“ยังมีเวลาอีกตั้งหนึ่งเดือน แต่ในช่วงหนึ่งเดือนนี้ ข้าต้องต่อสู้เพื่อที่จะเพิ่มระดับของการรวบรวมลมปราณให้ได้อีกหนึ่งขั้น” เขาหยิบกระจกทองแดงใส่กลับไปในถุงเก็บสมบัติอย่างระมัดระวัง เขารู้ดีว่าต้องไม่ให้ใครรู้ถึงความสามารถของมัน มิเช่นนั้นเขาคงเก็บรักษามันไว้ไม่ได้ จนถึงขั้นเสียชีวิต ถ้ามีใครมาแย่งชิงมันไป
เขามองลงไปที่ตัวเอง เห็นสิ่งปฏิกูลที่เคลือบอยู่ทั่วร่าง ในขณะที่กำลังตื่นเต้น เขาเกือบลืมไปว่าทั้งตัวเขาเต็มไปด้วยสิ่งสกปรก แต่ตอนนี้เขาระงับสติอารมณ์ลงได้แล้ว เขาจึงเดินออกไปนอกถ้ำ ไปล้างคราบปฏิกูลที่ลำธารใกล้ๆ ถ้ำแห่งเซียน
เมื่อถึงเวลากลับ ท้องฟ้าก็เริ่มสว่าง เขาหยิบตำรารวบรวมลมปราณออกมา และเริ่มศึกษามันอีกครั้ง
“เมื่อถึงขั้นสองของการรวบรวมลมปราณ ก็ใช้ความสามารถแห่งเซียนได้ เมื่อถึงขั้นห้า ก็สามารถเรียนรู้วิธ๊การเดินบนอากาศ ซึ่งเป็นความสามารถแห่งเซียนที่คล้ายกับการเหาะ” เมิ่งฮ่าวปิดตาลง รู้สึกมุ่งหวังอย่างแรงกล้า ที่จะเรียนรู้การเดินบนอากาศ ในขั้นห้าของรวบรวมลมปราณ
ในทันใดนั้น เขาก็รู้สึกว่าอุณหภูมิได้เพิ่มสูงขึ้น เต็มไปทั้งห้องในถ้ำแห่งเซียน จากนั้นเปลวไฟก็ปรากฎขึ้นบนมือขวาของเขา ด้วยความรู้สึกแบบมนุษย์ธรรมดา เขารู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก จนเปลวไฟดับลงไป
เมิ่งฮ่าวรีบระงับสติ และโคจรลมปราณในร่าง แต่น่าเสียดาย จนถึงยามบ่าย หลังจากพยายามไปสิบกว่าครั้ง เขาก็ยังทำอะไรไม่ได้มากไปกว่า สร้างประกายไฟได้เพียงเล็กน้อย หลังจากนั้นพลังลมปราณในร่างก็กระจัดกระจาย ไม่สามารถรวมตัวกันได้
“มันยากที่จะใช้วิชาเปลวไฟแห่งงู” เมิ่งฮ่าวกล่าวพร้อมขมวดคิ้ว แต่เขาเป็นคนมีนิสัยดื้อดึง และมิใช่คนที่หมดกำลังใจไปง่ายๆ ดังนั้นเขาจึงฝึกการหายใจไปซักพัก ก่อนที่จะพยายามอีกครั้ง
ราตรีผ่านไป อรุณรุ่งมาเยือนอีกครั้ง เมิ่งฮ่าวพยายามครั้งแล้วครั้งเล่าติดต่อกันสองวัน แต่ก็ล้มเหลวทุกครั้ง จนกระทั่งเขาเริ่มเหนื่อยล้าเต็มที เมื่อลมปราณกระจายหายไป เขาก็พยายามควบคุมการหายใจ และความมุ่งมั่นในดวงตาเขาก็เข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ
“ข้าไม่เชื่อว่า จะไม่สามารถใช้วิชาเปลวไฟแห่งงูได้!” เมิ่งฮ่าวพูดไป ก็ขบฟันไปด้วย ล้วงมือเข้าไปในถุงเก็บสมบัติ หลังจากนั้นแกนอสูรก็ปรากฎขึ้นในมือ
เขารู้ดีว่าถ้ากินแกนอสรูก้อนนี้ไป ถ้าเขามีหินลมปราณมากพอหลังจากนี้ เขาก็จะไม่มีแกนอสูรสำหรับเป็นต้นแบบให้กระจกลอกเลียนแบบได้
“อืม ไร้ประโยชน์ที่จะกังวลในเรื่องแบบนี้ อย่างเลวร้ายที่สุด ข้าก็กลับไปในเขตภูเขา เพื่อค้นหาสัตว์อสูรตัวอื่นๆ” เขาลังเลชั่วครู่ จากนั้นก็หย่อนแกนอสูรเข้าไปในปาก ปิดตาลง และเริ่มปรับลมหายใจ พลังลมปราณระเบิดออกภายในร่างกาย ไหลไปในทุกๆ ส่วนของร่าง
เวลาผ่านไป ไม่นานก็เป็นเวลาบ่าย เมิ่งฮ่าวลืมตาขึ้น ส่องประกายเจิดจ้า เขายังอยู่ในระดับขี้นสอง แต่พลังลมปราณของเขาตอนนี้แข็งแกร่งมากขึ้น
“ถ้ามีแกนอสูร สามหรืออาจจะมากกว่าห้า เราก็จะก้าวไปถึงขั้นสามของการรวบรวมลมปราณเป็นแน่” เขารู้สึกผิดหวังเล็กน้อย ตระหนักดีว่า ยิ่งการฝึกตนระดับสูง ก็ยิ่งยากที่จะก้าวข้ามไปได้ แต่เขาก็เต็มไปด้วยความมุ่งหวัง เมื่อเขาคิดถึงกระจกทองแดง เขาก็ยกมือขึ้นไปในอากาศ และกำเป็นหมัดจนแน่น
เมื่อเขาชูกำปั้นขึ้น เปลวไฟก็ปรากฏ แผ่กระจายบนมือขวาของเขา และสร้างเปลวไฟรูปร่างคล้ายงูตัวเล็กๆ ขนาดเท่านิ้วมือ แต่เปล่งประกายและเต็มไปด้วยความร้อน เมิ่งฮ่าวรู้สึกถึงพลังลมปราณในร่างที่ลดลงไปถึงสามในสิบส่วน
ใบหน้าเขาเริ่มซีดขาว แต่มีรอยยิ้ม และประกายตาลุกโชน แสดงถึงความเข้าใจ ในการสร้างเปลวไฟด้วยพลังลมปราณ เขาเดินออกมานอกถ้ำ โบกมือขวา เปลวไฟแห่งงูลุกโชนขึ้น ลอยไปกระแทกต้นไม้ที่อยู่ใกล้ๆ
เกิดเสียงดังขึ้น และต้นไม้ทั้งต้นก็ปกคลุมไปด้วยเปลวไฟ ไม่นานก็พังทลายกลายเป็นเถ้าถ่าน
“ข้าต้องหาโอกาสไปทำแบบนี้ให้เจ้าอ้วนดู มันจะต้องยกย่องข้าแน่ๆ” เขายิ้มกว้าง รู้สึกเหมือนเป็นวีรบุรุษ
ผ่านไปครึ่งเดือน ในระหว่างนั้น เมิ่งฮ๋าวก็ออกไปที่ภูเขาเพื่อค้นหาสัตว์อสูร และฝึกฝนวิชาเปลวไฟแห่งงู เขาใช้ความพยายามอย่างหนัก มากกว่าที่เคยทำตอนเป็นนักศึกษาซะอีก และในไม่ช้าเขาก็มีความชำนาญที่จะใช้มัน พร้อมทั้งสามารถลดพลังลมปราณ แต่ก็ยังต้องใช้เวลาเท่ากับสูดลมหายใจเข้าออกสิบครั้ง ในการก่อให้เกิดเปลวไฟ
เขายังได้ไปที่สำนักสายนอก และแอบใช้กระจกส่องไปที่ร่างของศิษย์บางคน แต่ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น
หลังจากพยายามลองไปหลายครั้ง เมิ่งฮ่าวสรุปได้ว่า กระจกทองแดงบานนี้ ใช้ได้กับสิ่งมีชีวิตที่มีขนเท่านั้น ช่างน่าเศร้านัก แต่กระจกก็ยังคงมีพลังมากกว่าที่เขาตั้งใจไว้
น่าเสียดาย ตั้งแต่ครึ่งเดือนที่ผ่านมา เขาไม่เคยได้เจอกับสัตว์อสูรตัวใดๆ อีกเลย และระดับความก้าวหน้า ของการฝึกลมปราณของเขาก็หยุดนิ่ง แต่ก็ต้องขอบคุณ ทุกครั้งที่เขาฝึกวิชาเปลวไฟแห่งงู ระดับลมปราณเขาก็เพิ่มขึ้นเล็กน้อย ระหว่างช่วงเวลาการฟื้นฟูลมปราณ อย่างไรก็ตาม เขาก็ไม่กล้าที่จะไปฝึกในป่าบนภูเขา เพียงฝึกอยู่ในถ้ำแห่งเซียนเท่านั้น
“ยังมีเวลาอีกตั้งสิบกว่าวัน กว่าจะถึงวันแจกเม็ดยา เราต้องไปที่ภูเขาให้ไกลออกไปอีก” เมื่อตัดสินใจแล้ว เมิ่งฮ่าวก็ออกเดินทางตั้งแต่เช้าตรู่ มุ่งหน้าตรงไปในภูเขาลึกอย่างรวดเร็ว
เขาไม่ได้หยุดพักตลอดช่วงเวลากลางวัน และเมื่อราตรีมาเยือน เขาจำไม่ได้แล้วว่าเดินผ่านภูเขาไปกี่ลูก
ในที่สุด ก็มาถึงตีนเขาของภูเขาสีดำ เขาได้สู้กับสัตว์อสูรรูปร่างคล้ายหมี
ระหว่างการต่อสู้ เขาใช้วิชาเปลวไฟแห่งงู และพลังของกระจกทองแดง ก็เกิดการระเบิดติดต่อกันห้าครั้ง ตามมาด้วยเสียงร้องโหยหวน ดังก้องไปทั่วป่า ครั้นแล้วเจ้าสัตว์อสูรก็ตาย โลหิตสาดกระจายไปทั่ว
เขาเอาแกนอสูรออกมาใส่ถุงเก็บสมบัติ และกำลังจะมุ่งหน้าลึกเข้าไปในเขตภูเขาสีดำ ทันใดนั้น ขนบนร่างเขาก็ตั้งชัน ไม่ไกลออกไปตรงหน้าเขา สัตว์อสูรห้าตัว ซึ่งมีหัวเป็นช้างลำตัวเป็นเสือ ก็ปรากฏขึ้น พวกมันจ้องมองมาที่เขา ด้วยสายตาเย็นยะเยียบ
ด้วยการใช้กระจก เขาสามารถรับมือได้อย่างง่ายดาย เพียงแค่สัตว์อสูรหนึ่งตัวเท่านั้น แต่ทั้งห้าตัว มันเป็นสิ่งที่ยากยิ่งนัก เขาเริ่มถอยหลังไปอย่างช้าๆ มือขวาจับกระจกไว้แน่น
ทันใดนั้น เสียงแผดร้องดังมาจากต้นไม้ ก้องกังวานปกคลุมไปทั้งภูเขาสีดำ มันดังขึ้นเรื่อยๆ จนเหมือนกับมีการระเบิดขนาดใหญ่ เดือดพล่านไปทั่วในอากาศ เมิ่งฮ่าวสีหน้าเปลี่ยนไป และรีบวิ่งออกไปให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้ โดยไม่ลดความเร็วลงแม้แต่น้อย
โชคดีที่สัตว์อสูรห้าตัวนั้นไม่ได้ไล่ตามมา และในที่สุดเขาก็หายไปในภูเขา
“เสียงร้องนั่นช่างคล้ายกับเสียงของท่านลุงซ่างกวนที่ตะโกนออกมา ดูเหมือนว่าจะมีสัตว์อสูรมากมายในภูเขาสีดำแห่งนี้ แล้วก็เป็นสัตว์อสูรระดับสูงด้วย” เมื่อเขาวิ่งไป หันกลับไปมองภูเขาสีดำอีกครั้ง ก็ยิ่งมั่นใจว่ามันเป็นสถานที่อันตรายยิ่งนัก
สิบวันผ่านไปอย่างรวดเร็ว เมิ่งฮ่าวสำรวจไปในภูเขาลูกอื่นๆ โดยไม่ก้าวล้ำเข้าไป ในอาณาเขตของภูเขาสีดำ แต่ก็ไม่พบเจอสัตว์อสูรแม้แต่ตัวเดียว แกนอสูรของหมีอสูรในถุงเก็บสมบัติของเขาก็ดูเหมือนว่าจะมีค่ามากยิ่งขึ้น ดังนั้นเขาไม่ได้กินมันลงไป
และแล้ววันแจกเม็ดยาก็มาถึง เมื่อเสียงระฆังดังไปทั่วในอากาศ เมิ่งฮ่าวก็ออกมาจากถ้ำแห่งเซียน และเข้าสู่อาณาเขตสำนักสายนอก เมื่อเขาจากมาเมื่อเดือนที่แล้ว เขายังอยู่ในขั้นแรกของการรวบรวมลมปราณ และตอนนี้ก็เป็นขั้นสองแล้ว
ถึงแม้ว่าเขายังอยู่ห่างไกลจากขั้นสาม จากการคาดเดาของเขา ถ้ากระจกทองแดงให้ผลตรงตามที่คิดไว้ ความสำเร็จในอนาคตของเขา ก็คงก้าวกระโดดแบบไร้ขอบเขตเป็นแน่
ด้วยความกลัวเหมือนที่เคยสูญเสียในครั้งที่แล้ว เมิ่งฮ่าวเข้าไปในลานแจกเม็ดยาสี่เหลียมจัตุรัส ศิษย์หลายคนมองมาเมื่อเขาผ่านเข้าไป ส่วนใหญ่จะจำเขาได้
การกระทำของเขาเมื่อเดือนที่แล้ว ค่อนข้างน่าตกใจสำหรับศิษย์สำนักสายนอก ถึงแม้ว่าพลังลมปราณของเขาอยู่ในระดับต่ำ และถึงจะผ่านไปหนึ่งเดือน เรื่องที่เกิดขึ้นก็ยังคงมีการพูดถึงอยู่เนืองๆ
ครั้งนี้ ซ่างกวนซิว ไม่ใช่ประธานในการเปิดงาน แต่เป็นบุรุษวัยกลางคนมาแทน เช่นเดียวกับครั้งที่แล้ว เขาแจกยาเม็ดเพิ่มลมปราณ และหินลมปราณครึ่งก้อน แต่ครั้งนี้ไม่ได้แจกยาเฉพาะบุคคล
เมื่อเม็ดยาและหินลมปราณเข้าไปอยู่ในถุงเก็บสมบัติ และเสาลายมังกรเริ่มเป็นสีดำ เมิ่งฮ๋าวก็รีบกลับเท่าที่จะเร็วได้ โดยไม่มีการลังเลแม้แต่น้อย ก่อนจากไป เขามองไปที่ลานกว้าง และได้เห็นผู้ฝึกตนบางคนได้ขวางทางศิษย์สายนอก เพื่อแย่งชิงเม็ดยาและหินลมปราณ
คำพูดของศิษย์พี่หญิงฉื่อ ดูเหมือนว่าจะยังคงมีผล รวมกับการรีบจากไปของเขา ไม่มีใครจงใจที่จะมาแย่งชิงจากเขา มีเพียงแค่สายตาเย็นชาที่จ้องมองมา
เขาถอนหายใจด้วยความโล่งอก เขาตระหนักดีว่า คำพูดของศิษย์พี่หญิงฉื่อ สามารถคุ้มครองเขาในช่วงเวลาสั้นๆ เท่านั้น เดือนนี้ไม่มีปัญหา แต่อีกไม่กี่เดือนถัดไป ต้องมีบางคนที่ต้องการแย่งชิงสิ่งของจากเขา
“ตราบเท่าที่กระจกทองแดงมีผล ในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า เราจะได้เห็นกันว่าใครจะแย่งชิงจากใคร!” เมิ่งฮ๋าวพูดด้วยสายตาลุกวาว จากนั้นก็ก้มหน้าเดินจากไปด้วยความเร็วเพิ่มขึ้น
เขาออกจากอาณาเขตสำนักสายนอก ด้วยความกระตือรือล้น ที่จะได้ลองใช้กระจกทองแดง เดินกลับไปที่ถ้ำแห่งเซียน ด้วยความเร็วเท่าที่จะเร็วได้ เมื่อถึงจุดที่ถ้ำอยู่ไม่ไกลนัก ทันใดนั้นเขาก็หยุดลง ม่านตาหดแคบลง มองไปที่คนที่เพิ่งเดินออกมาจากป่าด้านหน้า
มันใส่ชุดยาวสีเขียว อายุประมาณยี่สิบสี่ถึงยี่สิบห้าปี หน้าตาหยิ่งยโส ยืนจ้องมาที่เมิ่งฮ่าวด้วยสายตาเย็นเยียบ พลังการฝึกตนของมันไม่เหมือนคนทั่วไป มันอยู่ในขั้นสามของการรวบรวมลมปราณ คนผู้นั้นยืนอยู่ที่นั่น กีดขวางทางเดินของเมิ่งฮ่าว
“ศิษย์พี่จ้าว สบายดี?” เมิ่งฮ่าวกล่าว สีหน้าเปลี่ยนพร้อมกับถอยหลังไปสองสามก้าว ขยับแขนขวาไปด้านหลัง เขาเคยเห็นบุคคลผู้นี้มาก่อน ทุกคนในศิษย์สำนักสายนอกรู้จักศิษย์พี่จ้าวอู่กัง มันเป็นคนโหดร้ายไร้ความปราณี
และมีศิษย์ที่มีลมปราณระดับต่ำหลายคน ได้ตายโดยน้ำมือมันในเขตส่วนรวม มันเป็นบุคคลที่ชอบประจบสอพลอ ต่อศิษย์ที่มีระดับขั้นสูงกว่าขั้นสามขึ้นไป แต่ทำตัวเป็นเจ้านายกับพวกขั้นหนึ่ง และขั้นสอง
“เมื่อเจ้ารู้จักข้า” จ้าวอู่กังพูดเสียงเย็นชา “ก็ไม่จำเป็นต้องแนะนำตัวมากมาย ส่งมอบเม็ดยาและหินลมปราณมา” บุคคลอื่นๆ ไม่กล้าแม้แต่สัมผัสตัวเมิ่งฮ่าว แต่จ้าวอู่กังเข้าสังกัดสำนักเมื่อปีที่แล้ว และรู้ดีว่าจะทำอย่างไรถึงจะได้ผล ศิษย์พี่หญิงฉื่อมักจะเก็บตัวสันโดษ ไม่สนใจชีวิตของคนที่มีระดับต่ำกว่านาง
“ศิษย์พี่จ้าว โปรดช่วยยกเว้นข้าซักคน ได้หรือไม่?” เมิ่งฮ่าวพูดพร้อมถอยหลังไปอีกก้าว “ข้า…ข้าเป็นเพียงนักศึกษาธรรมดา และเพิ่งจะได้รับเม็ดยาและหินลมปราณ ได้โปรดให้ข้าได้มีเวลาใช้มันสักเล็กน้อย?” คนผู้นี้มีระดับการฝึกตนสูงกว่าตนเองหนึ่งขั้น ยิ่งไปกว่านั้นเขาก็ยังไม่เคยสู้กับใครมาก่อน หน้าเขาเริ่มซีดขาวด้วยความกลัว
“เจ้าเรียกตัวเองว่านักศึกษา?” มันเยาะเย้ย จากนั้นก็หัวเราะเสียงดัง “อย่าบอกนะว่า เจ้าเคยเป็นนักศึกษามาก่อน ก่อนที่จะมาที่นี่? มา…มาท่องบทกวีให้ศิษย์พี่ฟัง บางทีเจ้าอาจจะทำให้ข้าอารมณ์ดีขึ้น ไม่ต้องทุบตี และหักขาของเจ้าทิ้ง”
“ศิษย์พี่จ้าว…” เมิ่งฮ่าวเริ่มประสาทเสีย และรู้สึกโกรธไปด้วย แต่เขาไม่มีทางเลือก ได้แต่ยืนหยัดต่อไป และพยายามเอ่ยวาจา “ท่านนักปราชญ์กล่าวไว้ว่า ถ้า…”
“หุบปาก ข้าไม่เพียงแต่จะแย่งชิงเม็ดยาและหินลมปราณ แต่รวมถึงถ้ำแห่งเซียนด้วย จากนี้ไป เมื่ออยู่ข้างนอก พวกเราเป็นศิษย์พี่ ศิษย์น้องกัน แต่เมื่ออยู่ในถ้ำ เจ้าต้องเป็นข้ารับใช้ของข้า ถ้าเจ้ายังกล้าพูดอีกแม้แต่คำเดียว ข้าจะช่วยให้เจ้า เข้าใจถึงความหมายของคำว่า ‘ตายดีกว่ามีชีวิตอยู่!’” มันเริ่มเดินตรงเข้ามาหาเมิ่งฮ่าวด้วยสายตาของนักฆ่า
ระดับการฝึกตนของมัน เพิ่งจะย่างเข้าสู่ขั้นสาม และต้องการพลังลมปราณอีกมากมาย ดังนั้นมันต้องการถ้ำแห่งเซียนของเมิ่งฮ๋าวอย่างแน่นอน อย่างไรก็ตาม มันยังคงกลัวศิษย์พี่หญิงฉื่อ ดังนั้นมันจึงคิดวิธีการให้เมิ่งฮ่าวมาเป็นข้ารับใช้ หลังจากเวลาผ่านไป มันมั่นใจว่าศิษย์พี่หญิงฉื่อคงลืมเจ้าผู้นี้ไปแล้ว และมันก็สามารถฆ่าเมิ่งฮ่าวได้โดยไร้กังวล หรือถ้าไม่เช่นนั้น มันก็จะทำให้พิการ แล้วก็บังคับให้ติดสอยห้อยตาม คอยท่องบทกวี เพื่อแสดงถึงความสง่างามของจ้าวอู่กัง
“ถ้ำแห่งเซียนเป็นสมบัติส่วนตัวของศิษย์พี่หญิงฉื่อ ข้าแค่ยืมมาใช้เท่านั้น ศิษย์พี่จ้าว ได้โปรดอย่าได้สร้างความลำบากแก่ข้าเลย” มือขวาที่อยู่ด้านหลังกำลังรวบรวมพลังลมปราณ เขารู้ดีว่าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของจ้าวอู่กัง แต่ถ้ำแห่งเซียน และหินลมปราณมีความสำคัญต่อเขา ไม่มีทางที่เขาจะส่งมอบให้ ดังนั้น ด้วยจิตใจที่เต็มไปด้วยตวามโกรธและความลังเล เขาจึงอ้างชื่อของศิษย์พี่หญิงฉื่อออกไป
“ข้าไว้หน้าเจ้าแล้ว แต่เจ้าก็ละเลยมันไป” จ้าวอู่กังพูดหายใจแรงขึ้น “เจ้ารนหาความเจ็บปวดเองนะ ข้าจะสอนให้รู้ว่า ยินดีตายมากกว่ามีชีวิตอยู่ เป็นยังไง!” ด้วยสีหน้าที่หมดความอดทน มันวิ่งตรงมาที่เมิ่งฮ่าว ยื่นมือออกไปเหมือนกงเล็บ เมิ่งฮ่าวดูเหมือนจะหวาดผวาและตกใจ จ้าวอู่กังมีความสุขที่ได้เห็นสีหน้าของคนที่อ่อนแอ่กว่า
มันนึกภาพว่าเมิ่งฮ่าวลงไปนอนสั่นบนพื้นเบื้องหน้า รู้สึกมึความภาคภูมิใจกับตัวเองเป็นอย่างมาก ก่อนที่จะพุ่งถึงตัวเมิ่งฮ่าว สีหน้าที่แสดงความหวาดกลัวของเมิ่งฮ่าวก็หายไป แทนที่ด้วยความโหดเหี้ยม เขาสะบัดมือขวาออกมาจากด้านหลัง แสงไฟลุกโชน เปลวไฟรูปร่างคล้ายงูขนาดเท่านื้วมือพุ่งเข้าใส่จ้าวอู่กัง
ใจเมิ่งฮ่าวเต้นระรัว เขารู้ดีว่าวิชาเปลวไฟแห่งงู ไม่ได้กล้าแกร่งพอที่จะเข่นฆ่าใครได้ แต่เขายังคงหวังว่าอย่างน้อย มันจะช่วยลดทอนความเร็วของจ้าวอู่กังได้บ้าง เขาจะไม่ทนต่อการถูกจับ หรือการส่งมอบของมีค่าทั้งหมด รวมถึงการต้องตกเป็นข้ารับใช้ของจ้าวอู่กัง เขาต้องหนีเข้าไปในภูเขาให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้
“วิชาเปลวไฟแห่งงู!” จ้าวอู่กังสีหน้าเปลี่ยนไป ขยับตัวหลบ ยื่นมือเข้าไปในถุงเก็บสมบัติ หยิบกระบี่สีขาวเล่มเล็กๆ ออกมา ซัดเข้าใส่เปลวไฟแห่งงู
มีเสียงดังเกิดขึ้น จากนั้นเปลวไฟก็ดับไป กระบี่สีขาวงอบิดเบี้ยว เมิ่งฮ่าวเตะมันไปตกในป่า จ้าวอู่กังถอยหลังต่อเนื่องด้วยสีหน้ากระอักกระอ่วน มองดูเมิ่งฮ่าวหนีเข้าไปในภูเขา ด้วยความรู้สึกโกรธและประหลาดใจ
“มันก้าวถึงขั้นสองของการรวบรวมลมปราณได้อย่างรวดเร็วนัก” จ้าวอู่กังพูดด้วยความเกรี้ยวกราด “ถ้ำแห่งเซียนของศิษย์พี่หญิงฉื่อช่างมีประสิทธิภาพยิ่ง คงต้องฆ่าเจ้าผู้นี้ซะแล้ว” มันวิ่งตามเมิ่งฮ่าวไป
หลังจากวิ่งตามไปได้ซักพัก ก็พบว่าเมิ่งฮ่าวมีความคุ้นเคย กับเส้นทางของภูเขานี้มากกว่ามัน ยิ่งไปกว่านั้น เมิ่งฮ่าวยังวิ่งได้อย่างรวดเร็ว ทำให้จ้าวอู่กังมีปัญหาในการไล่ตามเป็นอย่างมาก
“เจ้าเด็กบัดซบ” จ้าวอู่กังพูดด้วยเสียงน่ากลัว “ภูเขาแห่งนี้ไร้ผู้คน ถ้าเจ้าต้องการตาย ข้าก็จะสงเคราะห์ให้!” เมื่อเห็นว่าเมิ่งฮ่าววิ่งได้อย่างรวดเร็ว มันจึงตัดสินใจที่จะใช้วิชาไม้ตายก้นหีบ มันแผดเสียงคำราม พร้อมกับร่างกายที่ขยายใหญ่ขึ้น ขนตามร่างกายเริ่มหนาขึ้นและเป็นสีทอง ขนบางแห่งก็ยาวจนโผล่ทะลุเสื้อผ้าออกมา เหมือนว่ามันได้กลายร่างเป็นบางอย่างที่ดูคล้ายสัตว์อสูร
นี่เป็นวิชาลับที่มันเรียนรู้ ก่อนที่จะเข้าสังกัดสำนัก “วิชากลายร่างปีศาจ”
มันเป็นวิชาที่จะฝึกได้ ก็ต่อเมื่อต้องบรรลุถึงขั้นสามของการรวบรวมลมปราณ แต่การกลายร่างไม่ได้ชัดเจนมากนัก ร่างกายขยายใหญ่ขึ้น มีพลังมากขึ้น และน่ากลัวยิ่งขึ้น
ด้วยวิชานี้ทำให้มันสามารถอาละวาดไปทั่ว ท่ามกลางศิษย์ร่วมสำนักที่มีระดับการฝึกตนขั้นต่ำ วิชานี้เป็นไม้ตายก้นหีบ ที่ใช้ได้ในช่วงเวลาอันจำกัด แต่ก็มีประสิทธิภาพมากทีเดียว
ตอนนี้พลังฝึกตนของมัน ได้ก้าวถึงขั้นสามของการรวบรวมลมปราณ วิชานี้ยิ่งฝึกถึงขั้นสมบูรณ์ ก็จะยิ่งมีขนสีทองที่ดกหนา ดูสวยงามน่าอัศจรรย์ใจ การกลายร่างจนคล้ายสัตว์อสูร ทำให้มันสามารถสร้างความสะพึงกลัวให้กับคู่ต่อสู้ได้อย่างง่ายดาย
“เจ้าจะเป็นคนแรก ที่จะตายใต้วิชากลายร่างปีศาจ!!!”