Latest Releases

วันพฤหัสบดีที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2560

ตอนที่ 463 เสี่ยวไกว้ไกว้

ไม่ใช่เมิ่งฮ่าวเพียงคนเดียวที่พบเจอกับเหตุการณ์เช่นนี้ เรื่องเช่นเดียวกันนี้ได้เกิดขึ้นกับทุกคนที่มาจากเผ่าอื่นๆ ทั้งหมด หญิงสาวที่เบื้องหน้าพวกมันดูไม่เหมือนกับผู้ฝึกตน แต่เป็นบางสิ่งที่ดูคล้ายกับหุ่นกระบอก สำหรับสะพาน มันได้กลายเป็นบางสิ่งที่คล้ายกับยานบิน นำผู้คนทั้งหมดออกไปยังสถานที่แห่งอื่น
ไม่อาจสัมผัสได้ถึงพลังชีวิตใดๆ กระจายออกมาจากหญิงสาวนางนั้น อันที่จริงถ้าสังเกตดูวิธีการเคลื่อนไหวของนาง ก็จะดูเหมือนกับแข็งกระด้าง ในความคาดคะเนของเมิ่งฮ่าว นางต้องไม่ใช่ผู้คนจริงๆ แต่เป็นหุ่นกระบอก เป็นสิ่งลึกลับอีกอย่างหนึ่งของสะพานเซียนเดินหน
ขณะที่เขาแหวกฝ่าอากาศจนเป็นเสียงแหลมเล็ก เมิ่งฮ่าวก็มองเห็นยี่สิบกว่าเงาร่างปรากฎขึ้นรอบๆ ตัว
เงาร่างเหล่านี้เป็นตัวแทนจากเผ่าที่มีคุณสมบัติเข้าร่วมได้ต่างๆ อย่างไรก็ตาม เนื่องจากความรวดเร็วอย่างน่าเหลือเชื่อในช่วงที่พวกเขาเคลื่อนที่อยู่นี้ จึงไม่อาจจะมองเห็นรูปร่างหน้าตาของแต่ละคนได้ชัดเจน
ทั้งโลกแวบขึ้น ขณะที่พวกเขาพุ่งผ่านอากาศและกลุ่มเมฆไป เป็นการเคลื่อนที่อย่างรวดเร็วจนน่าเหลือเชื่อ ในที่สุด เมิ่งฮ่าวก็ไม่อาจแม้แต่จะหายใจ จิตใจเขาหมุนคว้างขณะที่มองลงไปยังพื้นด้านล่าง พวกมันจมลงไปอย่างรวดเร็ว จนกระทั่งเผ่าอีกาศักดิ์สิทธิ์กลายเป็นจุดเล็กๆ เท่านั้น
ในที่สุด เขาก็มองเห็นทะเลทรายตะวันตกได้เกือบครึ่งดินแดน!
ด้วยความรวดเร็วจนยากจะอธิบายออกมาได้เช่นนั้น ทำให้เมิ่งฮ่าวเต็มไปด้วยความรู้สึกถึงอันตรายอย่างรุนแรง รู้สึกราวกับว่าไม่อาจจะคว้าจับศิลาเซียนไว้ได้ ร่างกายแทบจะถูกบดขยี้จนกลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย
ในขณะที่ความคิดนี้ผ่านเข้ามาในจิตใจ เขาก็มองเห็นเงาร่างที่อยู่ใกล้ๆ กัน จู่ๆ ก็สูญเสียการติดต่อกับศิลาเซียน ทันใดนั้น น้ำพุโลหิตก็ปรากฎขึ้น ไม่มีแม้แต่เวลาที่จะส่งเสียงแผดร้อง ตกตายไปในทันที
ทำให้จิตใจเมิ่งฮ่าวสั่นสะท้าน ยึดจับไปที่ศิลาเซียนจนแน่นขึ้นกว่าเดิม ดวงตาสาดประกายเจิดจ้าอากาศเย็นลงอย่างรวดเร็ว ความหนาวเย็นเสียดแทงเข้าไปถึงในกระดูก ถ้าบุคคลเหล่านี้ไม่ใช่ผู้ฝึกตน พวกมันก็แทบไม่อาจจะขยับร่างกายได้แม้แต่น้อยในตอนนี้
ตอนนี้ ไม่เพียงแต่เมิ่งฮ่าวเท่านั้นที่กำลังมองไปยังภาพที่ด้านล่าง ทุกคนกำลังจ้องไปยังแผ่นดินที่ด้านล่างด้วยเช่นกัน ตอนนี้เมิ่งฮ่าวมองเห็นทะเลทรายตะวันตกได้ทั้งหมด รวมถึงดินแดนสีดำ และแม้แต่ดินแดนด้านใต้ เขายังได้มองเห็นทะเลเทียนเหออีกด้วย!
มีหมู่เกาะอยู่มากมายในทะเลเทียนเหอ แต่สายตาเมิ่งฮ่าวก็จ้องไปหยุดนิ่งอยู่บนเกาะแห่งหนึ่ง ในตอนนี้ มันเป็นเพียงจุดเล็กๆ แต่เมิ่งฮ่าวก็รู้สึกตกใจ เมื่อตระหนักว่าเกาะนั้นจริงๆ แล้วก็ไม่ใช่อะไรอื่น นอกจากเป็นปรมาจารย์เอกะเทวะที่ไม่เชื่อถือไม่ได้!
สายตาเขาเลื่อนกลับไปมองยังดินแดนด้านใต้ และอาณาเขตของสำนักจื่อยิ่น ถึงแม้ว่าจะมองสำนักจื่อยิ่นได้ไม่ชัดเจน แต่สายตาเขาก็จ้องนิ่งไปยังอาณาเขตเฉพาะที่แห่งหนึ่ง
ดินแดนด้านใต้เริ่มเล็กลงไปเรื่อยๆ ตอนนี้นอกจากดินแดนด้านใต้และทะเลทรายตะวันตกแล้ว เมิ่งฮ่าวยังสามารถมองเห็นทวีปอื่นๆ อีกด้วย!
ทันทีที่เขาทอดสายตามองไป จิตใจก็สั่นสะท้าน ความรู้สึกอย่างยากที่จะอธิบายออกมาได้เต็มอยู่ในจิตใจ จนถึงจุดที่เขาเกือบจะลืมคว้าจับศิลาเซียนไว้ ได้แต่จ้องมองไปอย่างงุนงง
เขากำลังมองไปยัง…ดินแดนตะวันออก!
“นานมากแล้ว…ที่ข้าอยากเห็นดินแดนตะวันออก” เขาพึมพำอยู่ภายในใจ นั่นมักจะเป็นความฝันของเขาขณะที่ยังเป็นเด็ก และเป็นความฝันในการเข้าสอบจ้วงหยวน (จอหงวน) จริงๆ แล้ว มันก็ยังคงเป็นความฝันของเขา
ดินแดนตะวันออก, อาณาจักรต้าถัง!
เขาคิดเกี่ยวกับบิดาและมารดา ซึ่งได้หายตัวไปในวันนั้น และคิดเกี่ยวกับสายลมสีม่วง เขายังรำลึกได้ถึงเรื่องราวที่มารดาได้เล่าให้ฟังเกี่ยวกับดินแดนตะวันออก และตำนานของอาณาจักรต้าถัง“ท่านพ่อ, ท่านแม่…พวกท่านไปอยู่ที่ไหนกัน…?” เขามองไปยังดินแดนตะวันออกที่เริ่มเล็กลงไปเรื่อยๆ จนกระทั่งทั่วทั้งทวีปดูคล้ายกับรูปร่างทรงโค้งเล็กๆ ในตอนนี้เองที่ทันใดนั้น เสียงระเบิดก็ดังเต็มอยู่ในร่างกาย และรู้สึกราวกับว่าเพิ่งจะกระแทกเข้าไปในกำแพงที่มองไม่เห็น แรงระเบิดอันรุนแรงนั้นทำให้ปากของเขาเต็มไปด้วยโลหิต แต่แทนที่จะกระอักมันออกมา เขากลับกลืนมันกลับลงไป
สายตาเขาเริ่มเลือนลางลง ขณะที่ทุกสิ่งทุกอย่างรอบๆ ตัวเริ่มมองเห็นไม่ชัดเจน เป็นไปไม่ได้ที่จะส่งจิตสัมผัสออกไป ทุกสิ่งทุกอย่างถูกสะกดไว้อย่างรุนแรง มีเพียงสิ่งเดียวที่เขาทำได้ก็คือจับศิลาเซียนไว้อย่างแน่นหนา ไม่ยอมปล่อยไปแม้แต่น้อย
ขั้นตอนที่ทุกสิ่งทุกอย่างเริ่มเลือนลางลง คงอยู่จนไม่อาจจะรับรู้ได้ว่านานเท่าใด ในที่สุด เสียงกระหึ่มก็เริ่มดังก้องออกมา และเมิ่งฮ่าวก็กระอักโลหิตออกมา อย่างช้าๆ ความเลือนลางนั้นเริ่มจางหายไป เมื่อสายตาเมิ่งฮ่าวกลับคืนสู่ปกติ สิ่งที่เขาทำได้ทั้งหมดก็คืออ้าปากค้าง
โลหิตที่เขาเพิ่งจะกระอักออกมา กำลังลอยอยู่เบื้องหน้า และกำลังกระจายออกไปรอบๆ ตัว
ทุกสิ่งทุกอย่างรอบๆ บริเวณนั้นเป็นสีดำ ความมืดมิดนั้นมีจุดของดวงดาวอยู่มากมายจนนับไม่ถ้วน แสงดาวสุกสกาว สาดแสงออกมาอยู่ภายในความมืดมิดนั้น ทำให้เมิ่งฮ่าวมองเห็นบางสิ่งที่อยู่ห่างไกลออกไป
เขาเห็น…สะพาน!
เป็นสะพานที่ชำรุดทรุดโทรม!
มันมีขนาดใหญ่โตจนสุดประมาณ และเต็มไปด้วยเจตจำนงโบราณ ราวกับว่ามันประกอบไปด้วยกาลเวลามากมายหลายปีจนนับไม่ถ้วน สะพานนั้นสร้างขึ้นมาจากก้อนศิลา และยืดยาวออกไปในความมืดอันลึกล้ำและดวงดาวมากมาย ทำให้ยากที่จะมองเห็นจุดสิ้นสุด
ไม่ใช่สะพานที่สมบูรณ์ แต่พังลงจนกลายเป็นเศษอิฐเศษศิลาจนนับไม่ถ้วนมานานแล้ว เศษอิฐเศษศิลาเหล่านั้นไม่ได้กระจัดกระจายออกไป แต่พวกมันยังคงอยู่ในรูปแบบเดิมของสิ่งปลูกสร้าง ทำให้สะพานนั้นดูเหมือนเกือบจะสมบูรณ์ ถ้ามองมาจากที่ห่างไกล
ถ้ามองไปใกล้ๆ ก็จะเห็นช่องว่างระหว่างเศษชิ้นส่วนต่างๆ ได้ง่ายมากขึ้น ช่องว่างเหล่านั้นดูเหมือนจะมีขนาดเล็กๆ แต่เมื่อเข้าไปใกล้กว่าเดิม ก็จะเห็นได้ชัดว่า จริงๆ แล้วมันกว้างใหญ่อย่างน่าเหลือเชื่อ
เศษชิ้นส่วนมากมายจนนับไม่ถ้วนของฝุ่นละออง ลอยอยู่ในช่องว่างระหว่างชิ้นส่วนต่างๆ เหล่านั้น ส่องแสงเจิดจ้า จนทำให้ทั่วทั้งสะพานเปล่งแสงออกมา
“สะพานเซียนเดินหน…” เมิ่งฮ่าวพึมพำอยู่ในใจ ขณะที่เข้าไปใกล้สะพาน บางสิ่งที่น่าตกใจ ทันใดนั้นก็เข้ามาใกล้ในระยะที่ตามองเห็น
เงาร่างเลือนลางสีดำแปดร่าง ทันใดนั้น ก็ปรากฎขึ้นที่ด้านหน้าขึ้นไป ห้อมล้อมหญิงสาวที่คล้ายกับหุ่นกระบอก ทันทีที่พวกมันทำเช่นนั้น พื้นฐานฝึกตนของพวกมันก็เริ่มกระจายระลอกคลื่นออกมา ระลอกคลื่นนั้นทรงพลังเกินกว่าสิ่งใดๆ ที่เมิ่งฮ่าวจะคาดคิดได้ ทำให้เขาเกิดความรู้สึกเดียวกับที่ได้รับมาจากเซียนซึ่งตกลงมาจากสวรรค์ในปีนั้น
แปดเงาร่างเหล่านี้เป็นเซียน!
ขณะที่แปดเซียนเหล่านี้ปรากฎขึ้นที่ด้านหน้าขึ้นไป ห้อมล้อมหญิงสาวนั้นไว้ พวกมันทั้งหมดเริ่มโจมตี ทุกสิ่งทุกอย่างรอบๆ พวกมันสั่นสะเทือน ขณะที่แสงเจิดจ้าปรากฎขึ้น เต็มไปด้วยความรู้สึกของการทำลายล้างอย่างไม่อาจจะอธิบายออกมาได้
เดิมทีเมิ่งฮ่าวคิดว่าหญิงสาวที่แข็งทื่อ ซึ่งดูไม่เหมือนผู้ฝึกตนนั้นจะไม่ขยับตัวเคลื่อนไหว แต่ในตอนนี้เองที่ระลอกคลื่นมากมายจนนับไม่ถ้วน ทันใดนั้นก็กระจายออกมาจากร่างของนาง กระจายออกกระแทกเข้าไปในความสามารถศักดิ์สิทธิ์ของเงาร่างทั้งแปด ขณะที่เสียงระเบิดดังก้องออกมา เมิ่งฮ่าวและผู้ฝึกตนทั้งหมดคนอื่นๆ ที่กำลังจับศิลาเซียนอยู่ในมือ กระอักโลหิตออกมา ถึงแม้ว่าแต่ละคนไม่อาจจะมองเห็นซึ่งกันและกันได้อย่างชัดเจน แต่ก็รู้สึกได้ถึงความตกใจและอาการบาดเจ็บที่กำลังเกิดขึ้นของแต่ละคน
“นางไม่ใช่หุ่น?” เมิ่งฮ่าวคิด ความตื่นตระหนกเต็มอยู่ในจิตใจ ในเวลาเดียวกันนั้นเสียงระเบิดก็ดังก้องออกมา บางสิ่งที่คล้ายกับสายลมอันรุนแรงได้กวาดผ่านทุกสิ่งทุกอย่างไป ร่างเมิ่งฮ่าวส่ายไปมา จนแทบไม่อาจจะยึดจับศิลาเซียนไว้ได้อีกต่อไป แสงในบริเวณนั้นเริ่มริบหรี่ลง และความมืดก็เกือบจะปกคลุมไปครึ่งหนึ่ง
“บัดซบ, บัดซบ…” เมิ่งฮ่าวคิด โทสะเขากำลังลุกไหม้ นี่เป็นสิ่งทั้งหมดที่เขาสามารถทำได้ อย่างไรก็ตาม ได้แต่เก็บโทสะไว้ภายในใจ และคว้าจับศิลาเซียนไว้อย่างแนบแน่น
การระเบิดทำให้แปดเงาร่างนั้นลอยละลิ่วไปด้านหลัง เพียงชั่วพริบตา หญิงสาวก็มุ่งหน้าต่อไปพร้อมกับเมิ่งฮ่าวและคนอื่นๆ พุ่งออกไปยังที่ห่างไกล อย่างไรก็ตาม เพียงชั่วขณะแปดเงาร่างนั้นก็กลับมา ครั้งนี้ ร่างของพวกมันห้อมล้อมไปด้วยแสงอันเจิดจ้า จนดูคล้ายกับเป็นตะวันแปดดวงขณะที่พวกมันพุ่งตรงมายังหญิงสาว
สีหน้าของหญิงสาวทันใดนั้นก็เปลี่ยนไป ร่างนางหายไป จากนั้นก็ปรากฎขึ้นอีกครั้งยังที่ห่างไกล และกลายเป็นลำแสงพุ่งออกไปอย่างรวดเร็ว
หนึ่งในแปดร่าง ฉับพลันนั้นก็กล่าวขึ้นด้วยเสียงเย็นชา “ภูติสาวจื่อเซียงแห่งสำนักเยาเซียน (เซียนภูติ) เจ้าหลอกลวงเอาของวิเศษอันล้ำค่ามาจากนายน้อย พวกเราไล่ล่าเจ้ามาถึงหกสิบปี และพบว่าเจ้ากำลังหลบซ่อนอยู่ที่นี่ เสแสร้งเป็นหุ่นกระบอกของสะพานเซียนเดินหน เล่ห์เหลี่ยมอันเล็กน้อยของเจ้าก่อนหน้านี้อาจจะหลอกลวงพวกเราได้ แต่ครั้งนี้มาดูกันว่าเจ้าจะหลบหนีพวกเราไปได้อย่างไร!”
ด้วยเช่นนั้น พวกมันทั้งแปดก็ไม่สนใจเมิ่งฮ่าวและคนอื่นๆ โดยสิ้นเชิง ขณะที่พวกมันเร่งความเร็วไล่ล่าหญิงสาวนั้นไป
“นางเป็นผู้ฝึกตนที่ปลอมตัวเป็นหุ่นกระบอกเพื่อหลบหนีการไล่ล่า? สำนักเยาเซียน? นั่นคือสำนักอะไร…?” เมิ่งฮ่าวมองพวกมันหายลับตาไป จิตใจหมุนเคว้งคว้าง ศิลาเซียนในมือไม่ได้หยุดการเคลื่อนที่ มันนำกลุ่มผู้ฝึกตนตรงไปยังสะพานเซียนเดินหนต่อไป พวกเขาบินเข้าไปใกล้มากขึ้นเรื่อยๆ ด้วยความรวดเร็วที่เมิ่งฮ่าวไม่อาจจะจินตนาการออกมาได้
ในตอนนี้เองที่ทันใดนั้น เสียงคำรามอย่างมีโทสะก็ได้ยินออกมาจากที่ห่างไกล ด้านหลังพวกเขา มองเห็นเป็นแปดลำแสงหลากสีกำลังพุ่งตรงมา ด้วยความรวดเร็วเช่นนั้นของพวกมัน ก็เห็นได้ชัดว่าจะสามารถเข้ามาใกล้ในเวลาสั้นๆ
เมิ่งฮ่าวมองกลับไปด้านหลัง และม่านตาเขาก็หดเล็กลง “นั่นเป็นความสามารถศักดิ์สิทธิ์อะไรกัน? ความรวดเร็วของพวกมันในขณะที่บินอยู่ท่ามกลางดวงดาวเป็น…” เขามองไปขณะที่แปดเงาร่างเคลื่อนที่มาจากที่ห่างไกล จนดูเหมือนว่าจะมาถึงเพียงแค่การเคลื่อนไหวเพียงครั้งเดียวแทบจะราวกับว่าช่องว่างภายใต้เท้าของพวกมันกำลังหดตัวลง
“หดลง…หดลง…” เมิ่งฮ่าวพึมพำ ทันใดนั้นเขาก็คิดย้อนกลับไป เมื่อเขาได้ออกมาจากดาวหนานเทียน และพื้นดินดูเหมือนจะจมลงไปได้อย่างไร โดยไม่สนใจขนาดที่แท้จริงของร่างกายเขา ทำให้ดูราวกับว่าด้วยการก้าวเท้าเพียงก้าวเดียว เขาก็สามารถก้าวข้ามระยะห่างที่กว้างใหญ่ได้
ในขณะที่บุคคลทั้งแปดเร่งความเร็วไล่ติดตามมา ทันใดนั้นเมิ่งฮ่าวก็รู้สึกได้ถึงแรงสั่นสะเทือนที่วิ่งผ่านไปทั่วร่าง เสียงกระหึ่มได้ยินออกมาขณะที่พลังอันมหาศาลที่มองไม่เห็น ดูเหมือนจะกระจายออกมาจากศิลาเซียนในมือของเขา และจากนั้นก็ดูดเมิ่งฮ่าวเข้าไปด้านใน
เรื่องเดียวกันนี้ได้เกิดขึ้นกับคนอื่นๆ ผู้ฝึกตนทั้งหมดของทะเลทรายตะวันตกจากดาวหนานเทียน ทันใดนั้นก็หายตัวไป ขณะที่พวกมันผ่านเข้าไปในสะพานเซียนเดินหนที่แท้จริง
สำหรับเซียนทั้งแปด เมื่อพวกมันมาถึง ก็ไม่พบเห็นอะไรนอกไปจากความว่างเปล่า พวกมันมองไปรอบๆ ยังเศษอิฐเศษศิลาเหล่านั้น แต่ก็ไม่กล้าจะผ่านเข้าไป
“นางหลบหนีไปได้อีกครั้ง อุบายของภูติสาวนางนี้ไร้จุดสิ้นสุดอย่างแท้จริง ครั้งนี้นางได้ทิ้งร่างกายของนางไป และหลอมรวมวิญญาณเข้าไปในร่างของหนึ่งในมดแมลงจากดาวหนานเทียน”
“สะพานเซียนเดินหนนี้ถูกทำลายโดยบรรพบุรุษตระกูลจี้เมื่อนานมาแล้ว แต่ก็มีพลังอันแข็งแกร่งปกป้องมันไว้ และก่อตัวขึ้นมาใหม่ทุกๆ หนึ่งพันปี ท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาวนี้ไม่อาจจะต่อต้านมัน และเซียนแห่งจี้ก็ไม่อาจจะเข้าไปได้ พวกเราไม่อาจจะเข้าไป แต่ในที่สุดนางก็ต้องออกมา พวกเราจะรอนางจนถึงเวลานั้น!” เซียนทั้งแปดมองไปยังสะพานเซียนเดินหนเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนที่จะหันหลังและหายตัวไป
Read »

ตอนที่ 462 ภูติสาวจื่อเซียง!

ทันทีที่คำพูดหลุดออกมาจากปากเมิ่งฮ่าว หงส์เพลิงก็ปกคลุมไปทั่วทั้งร่าง ฉับพลันนั้นรอยสักภาพศักดิ์สิทธิ์ธาตุไฟของเขา ก็ทำให้เกิดเป็นเปลวไฟอย่างน่าตกใจกระจายออกมา
เป็นการใช้ไฟสะกดพิชิตไฟ!
เปลวไฟระเบิดออก วนเป็นวงกลมไปรอบๆ หงส์เพลิงในทันที เมิ่งฮ่าวยืนอยู่ที่นั่นในท่ามกลางทะเลแห่งเปลวไฟ ดูคล้ายกับเป็นเทพปีศาจ โบกสะบัดแขนเสื้อ ทำให้ภาพของต้นไม้ขนาดใหญ่ปรากฎขึ้นรอบๆ ตัว หลอมรวมเข้ากับทะเลเปลวไฟ ทำให้มีความรุนแรงเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เมิ่งฮ่าวโบกสะบัดชายแขนเสื้อ ส่งผลให้เปลวไฟพุ่งตรงไปยังจ้าวโยวหลัน
เปลวไฟเคลื่อนที่ไปด้วยความรวดเร็วอย่างน่าเหลือเชื่อ เพียงชั่วพริบตาก็เข้าไปใกล้จ้าวโยวหลัน คิ้วที่เรียวงามของนางขมวดขึ้น และนางก็โบกสะบัดมือทำให้เกราะป้องกันสีขาวปรากฎขึ้น
เกราะป้องกันเริ่มขยายตัวออกไปในทันที กระจายออกปกคลุมไปทั่วร่างนางในทันใด ทะเลเปลวไฟกระแทกเข้าไป แต่เกราะป้องกันก็ปกป้องไว้โดยสิ้นเชิง
ดวงตาเมิ่งฮ่าวสาดประกายด้วยความเย็นเยียบ พร้อมกับเสียงแค่นอย่างเย็นชา ภาพศักดิ์สิทธิ์ธาตุทองก็ปรากฎขึ้น หลอมรวมเข้าด้วยกันกับทะเลเปลวไฟ หยดน้ำสีทองพุ่งตรงไปยังจ้าวโยวหลัน นางใช้เกราะสีขาวเพื่อปกป้องตัวเองขึ้นอีกครั้ง อย่างไรก็ตาม หยดน้ำสีทองเริ่มกระจายออกไป และหลอมรวมเข้ากับหยดอื่นๆ อยู่ที่ด้านนอกของเกราะป้องกันสีขาว
ในชั่วพริบตา ขณะที่เกราะป้องกันสีขาวขยายตัวออกจนปกคลุมไปทั่วร่างของนาง แต่ในเวลาเดียวกันนั้น หยดน้ำสีทองก็ล้อมรอบไปทั่วเกราะสีขาว ก่อตัวเป็นบางสิ่งที่มีรูปร่างทรงกลม สิ่งทั้งหมดนี้เกิดขึ้นก่อนที่จ้าวโยวหลันจะทันได้ทำสิ่งใดๆ
“เจ้า…” นางกล่าวกับพร้อมสีหน้าที่เปลี่ยนไป
เมิ่งฮ่าวเคลื่อนที่ไปด้วยความรวดเร็วอย่างน่าเหลือเชื่อ พุ่งออกมาจากทะเลเปลวไฟ ปรากฎขึ้นที่ด้านล่างของลูกทรงกลม ยกมือขึ้นไป ทำให้ทรงกลมสีทองเริ่มสั่นไปมา เขากู่ร้องขณะที่ใช้พลังทั้งหมดที่สามารถรวบรวมได้เพื่อยกลูกทรงกลมสีทองให้พุ่งเข้าไปในกลุ่มหมอก
“เมื่อเจ้าชอบที่จะหลบซ่อนอยู่ในเกราะป้องกัน ข้าก็จะช่วยเพิ่มเกราะป้องกันให้เจ้าอีกชั้น!” เขากล่าวขณะที่ลูกทรงกลมสีทองแหวกฝ่าอากาศตรงเข้าไปในกลุ่มหมอก โดยมีจ้าวโยวหลันอยู่ด้านใน
ทั้งหมดนี้ต้องใช้เวลาในการอธิบาย แต่จริงๆ แล้วก็เกิดขึ้นเพียงชั่วพริบตา ในการต่อสู้ระหว่างคนทั้งสอง ไม่มีใครได้เปรียบใครเสียเปรียบ แต่เมิ่งฮ่าวก็ขบคิดได้รวดเร็วกว่า ทันทีที่ลูกทรงกลมสีทองสัมผัสกับกลุ่มหมอก กลุ่มหมอกก็เริ่มพลุ่งพล่านปั่นป่วนอย่างรุนแรง ทันใดนั้น เสียงกรีดร้องแหลมเล็กก็ได้ยินออกมาจากภายในลูกทรงกลมสีทอง
เป็นเสียงที่น่าตกใจเป็นอย่างยิ่ง ทำให้กลุ่มหมอกจำนวนมากม้วนตัวออกไป อันที่จริง สิ่งปลูกสร้างที่อยู่ด้านล่างในตอนนี้ก็เริ่มมองเห็นได้ชัดมากขึ้น
รอยร้าวกระจายออกมาปกคลุมไปทั่วพื้นผิวของลูกทรงกลมสีทอง และภายในชั่วหนึ่งอึดใจ มันก็แตกกระจายออก เสียงกรีดร้องดังเข้าไปในหูเมิ่งฮ่าว ทำให้จิตใจเขาสั่นสะท้าน ราวกับมีใบมีดอันแหลมคมแทงเข้าไปในศีรษะ ทำให้โลหิตไหลซึมออกมาจากดวงตา จมูกและปาก จิตใจเขาเริ่มว่างเปล่า
ไม่นานก่อนที่มันจะจางหายไป ทันทีที่เสียงนั้นหายไป ร่างเมิ่งฮ่าวก็กลับคืนมาเป็นปกติ จ้าวโยวหลันกระจายรังสีสังหารอันดุร้ายออกมา ขณะที่นางปรากฎขึ้นที่เบื้องหน้าเขา ยกมือที่เรียวงามของนางขึ้น และกดลงไปบนเส้นใยของดักแด้ไร้ตาซึ่งกำลังวนอยู่รอบๆ ร่างเขา
เสียงระเบิดดังก้องออกมา และเมิ่งฮ่าวก็สั่นสะท้านลอยไปด้านหลัง โลหิตกระจายออกมาจากปาก ก่อนที่เขาจะลอยออกไปได้ไกล จ้าวโยวหลันก็เคลื่อนย้ายทางไกลย่อยตรงมา แสงเจิดจ้าสีขาวพุ่งขึ้นมาจากมือขณะที่นางชี้นิ้วออกมา ด้วยเหตุผลบางอย่าง ดักแด้ไร้ตาทันใดนั้นก็หยุดเคลื่อนไหวไปชั่วคราว
ขณะที่นิ้วโจมตีตกลงมายังเมิ่งฮ่าว รูโลหิตก็ปรากฎขึ้นบนหน้าอกเมิ่งฮ่าว และเส้นใยปราณสีดำก็เริ่มกระจายเข้าไปในร่างเขา
จิตใจเมิ่งฮ่าวหมุนคว้าง เขาแน่ใจว่านิ้วของนางไม่ได้แตะสัมผัสถูกตัวเขาอย่างแท้จริง แต่มันก็ทำให้เขาได้รับบาดเจ็บอย่างแปลกประหลาด เส้นใยสีดำไหลเข้าไปในร่าง ดูดพลังชีวิตของเขาไปอย่างรวดเร็ว
สีหน้าเมิ่งฮ่าวสลดลง จากตอนที่เขาได้ออกมาจากดินแดนด้านใต้ จนกระทั่งถึงเวลาที่อยู่ในดินแดนสีดำหรือในทะเลทรายตะวันตก เขาไม่เคยได้รับบาดเจ็บเช่นนี้มาก่อน โลหิตกระจายออกมาจากปาก ขณะที่ดักแด้ไร้ตาได้พ่นใยออกมาอย่างรวดเร็วต่อเนื่อง ถ้าไม่ใช่เพราะดักแด้ไร้ตา เมิ่งฮ่าวคงต้องตายไปในตอนนี้อย่างแน่นอน
แม้จะเป็นเช่นนั้น ด้วยความสามารถศักดิ์สิทธิ์ของนางเมื่อครู่นี้ ก็เป็นสิ่งที่เขาไม่อาจจะต่อสู้ด้วยได้ เขาจำเป็นต้องมีช่วงเวลาในการหยิบเอาอาวุธเวทออกมาจากภายในถุงสมบัติ หรืออาจจะต้องใช้เวลาในการร่ายเวทอาคม
อย่างไรก็ตาม จ้าวโยวหลันก็ไม่ยอมให้เขามีเวลากระทำเช่นนั้น โลหิตกระจายออกมาจากปากเมิ่งฮ่าว ขณะที่นางเข้ามาใกล้เขาอย่างต่อเนื่อง ยกนิ้วขึ้นมาอีกครั้ง
ครั้งนี้ นิ้วไม่ได้สัมผัสมาโดนตัว แต่กระนั้นเขาก็ยังต้องกระอักโลหิตออกมา กระดูกที่แขนซ้ายเขาแตกละเอียด และเส้นใยสีดำก็กระจายเข้าไปในร่างอย่างต่อเนื่อง พลังชีวิตจำนวนมากมายกำลังหายสาบสูญไป เส้นผมได้กลายเป็นสีขาว ปราณแห่งความตายปกคลุมไปทั่วร่าง
จ้าวโยวหลันเข้ามาใกล้มากขึ้น รังสีสังหารของนางเข้มข้นมากขึ้น สำหรับครั้งที่สามนี้ นางได้ยกมือที่สวยงามของนางขึ้น ความรู้สึกถึงวิกฤตความเป็นตายได้พุ่งขึ้นมาในจิตใจเมิ่งฮ่าวราวกับเป็นน้ำป่าที่ไหลหลาก ดวงตาเขาทันใดนั้นก็สาดประกายด้วยแสงอันเจิดจ้า
พร้อมกับเรี่ยวแรงทั้งหมดที่เขาสามารถรวบรวมขึ้นมาได้ แผดเสียงร้องออกไป “เจ้าคือจ้าวโยวหลัน หรือภูติสาวจื่อเซียง!?”
ในตอนนี้เอง ที่มือของจ้าวโยวหลันทันใดนั้นก็หยุดนิ่ง
ด้วยการใช้โอกาสที่หยุดชะงักชั่วครู่นี้ เมิ่งฮ่าวไม่สนใจบาดแผลที่อยู่บนร่าง เขารู้ว่านี้คือช่วงเวลาวิกฤต และทางเลือกที่ดีที่สุดของเขาในตอนนี้ก็คือใช้การเคลื่อนย้ายทางไกลย่อยหลบหนีไป เขาจำเป็นต้องรักษาอาการบาดเจ็บ มิเช่นนั้นพลังชีวิตของเขาก็จะตกอยู่ในอันตราย อย่างไรก็ตาม…เขาไม่เลือกที่จะกระทำเช่นนั้น
เมื่อจำเป็นต้องใช้มาตรการช่วยชีวิต เขาก็มีทั้งฉีหนาน รวมถึงแกนสุราและปราณกระบี่เริงระบำ อย่างไรก็ตาม เมิ่งฮ่าวก็ได้เผชิญพบกับหลายสิ่งมากมายตลอดหลายปีที่ฝึกฝนวิถีเซียน เท่าที่เขาคิดเกี่ยวกับวิกฤตความเป็นตายครั้งนี้ ยังไม่ถึงจุดจำเป็นที่ต้องใช้มาตรการช่วยชีวิตเหล่านั้น
ดังนั้นเขาจึงเลือกที่จะใช้ช่วงเวลาอันล้ำค่านี้ตบไปที่ถุงสมบัติ ค่ายกลกระบี่ดอกบัวปรากฎขึ้น หมุนวนอย่างรวดเร็ว และระเบิดพลังของกาลเวลาออกมา
แม้แต่จ้าวโยวหลันก็ไม่เคยจะคาดคิดว่า ในช่วงที่นางหยุดชะงักไปชั่วขณะ เมิ่งฮ่าวไม่ได้เลือกที่จะหลบหนีไป แต่กลับหัวเราะเยาะเย้ยต่อความตาย เลือกโจมตีกลับมาแทน
ทำให้นางลังเลด้วยความประหลาดใจ นางและเมิ่งฮ่าวค่อนข้างจะมีฝีมือสูสีกัน เหตุผลที่นางสามารถได้เปรียบเขาอย่างง่ายดายเมื่อครู่นี้ ก็เป็นเพราะว่านางได้จู่โจมเขาอย่างไม่คาดฝัน
รังสีสังหารสาดประกายอยู่ในดวงตาหงส์ของนาง นางกำลังจะโจมตีกลับไป แต่ทันใดนั้นสีหน้านางก็สลดลง ขณะที่ในตอนนี้รู้สึกได้ว่าอายุขัยของนางได้หายไป สีหน้านางเปลี่ยนไปขณะที่ล้มเลิกความคิดที่จะโจมตีกลับไป และพุ่งถอยไปทางด้านหลังในทันที
แม้จะเป็นเช่นนั้น ด้วยการลังเลเพียงชั่วขณะเมื่อครู่นี้ ก็ทำให้อายุขัยสามร้อยปีของนางต้องหายไป ขณะที่นางถอยไปด้านหลังสีหน้าก็เปลี่ยนไป ความโหดเหี้ยมปรากฎขึ้นบนใบหน้าเมิ่งฮ่าว เขารีบหยิบเม็ดยาขึ้นมากลืนลงไป และจากนั้นก็พุ่งตรงไป
“ตอนนี้ ถึงทีข้าบ้าง!” เขากล่าว ตามติดไปด้วยค่ายกลกระบี่ดอกบัว ไปปรากฎขึ้นที่เบื้องหน้าจ้าวโยวหลัน เขายกหมัดต่อยลงไปที่ท้องของนาง
เสียงระเบิดดังก้องออกมา จ้าวโยวหลันหลบเลี่ยงจุดสำคัญไปได้ แต่โลหิตก็กระจายออกมาจากปาก ขณะที่นางลอยละลิ่วไปทางด้านหลัง เมิ่งฮ่าวเคลื่อนที่ตรงไปอย่างต่อเนื่อง โจมตีนางด้วยค่ายกลกระบี่ดอกบัวอีกครั้ง อายุขัยสามร้อยปีของนางก็หายไปอีก ใบหน้าจ้าวโยวหลันซีดขาวราวคนตายขณะที่นางล่าถอยไปอย่างต่อเนื่อง
“ข้าจะช่วยให้เจ้าถอยหลังไป” เขากล่าว กระแทกหมัดลงไปที่ท้องของนาง ทำให้ละอองโลหิตกระจายออกมาจากปากของนาง ร่างสั่นสะท้านไปทางด้านหลัง ตอนนี้นางอยู่ในตำแหน่งเดียวกับเมิ่งฮ่าวก่อนหน้านี้ นางได้สูญเสียความมีเปรียบไป และไม่อาจแม้แต่จะต่อสู้กลับมา ตอนนี้นางกำลังตกเป็นฝ่ายพ่ายแพ้
ร่างเมิ่งฮ่าวแวบขึ้น และไปปรากฎกายที่เบื้องหน้านางอีกครั้ง รังสีสังหารอันเข้มข้นกระจายออกมาจากเส้นใยของดักแด้ไร้ตา พุ่งตรงไปยังจ้าวโยวหลัน ในตอนนี้เองที่นางส่งเสียงร้องอย่างสิ้นหวังออกมา ในเวลาเดียวกันนั้นเงาร่างอันเลือนลางก็ปรากฎขึ้นอยู่บนไหล่ของนาง เป็นร่างที่มีขนาดเล็กเท่าฝ่ามือ ดูเหมือนกับหญิงสาวตัวเล็กๆ แต่ก็ไม่ใช่จ้าวโยวหลัน
นางมีสีหน้าร้อนใจ และทันทีที่นางปรากฎขึ้น ก็ส่งเสียงกรีดร้องออกมา ทำให้จิตใจเมิ่งฮ่าวหมุนคว้างขึ้นอีกครั้ง โลหิตกระจายออกมาจากปากขณะที่เขาถอยไปด้านหลัง ใช้พลังทั้งหมดจากพื้นฐานฝึกตน ส่งเส้นใยของดักแด้ไร้ตาออกไปพันที่รอบคอจ้าวโยวหลันไว้
เมื่อได้เห็นเส้นใยของดักแด้ไร้ตาเข้ามาใกล้ ดวงตาเล็กๆ ของหญิงสาวที่อยู่บนไหล่ของจ้าวโยวหลันก็เต็มไปด้วยแววตาดุร้าย
“แมลงเช่นเจ้ากล้าจะมีเรื่องกับเซียนอมตะจริงๆ!?” แสงอันลี้ลับปรากฎขึ้นในดวงตาของหญิงสาวตัวเล็ก ทันใดนั้นบุปผาสีแดงแปลกๆ ก็ปรากฎขึ้นที่เบื้องหน้าจ้าวโยวหลัน สามารถมองเห็นใบหน้าอยู่บนกลีบดอกของบุปผานั้น…ใบหน้าของเมิ่งฮ่าว!
บุปผานั้น…จู่ๆ ก็แตกกระจายไป ขณะที่เป็นเช่นนั้น จิตใจเมิ่งฮ่าวก็หมุนเคว้งคว้าง ราวกับว่าวิญญาณของเขากำลังจะแตกสลายไป
“เซียนอมตะ? แล้วยังไง?!” เขากล่าวตอบ ในตอนนี้เองที่เมิ่งฮ่าวจู่ๆ ก็ทำให้แกนสุราภายในร่างเริ่มโคจรหมุนวน วิธีการใช้แกนสุรานี้ได้หลอมรวมอยู่ในจิตใจ เขาพ่นปราณสุราออกมาหนึ่งคำ ทันใดนั้น มันก็เริ่มกลายเป็นเจตจำนงแห่งกระบี่อันน่าตกใจ เสียงกระหึ่มกึกก้องกระจายออกมาจากร่างเมิ่งฮ่าวในทันใด
เจตจำนงแห่งกระบี่พุ่งออกมา กระจายเต็มไปทั่วอาณาจักรที่เขาอยู่ในทันที ผู้ฝึกตนทั้งหมดที่อยู่ในอาณาจักรนั้นต่างก็รู้สึกว่าจิตใจกำลังสั่นไหวอย่างรุนแรง
ใบหน้าของหญิงสาวตัวเล็กๆ ที่อยู่บนหัวไหล่จ้าวโยวหลัน ฉับพลันนั้นก็เต็มไปด้วยความหวาดกลัวและไม่อยากจะเชื่อ
“นั่นคือปราณกระบี่เริงระบำของเซียนกระบี่หานซาน!”
ปราณสุรากวาดออกไปยังด้านนอกของเมิ่งฮ่าว ภายในร่างเขา ปราณกระบี่เริ่มรวมตัวเข้าด้วยกัน ในเวลาเดียวกันนี้เองที่ปราณกระบี่กำลังจะระเบิดออกมา…ทันใดนั้นท้องฟ้าก็กลายเป็นสีเทา และกลุ่มหมอกก็เริ่มพุ่งขึ้นมา
“บัดซบ! ทาสสะพานอีกแล้ว!” ร่างเมิ่งฮ่าวทันใดนั้นก็หยุดนิ่งอยู่กับที่ แต่ครั้งนี้ เขาไม่ได้ไม่อาจขยับตัวได้โดยสิ้นเชิง ปราณสุรากระจายออกไป และปราณกระบี่ก็รวมตัวกันอยู่ภายในร่างเขาอย่างต่อเนื่อง เขายังคงขยับตัวได้ แต่ก็รู้สึกราวกับว่ากำลังเหยียบย่ำอยู่ในเลนโคลน
สีหน้าจ้าวโยวหลันสลดลงในทันที หญิงสาวตัวเล็กๆ ที่อยู่บนหัวไหล่นางหายสาบสูญไป ฉับพลันนั้น จ้าวโยวหลันก็คล้ายกับเมิ่งฮ่าว สามารถที่จะขยับตัวได้อย่างช้าๆ
ความระมัดระวังตัวเต็มอยู่ในแววตาของนาง
ในเวลาเดียวกันนั้น กลุ่มของเงาร่างมากมายก็ปรากฎขึ้นมาจากภายในกลุ่มหมอกในบึงน้ำ เสียงแผ่วเบาได้ยินมาขณะที่ทาสสะพานเดินผ่านเมิ่งฮ่าวและจ้าวโยวหลัน มุ่งหน้าตรงไปยังที่ห่างไกล
“อย่าบอกนะว่าสถานที่แห่งนี้เป็นที่อยู่อาศัยของทาสสะพาน?” เมิ่งฮ่าวคิดขณะที่มองไปยังทาสสะพานที่กำลังเดินออกมาจากภายในบึงน้ำ จิตใจเขาหมุนเคว้งคว้าง ในตอนนี้เองที่เขาสังเกตเห็นทาสสะพานคนสุดท้ายในแถว เป็นเด็กสาวอายุประมาณสิบห้าหรือสิบหกปี ขณะที่นางเดินไป ทันใดนั้นก็หันหน้ามามองยังเมิ่งฮ่าวและจ้าวโยวหลัน สีหน้านางเปลี่ยนจากความผิดหวังและสับสน กลายเป็นความดุร้าย ร่างของนางแวบขึ้นขณะที่พุ่งตรงมายังคนทั้งสอง
ความหนาวเย็นอันรุนแรงได้กดทับลงมายังเมิ่งฮ่าวในทันที ทำให้เขาเต็มไปด้วยความตกใจ
ฉับพลันนั้นจ้าวโยวหลันก็เริ่มพูดขึ้น เสียงของนางเต็มไปด้วยความหวาดกลัวอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน “เมิ่งฮ่าว พวกเราจำเป็นต้องร่วมมือกัน มิเช่นนั้นพวกเราต้องตายไปทั้งคู่ในวันนี้!”
Read »

ตอนที่ 461 เผชิญหน้ากับจ้าวโยวหลันอีกครั้ง!

ในบรรดาอาณาจักรทั้งหมดที่ก่อตัวขึ้นมาจากศิลาเซียนในที่แห่งนี้ นี่เป็นอาณาเขตที่กว้างใหญ่มากที่สุดซึ่งอยู่บนแผนที่แผ่นหยกของเมิ่งฮ่าว เขายืนอยู่บนก้อนศิลาหนึ่งร้อยจ้างมองออกไปรอบๆ บริเวณนั้น
ท้องฟ้าที่ด้านบนดูเหมือนจะสงบนิ่งเป็นอย่างยิ่ง มองเห็นรอยร้าวได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น เทือกเขาสูงต่ำยืดยาวออกไป และมองเห็นซากปรักหักพังในสมัยโบราณได้ทั่วทุกที่
ขณะที่ก้อนศิลาพุ่งฝ่าอากาศไป เมิ่งฮ่าวมองลงไปบนพื้นด้านล่าง ทันใดนั้น สายตาก็เปลี่ยนไป ขณะที่สังเกตเห็นภูเขาซึ่งอยู่ด้านล่าง ดูเหมือนจะไม่ได้ก่อตัวขึ้นมาเองตามธรรมชาติ แต่พวกมันมีการเชื่อมต่อกันตามรูปแบบบางอย่าง
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เมิ่งฮ่าวได้สังเกตเห็นเช่นนี้ ในอาณาจักรก่อนหน้านี้ที่เขาได้สำรวจ ก็ประกอบไปด้วยรูปแบบเช่นเดียวกันนี้ แต่อาณาจักรแห่งนั้นมีขนาดเล็กมาก ดังนั้นสิ่งประหลาดเช่นนี้จึงมองเห็นได้ไม่ชัดเจนนัก
แต่ในโลกแห่งนี้มีขนาดใหญ่กว่ามาก ขณะที่เขามองลงไปยังเทือกเขาที่ก่อตัวตามรูปแบบในกลางอากาศอย่างต่อเนื่อง ก็ยิ่งมีความรู้สึกแปลกใจเป็นอย่างมากกับรูปแบบเช่นนี้
“พวกมันดูคล้ายกับเป็นสัญลักษณ์เวท” นั่นเป็นสิ่งที่สมเหตุสมผลมากที่สุด เขาคิดย้อนกลับไปในครั้งแรกที่มายังอาณาจักรแห่งซากสะพานนี้ และมองเห็นก้อนศิลามากมายนับไม่ถ้วน ก่อตัวขึ้นมาเป็นรูปร่างของสะพานโบราณ ซึ่งยืดยาวออกมาผ่านกลุ่มดาว เขายังได้เห็นสัญลักษณ์เวทในตอนนั้นอีกด้วย
เห็นได้ชัดว่า ภูเขาที่ก่อตัวขึ้นมาเป็นเทือกเขานี้ ไม่ใช่อะไรอื่นนอกจากเป็นสัญลักษณ์เวท เนื่องจากอาณาจักรแห่งนี้มีขนาดใหญ่โตมาก จึงทำให้เมิ่งฮ่าวสามารถมองเห็นพวกมันได้ชัดเจนมากขึ้น
“สะพานเซียนเดินหนถูกปกคลุมโดยสัญลักษณ์เวท ซึ่งแต่ละสัญลักษณ์เหล่านี้ต่างก็คล้ายกับยันต์เซียนเป็นอย่างมาก” ภายในร่างเมิ่งฮ่าว ปราณแห่งเซียนชี้ทางโคจรหมุนวน และเขาก็กระพริบตาข้างซ้ายอย่างรวดเร็วหลายครั้ง ขณะที่ใช้วิชาม่านตาเซียนซึ่งนกแก้วได้มอบให้มา
ทันทีที่เขาใช้วิชานี้ ร่างกายก็สั่นสะท้าน เมื่อใช้ตาข้างซ้ายมองลงไปยังพื้นดินด้านล่าง สิ่งที่เห็นไม่ใช่กลุ่มภูเขา แต่เป็นมังกรสีดำมากมาย กำลังชูศีรษะขึ้นไปในท้องฟ้าส่งเสียงคำรามออกมามังกรหลายตัวถูกทำลายไป แต่บางตัวก็เกือบจะครบถ้วนสมบูรณ์ เสียงคำรามของพวกมันน่าตกใจเป็นอย่างมาก
เมิ่งฮ่าวสั่นไปทั้งร่าง เริ่มหอบหายใจ รู้สึกราวกับว่ามีภูเขาที่มองไม่เห็นกำลังกดทับลงมาบนร่าง ทันใดนั้น วิชาม่านตาเซียนก็หายไป
อย่างไรก็ตาม ก่อนที่เป็นเช่นนั้น เมิ่งฮ่าวก็เหลือบเห็นบางสิ่งบางอย่างอยู่ในที่ห่างไกล ซึ่งเห็นได้ชัดว่าไม่ใช่มังกรดำ แต่เป็นผีเสื้อสีดำอย่างน่าประหลาดใจ ผีเสื้อนั้นดูเลือนลางและไม่มีใครมองเห็นได้ ทุกครั้งที่มันกระพือปีก มังกรดำที่อยู่ใกล้ๆ บริเวณนั้นก็จะถูกมันดูดและกลืนกินลงไปภายในร่างของผีเสื้อสีดำตัวนั้นเป็นพื้นที่อันกว้างใหญ่ ซึ่งสร้างขึ้นมาจาก…ดินเซียน!
ขณะที่ภาพนั้นหายไป เหงื่อเท่าเม็ดถั่วก็ไหลลงมาจากหน้าผากเมิ่งฮ่าว เขาไม่เคยคาดคิดเลยว่าการใช้วิชาม่านตาเซียน จะช่วยให้สามารถมองเห็นภาพอันน่าตกใจเช่นนี้ได้
ขณะที่สายตากลับมาเป็นปกติเหมือนเดิม เขาก็มองไปยังพื้นดินรอบๆ เพื่อค้นหาว่าบริเวณไหนจะเหมือนกับที่เคยมองเห็นก่อนหน้านี้ ภูเขาก็ยังคงเป็นภูเขา ไม่ใช่มังกรดำที่กำลังส่งเสียงคำราม บริเวณที่อยู่ห่างไกลออกไปซึ่งเขาได้เห็นผีเสื้อสีดำ ก็เป็นแค่ภูเขาธรรมดาทั่วไป
มีเพียงสิ่งเดียวที่ผิดปกติเกี่ยวกับบริเวณนั้นก็คือ มันเป็นจุดบรรจบของเทือกเขามากมาย
“ทาสสะพาน, มังกรดำ, ผีเสื้อ…อาณาจักรแห่งซากสะพานนี้ช่างเต็มไปด้วยสิ่งลี้ลับนัก” เมิ่งฮ่าวยืนครุ่นคิดอยู่บนก้อนศิลา ขณะที่มันแหวกฝ่าอากาศจนเป็นเสียงแหลมเล็ก มันเริ่มหันเหเปลี่ยนทิศทาง เขาก็มองกลับไปยังบริเวณที่เคยเห็นผีเสื้อ
“สิ่งที่ข้าเห็นเมื่อครู่นี้คล้ายกับดินเซียนเป็นอย่างยิ่ง ข้าไม่น่าจะมองพลาดในเรื่องนี้…ถ้าข้าได้รับดินเซียนที่มากมายเช่นนั้นได้ ก็คงจะสามารถนำมาสร้างเป็นภาพศักดิ์สิทธิ์ธาตุดินได้!” บริเวณที่มองเห็นด้วยม่านตาเซียนทำให้จิตใจเขาสั่นสะท้านและตื่นเต้น
“จะได้ผลตอบแทนกลับมาก็ต่อเมื่อกล้าที่จะเสี่ยง ถ้าต้องการอยู่เหนือคนอื่นๆ ก็ต้องจ่ายค่าตอบแทน!” ดวงตาเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น กลายเป็นลำแสงพุ่งตรงไปยังบริเวณที่เขามองเห็นผีเสื้ออย่างรวดเร็ว
จากการวิเคราะห์ของเมิ่งฮ่าว มีผู้คนจากทะเลทรายตะวันตกได้เข้ามายังสถานที่แห่งนี้มากกว่ายี่สิบคน และคงไม่มีใครอื่นอีกที่จะมีปราณแห่งเซียนชี้ทาง และวิชาม่านตาเซียน ดังนั้นจึงเป็นไปได้สูงมากที่เขาจะเป็นเพียงแค่คนเดียวที่สามารถมองเห็นผีเสื้อตัวนั้น
ด้วยเช่นนั้น จึงมีโอกาสน้อยมากที่เขาจะต้องต่อสู้เพื่อแย่งชิงดินเซียน
เมื่อเป็นเช่นนี้ เมิ่งฮ่าวจึงไม่ต้องการที่จะพลาดโอกาสนี้ โดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย เขามุ่งตรงไปอย่างต่อเนื่อง และในที่สุดก็ผ่านไปเจ็ดวัน
ในช่วงเวลานั้น มิ่งฮ่าวเคลื่อนที่ไปแบบไม่หยุดพัก มีอยู่สองครั้งที่เขาใช้วิชาม่านตาเซียน เพื่อสังเกตดูผีเสื้อสีดำซึ่งกำลังกลืนกินมังกรดำอีกครั้ง เขาสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายอันไร้ขอบเขตของผีเสื้อ ในที่สุดเขาก็มาถึงในวันที่แปด
มันเป็นสถานที่ซึ่งมีสิบเทือกเขาที่แตกต่างกันมาบรรจบเข้าหากัน ตรงจุดตรงกลางนั้นเป็นบึงน้ำขนาดใหญ่ ซึ่งเต็มไปด้วยกลุ่มหมอกสีขาวที่ม้วนตัวลอยไปมา ป้องกันไม่ให้จิตสัมผัสขยายตัวออกไปได้ไกลมากนัก และดูเหมือนจะทำให้จิตวิญญาณดื่มด่ำไปกับภูเขาและแม่น้ำ
เมิ่งฮ่าวบินไปรอบๆ ในตอนแรก และจากนั้นก็เริ่มขมวดคิ้ว เขาสังเกตดูกลุ่มหมอกด้วยสายตาที่วาววับ ในที่สุด ก็บังคับให้กระบี่บินพุ่งออกไป ทำให้มันแหวกฝ่าอากาศเป็นเสียงแหลมเล็กตรงเข้าไปในกลุ่มหมอก
ทันทีที่กระบี่บินผ่านเข้าไปในกลุ่มหมอก เมิ่งฮ่าวก็นั่งลงขัดสมาธิอยู่ที่ริมฝั่งของบึงน้ำ หลับตาลงและส่งเส้นใยจิตสัมผัสที่ละเอียดอ่อนไปเชื่อมต่อกับกระบี่บิน ขณะที่มันพุ่งผ่านเข้าไปในกลุ่มหมอก
กลุ่มหมอกแน่นหนา และกระบี่บินก็พุ่งผ่านเข้าไปอย่างต่อเนื่องในช่วงเวลาธูปไหม้หมดหนึ่งดอก ในที่สุดมันก็โผล่ออกมาจากด้านล่างบึงน้ำ เมิ่งฮ่าวมองเห็นแสงอันแพรวพราว ที่ยืดยาวออกไปด้านล่างเขาเป็นภาพอันน่าตกใจ อาคารบ้านเรือนทั้งหมดถูกสร้างขึ้นมาจากดินเซียน ทันใดนั้นก็มีเงาร่างปรากฎขึ้นภายในจิตสัมผัส เสียงระเบิดได้ยินมาขณะที่กระบี่บินระเบิดออก พลังของการทำลายล้างเริ่มสั่นสะเทือนย้อนกลับมายังเมิ่งฮ่าวผ่านจิตสัมผัส
สีหน้าเขาเปลี่ยนไป แต่ด้วยการเตรียมพร้อม แทบจะในเวลาเดียวกับที่กระบี่บินถูกทำลายไป เขาก็ตัดการเชื่อมต่อ ป้องกันพลังทำลายล้างที่จะพุ่งตรงเข้ามาถึงตัวเมื่อตัดจิตสัมผัสออกไป ใบหน้าเมิ่งฮ่าวก็ซีดขาว
“สิ่งปลูกสร้างทั้งหมดถูกสร้างขึ้นมาจากดินเซียน…นี่เป็นสถานที่อะไรกันแน่!?” เมิ่งฮ่าวสูดลมหายใจอย่างหนักหน่วง และดวงตาก็สาดประกาย ถึงแม้เขาจะได้เห็นสถานที่แห่งนี้จากภายในกลุ่มหมอกในช่วงเวลาสั้นๆ แต่มันก็เพียงพอที่จะทำให้เมิ่งฮ่าวเต็มไปด้วยความตกตะลึง
“หลังจากที่สะพานเซียนเดินหนถูกทำลายไป มันก็กลายเป็นอาณาจักรแห่งซากสะพาน หลังจากที่ผ่านมานานหลายปี ใครจะไปรู้ว่ามีผู้ฝึกตนทะเลทรายตะวันตกมากมายเท่าใดได้มายังสถานที่แห่งนี้…”
“ข้าไม่อยากจะเชื่อว่า หลังจากผ่านมาหลายปี ก็ยังไม่มีใครค้นพบสถานที่แห่งนี้ แต่การที่มีดินเซียนมากมายเช่นนี้ ก็แสดงให้เห็นว่าสถานที่แห่งนี้ต้องมีอันตรายอย่างแน่นอน! ใครก็ตามที่พยายามจะเข้าไปในอดีตที่ผ่านมาก็ต้องตายไป!”
เมื่อเมิ่งฮ่าวครุ่นคิดมาถึงจุดนี้ จิตใจก็สั่นสะท้านขึ้นมาในทันที โบกสะบัดมือและจู่ๆ เขาก็หายตัวไปไม่นานนักหลังจากที่เขาหายตัวไป ลำแสงก็ปรากฎขึ้นในที่ห่างไกล เป็นหญิงสาวที่สวมใส่ชุดยาวสีดำ มีใบหน้าที่งดงามและผิวขาวราวกับหยก ซึ่งไม่ใช่ใครอื่นนอกจาก…จ้าวโยวหลัน!
นางเดินทางมาด้วยความระมัดระวังตัว หลังจากที่มาถึงยังที่แห่งนี้ นางก็กระทำเช่นเดียวกับเมิ่งฮ่าว บินเป็นวงกลมไปรอบๆ จากนั้นก็ไปนั่งอยู่ริมฝั่งบึงน้ำ นางกำลังจะใช้วิชาเพื่อจะตรวจสอบเข้าไปในกลุ่มหมอก แต่ทันใดนั้นดวงตาหงส์ของนางก็สาดประกาย โบกสะบัดมืออันเรียวงาม ทำให้แมงมุมสีขาวพุ่งออกไปกลายเป็นลำแสงตรงเข้าไปในกลุ่มหมอก
เมื่อมันใกล้จะพุ่งเข้าไปในกลุ่มหมอก แต่ทันใดนั้นมันก็หันเหทิศทาง และพุ่ง…ตรงไปยังจุดที่เมิ่งฮ่าวหายตัวไป
“ไม่กล้าเผยโฉมหน้า?” นางกล่าวเสียงเย็นชา “ออกมา!” ลำแสงสีขาวพุ่งตรงไปยังสิ่งที่ดูเหมือนจะเป็นความว่างเปล่า ในขณะที่มันพุ่งไปถึง ก็เกิดเป็นระลอกคลื่นขึ้น จากภายในระลอกคลื่นนั้นมีนิ้วโผล่ออกมา
นิ้วนั้นแตะลงไปบนลำแสงสีขาว และเสียงร้องแหลมเล็กก็ได้ยินมา แสงนั้นจางหายไป เมิ่งฮ่าวโผล่ออกมา ดวงตาเต็มไปด้วยความเย็นเยียบแข็งกระด้าง
“เจ้าเอง!” จ้าวโยวหลันกล่าวขึ้น ม่านตาหดเล็กลง และดวงตาก็เต็มไปด้วยรังสีสังหาร แขนของนางได้ฟื้นฟูกลับคืนมานานแล้ว แต่สีหน้าก็ยังคงกระจายความเกลียดชังอย่างลึกล้ำออกมา
ดวงตาเมิ่งฮ่าวหดแคบลง การที่จ้าวโยวหลันมาปรากฎตัวขึ้นที่นี่ ก็ทำให้จิตใจเขาเต็มไปด้วยคำถามมากมาย การที่นางมีท่าทางระมัดระวังตัวเช่นนั้น ก็แสดงให้เห็นว่านางรู้เกี่ยวกับสถานที่แปลกๆ แห่งนี้
ที่สำคัญมากไปกว่านั้นก็คือ ก่อนหน้านี้พื้นฐานฝึกตนของนาง อยู่เพียงแค่ขั้นวงจรอันยิ่งใหญ่สร้างแกนลมปราณเท่านั้น แต่ตอนนี้…กลับอยู่ในขั้นกลางวิญญาณแรกก่อตั้ง จากระลอกคลื่นพื้นฐานฝึกตนของนาง ทำให้รู้ว่านางอยู่ในจุดสูงสุดของขั้นนี้ จนเกือบจะก้าวเข้าไปในขั้นสุดท้ายวิญญาณแรกก่อตั้ง
ในช่วงเวลาไม่ถึงหนึ่งปี นางมีความก้าวหน้าอย่างน่าเหลือเชื่อนัก เมิ่งฮ่าวตระหนักดีว่าความสำเร็จเช่นนี้เป็นสิ่งที่ยากจะพบเห็น!
“คงมีแต่นางเพียงคนเดียวเท่านั้น” เมิ่งฮ่าวคิด ดวงตาสาดประกาย
สำหรับจ้าวโยวหลัน รังสีสังหารสาดประกายอยู่ภายในดวงตา นางยอมรับเมิ่งฮ่าวอย่างแท้จริง แต่ก็เป็นแค่เชื้อเพลิงสำหรับความต้องการสังหารของนางเท่านั้น ทันทีที่นางเห็นเขา ก็พุ่งทะยานขึ้นไปในอากาศ แสงสีขาวกระจายออกไปรอบๆ ตัวนางหนึ่งร้อยจ้าง และแมงมุมยักษ์สีขาวก็ปรากฎขึ้นอย่างน่ามหัศจรรย์ ฉับพลันนั้นนางก็พุ่งตรงไปยังเมิ่งฮ่าว
เห็นได้ชัดว่า ผลกระทบของการผนึกสิ่งศักดิ์สิทธิ์โบราณสาขาแมงมุมในตอนนี้ได้หายไปแล้วขณะที่จ้าวโยวหลันพุ่งตรงมา เมิ่งฮ่าวก็สวมใส่หน้ากากสีโลหิต ใบหน้าขนาดใหญ่ปรากฎขึ้น ส่งผลให้เกิดเป็นระลอกคลื่นกระจายออกไปทั่วทุกทิศทาง
เสียงกระหึ่มดังก้องอยู่ในอากาศ แต่จากนั้นเมิ่งฮ่าวก็หายตัวไป เมื่อปรากฎขึ้นอีกครั้ง เขาก็ไปอยู่ข้างกายจ้าวโยวหลัน พุ่งหมัดออกไป แต่ขณะที่เป็นเช่นนั้น จ้าวโยวหลันก็เลือนลางลงและหายตัวไป นางปรากฎขึ้นใหม่ที่ด้านหลังเขา ยกมือขึ้นแตะนิ้วชี้ไปที่นิ้วโป้ง อีกสามนิ้วยกชูขึ้น รังสีสังหารกระจายออกมาจากดวงตา ขณะที่นางแตะนิ้วลงไปบนแผ่นหลังเมิ่งฮ่าว
เขาแค่นเสียงเย็นชาออกมา มองไปที่ด้านล่าง ร่างกายแวบขึ้นขณะที่ระลอกคลื่นสีโลหิตกระจายออกไปทั่วทุกทิศทางที่ด้านล่างเขา แสงสีโลหิตพุ่งขึ้นไปในท้องฟ้าขณะที่มองเห็นเป็นห้าเงาร่าง ซึ่งไม่ใช่ใครอื่นนอกจากเป็นร่างจำแลงโลหิตของเมิ่งฮ่าว
เสียงกระหึ่มกึกก้องดังเต็มอยู่ในอากาศ และสีหน้าจ้าวโยวหลันก็เปลี่ยนไป นางหายตัวไปอีกครั้งคนทั้งสองใช้การเคลื่อนย้ายทางไกลย่อยกลับไปกลับมาอยู่ในกลางอากาศขณะที่ต่อสู้กัน เสียงระเบิดดังก้องออกไปทั่วทุกทิศทาง ขณะที่ความสามารถศักดิ์สิทธิ์ถูกใช้ออกมา
ต่อมาหลังจากนั้น จ้าวโยวหลันก็หายตัวไปในท่ามกลางการระเบิด ปรากฎกายขึ้นใหม่อยู่ห่างออกไปหนึ่งร้อยจ้าง นางยกมือที่เรียวงามขึ้นมา มองเห็นเป็นหยดโลหิตอันน่าตกใจ
นางโยนหยดโลหิตออกไป และเสียงที่คล้ายกับเสียงร้องแหลมเล็กของวิหคก็ดังเต็มอยู่ในอากาศ หยดโลหิตกระจายตัวออกไป กลายเป็นหงส์สีแดง ปีกของมันแผ่ขยายออกไป และเปลวไฟก็กระจายออกไปทั่วทุกที่ หงส์ที่มีไฟล้อมรอบส่งเสียงร้องอันทรงพลังออกมา จากนั้นก็พุ่งตรงมายังเมิ่งฮ่าว
ขณะที่มันพุ่งผ่านอากาศมา ความร้อนอย่างน่าประหลาดใจก็ม้วนตัวออกไปทั่วทุกทิศทาง สีหน้าเมิ่งฮ่าวสงบนิ่งขณะที่เขาพุ่งถอยไปด้านหลัง เส้นใยของดักแด้ไร้ตาหมุนวนไปรอบๆ ตัว ในขณะที่หงส์เพลิงปกคลุมลงมา
ทันทีที่เปลวไฟปกคลุมไปทั่วร่าง รังสีสังหารก็ปรากฎขึ้นในดวงตา เสียงอันเย็นชาของเขาก็ดังก้องไปทั่วบริเวณนั้น
“ไฟ? ข้าก็มี!”
Read »

วันอังคารที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2560

ตอนที่ 460 ชุดฟ้าหานซาน!

ทันทีที่สายตาของคนทั้งสองสบประสานกัน ฉับพลันนั้นเมิ่งฮ่าวก็มองไม่เห็นบุรุษชุดฟ้าอีกต่อไป เมื่อมันปรากฎกายขึ้นอีกครั้ง ก็มายืนอยู่ด้านข้างเมิ่งฮ่าว
หนังศีรษะเมิ่งฮ่าวด้านชา ยากที่จะมองเห็นระดับพื้นฐานฝึกตนของบุรุษผู้นี้ การพยายามกระทำเช่นนั้น ทำให้เขามีความรู้สึกเช่นเดียวกับตอนที่กำลังมองเข้าไปในมหาสมุทรอันลึกล้ำ
เขาลุกขึ้นมายืนในทันที และโค้งตัวลงต่ำให้กับบุรุษชุดฟ้า “ผู้เยาว์เมิ่งฮ่าวขอคารวะผู้อาวุโส”
บุรุษผู้นั้นมองมายังเมิ่งฮ่าว จากนั้นก็นั่งลงที่ด้านข้าง จิบสุราเล็กน้อย สีหน้าของมันยังคงหดหู่อยู่เหมือนเดิม กล่าวว่า “เจ้ากำลังจะไปยังอาณาจักรซุ่ยเฟิง?” (ทลายผนึก)
“อาณาจักรซุ่ยเฟิง?” เมิ่งฮ่าวกล่าวตอบด้วยสีหน้างุนงง คิดย้อนกลับไปยังแผนที่ในแผ่นหยก และคำอธิบายของสถานที่ซึ่งเขากำลังมุ่งหน้าไป ในที่สุดก็พยักหน้า
“ถ้าเช่นนั้นพวกเราก็กำลังมุ่งตรงไปยังทิศทางเดียวกัน” บุรุษผู้นั้นกล่าวพร้อมกับพยักหน้าให้เล็กน้อย หลังจากนั้นมันก็ไม่พูดอะไรออกมาอีก พิงหลังไปยังโขดศิลาที่ยื่นออกมา ดื่มสุราลงไป และมองออกไปยังความมืดมิดของความว่างเปล่า
เมิ่งฮ่าวมองไปยังบุรุษผู้นั้นอย่างลังเลชั่วขณะ จากนั้นก็ย้ายออกไปยังที่ห่างไกล นั่งลงขัดสมาธิ แต่โชคร้ายที่เขาไม่อาจจะเข้าฌาณได้ สิ่งที่เขาทำได้ทั้งหมดก็คือนั่งอยู่ที่นั่นขณะที่เวลาเลื่อนผ่านไป
หนึ่งวัน, สองวัน, สามวัน…เพียงชั่วพริบตา ครึ่งเดือนก็ผ่านไป
ในช่วงเวลานั้น บุรุษชุดฟ้ายังคงเอนกายดื่มสุราอยู่ที่นั่นต่อไป ดูเหมือนว่าสุราที่อยู่ในขวดจะไม่มีวันหมด มันดื่มและดื่ม มองออกไปยังความมืดมิด ด้วยสีหน้าหดหู่เสียใจ ความโดดเดี่ยวของมันยิ่งปรากฎให้เห็นมากขึ้นไปเรื่อยๆ อย่างต่อเนื่อง
ใบหน้าของมันมีหนวดเคราขึ้นเขียวครึ้ม ราวกับว่าเป็นเวลานานมากแล้วที่มันไม่ได้โกนหนวดเครา เสื้อผ้าเป็นรอยยับย่น ถ้าตัดเอาสีหน้าที่โศกเศร้าเสียใจของบุรุษผู้นี้ออกไป กลิ่นอายของมันก็เต็มไปด้วยเสน่ห์อย่างไม่อาจจะอธิบายออกมาได้ ขณะที่ดูเหมือนว่ามันจะ…โดดเดี่ยว แต่ก็ไม่ได้ดูสกปรกมากนัก
ขวดสุราที่มันถืออยู่ในมือทำขึ้นมาจากไม้ และมองเห็นลายไม้อยู่บนพื้นผิวของมัน ยากที่จะบอกได้ว่ามันได้ดื่มสุราเข้าไปมากน้อยเท่าใดในช่วงครึ่งเดือนที่ผ่านมา
มันไม่ได้พูด เมิ่งฮ่าวก็เช่นกัน ดูเหมือนว่าบุรุษชุดฟ้าเพียงแต่หันหน้ามองไปในทิศทางเดียวเท่านั้น และไม่มีความต้องการจะเดินไป ดังนั้น มันจึงได้ตัดสินใจที่จะใช้ก้อนศิลานี้ร่วมกับเมิ่งฮ่าวคนทั้งสองรักษาความเงียบไว้ ตลอดทั้งอีกหนึ่งเดือนที่ผ่านไป ขณะที่พวกเขาเดินทางไปกับก้อนศิลาต่อไป
ในที่สุดเมิ่งฮ่าวก็สามารถเข้าฌาณได้ แต่ก็ยังทิ้งเศษเสี้ยวของเจตจำนงไว้ที่ด้านนอก รู้ว่าการกระทำเช่นนี้เป็นสิ่งที่มากเกินความจำเป็น แต่เขาก็คุ้นเคยกับการปฏบัติตัวเช่นนี้ และได้ทำจนติดเป็นนิสัยไปแล้วจนยากที่จะเลิกได้
ในวันหนึ่งขณะที่ก้อนศิลาขนาดหนึ่งร้อยจ้างลอยตรงไป บุรุษชุดฟ้าที่มีท่าทางเศร้าเสียใจและซึมเซาก่อนหน้านี้ ทันใดนั้น ก็ลุกขึ้นมายืนและมองออกไปยังที่ห่างไกล
การเคลื่อนไหวนี้ทำให้เมิ่งฮ่าวลืมตาขึ้นมาในทันที มองออกไปยังความมืดมิดนั้น แต่ก็ไม่เห็นอะไร แต่บุรุษชุดฟ้านั้นดูเหมือนจะมีความตั้งใจ ราวกับว่ามันกำลังเพ่งสมาธิมองออกไปยังที่ห่างไกล
เมิ่งฮ่าวเต็มไปด้วยความสงสัย แต่ก็ไม่แสดงอะไรออกมา มองออกไปยังความว่างเปล่านั้นอย่างต่อเนื่อง เวลาสามวันผ่านไป ที่บุรุษชุดฟ้าและเมิ่งฮ่าวต่างก็มองออกไปยังความมืดมิด
ในวันที่สามที่โลกแห่งความมืดมิดรอบๆ คนทั้งสองทันใดนั้นได้กลายเป็นสีเทา ในเวลาเดียวกันนั้น ก้อนศิลาที่กว้างหนึ่งร้อยจ้างนี้ก็หยุดการเคลื่อนที่ในทันใด จิตใจเมิ่งฮ่าวสั่นสะท้าน ขณะที่กลุ่มหมอกอันหนาแน่นเข้มข้นได้เริ่มกระจายออกไปทั่วทุกทิศทาง ในที่สุด ทุกสิ่งทุกอย่างก็คล้ายกับเป็นทะเลแห่งหมอก
เมิ่งฮ่าวเริ่มขนลุกซู่ขณะที่ตระหนักว่า เขาไม่อาจจะขยับกายเคลื่อนไหวได้ ทำไมเขาถึงไม่เข้าใจว่ากำลังเกิดอะไรขึ้น? ไกลออกไปในกลุ่มหมอก มองเห็นเงาร่างมากมาย กำลังแบกก้อนศิลาอยู่บนไหล่เดินเรียงแถวตรงมา
พวกมันมีท่าทีผิดหวัง สับสน ขณะที่เดินใกล้เข้ามา เสียงเบาๆ ได้ยินก้องออกมาในกลุ่มหมอก “เมื่อไหร่ที่สะพานแห่งเซียนนี้จะปรากฎขึ้นใหม่อีกครั้ง…? พวกเราจะได้พบกับท่านอีกวันไหน…?”
กลุ่มเงาร่างที่ถูกห้อมล้อมด้วยเสียงเหล่านี้ลอยผ่านกลุ่มหมอกออกมา บุรุษและสตรี, ผู้เยาว์และชรา ทั้งหมดมีท่าทีสับสน ขณะที่พวกมันเข้ามาใกล้เมิ่งฮ่าว เขาก็รู้สึกได้ถึงความหนาวเย็นที่ดูเหมือนจะสามารถแช่แข็งจิตวิญญาณได้
เมิ่งฮ่าวค่อยๆ เริ่มหนาวเย็นมากขึ้น จนกระทั่งราวกับว่าพลังชีวิตกำลังจะแตกดับไป ในตอนนี้เองที่เขาสังเกตได้ว่า บุคคลกลุ่มนี้ไม่ใช่เป็นกลุ่มเดียวกับที่เขาได้เผชิญพบมาในดินแดนอันกว้างใหญ่ครั้งล่าสุด ในตอนที่เขากำลังไล่ล่าอี้เฉินจื่อ
ที่ด้านข้าง บุรุษชุดฟ้านั่งอยู่ที่นั่นต่อไป จิบสุราเป็นระยะ ขณะที่มองไปยังคนกลุ่มนั้น ความโศกเศร้าในแววตาลึกล้ำมากขึ้น และมุมปากก็บิดเบี้ยวไปด้วยความขมขื่น
มันสำรวจดูคนเหล่านั้นอย่างละเอียด ราวกับว่ากำลังค้นหาอะไรบางอย่าง มันสำรวจดูแต่ละเงาร่างโดยละเอียด และเมื่อมันดูถึงคนสุดท้าย ความโดดเดี่ยวของมันก็ดูเหมือนจะยิ่งลึกล้ำมากขึ้น ขมวดคิ้วและดื่มสุราลงไปอีก
เงาร่างเหล่านั้นเคลื่อนที่ตรงมายังก้อนศิลาที่เมิ่งฮ่าวอยู่ และขณะที่พวกมันเข้ามาใกล้ ทันใดนั้นก็หยุดลง ความงุนงงและสับสนบนใบหน้าพวกมัน ทันใดนั้นก็กลายเป็นความดุร้าย พวกมันมองมายังก้อนศิลา และบุรุษชุดฟ้า
บุรุษชุดฟ้าก็มองไปที่พวกมัน จากนั้นก็โบกสะบัดมือ ขณะที่ทำเช่นนั้น เงาร่างเหล่านั้นก็ลอยต่อไป พวกมันเคลื่อนที่ห่างออกไปไกล ความสับสนของพวกมันกลับคืนมาอีกครั้ง เสียงแผ่วเบาได้ยินขึ้นอีกครั้ง
“เมื่อไหร่ที่สะพานแห่งเซียนนี้จะปรากฎขึ้นใหม่อีกครั้ง…? พวกเราจะได้พบกับท่านอีกวันไหน…?”
เสียงนั้นค่อยๆ จางหายไปในที่ห่างไกล และสีเทาในความว่างเปล่าก็หายไปด้วยเช่นกัน ไม่มีความวุ่นวายเหมือนก่อนหน้านี้ ความเงียบเข้ามาปกคลุมอีกครั้ง
ขณะที่ทุกสิ่งทุกอย่างกลับมาเป็นปกติเหมือนเดิม ก้อนศิลาขนาดหนึ่งร้อยจ้างที่เมิ่งฮ่าวอยู่ก็เริ่มเคลื่อนที่ตรงไปอย่างรวดเร็ว
ร่างเมิ่งฮ่าวสั่นสะท้านขณะที่เขาฟื้นกลับมาเป็นปกติเหมือนเดิม จิตใจสั่นสะท้านเนื่องจากการได้เผชิญหน้ากับเงาร่างแปลกๆ เหล่านี้เป็นครั้งที่สอง โดยไม่ต้องขบคิด เขาหันหน้าไปหาบุรุษชุดฟ้าและถามว่า “พวกมันคืออะไร…?”
หลังจากที่ถามออกไป เมิ่งฮ่าวก็ตระหนักว่า เมื่อพิจารณาถึงพื้นฐานฝึกตน และหลายวันแห่งความเงียบของบุรุษผู้นี้ เขาคงไม่ได้รับคำตอบใดๆ กลับมาอย่างแน่นอน
“ทาสสะพาน” บุรุษชุดฟ้ากล่าว ด้วยเสียงแผ่วเบา
“หลังจากที่สะพานเซียนเดินหนถูกทำลายลงโดยบรรพบุรุษตระกูลจี้ เจตจำนงที่ต้องการมีชีวิตอยู่ของสะพานก็ได้มาถึงจุดนี้ ผู้คนที่มีชีวิตเป็นนิรันดร์ และพยายามจะยืดขยายอายุขัย ก็พบว่าเจตจำนงของพวกมันได้สูญหายไป และพวกมันก็กลายมาเป็นทาสสะพาน”
“พวกมันได้บรรลุถึงชีวิตอันเป็นนิรันดร์ตามที่เฝ้าค้นหา แต่ก็ต้องจ่ายค่าตอบแทน…ด้วยการกลายมาเป็นทาสของสะพาน ทั้งกลางวันและกลางคืนตลอดทั้งชีวิตอันเป็นนิรันดร์ของพวกมัน ต้องมาเป็นทาสคอยสร้างสะพานเซียนเดินหนขึ้นมาใหม่อยู่ตลอดเวลา ซึ่งแน่นอนว่าไม่มีทางสร้างขึ้นมาได้”
เมื่อได้ยินคำอธิบายนี้ ก็ทำให้จิตใจเมิ่งฮ่าวหมุนเคว้งคว้าง หันไปมองยังทิศทางที่เงาร่างเหล่านั้นได้เดินจากไป แต่สิ่งที่เห็นทั้งหมดก็คือความมืดมิด ราวกับว่าภาพของความมืดอันไร้ขอบเขตนี้กำลังปกคลุมไปยังทุกสรรพสิ่ง
บุรุษผู้นั้นเริ่มพึมพำอย่างขมขื่น “ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้มาพร้อมกับการต้องจ่ายค่าตอบแทน…ค่าตอบแทน…” มันถือขวดสุราขึ้นมาที่เบื้องหน้า กำมือจนแน่น
เวลาผ่านไป เมิ่งฮ่าวไม่ถามอะไรเพิ่มอีก และบุรุษผู้นั้นก็ไม่พูดอะไรมากไปกว่านี้อีกเช่นเดียวกัน มันเอนหลังพิงอยู่ที่นั่นตกอยู่ในความเงียบ จ้องมองออกไปยังความว่างเปล่า ดื่มสุราด้วยท่าทางหดหู่กลัดกลุ้ม
เมิ่งฮ่าวนั่งอย่างครุ่นคิดอยู่ที่นั่น คำว่าทาสสะพานดูเหมือนจะเหมาะสมเป็นอย่างยิ่ง พวกมันได้ครอบครองความเป็นอมตะ แต่ค่าตอบแทนที่พวกมันต้องจ่ายออกไปก็ยิ่งใหญ่เช่นกัน เมื่อเขาคิดถึงเรื่องนี้ ก็ทำให้เมิ่งฮ่าวนึกไปถึงเสียงอันแผ่วเบาของทาสสะพาน
อีกสองเดือนได้ผ่านไป ที่เบื้องหน้าความว่างเปล่าขึ้นไปปรากฎเป็นก้อนศิลาขนาดใหญ่ นี่เป็นศิลาเซียนอีกแห่ง ความกว้างใหญ่ของมันยากที่จะอธิบายออกมาได้ ดูเหมือนจะมีขนาดใหญกว่าดินแดนอันกว้างใหญ่ที่เขาเพิ่งจะจากมาถึงสิบเท่า
แรงกดดันอันน่าเหลือเชื่อกระจายออกมาจากศิลาขนาดใหญ่มหึมานี้ ปกคลุมทุกสิ่งทุกอย่างในบริเวณนั้นไว้ ขณะที่มันลอยอยู่ที่นั่นในความว่างเปล่า ขอบของมันตะปุ่มตะป่ำ ทำให้เมิ่งฮ่าวคิดไปถึงภาพของสะพานขนาดใหญ่ที่พังทลายไป ซึ่งเขามองเห็นมันยืดยาวออกไปอย่างไร้จุดสิ้นสุดในท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาว
ในตอนนี้เองที่บุรุษชุดฟ้าจู่ๆ ก็ลุกขึ้นมายืน
“เจ้าต้องการดื่มหรือไม่?” มันถาม หันหน้ามามองยังเมิ่งฮ่าว ดวงตาใสกระจ่างและเต็มไปด้วยความลึกล้ำ ราวกับเป็นกลุ่มดาวที่อยู่ในท้องฟ้า นี่เป็นครั้งที่สองซึ่งบุรุษผู้นี้ได้เริ่มต้นพูดก่อน ครั้งแรกในตอนที่มันมาถึง เมื่อคิดว่านี่เป็นครั้งที่สอง เมิ่งฮ่าวก็เข้าใจ…มันกำลังจะจากไป
เมิ่งฮ่าวยืนขึ้น ประสานมือและโค้งตัวลงต่ำ มองไปยังบุรุษชุดฟ้า ด้วยดวงตาที่สาดประกาย หลังจากลังเลอยู่ชั่วขณะ เขาก็พยักหน้า
บุรุษผู้นั้นยิ้มออกมา จากนั้นก็โบกสะบัดมือ ทำให้ขวดสุราลอยมายังเมิ่งฮ่าว เขาคว้าจับมันไว้ โดยไม่ลังเล ดื่มลงไปคำใหญ่
ขณะที่สุราไหลลงไปในลำคอ ความรู้สึกว่ากำลังถูกเผาไหม้ก็ระเบิดออกมา ราวกับถูกไฟเผา ทำให้พื้นฐานฝึกตนของเมิ่งฮ่าวโคจรหมุนวนอย่างรวดเร็ว
“เจ้าเด็กน้อยช่างโลภนัก แต่ก็ไม่เป็นไร ข้าจะคิดว่าเป็นค่าเดินทางก็แล้วกัน” บุรุษผู้นั้นชี้นิ้วตรงมายังเมิ่งฮ่าว ทำให้ร่างกายเขาสั่นสะท้าน สุราคำใหญ่ที่อยู่ในร่างเขาก่อตัวขึ้นมาเป็นบางอย่าง ที่เหมือนกับแกนสีทองของเขา เส้นใยแห่งปราณสุราเริ่มกระจายออกมา หลอมรวมเข้ากับแกนสีทองสมบูรณ์ พื้นฐานฝึกตนของเขาไม่ได้ก้าวหน้าขึ้นไป แต่ก็บอกได้ว่าภายในร่างของตนเองในตอนนี้มีบางอย่างที่แตกต่างกันออกไป
“แกนสุราภายในร่าง จะช่วยให้เจ้าสามารถใช้ปราณกระบี่เริงระบำของข้าได้สองครั้ง มันสามารถกำจัดทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ต่ำกว่าขั้นเซียนได้”
ด้วยเช่นนั้น ขวดสุราก็ลอยกลับเข้าไปอยู่ในมือของบุรุษผู้นั้น มันหันหลังและก้าวเดินออกไปจากก้อนศิลาขนาดหนึ่งร้อยจ้างนี้ เดินตรงไปยังดินแดนอันกว้างใหญ่ที่ก่อตัวขึ้นมาจากศิลาเซียน
ขณะที่มันก้าวเท้าเข้าไปในความว่างเปล่า มันก็ถอนหายใจและกล่าวว่า “เจ้าถามว่าจะได้พบกับข้าอีกเมื่อไหร่…? ข้าได้ค้นหาเจ้ามาตลอดสามพันปี…”
เสียงนั้นดังก้องออกมาพร้อมกับความโศกเศร้าอย่างที่ไม่อาจจะพูดออกมาได้ และเต็มไปด้วยความโดดเดี่ยวอย่างที่ยากจะอธิบายออกมา
จิตใจเมิ่งฮ่าวหมุนเคว้งคว้าง ในทันใดนั้น ก็สัมผัสได้ถึงวิชากระบี่อยู่ในจิตใจ มันถูกประทับอยู่ในรูปแบบของสัญลักษณ์เวทซึ่งเขาไม่เข้าใจ แต่ก็บอกได้ว่าเขาสามารถโคจรพื้นฐานลมปราณ เพื่อปลดปล่อยปราณสุราที่อยู่ภายในแกนสีทองออกมาได้ ซึ่งสามารถทำเช่นนี้ได้สองครั้ง เพื่อทำให้ตราประทับนี้ระเบิดพลังออกมา
ขณะที่บุรุษผู้นั้นมุ่งหน้าตรงไปยังที่ห่างไกล ฉับพลันนั้นเมิ่งฮ่าวก็ร้องตะโกนออกมา “ผู้อาวุโส, ข้าขอทราบนามอันยิ่งใหญ่ของท่าน?!”
“หานซาน”
เสียงของมันดังก้องออกมา เต็มไปด้วยความครุ่นคิด มันถอนหายใจและจากนั้นก็หายเข้าไปในความว่างเปล่า เมิ่งฮ่าวยืนอยู่ที่นั่น โค้งตัวลงต่ำให้กับทิศทางนั้น
หลังจากที่เวลานานผ่านไป เมิ่งฮ่าวก็ยืดตัวตรง ก้อนศิลาขนาดหนึ่งร้อยจ้างที่เขายืนอยู่ กระแทกเข้าไปยังเกราะป้องกัน ผ่านเข้าไปในดินแดนขนาดใหญ่ ที่ก่อตัวขึ้นมาจากศิลาเซียน ที่นั่นตรงเบื้องหน้าเมิ่งฮ่าวเป็นอาณาจักรที่มีขนาดกว้างใหญ่ไพศาล
Read »

Copyright © 2015 ผนึกสวรรค์ สยบมาร สะท้านเทพ

Designed by Templatezy | Distributed By Gooyaabi Templates