สำนักเอกะเทวะ ตั้งอยู่ที่ชายแดนของแคว้นจ้าว ด้านทิศใต้ของดินแดนหนานซาน เมื่อก่อนเคยเป็นสำนักอันดับหนึ่ง ท่ามกลางสี่สำนักใหญ่ มีชือเสียงเกริกไกรในอาณาเขตทิศใต้ แต่ชื่อเสียงเริ่มตกต่ำลงเมื่อไม่กี่ปีมานี้เอง และไม่สามารถยืนหยัดในตำแหน่งอันรุ่งโรจน์เหมือนในอดีตได้อีก ทุกวันนี้เมื่อเปรียบเทียบกับสำนักอื่นๆ ในแคว้นจ้าว เรียกได้ว่า ด้อยกว่าในทุกด้าน
อันที่จริง สำนักนี้ไม่ได้เรียกว่า สำนักเอกะเทวะ แต่เมื่อพันปีที่ผ่านมา ปรากฏผู้ฝึกตนที่สร้างความสั่นสะเทือนไปทั่วอาณาเขตทิศใต้ ได้เรียกตัวเองว่า ปรมาจารย์เอกะเทวะ ได้บังคับให้สำนักนี้เปลี่ยนชื่อเป็นชื่อของตัวเอง ปรมาจารย์ผู้นี้เหยียบย่ำ และแย่งชิงของวิเศษจากทุกสำนักในแคว้นจ้าวมาเป็นของตัวเอง โดยไม่มีผู้ใดกล้าขัดขีนในขณะนั้น
แต่ตอนนี้ทุกสิ่งเปลี่ยนไป ปรมาจารย์เอกะเทวะได้หายตัวไปเกือบสี่ร้อยปี ถ้าไม่ใช่ความจริงที่ว่าท่านปรมาจารย์ยังมีชีวิตอยู่หรือตายไป สำนักเอกะเทวะกึคงโดนกลืนกินโดยสำนักอื่นไปนานแล้ว วันแห่งความรุ่งโรจน์ได้ผ่านไปแล้ว
เมื่อคิดถึงความขาดแคลนในตัวบุคคลของแคว้นจ้าว และแรงกดดันจากสำนักอื่นๆ สำนักเอกะเทวะที่ต้องการรับศิษย์ใหม่ๆ ก็จำเป็นต้องใช้กำลังลักพาตัวเด็กหนุ่มเพื่อมาเป็นข้ารับใช้ ไร้หนทางที่จะเปิดประตูสำนัก เปิดรับศิษย์เหมือนสำนักทั่วไป
เมิ่งฮ่าวเดินตามบุรุษชุดยาวสีเขียว ไปตามทางน้อยทอดไปสู่ยอดเขา ซึ่งล้อมรอบไปด้วยสวน ก้อนหินรูปทรงแปลกตา และต้นไม้รูปร่างประหลาดขึ้นอยู่ทุกที่ ท่ามกลางทิวทัศน์ที่สวยงาม มีตึกใหญ่โต หลังคามุงด้วยหยกเขียว ยืนโดดเด่นท่ามกลางกลุ่มเมฆและสายหมอก เมิ่งฮ่าวถอนหายใจอย่างต่อเนื่อง น่าเศร้าจริง เจ้าเด็กอ้วนข้างกาย มัวแต่ร้องไห้คร่ำครวญตลอดเวลา ช่างทำลายบรรยากาศยิ่งนัก
“ข้าจบแล้ว จบสิ้นทุกสิ่งทุกอย่าง … ข้าอยากกลับบ้าน” เด็กหนุ่มอ้วนพึมพำ น้ำตาไหลพรากบนใบหน้า “มีหม่านโถว รอข้าอยู่ที่บ้าน แล้วก็ปลาด้วย บ้าเอ๊ย ข้าเป็นผู้สืบทอดมรดกของเจ้าของที่ดิน อนาคตก็จะเป็นเศรษฐีที่ร่ำรวย มีภรรยาสาวสวยนับสิบ ข้าไม่อยากเป็นข้ารับใช้ที่นี่”
เจ้าอ้วนพึมพำต่อไปชั่วเวลาดื่มน้ำชาครึ่งถ้วย จนกระทั่งบุรุษชุดยาวสีเขียวหันกลับมา “ถ้าเจ้ายังขืนพ่นสิ่งไร้สาระออกมาอีกครั้ง” มันกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ “ข้าจะตัดลิ้นเจ้าซะ”
เด็กหนุ่มอ้วน ตัวสั่นด้วยความกลัว นัยน์ตาฉายไปด้วยความหวาดกลัว แต่ในที่สุดก็ปิดปากจนสนิท
เมื่อเมิ่งฮ่าวเห็นเช่นนั้น ก็คิดว่าเหตุการณ์ที่จะเกิด หรือไม่เกิดขึ้นนี้ ช่างน่ากลัวโดยแท้ แต่ด้วยบุคลิกที่มุ่งมั่นเด็ดเดี่ยว จึงสูดลมหายใจเข้าลึกๆ และรักษาความสงบเยือกเย็นไว้
หลังจากนั้นไม่นาน พวกเขาก็มาถึงจุดครึ่งทาง ก่อนขึ้นยอดเขา เมิ่งฮ่าวมองเห็นอาคารเตี้ยหลายหลังยาวเป็นแถว ปรากฎขึ้นท่ามกลางสายหมอก
บุรุษใส่ผ้าป่านยาวเจ็ดถึงแปดคน นั่งอยู่ด้านนอกของอาคาร มองดูเหนื่อยๆ เมื่อกลุ่มเมิ่งฮ่าวไปถึง บุรุษพวกนั้นมองเห็น แต่ไม่ได้ส่งเสียงทักทาย
ที่ห่างออกไปไม่ไกลนัก บุรุษหนุ่มใส่ชุดยาวสีน้ำเงินอ่อนนั่งอยู่บนก้อนหิน ใบหน้ายาวคล้ายม้า เสื้อผ้าที่สวมใส่ดูเหมือนจะแพงและสวยงามกว่าบุรุษหนุ่มคนอื่นๆ ถึงแม้ว่าหน้าตาดูเย็นชา แต่เมื่อบุรุษชุดยาวสีเขียว นำพวกเมิ่งฮ่าวมาถึง บุรุษหนุ่มชุดยาวสีน้ำเงินอ่อนก็ยืนขึ้นประสานมือคารวะ
“ยินดีต้อนรับ ศิษย์พี่”
“นี่เป็นข้ารับใช้ใหม่สองคน” บุรุษชุดเขียวกล่าวห้วนๆ “ช่วยจัดเตรียมที่พักให้พวกมัน” จากนั้นก็หันหลังกลับและจากไป ไม่เหลือบมองเมิ่งฮ่าว และเด็กหนุ่มอ้วนแม้แต่น้อย
หลังจากบุรุษชุดเขียวจากไป บุรุษหนุ่มหน้ายาวเหมือนม้าก็กลับไปนั่งที่ก้อนหินอีกครั้ง มองมาที่เมิ่งฮ่าวและเจ้าอ้วน ด้วยสายตาเย็นชา
“ที่นี่คือเรือนข้ารับใช้ทิศเหนือ” มันกล่าวอย่างเย็นเย็บ น้ำเสียงไร้ความรู้สึก
“สำนักเอกะเทวะ จะไม่เลี้ยงผู้เกียจคร้าน เมื่อพวกเจ้ามาอยู่ที่นี่ ก็ต้องทำงานจนครบสามสิบปี ถึงจะจากไปได้ ถ้าเจ้ากล้าหลบหนี ก็มีพวกสัตว์ป่ามากมายในภูเขาแห่งนี้ และเจ้าต้องตายแน่นอน มา…มารับชุดทำงาน จากนี้ไปพวกเจ้าถูกตัดขาดจากโลกมนุษย์ และทำงานอย่างสงบในฐานะข้ารับใช้”
เจ้าอ้วนกลัวจนตัวสั่นยิ่งขึ้นไปอีก ใบหน้าเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง สีหน้าเมิ่งฮ่าวยังคงเรียบเฉย อันที่จริงแล้ว ลึกลงไปในดวงตากลับปรากฎประกายอย่างสุดจะพรรณนา ชายหน้ายาวเหมือนม้าสังเกตเห็น มันเคยพบเจอเหตุการณ์แบบนี้มาหลายปี และพบเห็นบุรุษหนุ่มที่ถูกจับมาเป็นข้ารับใช้มากมาย แต่ไม่เคยเจอใครที่สงบนิ่งแบบเมิ่งฮ่าวมาก่อน
“ถ้าเจ้ามีการแสดงออกที่ดี” มันกล่าวเสียงเบา “เจ้าก็ไม่จำเป็นต้องทำงานใช้แรงงานจนครบสามสิบปี เจ้าสามารถฝึกฝนปรับลมปราณในเวลาเลิกงานได้ ถ้าเจ้าสามารถก้าวไปถึงขั้นหนึ่งของการรวบรวมลมปราณ เมื่อนั้นเจ้าจะได้รับเลือกให้เป็นศิษย์สายนอกของสำนัก”
มันสะบัดแขนเสื้อหนึ่งครั้ง ชุดยาวผ้าป่านสองชุดก็ปรากฎขึ้นเบื้องหน้าเมิ่งฮ่าวและเจ้าอ้วน ด้านหน้าของแต่ละชุดมีแผ่นไม้ขนาดเท่าหัวแม่มือ มีตัวหนังสือเขียนว่า “ข้ารับใช้”
นอกจากนี้ในชุดยาว ยังมีหนังสือบางๆ เล่มเล็กหนึ่งเล่ม หน้าปกเขียนว่า “ตำรารวบรวมลมปราณ”
เมื่อสายตาเมิ่งฮ่าวมองไปที่ตัวอักษรนั้น ก็หายใจหนักขึ้น จ้องไปที่หนังสือบางๆ เล่มนั้น นึกไปถึงคำพูดของบุรุษชุดยาวสีเขียวที่พูดถึงหญิงสาวสวยหน้าเย็นซีด ที่ฝึกถึงขั้นเจ็ดของการรวบรวมลมปราณ
“พวกเราสามารถเป็นศิษย์สายนอก เมื่อฝึกได้ถึงขั้นที่หนึ่ง แต่สตรีนางนั้นกลับฝึกได้ถึงขั้นที่เจ็ดแล้ว อะไรคือการรวบรวมลมปราณ? บางทีนี่อาจจะเป็นหนทางไปสู่การเป็นเซียน เหมือนเรื่องเล่าที่พูดต่อกันมา”
ถ้านั่นเป็นค่าตอบแทนที่จะได้รับในการทำงานที่นี่ มันอาจไม่ใช่เงินทอง แต่มันมีค่าเป็นร้อยเท่าเมื่อเทียบกับตำลึงทองในโลกภายนอก เมิ่งฮ่าวรู้สึกตื่นเต้น รับชุดยาวไปใช้ห่อป้ายไม้และหนังสือบางๆ เล่มนั้น
“พวกเจ้าไปพักบ้านหลังที่เจ็ด เริ่มงานพรุ่งนี้ งานของพวกเจ้าคือการตัดต้นไม้ สิบท่อนต่อวัน ทุกๆ วัน พวกเจ้าจะไม่อนุญาตให้กิน จนกว่าจะทำงานแล้วเสร็จในแต่ละวัน”
เมิ่งฮ่าวหายใจลึกๆ เลียนแบบบุรุษหนุ่ม ทำความเคารพด้วยการประสานมือ จากนั้นก็เดินไปที่บ้านหลังที่เจ็ด ตามด้วยเจ้าอ้วน หลังจากเปิดประตูและเข้าไปก็มองเห็น
ห้องไม่ใหญ่มาก ประกอบด้วยหนึ่งโต๊ะ สองเตียงเล็กๆ ดูเรียบง่ายเป็นระเบียบ เจ้าอ้วนนั่งลงที่เตียง ไม่สามารถอดกลั้นต่อไปอีก เริ่มร้องไห้อย่างหนัก
เจ้าอ้วนอายุประมาณสิบสอง หรือสิบสามปี เมื่อร้องไห้เสียงดัง ก็แน่นอนว่าดังไปถึงด้านนอก
“พ่อของข้าเป็นเศรษฐีเจ้าของที่ดิน ข้าก็น่าจะเป็นเศรษฐีเหมือนกัน ข้าไม่ได้เกิดมาเพื่อเป็นข้ารับใช้” เจ้าอ้วนดูเหมือนจะใจลอยอย่างหนัก และร่างอ้วนๆ เล็กๆ ก็เริ่มสั่น
“หยุดร้องไห้ได้แล้ว” เมิ่งฮ่าวกล่าว พยายามปลอบใจ “นึกดูสิว่า ที่นี่ก็ไม่ได้เลวร้ายมากนัก พวกเราทำงานเพื่อฝึกวิชาเซียน ผู้คนมากมายอาจจะอิจฉาเรา ถ้าพวกเขารู้?” แล้วรีบเดินไปปิดประตู
“ข้าใม่ต้องการทำงานเพื่อคนอื่น” เจ้าอ้วนตอบ “งานแต่งงานของข้าถูกจัดเตรียมไว้แล้ว ของหมั้นก็ส่งไปแล้ว เจ้าสาวที่น่าสงสารของข้า ยังไม่ทันได้แต่ง ก็ต้องเป็นหม้ายไปซะแล้ว” ยิ่งร้องไห้มากเท่าไหร่ ใจเจ้าอ้วนก็แตกสลายมากเท่านั้น
สีหน้าเมิ่งฮ่าวแสดงถึงความประหลาดใจ เจ้าอ้วนอายุยังน้อย ก็จะมีภรรยาแล้ว ย้อนกลับมาคิดถึงตัวเอง การที่เขาจะได้แต่งงานมีภรรยาช่างเป็นเรื่องไกลตัวนัก เขาไม่เคยแม้แต่สัมผัสมือของอิสตรี ทำให้ต้องถึงกับถอนหายใจยาวออกมา
เขาคิดไปถึงการเป็นคนรวยนี่ ช่างมหัศจรรย์ดีแท้ ครอบครัวของเจ้าอ้วนคงจะร่ำรวยมหาศาล ไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับอาหารหรือเสื้อผ้า ในขณะที่เขาไม่มีอะไรเลย แม้แต่หลังจากเอาบ้านที่เป็นมรดกของบิดาไปขายเมื่อปีก่อน เขาก็ยังเป็นหนี้ท่านลุงโจวอีกหลายตำลึง
เมื่อคิดไปถึงหนี้ก้อนนี้ ทำให้ต้องหัวเราะออกมา ข้าอยู่ที่นี่แล้ว ถ้าลุงโจวอยากได้เงิน ก็ตามมาทวงเถอะ มิฉะนั้นลุงโจวก็อาจจะตายไปแล้วหลังจากที่ข้ากลับไป ฮา ฮา ฮา
ยิ่งเมิ่งฮ่าวยิ่งคิดถึงสถานที่นี้มากเท่าไหร่ ก็ยิ่งรู้สึกดีมากขึ้นเท่านั้น ไม่ต้องกังวลเรื่องเงิน ที่พัก หรืออาหาร ซ้ำยังได้ค่าตอบแทนร้อยเท่าของตำลึงทอง ที่นี่เป็นสำนักของเซียน กล่าวได้ว่า เป็นที่ที่ช่วยให้เมิ่งฮ่าวหลุดพ้นจากสถานการณ์เลวร้ายที่ผ่านมาโดยสิ้นเชิง
การร้องไห้ของเจ้าอ้วนเริ่มรบกวนเมิ่งฮ่าว เพื่อหลุดพ้นจากเสียงร้องไห้ เมิ่งฮ่าวจึงหยิบตำราเล่มบางๆ ออกมาจากเสื้อยาวผ้าป่าน เริ่มต้นอ่านช้าๆ อ่านได้บรรทัดแรกของหน้าหนึ่ง ก็ทำให้ตกใจ
“ทุกคนควรจะมีสิ่งที่ยึดเหนี่ยว ไม่ว่าจะเป็นปุถุชนคนธรรมดาที่ใฝ่หาลาภยศสักการะ หรือผู้ฝึกตนที่ต้องการชีวิตที่หลุดพ้นเป็นอิสระ ถ้าเข้าสังกัดสำนักเอกะเทวะ เจ้าก็สามารถวางใจในตัวข้า” นี่เป็นคำเกริ่นนำของคู่มือนี้ และเขียนโดยปรมาจารย์เอกะเทวะ
แม้ว่าจะเป็นถ้อยคำสั้นๆ แต่ก็เต็มเปี่ยมไปด้วยพลัง เป็นทั้งคำเชื้อเชิญและคำอธิบายเกี่ยวกับสำนักเอกะเทวะ เมิ่งฮ่าวรู้สึกมึนงง แต่หลังจากนั้นก็คิดว่าเข้าท่าดี
“สำนักเอกะเทวะ นี่คือความหมายของสำนัก? ทุกคนต้องหาบางสิ่งเพื่อยึดเหนี่ยวจิตใจ เมื่อพวกเขาได้พบกับสำนักเอกะเทวะ พวกเขาก็จะร่ำรวย มีอำนาจ และเป็นอิสระจากความกังวลทั้งหลาย” เมิ่งฮ่าวตระหนักดีว่า ถ้าตนมีที่ยึดเหนี่ยววางใจได้ ตนก็ไม่ต้องสอบตกติดต่อกันถึงสามครั้ง เมิ่งฮ่าว ทอดถอนใจ รู้สึกนับถือปรมาจารย์เทวะเอกะผู้ซึ่งตนไม่เคยพบเห็นมาก่อนมากยิ่งขึ้น ด้วยคำพูดประโยคนั้น ทำให้เมิ่งฮ่าวรู้สึกว่าประตูแห่งชีวิตของตน ในที่สุดก็ได้เปิดขึ้นแล้ว
“ในทางกลับกัน ข้าต้องหาใครสักคนที่วางใจได้เมื่ออยู่ที่นี่ ทำเช่นนี้ ข้าก็ไม่ต้องกังวลอันใดทั้งสิ้น” ดวงตาเมิ่งฮ่าวเปล่งประกายมากขึ้น เมื่อเริ่มอ่านตำราเล่มบางต่อไป ในไม่ช้า ก็เริ่มไม่รับรู้ถึงกาลเวลา รวมถึงไม่ได้สังเกตเจ้าอ้วนที่ร่ำให้ข้างกายอีกต่อไป
ในที่สุดเจ้าอ้วนก็ร่ำให้จนหลับไปช่วงเที่ยงคืน เปลี่ยนเป็นเสียงกรนสนั่นหวั่นไหวไปทั่วทั้งห้องราวเสียงฟ้าคำราม เมิ่งฮ่าวปิดตำราลงอย่างไม่ค่อยเต็มใจ ถึงแม้ว่าจะรู้สึกอ่อนเพลีย แต่ดวงตาก็ยังเต็มไปด้วยชีวิตชีวาและพละกำลัง
“ตำราเล่มนี้ ไม่ใช่มีค่าแค่หนึ่งร้อยตำลึงทอง หากแต่มากถึงหนึ่งพันตำลึงทอง” เมิ่งฮ่าวกล่าวกับตัวเอง สำหรับบางคนที่มักจะฝันถึงการกลายเป็นคนร่ำรวย ของบางสิ่งที่มีค่าหนึ่งพันตำลึงทอง อาจจะมีค่ามากกว่าสิ่งอื่นๆ นอกจากชีวิตของตัวเอง
เมิ่งฮ่าวไม่ได้ยินเสียงกรน จึงมองไปด้วยความตื่นเต้น กลับเห็นเจ้าอ้วนลุกจากเตียงขึ้นมานั่ง โบกสะบัดแขนไปมา พร้อมกับเสียงพึมพำ
“ข้าจะตีเจ้าให้ตาย! กล้าดียังไงถึงกับมาขโมยหม่านโถวของข้า!”
“ข้าจะกัดเจ้าให้ตาย! กล้าดียังไงถึงกับมาขโมยภรรยาข้า!” พร้อมกับเสียงพูด เจ้าอ้วนลุกขึ้นจากเตียง ทั้งที่ดวงตายังปิดอยู่ ควงหมัดไปมาด้วยความโกรธ หลังจากนั้น อย่างไม่น่าเชื่อ คว้าโต๊ะขึ้นมากัดลงไปที่มุมอย่างเต็มแรง ปรากฏป็นรอยลึกไว้เป็นเครื่องหมาย จากนั้นเดินกลับไปนอน แล้วก็เริ่มส่งเสียงกรนต่อไป
เมิ่งฮ่าวดูอยู่สักครู่หนึ่ง ก็แน่ใจว่าเป็นการนอนละเมอ จากนั้นก็มองไปที่รอยกัดที่มุมโต๊ะ ทำให้คิดได้ว่าไม่ควรไปตอแยเจ้าอ้วนในขณะที่มันกำลังนอนหลับ จากนั้นก็มองไปที่ตำราอีกครั้ง ด้วยความรู้สึกที่ตื่นเต้น
“การรวบรวมลมปราณระดับเก้า เป็นหนทางสู่การเป็นเซียน ด้วยการฝึกปรือสิ่งนี้ ข้าก็มีโอกาสสำเร็จเป็นเซียนด้วยตัวเอง นี่เป็นผลตอบแทนที่ยิ่งใหญ่เท่าที่เป็นไปได้ ถ้าสำเร็จเป็นเซียน ข้าก็จะมีโอกาสร่ำรวย” เมิ่งฮ่าวกำตำรา สายตาส่องประกายเจิดจ้า ในที่สุดตนก็ค้นพบหนทางอื่น นอกเหนือจากการศึกษาเล่าเรียนเพื่อไปสอบเป็นขุนนาง
ทันใดนั้น ประตูก็ถูกเตะออกพร้อมเสียงปัง ดังสนั่นหวั่นไหว