วันอังคารที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2560

ตอนที่ 9 : สิ้นสุดความอดทนและการทำลายล้าง

Posted By: wuxiathai - 00:02
ด้วยการใช้วิชานี้ที่ระดับขั้นสาม ช่วยให้จ้าวอู่กังมีความแข็งแกร่ง และความเร็วเพิ่มมากขึ้น ด้วยรอยยิ้มที่ดูน่ากลัว มันกระโจนเข้าใส่เมิ่งฮ่าว กรงเล็บอันแหลมคม ส่องประกายภายใต้แสงอาทิตย์
มันยิ้มด้วยความมั่นใจว่า ความกลัวจะช่วยชะลอความเร็วของเมิ่งฮ่าวไว้ อาจจะหนีไปได้ชั่วขณะ แต่ไม่มีทางรอดเด็ดขาด
“วิ่ง” จ้าวอู่กังหัวเราะด้วยรอยยิ้มที่ดุร้าย พลังเสียงของมันดังกระหึ่มไปทั่ว “เจ้าไม่มีทางหนีรอดจากจ้าวอู่กังผู้นี้ได้”
เมื่อจ้าวอู่กังได้กลายร่างเป็นสัตว์อสูร เมิ่งฮ่าวได้หนีขึ้นไปข้างหน้า เขาเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นด้วยหางตา และความรู้สึกประหลาดใจก็แสดงออกทางสีหน้า แต่หลังจากนั้นเหมือนว่าได้คิดถึงบางอย่าง สีหน้าก็เปลี่ยนไป การกลายร่างนี้ดูแล้วเหมือนกับสัตว์อสูร ที่ถูกระเบิดโดยกระจกทองแดงเป็นอย่างยิ่ง ในความเป็นจริง จ้าวอู่กังมีขนที่ยาวและดกหนาบนร่างมากกว่าสัตว์อสูรตัวอื่นๆ ที่เคยเจอมาซะอีก
เมิ่งฮ่าวมองไปที่จ้าวอู่กัง อย่างระมัดระวังด้วยสีหน้าแปลกๆ ขนสีทองที่ดกหนาทำให้มัน ดูเหมือนเป็นราชาของสัตว์อสูร
เมื่อจ้าวอู่กังมองเห็นสีหน้าของเมิ่งฮ่าว มันเกิดความรู้สึกประหลาดใจ เมื่อมันก้าวเข้าสู่ขั้นสามของการรวบรวมลมปราณ มันได้พยายามฝึกการเปลี่ยนร่างมาหลายครั้ง แต่นี่เป็นครั้งแรกที่ได้เปิดเผยให้บุคคลอื่นเห็น สีหน้าแปลกๆ ของเมิ่งฮ่าว ทำให้มันรู้สึกโกรธ จนต้องส่งเสียงร้องคำรามออกมา แววตาสังหารปรากฎขึ้นในดวงตา
“ข้าคิดว่า…เจ้าคงจะชอบกระจกทองแดงบานนี้นะ” เมิ่งฮ่าวกล่าว มองดูจ้าวอู่กังในร่างสัตว์อสูร พุ่งเข้ามาด้วยความเร็วที่เพิ่มขึ้น เขาตระหนักดีว่าต้องรักษาระยะห่างไว้ จึงก้าวถอยหลังไปหลายก้าวพร้อมกับยื่นมือขวาเข้าไปในถุงเก็บสมบัติ ทันใดนั้นกระจกทองแดงก็ปรากฎขึ้น ด้วยสีหน้าแปลกๆ ที่ยังคงปกคลุมอยู่บนใบหน้า เขาส่องกระจกไปบนร่างที่เต็มไปด้วยขนสีทองของจ้าวอู่กัง
ทันทีที่กระจกเริ่มส่องประกาย เมิ่งฮ่าวรู้สึกถึงคลื่นความร้อนที่เขาไม่เคยรับรู้มาก่อน นี่เป็นคลื่นความร้อนที่มีพลังแข็งแกร่งมากกว่าที่เคยรู้สึก ในการเผชิญหน้ากับสัตว์อสูรตัวอื่นๆ ราวกับว่ากระจกมีความกระหายที่จะปลดปล่อยพลังออกมามากกว่าครั้งก่อนหน้านี้ ชั่วขณะนั้นแหล่งพลังลมปราณที่มองไม่เห็น ก็ระเบิดออกมาจากกระจกพุ่งตรงออกไป
จ้าวอู่กังกระโจนตรงมาที่เมิ่งฮ่าว ทั่วร่างเต็มไปด้วยความดุร้ายและแผ่รังสีสังหาร ทันใดนั้น มันก็รู้สึกแปลกประหลาด เหมือนกับว่ามีพลังลมที่รุนแรงเข้ามาอยู่ในร่าง ราวกับว่าลมปราณในร่างพยายามที่จะฉีกทำลาย อวัยวะภายในเพื่อที่จะพุ่งออกไปข้างนอก
สีหน้าจ้าวอู่กังเปลี่ยนไป รู้สึกถึงความเจ็บปวดอย่างแสนสาหัสภายในร่างตนเอง ปะทุขึ้นอย่างรวดเร็วด้วยระดับที่วิกฤติ โดยไม่ต้องคิด มันบังคับให้พลังลมปราณในร่างไหลไปรวมกันที่จุดตันเถียนที่ท้องน้อย ป้องกันไม่ให้พลังลมปราณไหลออกจากร่าง
ลมปราณมีพลังแข็งแกร่งที่ดูเหมือนว่า จะพยายามหาจุดที่อ่อนแอที่สุดในร่าง เพื่อจะไหลออกมา เมื่อมันบังคับให้ลมปราณไหลไปที่จุดตันเถียนใกล้ท้องน้อย พลังลมปราณก็พุ่งตรงไปที่ก้นทันที และทันใดนั้นก็เกิดการระเบิดอย่างรุนแรง ความเจ็บปวดเหมือนลำไส้ถูกบิด จ้าวอู่กังแผดร้องออกมาอย่างลืมตัว โลหิตสาดกระจายไปทั่ว
มันไม่เคยแผดร้องแบบนี้มาก่อนในชีวิต เนื่องจากไม่เคยพบเจอประสบการณ์แบบนี้มาก่อน ร่างกายเริ่มสั่นเทิ้ม จ้องไปที่เมิ่งฮ่าวด้วยความเกรี้ยวกราด ดวงตาแดงกร่ำเต็มไปด้วยรังสีสังหาร
“ศิษย์พี่จ้าว” เมิ่งฮ่าวกล่าวด้วยหัวใจเต้นแรง นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้ต่อสู้กับคนอื่น “ทำไมเราไม่จบทุกสิ่งในที่นี้? ถ้าท่านไม่สร้างความลำบากใจให้กับข้า ข้าก็จะไม่สร้างความลำบากใจแก่ท่าน จบลงด้วยความยินดีทั้งสองฝ่าย” เขากำกระจกในมือไว้แน่น เสียงแผดร้องของฝ่ายตรงข้ามสร้างวุ่นวายใจให้แก่เขา เขารับมันไว้ไม่ได้ ยิ่งไปกว่านั้น นี่เป็นบุคคลที่มีโลหิตและวิญญาณ มิใช่สัตว์อสูร
“เจ้าเด็กบัดซบ!” จ้าวอู่กังตะโกนตอบ “วันนี้ ข้าไม่เพียงแต่จะฆ่าเจ้า ข้าจะลงไปจากภูเขาลูกนี้ ค้นหาพ่อแม่ญาติพี่น้องของเจ้า และฆ่าพวกมันด้วย! ข้าจะทำลายพวกเจ้าทั้งตระกูล!” ความเจ็บปวดทำให้มันเริ่มใกล้บ้า ดวงตาลุกโชน และด้วยเสียงคำราม มันพุ่งกระโจนเข้าใส่เมิ่งฮ่าว กรงเล็บแหลมคมเตรียมที่จะฉีกเขาเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย
เมิ่งฮ่าวเป็นเพียงนักศึกษา และไม่เคยต่อสู้กับใครมาก่อน แต่เขาก็มีความกล้าหาญ เมื่อได้ยินจ้าวอู่กังพูดเช่นนั้น ดวงตาก็ลุกโชนไปด้วยรังสีสังหาร ไร้ประโยชน์ที่จะพูดกับคนที่ต้องการฆ่าเขา เขาทนไม่ได้ที่จะได้ยินเสียงกรีดร้องโหยหวน แต่เมื่อได้ยินวาจาจ้าวอู่กังเช่นนั้น ไม่ว่าใครก็ไม่สามารถทนรับได้ เขาก้าวถอยหลังไปสองสามก้าว และยกกระจกขึ้นโดยไม่สะทกสะท้าน
เมื่อจ้าวอู่กังพุ่งมาถึง มันรู้สึกว่ามีบางอย่างคำรามมาที่มัน อีกครั้งที่พลังลมปราณอันน่ากลัวไหลเข้าไปในร่างมัน จากประสบการณ์ที่เพิ่งเจอมา มันปกป้องตัวเองด้วยการผนึกลมปราณไม่ให้รั่วไหล แต่ในขณะที่มันกำลังเชื่อมั่นในความสำเร็จที่เกิดขึ้น เสียงกึกก้องก็ดังขึ้น พลังลมปราณได้ระเบิดพุ่งออกมาจากหูด้านซ้ายของมัน
ความเจ็บปวดเพิ่มขึ้นเป็นหลายเท่าจากครั้งแรก มันส่งเสียงร้องโหยหวน ยากที่จะอธิบายเป็นคำพูดได้ จากนั้นหูด้านขวาก็ระเบิดขึ้น โลหิตสาดพุ่งกระจาย
มันรู้สึกเหมือนกับว่าศีรษะถูกแยกออก ใบหน้าเริ่มซีดขาว มันจ้องไปที่เมิ่งฮ่าว ใบหน้าเต็มไปด้วยความโหดเหี้ยมชั่วร้าย
“ข้าจะฆ่าเจ้า กำจัดให้หมดทั้งตระกูล! ข้าจะให้พวกมันรับรู้ถึงความเจ็บปวดแบบนี้บ้าง จากนั้นจะให้พวกมันร้องโหยหวนจนตาย!” ด้วยความเจ็บปวดและหูหนวก มันพุ่งตรงเข้าใส่เมิ่งฮ่าว ด้วยความมุ่งมั่นอย่างบ้าคลั่งที่จะเข่นฆ่าปฏิปักษ์
“ข้าอุตส่าห์ไว้หน้าเจ้า แต่เจ้ากลับไม่สนใจ!” เมิ่งฮ่าวกล่าว อ้าปากค้าง เขาไม่เคยเห็นกระจกระเบิดหูมาก่อน มองดูใบหน้าที่โหดเหี้ยมของจ้าวอู่กัง เขาก้าวถอยหลังออกไปอีก และส่องกระจกไปบนร่างของมันอีกครั้ง
“เมิ่งฮ่าว!!!” จ้าวอู่กังกรีดร้อง หูขวาของมันระเบิดเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ใบหน้าไม่มีเค้าความดุร้ายอีกต่อไป มีแต่ความประหลาดใจและความหวาดกลัวมาแทนที่ มันหันหลังวิ่งหนีออกไป เร็วเท่าที่จะเร็วได้ในชีวิตของมัน ลืมทุกอย่างที่เคยพูดไว้กับเมิ่งฮ่าว แต่ความกลัวในใจทำให้มันคิดไปว่าไม่สามารถหนีไปได้ ในที่สุดมันก็รวบรวมความคิดต้องการสังหารกลับมาอีกครั้ง มันต้องสร้างความเจ็บปวดให้กับครอบครัวของเมิ่งฮ่าวอย่างสาสม และต้องยึดเอากระจกทองแดงนั่นมาให้ได้
แต่ว่าในขณะที่มันวิ่งหนีไป เป็นครั้งแรกที่กระจกได้ลอยออกไปจากมือของเมิ่งฮ่าว เหมือนกับว่ามันถูกกระตุ้นให้เกิดความสนใจ มันลอยตามจ้าวอู่กังไป ส่องแสงโจมตีไปหลายครั้ง สายตาจ้าวอู่กังเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง
เหมือนกับว่าพลังที่เหลือเชื่อได้ไหลเข้าไปในร่างของมัน มันกรีดร้องอย่างควบคุมตัวเองไม่ได้ หนีไปก็ไม่ได้ มีบางอย่างโยนมันขึ้นไปในอากาศ และ หูซ้าย หูขวา หน้าอก รวมถึงขาทั้งสองก็เกิดการระเบิดขึ้นอย่างรุนแรง
เมื่อพลังลมปราณระเบิดออกมา กลุ่มหมอกโลหิตก็กระจายไปทั่ว ในชั่วระยะเวลาหายใจเข้าออกสิบครั้ง สองตาจ้าวอู่กังเริ่มมืดลง ร่างของมันค่อยๆ เปลี่ยนจากรูปแบบของสัตว์อสูร กลายเป็นคนปกติ ขนสีทองหายไป และเหมือนว่าเป็นเพราะเหตุนี้ ทำให้กระจกทองแดงหมดความสนใจ ลอยกลับไปที่เมิ่งฮ่าว ร่างจ้าวอู่กังร่วงลงไปกองที่พื้น
ทั่วร่างเต็มไปด้วยโลหิต สองตาจ้าวอู่กังเต็มไปด้วยความหวาดกลัวและความสิ้นหวัง ใครก็ตามที่มองเห็นภาพนี้ ตัวต้องสั่นสะท้านเป็นแน่
เมิ่งฮ่าวต้องสูดลมหายใจเข้าไปอย่างหนาวเหน็บ เมื่อมองไปที่ร่างไร้วิญญาณของจ้าวอู่กัง กระจกทองแดงลอยกลับมาในมือของเขา ขณะที่ร่างเขากำลังสั่น ดวงตาเต็มไปด้วยความกลัวและความเลื่อมใส
เมื่อเห็นสัตว์ป่าบางตัวระเบิด มันไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอันใด แต่ครั้งนี้มันเป็นบุคคลที่มีเลือดเนื้อและวิญญาณ เมื่อเห็นโลหิตกระจายไปทุกแห่งหน เขาก็สั่นสะท้าน กลิ่นคาวแห่งความตายบนกระจก ทำให้เขาอยากจะโยนมันทิ้งไป เขาคลายมือและโยนมันลงบนพื้น
เขาเป็นแค่นักศึกษา ในตอนแรกก็รู้สึกว่ากระจกบานนี้น่าสนใจดี แต่ตอนนี้มันดูน่ากลัว และแตกต่างจากคำสอนของขงจื๊อที่เมิ่งฮ่าวยึดถือมาตลอด
เขายืนนิ่งเงียบอยู่เป็นนาน จิตใจเต้นรัว ความขุ่นมัวลุกโชนในดวงตา เขายังคงเป็นนักศึกษาจากเมืองหยุนเจี๋ย เขาพูดความสัตย์จริงกับทุกคน และไม่เคยต่อสู้ หรือสังหารใครมาก่อน มันเป็นนิสัยที่ฝังลึกอยู่ในจิตใจ และไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้โดยง่าย เมื่อเขาไตร่ตรองเรื่องราวที่เพิ่งเกิดขึ้น จิตใจก็ต่อสู้กันเอง
“ลัทธิขงจื๊อมุ่งเน้น มารยาท ความสุข ความเมตตา และ ความยุติธรรม การค้นหาความเป็นจริง การละเว้นจากการฆ่า แต่สำนักนี้กล่าวว่า ‘ผู้เข้มแข็งกลืนกินผู้อ่อนแอ’ ตอนนี้ข้าเริ่มเข้าใจถึงความจริงในคำกล่าวนั้น แต่ในการปฏิบัติจริงช่างแตกต่างกันยิ่งนัก…” เมิ่งฮ่าวตัวสั่นด้วยความตกใจ แม้เพียงแค่คิดไปถึงสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้น หลังจากเวลาผ่านไปเนิ่นนาน เขาถอนหายใจยาว และเริ่มเดินจากไป
แต่เมื่อเดินไปได้ไม่กี่ก้าว เขาก็ขบฟัน หันหลังกลับ เดินไปที่ร้างไร้วิญญาณของจ้าวอู่กัง หยิบถุงเก็บสมบัติขึ้นมา จากนั้นก็รวมลมปราณแปลงเป็นเปลวไฟแห่งงู วางไปบนร่างไร้วิญญาณนั้น
เปลวไฟเผาไหม้ร่างนั้นไม่หมดสมบูรณ์ ดังนั้นเมิ่งฮ่าวจึงกินยาเม็ดรวบรวมลมปราณเข้าไป จากนั้นก็ยิงเปลวไฟแห่งงูไปอีกสามครั้ง ในไม่ช้าร่างไร้วิญญาณก็ไหม้จนไม่สามารถแยกแยะได้
เขาสูดลมหายใจโคจรลมปราณ ขบฟันอีกครั้ง จากนั้นก็พุ่งเปลวไฟแห่งงูไปอีกสองครั้ง จนร่างนั้นกลายเป็นขี้เถ้าไปในที่สุด
เพ่งมองไปที่กระจกบนพื้น เขากัดฟันแน่น เดินไปหยิบมันขึ้นมา กำไว้แน่น
เมิ่งฮ่าวจากไปด้วยความรู้สึกกลัวและขัดแย้ง เดินกลับไปที่ถ้ำแห่งเซียนด้วยความเร็วเท่าที่จะเป็นไปได้ เขานั่งในถ้ำด้วยความงุนงงเป็นเวลานาน จนในที่สุดก็เริ่มเคลื่อนไหวอีกครั้ง เปิดถุงเก็บสมบัติของจ้าวอู่กังออก เมื่อเขามองเข้าไปข้างใน สายตาก็ลุกโชน อารมณ์ที่มืดมัวจากการสังหารคนครั้งแรกในที่สุดก็เปลี่ยนไป
“เจ้าผู้นี้ช่างร่ำรวยดีแท้” เขาอุทานออกมา สูดลมหายใจเข้าลึกๆ ในถุงประกอบด้วยหินลมปราณแปดก้อน ยาเพิ่มลมปราณเจ็ดเม็ด และชิ้นส่วนกระดูกที่มีสัญญลักษณ์แปลกๆ ปิดไว้
เขามองไปที่ชิ้นส่วนกระดูก จากนั้นก็โยนไปด้านข้างทันที มันมีการอธิบายถึงวิธีการฝึกวิชาร่างแปลงปีศาจ เขาไม่กล้าแม้แต่จะแตะต้องมัน เขาไม่ต้องการที่จะเปลี่ยนเป็นร่างแปลงปีศาจ และถูกทำลายด้วยกระจกทองแดงของตัวเอง
เมื่อเขาโยนกระดูกไปด้านข้าง ทันใดนั้นเขาก็นึกขึ้นได้ถึงกระบี่บิน เขารีบเดินออกจากถ้ำในทันที และเริ่มค้นหาในราวป่า ในที่สุดก็ค้นพบกระบี่เล่มเล็กๆ สีขาว จึงนำกลับเข้าถ้ำไปตรวจสอบดู
เมิ่งฮ่าวไม่สามารถหาวิธีไกล่เกลี่ยความแตกต่าง ระหว่างวิถีแห่งเซียนและเส้นทางของขงจื๊อได้ เขาจึงตัดสินใจหยุดคิดถึงเรื่องเหล่านี้ บางทีเขาอาจจะเข้าใจมันในสักวันหนึ่ง แต่ตอนนี้ สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือการหาทางมีชีวิตอยู่ในสำนักแห่งนี้
สายตาเต็มไปด้วยการตัดสินใจ เขาหยิบหินลมปราณออกมา จากนั้นก็ดึงกระจกทองแดงออกมาด้วย และวางมันลงข้างกาย มองไปสักพัก
“ศิษย์พี่จ้าวต้องการสังหารข้า” เขาพึมพำ “ข้าจำเป็นต้องตอบโต้ ข้าพยายามที่จะทำเรื่องให้เรียบร้อย แต่เขาก็ปฏิเสธมัน ข้าสังหารใครบางคน แต่ข้าก็พยายามใช้เหตุผลแล้ว ข้าพยายามที่จะเป็นคนดีมีเมตตา แต่เขาก็แส่หาที่ตายเอง
กระจกมีกลิ่นเหม็นของโลหิต เมื่ออยู่ในมือของคนชั่ว มันก็ต้องเป็นเครื่องมือของคนชั่วร้าย แต่เมื่ออยู่ในมือข้า มันจะต้องแตกต่างออกไป ข้ามีความเมตตาของขงจื๊อในจิตใจ และนี่เป็นของวิเศษของข้า มันจะต้องแตกต่างอย่างแน่นอน” เขามองลงไปที่กระจก และ สูดลมหายใจเข้าลึกๆ
“มันต้องไม่เพียงแค่ระเบิดสิ่งอื่นๆ และต้องไม่ค้นหาแต่โลหิต ในอนาคต ข้าจะใช้มันอย่างระมัดระวัง” เขาพึมพำกับตนเองแบบนี้สักพัก จากนั้นก็เงยหน้าขึ้น คิดถึงความหวังและความลับอย่างอื่นของกระจก
“สำเร็จหรือล้มเหลว เราจะได้รู้กัน ถ้ามันสำเร็จ การฝึกตนของข้าเมิ่งฮ่าวก็จะทะยานดุจติดปีก” โดยไม่ลังเล เมิ่งฮ่าวดึงแกนสัตว์อสูรออกมา พร้อมด้วยหินลมปราณครึ่งก้อน จากนั้นก็วางไปบนกระจก เขารอด้วยความมุ่งหวังที่กระวนกระวาย
เวลาผ่านไปชั่วธูปไหม้ไปครึ่งดอก แต่ก็ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้นแม้แต่น้อย แกนสัตว์อสูรไม่ได้เปลี่ยนไป หินลมปราณก็ไม่ได้หายไป ยังคงมีแค่หนึ่งแกนสัตว์อสูรเหมือนเดิม
เมิ่งฮ่าวคิ้วขมวด เขาเดินวนไปมารอบถ้ำสักพัก ก่อนที่จะมองกลับไปที่กระจก
“มันไม่น่าใช่ เดือนที่แล้วมันสร้างขึ้นมาสอง…” เขาจ้องไปที่หินลมปราณบนกระจก จมดิ่งในความคิด หลังจากนั้นสักครู่ เขาก็ล้วงมือเข้าไปในถุงเก็บสมบัติ ดึงหินลมปราณก้อนอื่นออกมาอีก แล้วก็วางไปบนกระจกอย่างระมัดระวัง
เกือบจะทันทีที่เขาวางหินลมปราณลงไป แสงสีดำก็กระพริบไปมาบนผิวของกระจก และพื้นผิวกระจกเริ่มเปลี่ยนไปจนมองคล้ายพื้นผิวทะเลสาป หินลมปราณสองก้อนจมลงไป และแสงสีดำเป็นระลอกคลื่น ก็รวมตัวปกคลุมแกนสัตว์อสูร จากนั้นข้างๆ แกนสัตว์อสูรก้อนแรก ก็ปรากฎก้อนที่สองขึ้น
เมิ่งฮ่าวมึนงง ถึงแม้ว่าเขาได้เตรียมตัวเตรียใจไว้ก่อนแล้ว แต่ก็ยังคงผวา หลังจากที่เวลาผ่านไปครู่หนึ่ง เขาหยิบแกนสัตว์อสูรทั้งสองก้อนขึ้นมา และตรวจสอบมันด้วยความตื่นเต้น
“มันเป็นความจริง! ช่างลึกซึ้งอะไรอย่างนี้!” เขาเริ่มหายใจแรงขึ้น และใช้เวลาสักพักก่อนที่จะดึงตัวเองกลับมา ทันใดนั้นทุกสิ่งก็ดูเหมือนเป็นไปได้ เขาสูดลมหายใจเข้าลึกๆ จากนั้นก็ทดลองอีกครั้ง
หินก้อนที่หนึ่ง ก้อนที่สอง…ก้อนที่เก้า เขายังเหลือแค่อีกก้อนเดียว เบื้องหน้าเขามีแกนสัตว์อสูรสี่ก้อน ถ้านับรวมกับก้อนดั้งเดิมก็เป็นห้า
หินส่งกลิ่นหอมหวานโชยไปทั่วในอากาศ ทำให้เขารู้สึกมึนเมา ใบหน้าประดับด้วยรอยยิ้มโง่งม เขาตระหนักดีว่านี่เป็นความมั่งคั่งที่สุดที่เขาเคยมีในชั่วชีวิตของเขา มันเป็นสิ่งที่ศิษย์สายนอกของสำนักทั้งหมดไม่มีวันได้พบเห็นมาก่อน
เขาตื่นเต้นไปจนกระทั่งตกดึกในคืนนั้น กำแกนสัตว์อสูรวางลงบนลิ้น แล้วก็กลืนมันลงไป หนึ่งชั่วยามผ่านไป ลืมตาขึ้นมา จากนั้นก็กลืนก้อนอื่นลงไป
เขาไม่เคยทำอะไรที่ฟุ่มเฟือยมาก่อน ด้วยเวลาที่ดูเหมือนจะไร้ที่สิ้นสุด พลังลมปราณของแกนสัตว์อสูรทั้งสองก้อน ได้แผ่กระจายไปทั่วร่างของเขา จนกระทั่งรุ่งอรุณมาเยือนอีกครั้ง
ร่างของเขาสั่นสะท้าน สิ่งปฏิกูลในร่างถูกขับออกมาจากรูขุมขน เมื่อเขาลืมตาขึ้น สองตาก็ส่องประกายแวววาว
“ขั้นสามของการรวบรวมลมปราณ!” แต่เมิ่งฮ่าวยังคงไม่พึงพอใจ เขามองลงไปยังยาสามเม็ดที่เหลือ หยิบมากลืนกินลงไปหนึ่งเม็ด จนถึงเช้าตรู่ของอีกวัน เขาก็ได้กินแกนสัตว์อสูรทั้งหมดลงไป พลังการฝึกตนของเขาอยู่ในระดับสูงสุดของขั้นสามของการรวบรวมลมปราณ
สำหรับยาเม็ดเพิ่มลมปราณทั้งแปดที่มีอยู่ มันไม่ได้มีประโยชน์มากมายเท่าไหร่ สำหรับพลังการฝึกตนของเมิ่งฮ่าวในตอนนี้ ถึงแม้จะกินลงไปทั้งหมด ก็ไม่ได้ช่วยอะไรให้ดีขึ้น ยาเม็ดลมปราณก็ไม่น่าจะมีผล เนื่องจากต้องรอให้สำนักแจกเดือนละครั้ง เขาสงสัยว่าต้องกระทำการบางอย่างกับแกนสัตว์อสูรน่าจะดีกว่า
“จำนวนเล็กน้อยก็ไม่มีผล แม้แต่จะกินไปเป็นโหล มันก็ยังไม่เกิดผลเท่าใดนัก” เมิ่งฮ่าวปิดตาลง เพ่งสมาธิไปที่การโคจรลมปราณในร่าง มันไม่ใช่กระแสลมปราณอีกต่อไปแล้ว แต่มันได้กลายเป็นแม่น้ำแห่งลมปราณ
ถึงมันไม่ใช่แม่น้ำที่ใหญ่นัก แต่มันก็กว้างใหญ่กว่ากระแสลมปราณอย่างแน่นอน จากการสำรวจทั่วร่างกาย มันทำให้เขารับรู้ถึงพละกำลัง เขารู้สึกถึงพลังลมปราณมหาศาลไหลเวียนไปทั่วร่าง
เมื่อเมิ่งฮ่าวเปรียบเทียบระดับลมปราณในร่างกับเมื่อวาน เหมือนกับว่าเขาได้เกิดใหม่ ก่อนหน้านี้เขาเป็นผู้ฝึกตนระดับต้นผู้อ่อนแอ ที่ใครๆ ก็สามารถทำร้ายเขาได้ แต่เวลานี้ เขาเป็นศิษย์ในกลุ่มระดับสามที่สามารถไปอยู่ในเขตส่วนรวมได้แล้ว พลังการฝึกตนของเขาสูงจนสามารถเบียดเข้าไปเป็นหนึ่งในกลุ่มของผู้มีพลังมากที่สุดได้
เขาโบกสะบัดมือขวาด้วยความตื่นเต้น ทันใดนั้นเปลวไฟแห่งงูขนาดยาวเท่าแขน ก็ส่งเสียงคำรามราวกับมีชีวิต พลังความร้อนปกคลุมไปทั่วทั้งถ้ำ เปลวไฟแห่งงูที่ดุร้าย เต็มไปด้วยรังสีอำมหิต พุ่งกระจายเป็นระเบิดเพลิง
ถ้าเขาได้ต่อสู้กับจ้าวอู่กังด้วยระดับพลังในตอนนี้ เปลวไฟแห่งงูที่พุ่งออกมา ก็สามารถทำให้มันบาดเจ็บสาหัสถึงขั้นตายได้

About wuxiathai

Organic Theme is officially developed by Templatezy Team. We published High quality Blogger Templates with Awesome Design for blogspot lovers.The very first Blogger Templates Company where you will find Responsive Design Templates.

Copyright © 2015 ผนึกสวรรค์ สยบมาร สะท้านเทพ

Designed by Templatezy | Distributed By Gooyaabi Templates