้สึกว่า มันอยู่ที่นั่นมาเป็นเวลานานมากแล้ว
นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นมัน และเขาก็ไม่รู้ว่า ทำไมมันถึงปรากฎขึ้น เมื่อเขาบรรลุขั้นพื้นฐานลมปราณ
เครื่องหมายนั้นจางหายไป และเมิ่งฮ่าวก็ขมวดคิ้ว มันไม่ทำให้เขารู้สึกถึงอันตรายใดๆ ในความเป็นจริง ดูเหมือนว่าเขาค่อนข้างจะคุ้นเคยกับมันมากกว่า หลังจากที่ครุ่นคิดเกี่ยวกับมันชั่วครู่ แต่ก็ไร้ร่องรอยเบาะแสใดๆ เขาก็เลิกสนใจมันชั่วคราว จากนั้นก็มองไปรอบๆ
เขาถูกห้อมล้อมไว้ด้วยกลุ่มหมอก ซึ่งปกคลุมไปทั่วร่าง และปกปิดเขาจากคนที่มองมาอย่างสมบูรณ์ ในตอนนี้ เขาลอยอยู่กลางอากาศ แต่ก็รู้ว่าถ้าเขาต้องการ, เขาก็สามารถเหาะด้วยการเคลื่อนที่ตรงไปข้างหน้าได้อย่างง่ายดาย
เมื่อวางเรื่องเครื่องหมายแปลกๆ ไปอย่างสิ้นเชิง เมิ่งฮ่าวก็เริ่มคิดไปว่า ทำไมขั้นรวบรวมลมปราณถึงไม่สามารถเหาะได้
“การเหาะอย่างแท้จริง ไม่สามารถทำได้ในช่วงของการรวบรวมลมปราณ เนื่องจากร่างกายไม่มีพลังลมปราณอย่างเพียงพอ ดังนั้นร่างกายจึงไม่ได้รับการช่วยเหลือจากอากาศ ได้แต่รับการช่วยเหลือจากอาวุธเวทถึงจะบินได้ แต่พลังลมปราณในร่าง ขั้นพื้นฐานลมปราณมีมากกว่าร้อยเท่า ของขั้นรวบรวมลมปราณ จึงมีลมปรารณมากพอที่จะรวมตัวกันเป็นเสาแห่งเต๋า ร่างกายจึงได้รับการช่วยเหลือจากอากาศ และทำให้เหาะได้จริงๆ”
“มีเสาแห่งเต๋าทั้งหมดเก้าต้น ที่จะปรากฎขึ้นในขั้นพื้นฐานลมปราณ เสาสามต้น หมายถึง จุดสูงสุดของระดับเริ่มต้น, เสาหกต้น หมายถึง จุดสูงสุดของระดับกลาง และเสาเก้าต้นคือการบรรลุวงจรอย่างสมบูรณ์ ตอนนี้ ข้ามีแค่เสาเดียว…”
เมิ่งฮ่าวมองไปที่กลุ่มหมอก ที่กระจายไปทั่วบริเวณนั้น ดวงตาส่องประกาย ร่างกลายเป็นลำแสง ขณะที่พุ่งลงไปในหุบเขา
“สถานที่นี้ ได้กระตุ้นปฏิกิริยาของหยกผนึกอสูรเมื่อสองปีก่อน ในตอนนั้น พลังฝึกตนของข้า ยังไม่แข็งแกร่งพอที่จะค้นหาคำตอบได้อย่างปลอดภัย แต่…ด้วยพรสวรรค์ และความแข็งแกร่งในตอนนี้ ก็คงเพียงพอที่จะ ค้นหาร่องรอยบางอย่างด้วยความระวังได้”
ดวงตาสาดประกาย เขาพุ่งผ่านกลุ่มหมอก กระบี่ไม้สองเล่มปรากฎขึ้น ส่งเสียงหวีดหวิว เมื่อมันหมุนวนไปรอบๆ ร่าง
ตอนนี้ เขาอยู่ในขั้นพื้นฐานลมปราณ กระบี่ทั้งสองเล่ม ก็ให้ความรู้สึกค่อนข้างจะแตกต่างไป แต่เขาก็ไม่มีเวลาที่จะตรวจสอบพวกมันอย่างละเอียด เขาพุ่งลงไปในกลุ่มหมอก ด้วยความตั้งใจจะตรวจสอบว่า สถานที่นี้จริงๆ แล้วคืออะไรกันแน่
หลังจากที่เมิ่งฮ่าวรุดหน้าลงไปในหุบเขาประมาณร้อยจ้าง หยกผนึกอสูรภายในถุงสมบัติก็เริ่มเรืองแสง เขาหยิบมันออกมาถือไว้ในมือ ค่อยๆ ลงไปอย่างช้าๆ
ขณะที่เขาพุ่งลงไป กลุ่มหมอกก็หนาแน่น และหนาวเย็นมากยิ่งขึ้น จนดูค่อนข้างน่ากลัว แต่เมิ่งฮ่าวไม่อยู่ที่ขั้นรวบรวมลมปราณอีกต่อไปแล้ว ถ้าเขายังอยู่ในขั้นนั้น ร่างกายของเขาอาจจะไม่สามารถต้านทานความหนาวเย็นนี้ได้
หลังจากเคลื่อนที่ไปเป็นเวลาชั่วธูปไหม้หมดครึ่งดอก ก็ยิ่งรู้สึกหนาวเย็นจนเจ็บปวดมากขึ้น ราวกับว่ามีใบมีดมา กรีดเฉือนผิวหนัง ในที่สุด เขาก็มาถึงก้นหุบเขา
ไม่มีต้นไม้ใบหญ้าอยู่ที่นี่ มีแต่กลุ่มหมอกอันไร้ที่สิ้นสุด โครงกระดูกของนก และสัตว์ป่ามากมายหลายชนิด กระจายอยู่บนพื้นหุบเขา ทุกสิ่งทุกอย่างเงียบสงบ เมิ่งฮ่าวมองไปรอบๆ ด้วยความระมัดระวัง เขาไม่ผลีผลาม แต่ใช้เวลาตรวจสอบไปรอบๆ บริเวณนั้น ในที่สุด ดวงตาของเขาก็ส่องประกาย เมื่อมองไปเห็นมีเพียงส่วนเดียวของหุบเขา ที่ไม่เห็นมีกลุ่มหมอกอยู่เลย
มันคือ…ปากถ้ำ ที่กว้างประมาณสามจ้าง!
ขอบของปากถ้ำก่อขึ้นจากดินที่หนา ซึ่งดูเหมือนจะมีน้ำแข็งเกาะอยู่ ยากจะบอกได้ว่า ถ้ำนี้ลึกเข้าไปเท่าไหร่ มันยืดขยายออกไปในความมืดมิด ความหนาวเย็นเป็นน้ำแข็ง กระจายออกมาจากถ้ำ ซึ่งจากนั้นก็กลายเป็นหมอกลอยออกไป
ในถ้ำที่ยืดขยายออกไปอย่างไร้ขอบเขต มีเชือกสีแดงคล้ำอยู่เส้นหนึ่ง นอกจากนี้แล้วก็ไม่มีอะไรอีก
ณ ตอนนี้ หยกผนึกอสูรในมือของเมิ่งฮ่าว ก็เปล่งแสงสว่างจ้ามากขึ้น ดูเหมือนว่า มีบางอย่างกำลังเรียกหามัน ให้เข้าไปในถ้ำลี้ลับ และไร้จุดสิ้นสุดนี้ ใครจะไปรู้ว่า มีอะไรซุกซ่อนอยู่ข้างใน?
เมิ่งฮ่าว มองไปที่ถ้ำลังเลอยู่สักพัก หลังจากนั้น เขาก็ตบไปที่ถุงสมบัติ กระบี่บินปรากฎขึ้น กลายเป็นลำแสง ขณะที่มันพุ่งตรงเข้าไปในถ้ำ และจากนั้นก็หายไปข้างใน เมิ่งฮ่าวเพ่งสมาธิ ตั้งใจฟัง ในที่สุด เสียงของโลหะกระทบก้อนหินก็ดังออกมา สีหน้าของเขาเปลี่ยนไป
“ถ้ำโบราณนี้ลึกกว่าแปดร้อยจ้าง” เขาเดินตรงไป หยุดอยู่ตรงปากถ้ำ ลังเลชั่วครู่ จากนั้นก็มองไปที่หยกผนึกอสูร ที่กำลังเรืองแสงสว่างจ้าในมือ ความมุ่งมั่นปรากฎขึ้นบนใบหน้า
ตบไปที่ถุงสมบัติ อาวุธเวทหลายชิ้นก็ปรากฎขึ้น แหสีดำลอยออกมา ตามด้วยขนนกเจ็ดถึงแปดชิ้น พร้อมด้วยกระบี่ไม้ที่หมุนวนอยู่รอบๆ ตัว
เขากัดลิ้นด้วยความรู้สึกกังวลเล็กน้อย และธวัชสายฟ้าก็ลอยออกมา กลายเป็นหมอกที่เต็มไปด้วยประกายสายฟ้าส่องแสงอยู่รอบๆ ตัว ด้วยอาวุธเวทที่รายล้อมอยู่รอบตัว เมิ่งฮ่าวเดินเข้าไปในถ้ำ