วันอาทิตย์ที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2560

ตอนที่่ 1 : นักศึกษา เมิ่งฮ่าว

Posted By: wuxiathai - 20:13

แคว้นจ้าว เป็นแคว้นเล็กๆ เช่นเดียวกับแคว้นเล็กอื่นๆ ในดินแดนหนานซาน ซึ่งนิยมยกย่อง ต้าถัง และ ฉางอาน ในดินแดนตะวันออกที่ห่างไกล ไม่เพียงแต่ฮ่องเต้ของแคว้นจ้าว เป็นเช่นนี้ นักศึกษาทั้งหมดของแคว้น ก็เช่นกัน ทั้งหมดสามารถมองเห็นดินแดนตะวันออกอันไกลลิบ เมื่อยืนอยู่บนชั้นสูงสุดของเจดีย์แห่งถังในเมืองหลวงของแคว้นจ้าว … ช่างห่างไกลยิ่งนัก
อากาศเดือนห้า ไม่หนาวมากและไม่ร้อนนัก สายลมโชยเอื่อย พัดจากดินแดนทะเลทรายตอนเหนือ ผ่านอาณาจักรต้าถัง ภายใต้ท้องฟ้าพลบค่ำ โชยพัดหมอกลอยม้วนตัวไปมา จนถึงภูเขาต้าชิงในแคว้นจ้าว จนแผ่กระทบบุรุษหนุ่มซึ่งนั่งอยู่บนยอดเขา
บุรุษหนุ่ม ถือน้ำเต้า ใส่ชุดนักศึกษาสีน้ำเงินยาวที่ซักจนสะอาด อายุประมาณสิบหก สิบเจ็ดปี รูปร่างไม่สูงนัก ผิวกายค่อนข้างคล้ำ ประกอบด้วยดวงตาที่ส่องประกายแฝงแววฉลาดเฉลียว แต่ความฉลาดนั้น ถูกซ่อนไว้ภายใต้ใบหน้าที่อมทุกข์ ทุกข์จากความพ่ายแพ้
“เฮ้อ … พลาดอีกแล้ว” บุรุษหนุ่มถอนหายใจ เมิ่งฮ่าว นักศึกษาระดับกลางๆ จากเขตหยุนเจี๋ย ปีที่ผ่านมา บิดามารดาหายตัวไป โดยที่ไม่ได้ทิ้งทรัพย์สมบัติอันใดไว้ ค่าเล่าเรียนก็แสนแพง ทำให้เมิ่งฮ่าว ต้องอยู่ด้วยความยากลำบาก
“ข้าไปสอบจอหงวน ติดต่อกันสามปี ทุกครั้งก็พยายามอ่านหนังสือจากนักปราชญ์ทั้งหลายจนแทบกระอัก บางทีนี่อาจจะไม่ใช่หนทางของข้า” ด้วยความรู้สึกชิงชังตัวเอง เมิ่งฮ่าวก้มดูขวดน้ำเต้า ด้วยสายตาที่หดหู่
“ความฝันในการสร้างตัวให้ร่ำรวย ด้วยการเป็นขุนนาง ช่างเลือนลางไปทุกที ข้าคงต้องล้มเลิกความพยายามเพื่อไปให้ถึงต้าถัง … ช่างเป็นนักศึกษาที่ไม่ได้เรื่องเอาซะเลย” เมิ่งฮ่าวหัวเราะด้วยความขมขื่น นั่งเงียบๆ บนยอดเขา มองไปที่ขวดน้ำเต้าในมือ รู้สึกผิดหวังมากขึ้นเรื่อยๆ เริ่มกลัวต่ออนาคตที่จะมาถึง ข้าจะทำอะไร จะไปที่ไหนดี? รึว่าจะไปสอบใหม่ในปีต่อๆไป?
เป็นคำถามที่ไร้ซึ่งคำตอบ เมิ่งฮ่าวเป็นแค่เด็กหนุ่มธรรมดา ความรู้สึกหดหู่ พ่ายแพ้ ราวกับปากกว้างใหญ่ที่มองไม่เห็น กำลังกลืนกินตนลงไปช้าๆ ช่างน่าหวาดกลัวซะจริงๆ
“อาจารย์สอนหนังสือในเมือง ยังหาเงินได้น้อยกว่าร้านช่างไม้ของท่านลุงหวังซะอีก ถ้าข้ารู้เช่นนี้ตั้งแต่แรก ก็ควรจะเรียนวิชาช่างไม้ซะดีกว่า อย่างน้อยก็ไม่ต้องมานั่งทนหิวเหมือนในตอนนี้”
“ข้าไม่มีอาหาร หรือเงินทองเหลืออยู่ในบ้านเลย ซ้ำยังเป็นหนี้ท่านลุงโจวอีก จะทำอย่างไรดี?” เมิ่งฮ่าวแหงนหน้ามองฟ้า สีน้ำเงินกว้างใหญ่ กว้างใหญ่ซะจนมองไม่เห็นจุดสิ้นสุด ช่างเหมือนกับอนาคตของเขายิ่งนัก
ผ่านไปครู่ใหญ่ เมิ่งฮ่าวส่ายศีรษะ และดึงเอาแผ่นกระดาษจากในแขนเสื้อ อ่านอย่างระมัดระวัง แล้วหยิบใส่ขวดน้ำเต้า จากนั้นก็ยืนขึ้น โยนขวดน้ำเต้าลงไปจากยอดเขา
ที่ด้านล่างตีนเขา มีแม่น้ำกว้างใหญ่สายหนึ่ง เป็นแม่น้ำที่ไม่เคยจับตัวเป็นน้ำแข็ง แม้จะอยู่ในช่วงฤดูหนาว ว่ากันว่าแม่น้ำสายนี้ไหลไปจนถึงอาณาจักรต้าถัง
เมิ่งฮ่าวยืนอยู่บนยอดเขา จ้องมองขวดน้ำเต้าไหลไกลออกไปเรื่อยๆ ตามกระแสของแม่น้ำ โดยไม่กระพริบตา ชั่วขณะหนึ่งก็ระลึกถึงมารดา และความสุขในวัยเด็ก ขวดน้ำเต้านำพามาซึ่งความฝัน ความปรารถนา และความมุ่งหวังแห่งอนาคต บางทีในวันใดวันหนี่งข้างหน้า อาจมีใครสักคนเก็บมันขึ้นมา เปิดและอ่านกระดาษแผ่นนั้น
“ไม่ว่าข้าจะกระทำอันใด ศึกษาตำราหรือหางานทำ ข้าก็ต้องมีชีวิตอยู่ต่อไป” นี่เป็นบุคลิกภาพ ความฉลาดและความมุ่งมั่น มิฉะนั้นแล้ว เมิ่งฮ่าวคงไม่อาจมีชีวิตอยู่ ตั้งแต่บิดามารดาหายจากไป
เมิ่งฮ่าวแหงนหน้ามองฟ้า ดวงตาฉายแววดื้อรั้นเด็ดเดี่ยวเข้มข้น เตรียมตัวจะเดินลงจากยอดเขา
ในขณะนั้นเอง ก็ได้ยินเสียงแผ่วเบา ดังมาจากหน้าผาใกล้จุดที่ยืนอยู่ เสียงที่มาพร้อมกับสายลม โชยพัดผ่านหูเมิ่งฮ่าว เป็นเสียงที่เบามากจนยากสังเกต
“ช่วย..ด้วย…  ช่วย…ด้วย…”
เมิ่งฮ่าวสะดุดนิ่งครู่หนึ่งด้วยความตกใจ ตั้งใจฟังอย่างระมัดระวัง เสียงร้องขอความช่วยเหลือก็ได้ยินชัดขึ้น
“ช่วยด้วย…”
เมิ่งฮ่าวก้าวเท้าไปข้างหน้า จนถึงขอบหน้าผา เมื่อก้มมองลงไป ก็เห็นคนผู้หนึ่ง ร่างครึ่งท่อนติดอยู่ในรอยแยกของหน้าผา หน้าซีดเต็มไปด้วยความหวาดกลัวและสิ้นหวัง กำลังร้องขอความช่วยเหลือ
“เจ้า…เจ้าคือเมิ่งฮ่าว ใช่หรือไม่? ช่วยด้วย นักศึกษาเมิ่ง ช่วยข้าด้วย!” เด็กหนุ่มเมื่อมองเห็นเมิ่งฮ่าวก็รู้สึกประหลาดใจและมึความยินดีเป็นอย่างยิ่ง ในที่สุดก็มึความหวังในสถานการณ์ที่สิ้นหวังเยี่ยงนี้
“หวังโหย่วฉาย?”  เมิ่งฮ่าวเบิกตากว้างเมื่อมองเห็นเด็กหนุ่ม ผู้เป็นบุตรชายของท่านลุงหวัง เจ้าของร้านช่างไม้ในเมือง “เจ้ามาติดอยู่ที่นี่ได้อย่างไร?”
เมิ่งฮ่าวมองไปตามรอยแยก หน้าผาที่สูงชันเช่นนี้ เป็นไปไม่ได้ที่จะปีนป่ายขึ้นไป หากปีนโดยไม่ระมัดระวังก็อาจจะล่วงตกลงไปในแม่น้ำด้านล่างได้
ดูจากความเชี่ยวกรากของกระแสน้ำ หากใครตกลงไป โอกาสตายมีถึงเก้าในสิบส่วน
“ไม่ได้มีแค่ข้าคนเดียว ยังมีคนอี่นๆ ในเมืองอีก” หวังโหย่วฉายพรั่งพรู “พวกเราติดอยู่ที่นี่ พี่เมิ่ง อย่าเพิ่งถามอะไรเลย ช่วยพวกเราก่อนเถอะ ข้าขอร้อง” หวังโหย่วฉายหน้าซีด เต็มไปด้วยความหวาดกลัว ถ้าไม่ใช่เพราะมีบุคคลอื่นยึดจับเสื้อมันไว้ ร่างมันคงล่วงตกลงไปจากหน้าผานี่แล้ว
เมิ่งฮ่าวตระหนักดีถึงวิกฤติ แต่วันนี้เขาปีนขึ้นเขามาคนเดียว เชือกก็ไม่มี แล้วจะช่วยคนอื่นได้ยังไง ? ทันใดนั้นก็นึกได้ว่า บริเวณภูเขาลูกนี้ มีเถาวัลย์จำพวกหวายขึ้นอยู่เป็นจำนวนมาก
หนึ่งชั่วยามผ่านไป ด้วยความอ่อนแอของเมิ่งฮ่าว ก็สามารถรวบรวมเถาวัลย์ได้ยาวพอ เขาเริ่มโรยเถาวัลย์ลงไปจากหน้าผาช้าๆ ก้มตะโกนเรียกหวังโหย่วฉาย
“เจ้ายังไม่ได้บอกข้าเลยนะ ว่าลงไปอยู่อย่างนั้นได้ยังไง” เมิ่งฮ่าวพูดขณะที่โรยเถาวัลย์ลงไป
“เหาะมา” ไม่ใช่หวังโหย่วฉายที่พูดคำนี้ แต่เป็นเด็กหนุ่มอีกคน ที่ติดในรอยแยกใกล้กับหวังโหย่วฉาย ร่างนั้นดูทะมัดทะแมง ฉลาด และพูดจาเสียงดังฟังชัด
“บัดซบ! เจ้าเหาะได้ด้วยเหรอ?” เมิ่งฮ่าวเยาะเย้ย เปลี่ยนเป็นดึงเถาวัลย์ขึ้นไปช้าๆ “หากเจ้าเหาะไปอยู่ที่นั่นได้ ทำไมถึงไม่เหาะขึ้นมาเองล่ะ?”
“อย่าไปฟังเจ้าเหลวไหลนั่น” หวังโหย่วฉายพูด ด้วยความกังวลว่าเมิ่งฮ่าว จะไม่ยอมโรยเถาวัลย์ลงไป “พวกเราโดนจับตัวมา โดยหญิงสาวทีเหาะได้ นางบอกว่าจะนำพวกเราไปเป็นข้ารับใช้ที่สำนักนาง”
“เพ้อเจ้อ!” เมิ่งฮ่าวพูดด้วยความไม่ใส่ใจ “มีแต่เซียนในตำนานเท่านั้นถึงจะทำได้ ใครจะไปเชื่อวาจาเหลวไหลของเจ้า” ในตำราที่เขาเคยอ่าน มีเรื่องราวเกี่ยวกับบางคนที่ร่ำรวยขึ้นมา หลังจากที่ได้พบเจอเหล่าเทพเซียน แต่ความเป็นจริงก็คือ เป็นแค่เรื่องโกหกหลอกลวง
เมื่อเถาวัลย์หย่อนลงไปถึงรอยแยก หวังโหย่วฉายคว้าไว้ได้ ขณะนั้นเอง เมิ่งฮ่าว สัมผัสถึงความเย็นยะเยือกด้านหลัง รับรู้ถึงความเย็นรอบตัว เหมือนกับว่าอยู่ในช่วงฤดูหนาว เมิ่งฮ่าวเย็นจนตัวสั่นสะท้าน ค่อยๆ เหลียวหลังกลับไปช้าๆ จากนั้นก็ต้องร้องออกมาเสียงดัง วิ่งตะบึงไปข้างหน้า เหยียบได้แต่ความว่างเปล่า ต้องตกลงมาจากยอดหน้าผา
เมิ่งฮ่าวเห็นหญิงสาวหน้าซีดขาวในชุดยาวสีเงิน ยืนอยู่ที่นั่นจ้องมองมา ยากจะบอกอายุของนางได้ หน้าตาสวยงามเป็นอย่างยิ่ง แต่ความเย็นยะเยือกที่แผ่ออกมาจากตัวนาง ทำให้ดูเหมือนว่า นางเพิ่งจะคลานออกมาจากหลุมฝังศพ
“บางครั้งเมื่อเราพบเจอบางสิ่งที่เพียบพร้อม มันก็คือโชคชะตา”
เมื่อเมิ่งฮ่าวได้ยินเสียงนี้ ยังกับได้ยินเสียงกระดูกขัดสีกัน หญิงสาวนางนี้ช่างดูเหมือนจะมีพลังที่แปลกประหลาดซะจริง เมื่อมองไปที่ดวงตาของนาง เมิ่งฮ่าวรู้สึกว่าร่างกายเย็นยะเยือกเหมือนน้ำแข็ง นางสามารถมองทะลุเขาได้หมด โดยที่เขาไม่สามารถปิดบังซ่อนเร้นอะไรได้เลย
เสียงของหญิงสาวยังคงล่องลอยอยู่ในอากาศ นางสะบัดแขนเสื้อ ทันใดนั้น ลมสีเขียวกลุ่มหนึ่งก็ไปรองรับเมิ่งฮ่าว พาลอยไปที่หน้าผาพร้อมนาง เมิ่งฮ่าวจิตใจว่างเปล่า
เมื่อลอยไปถึงรอยแยก หญิงสาวโบกสะบัดมือ และโยนเมิ่งฮ่าวเข้าไปในรอยแยกนั้น หญิงสาวลอยอยู่กลางอากาศด้วยสายลมสีเขียว หวังโหย่วฉายและเพื่อนๆ อีกสามคน พยายามถอยหลังด้วยความตื่นกลัว
หญิงสาวยืนอยู่ โดยไร้สำเนียง จ้องมองไปที่เส้นเถาวัลย์
เมิ่งฮ่าวรู้สึกตื่นตระหนกจนตัวสั่น รีบยืนขึ้นมองไปรอบๆ อย่างรวดเร็ว รอยแยกนี้ไม่ได้กว้างมากนัก แท้จริงแล้วเรียกว่าแคบเลยจะดีกว่า ถึงจะมีแค่ไม่กี่คนข้างใน แต่ก็เหลือเนื้อที่ว่างน้อยมาก
เมิ่งฮ่าวมองไปที่หวังโหย่วฉาย และเด็กหนุ่มอีกสองคน คนหนึ่งท่าทางเฉลียวฉลาด อีกคนหนึ่งดูสะอาดสะอ้าน อ้วนเตี้ย ทั้งสองยืนตัวสั่น เหมือนว่าจะร้องไห้ออกมาด้วยความกลัวในไม่ช้า
“ที่ข้าต้องการ ขาดไปหนึ่งคน” หญิงสาวหน้าซีดขาวกล่าวขึ้นมา มองไปที่เมิ่งฮ่าวแทนมองเถาวัลย์ “ข้าจะเอาเจ้าไปด้วย”
“แม่นางเป็นใคร?” เมิ่งฮ่าวถาม พยายามระงับความกลัว เนื่องจากเป็นผู้มีการศึกษา และเป็นคนเข้มแข็ง ถึงแม้จะกลัว แต่ก็สามารถควบคุมตัวเองไม่ให้ตื่นตระหนกได้
หญิงสาวไม่พูดจา ยกมือขวาขึ้นโบก ปรากฎสายลมสีเขียว ยกร่างเด็กหนุ่มทั้งสี่ขึ้น ลอยออกไปจากรอยแยกของหน้าผาไปพร้อมกัน บินไปในท้องฟ้า จากนั้นก็หายไป เหลือแต่ภูเขาต้าชิงไว้เบื้องหลัง ยังคงไว้ซึ่งความสูง กว้างใหญ่ กลืนไปกับความมืดในยามพลบค่ำ
ใบหน้าเมิ่งฮ่าวซีดขาวไร้สีเลือด มองเห็นตัวเองยืนอยู่บนสายลมสีเขียว บินตัดผ่านท้องฟ้า แรงลมปะทะใบหน้า ทำให้ต้องหลับตา ยากที่จะหายใจ หนึ่งคำปรากฎขึ้นในความคิด
“เซียนอมตะ?” เมิ่งฮ่าวพยายามปรับลมหายใจ ผ่อนให้หายใจเข้าออกช้าลง
เมื่อลืมตาขึ้น ก็พบว่าได้หยุดอยู่บนก้อนหินสีเขียว ซึ่งตั้งอยู่บนครึ่งทางของยอดเขา มีภูเขาซ้อนกันเป็นชั้นๆ อยู่รอบๆ เขาลูกนี้ เมฆและหมอกลอยคลอเคล้า สถานที่นี่ต้องไม่ใช่ดินแดนของมนุษย์ปุถุชนแน่ มียอดเขาสวยงามอยู่รอบๆ ภูเขาลูกนี้แลดูสวยงามประหลาดตา
หวังโหย่วฉาย และเด็กหนุ่มอีกสองคนรู้สึกตัว กลัวและตัวสั่น พวกเขาจ้องไปที่หญิงสาว
มีผู้ฝึกตนสวมใส่ชุดยาวสีเขียวสองคน ยืนอยู่เบื้องหน้าหญิงสาว อายุประมาณยี่สิบ สายตาเต็มไปด้วยความหวาดกลัว
“นำพวกมันไปที่เรือนผู้รับใช้” หญิงสาวกล่าวด้วยสีหน้าเย็นชา ไม่แม้แต่จะชายตามองมาที่เมิ่งฮ่าวและพรรคพวก ทันใดนั้นร่างกายนางก็เปลี่ยนสภาพกลายเป็นสายรุ้ง และหายไปท่ามกลางขุนเขา
เวลานี้เมิ่งฮ่าวได้สติกลับคืนมา จ้องมองไปยังจุดที่หญิงสาวหายตัวไปด้วยความตื่นตะลึง การแสดงออกปรากฎบนสีหน้าท่าทาง อย่างไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในรอบสิบหกปีที่ผ่านมา โลหิตร้อนระอุด้วยความตื่นเต้น
“ข้ารับใช้?” เมิ่งฮ่าวคิดในใจ “ถ้าทำงานเพื่อเทพเซียน ค่าตอบแทนคงต้องดียิ่งนัก” เมิ่งฮ่าวก้าวไปข้างหน้า
“ศิษย์พี่หญิงฉื่อ ฝึกได้ถึงระดับเจ็ด ของการรวบรวมลมปราณแล้ว” ผู้ฝึกตนคนที่สองเอ่ย “ท่านเจ้าสำนักมอบธวัชสายลมให้นาง ซึ่งก็หมายความว่า ถึงแม้นางจะไม่ได้อยู่ในระดับลมปราณขั้นพื้นฐาน นางก็สามารถเหาะได้” ผู้ฝึกตนอีกคนมองแบบหยิ่งผยองมาที่เมิ่งฮ่าวและพวก
“เจ้าและเจ้า” มันกล่าวพร้อมชี้ไปที่หวังโหย่วฉาย และเด็กหนุ่มท่าทางฉลาดปราดเปรียว “ตามข้ามา ไปที่เรือนข้ารับใช้ทิศใต้”
“ที่นี่คือสถานที่อันใด?” หวังโหย่วฉายถาม น้ำเสียงและร่างกายเริ่มสั่น เมื่อผู้ฝึกตนนั้นชี้มาเอ่ยว่า
“สำนักเอกะเทวะ”

About wuxiathai

Organic Theme is officially developed by Templatezy Team. We published High quality Blogger Templates with Awesome Design for blogspot lovers.The very first Blogger Templates Company where you will find Responsive Design Templates.

Copyright © 2015 ผนึกสวรรค์ สยบมาร สะท้านเทพ

Designed by Templatezy | Distributed By Gooyaabi Templates