ไม่จำเป็นที่จะต้องอธิบายว่า พื้นฐานลมปราณ มีความหมายอย่างไรต่อผู้ฝึกตน มันเป็นการเปลี่ยนแปลงที่สร้างความสั่นสะเทือนไปทั่วทั้งปฐพี รวมถึงการขยายช่วงอายุให้ยืดยาวออกไป แน่นอนว่า อายุที่ยืนยาวก็หมายถึงชีวิต และชีวิตของผู้ฝึกตนขั้นพื้นฐานลมปราณ ก็ยาวนานกว่าขั้นรวบรวมลมปราณมากนัก
ภัยอันตรายบางอย่าง อาจจะสังหารบางคนที่อยู่ในขั้นรวบรวมลมปราณได้ แต่อาจจะเพียงแค่ทำให้ ผู้ที่แข็งแกร่งขั้นพื้นฐานลมปราณบาดเจ็บเท่านั้น
เมิ่งฮ่าวเดินผ่านภูเขาที่เขียวขจี ด้านนอกของชายขอบ ที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นแคว้นจ้าว ออกจากดินแดนด้านหลัง ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นบ้านของเขา มุ่งหน้าตรงไปยังดินแดนด้านใต้
ถึงแม้ว่าโดยหลักการแล้ว แคว้นจ้าวจะเป็นส่วนหนึ่งของดินแดนด้านใต้ แต่มันก็อยู่ห่างไกล, ไกลมาก, ไกลมากที่สุด จากจุดศูนย์กลางของดินแดนด้านใต้ ด้วยพลังฝึกตนของเขาในตอนนี้ ถ้าเขาเดินทางไปด้วยเท้า ก็คงต้องใช้เวลาหลายปีเพื่อจะไปให้ถึงที่นั่น
อย่างไรก็ตาม เมิ่งฮ่าวไม่เร่งรีบ เมื่อคิดว่าเขาต้องมุ่งตรงไปยังดินแดนด้านใต้ สิ่งที่เขากังวลมากที่สุดในตอนนี้ ก็คือ จะทะลวงผ่านไปยังขั้นพื้นฐานลมปราณได้อย่างไร เพื่อจะกลายเป็นผู้แข็งแกร่งให้ได้
“ไม่รู้ว่าข้าจะเผชิญกับอันตรายอะไรบ้างในดินแดนด้านใต้ แล้วข้าก็ยังต้องหาทางขจัดพิษในร่างอีกด้วย ข้าต้องมีพลังฝึกตนที่แข็งแกร่งกว่านี้เท่านั้นถึงจะทำได้…” ดวงตาของเมิ่งฮ่าวสาดประกาย
เขารู้ว่า ด้วยตำรารวบรวมลมปราณ ในคัมภีร์สุดยอดวิญญาณ ทำให้เขาสามารถบรรลุขั้นพื้นฐานไร้ตำหนิได้ ซึ่งมันก็หายากมากแล้ว ในการที่จะมีใครสักคนบรรลุถึงขั้นนี้ได้ แต่เมิ่งฮ่าวก็ยังได้ครอบครองสูตรลับของซ่างกวนซิว ที่จะปรุงเม็ดยาพื้นฐานสมบูรณ์อีกด้วย!
ตอนนี้เขามีส่วนผสมเกือบครบหมดแล้ว ด้วยสิ่งที่เขาได้มาจาก ถ้ำแห่งเซียนของปรมาจารย์เอกะเทวะ รวมทั้งกระจกทองแดง เขามั่นใจว่า เขาสามารถรวบรวมวัตถุดิบทั้งหมดที่จำเป็น เพื่อปรุงเป็นเม็ดยาได้ ถ้าทำได้สำเร็จ เขาก็จะมีพื้นฐานสมบูรณ์ ซึ่งตอนนี้มีอยู่แต่ในตำนานของโลกแห่งการฝึกตนเท่านั้น
“ข้าสงสัยนักว่า…พื้นฐานสมบูรณ์จะแข็งแกร่งสักเพียงใด?” ดวงตาของเขาสาดประกาย ขณะที่พุ่งตรงไปข้างหน้า
สามเดือนผ่านไป เมิ่งฮ่าวอยู่ห่างไกลจากแคว้นจ้าวซึ่งเคยตั้งอยู่ก่อนหน้านี้ เขาได้เดินทางผ่านแคว้นของมุนษย์ธรรมดาอื่นๆ หลายแคว้น และตอนนี้ก็อยู่ภายในที่รกร้างว่างเปล่าอันกว้างใหญ่ ไม่ค่อยได้เห็นวี่แววของสิ่งมีชีวิตเท่าไหร่นัก
เทือกเขาโดดเดี่ยว ยืดยาวออกไป ไกลมากสุดเท่าที่สายตาของเขาจะเห็นได้ จนดูเหมือนจะยาวจนไร้ที่สิ้นสุด ในช่วงกลางวัน ได้ยินเสียงของสัตว์ป่ามากมายดังออกมา ท้องฟ้าสีน้ำเงินเข้มยาวเหยียดสุดสายตา
ตอนกลางคืน ท้องฟ้าก็เต็มไปด้วยแสงอันนุ่มนวล ของดวงดาวมากมาย รายล้อมดวงจันทร์อันอ่อนโยน เป็นภาพที่มีเสน่ห์น่าลุ่มหลงเป็นอย่างยิ่ง
เมิ่งฮ่าวยืนอยู่บนจุดสูงสุดของภูเขา มองออกไปยังโลกด้านนอก ภาพอันสวยงามเติมเต็มอยู่ภายในทำให้รู้สึกอิ่มเอมใจ เริ่มเดินลงมาจากภูเขาช้าๆ
“อ่านตำราหมื่นเล่ม, ท่องเที่ยวไปหมื่นเส้นทาง ก็ยากที่จะบอกได้ว่า ข้าได้เดินทางไปไกลกี่หมื่นหลี่แล้ว เทือกเขามากมายอยู่ที่เส้นขอบฟ้า ทุกสิ่งทุกอย่างที่ข้าได้เห็น และได้ยิน เติมเต็มจิตใจของข้าราวกับทะเลที่ขยายออกไปชั่วนิรันดร์” ดวงตาของเขาส่องประกายเจิดจ้า
“ในการเลือกสถานที่สำหรับทะลวงขั้น พื้นฐานลมปราณ สิ่งที่ดีที่สุดก็คือ เลือกสถานที่ซึ่งมีพลังลมปราณอยู่มากมาย ซึ่งจะช่วยให้ข้ามีโอกาสสำเร็จสูงขึ้น” เมิ่งฮ่าวรู้ว่าการสร้างพื้นฐานของเขา ต้องยากลำบากอย่างแน่นอน เขาพุ่งไปด้วยความพยายามที่จะหาสถานที่อันเหมาะสม
เวลาอีกสามเดือนก็ผ่านไป
ตอนนี้เมิ่งฮ่าวระหกระเหินไปนานถึงหกเดือน ในช่วงเวลานี้ เขาไม่ได้ฝึกพลังแห่งเซียนเลย เมื่อบรรลุถึงขั้นวงจรอันยิ่งใหญ่ ของการรวบรวมลมปราณ เขาก็ไม่จำเป็นต้องฝึกทุกวันอีก จิตใจของเขาสงบเย็น ลึกๆ แล้ว เขารู้ว่า เขาจะเริ่มสร้างพื้นฐานลมปราณเมื่อไหร่ก็ได้ ตามที่เขาต้องการ
“เพื่อความเป็นไปได้สูงสุด ที่จะสำเร็จในการสร้างพื้นฐานลมปราณ ข้าต้องเลือกสถานที่ ซึ่งมีพลังลมปราณหนาแน่นอยู่ในบริเวณนั้น” เมิ่งฮ่าวพึมพำ “เพื่อช่วยลดความผิดพลาดใดๆ ที่จะเกิดขึ้น” ขณะที่ท่องเทียวไป เขาไม่ได้หลีกเลี่ยงจากสัตว์ป่าใดๆ และก็ไม่ได้เข่นฆ่าสัตว์ตัวใดเลย
พิษในร่างของเขาได้กำเริบขึ้นมาสองครั้ง ในช่วงครึ่งปีที่ผ่านมา แต่ละครั้งที่มันกำเริบ ร่างของเขาก็จะทรมานจากความเจ็บปวดอันรุนแรง ราวกับว่ามีมดจำนวนมากมายนับไม่ถ้วน กำลังกัดแทะอวัยวะภายในของเขา ครั้งแรกที่มันเกิดขึ้น ทำให้เขาต้องร่วงลงมาจากท้องฟ้า
หมอกสามสีซึมออกมาจากร่าง เขาต้องนั่งกัดฟันถึงสามวัน กว่าที่ความเจ็บปวดนี้จะลดลง ทั้งสองครั้งขณะที่พิษกำเริบ ก็มีของเหลวสีดำกลิ่นเหม็นคาว โชยออกมาจากร่างกาย ต้นไม้ใบหญ้าใดๆ ก็ตาม ที่ของเหลวสีดำนี้ไปสัมผัสโดน ก็จะเหี่ยวเฉาเน่าตายไปในทันที
เมื่อทำการวิเคราะห์ต่อไป เขาก็มั่นใจว่าจริงๆ แล้ว พิษส่วนใหญ่ ได้ถูกขับออกมาจากร่างของเขา ในช่วงที่พิษกำเริบไปเกือบหมด มีเพียงพิษจากเม็ดยาสามสีเท่านั้น ที่ยังเหลืออยู่
ในช่วงครึ่งปีนี้ เมิ่งฮ่าวได้ใช้เวลา ในการฝึกฝนใช้ของวิเศษ ที่เขาได้มาจากปรมาจารย์เอกะเทวะ ยกตัวอย่างเช่น ธวัชสายฟ้า ในตอนนี้ เขาสามารถใช้มันได้อย่างมี ประสิทธภาพมากกว่าหกเดือนก่อน ตอนนี้ เขาสามารถใช้มันสร้างหมอกที่มีเส้นผ่าศูนย์กลางถึงเก้าสิบฉื่อ
ถ้ามีสิ่งมีชีวิตใดเข้ามาใกล้ มันก็จะปล่อยสายฟ้า ซึ่งมีพลังมากกว่าขั้นพื้นฐานลมปราณออกไป เขาได้ใช้มันประจำจนติดเป็นนิสัย เพื่อป้องกันตัวแม้ในตอนที่เขานอนพัก
สำหรับหยกเครื่องรางนำโชค เมิ่งฮ่าวไม่สามารถหาวิธีใช้ของชิ้นนี้ได้
อีกหนึ่งเดือนได้ผ่านไป ที่เบื้องหน้าของเมิ่งฮ่าว มีหุบเขามากมายปรากฎขึ้น เป็นหุบเขาที่เต็มไปด้วยสะพานแขวน ผู้คนมากมายสวมใส่เสื้อผ้าป่านเนื้อหยาบ และมีเครื่องประดับอยู่บนศีรษะ เดินไปมาบนสะพาน แบกตะกร้าจักสานขนาดใหญ่ไว้บนหลังพวกมัน
เมื่อได้เห็นเช่นนั้น ดวงตาเมิ่งฮ่าวก็หดแคบลง สถานที่นี้มีแต่ผืนป่า ไม่มีร่องรอยของบ้านเรือนอยู่ในบริเวณนี้เลย ทันใดนั้น ปุถุชนธรรมดาหลายคนก็ปรากฎขึ้น
เสื้อผ้าของพวกมันดูแตกต่างจากคนในแคว้นจ้าว เมิ่งฮ่าวมองพวกมันจากที่ห่างไกล พึมพำกับตัวเอง และกำลังจะจากไป แต่ทันใดนั้นดวงตาก็ส่องประกายขึ้นมา เขาหันหลังกลับ มองไปที่หนึ่งในเจ็ดของหุบเขา
ผ่านไปชั่วครู่ กระบี่บินที่เขายืนอยู่ก็แวบขึ้น พาเขาตรงไปที่หุบเขานั้น เมื่อเข้าไปใกล้ คลื่นพลังลมปราณอันเข้มข้น ก็กระจายออกมา และปะทะกับใบหน้า ดวงตาของเขาเปล่งประกาย นี่เป็นพลังลมปราณที่เข้มข้นมากที่สุด เท่าที่เขาได้เห็นในหกเดือนที่ผ่านมา
หุบเขานี้ยาว และลึกมาก เมื่อมองลงไปจากกลางอากาศ เมิ่งฮ่าวไม่สามารถที่จะเห็นก้นหุบเขานี้ได้ พลังลมปราณที่เข้มข้นเป็นเหตุให้ สิ่งมีชีวิตทั้งหมดในบริเวณนี้เติบโตขึ้นมา อย่างหนาแน่นเต็มไปหมด และทำให้ดูเหมือนเป็นสถานที่ ที่อยู่ในโลกอื่น
“พลังลมปราณของที่นี่ ยังหนาแน่นกว่าที่ภูเขาตะวันออก ของสำนักเอกะเทวะซะอีก” เมิ่งฮ่าวมองลงไปยังหุบเขาที่มีหมอกอยู่เลือนลาง ด้วยความประหลาดใจ
ในตอนนั้นเอง หมอกในหุบเขาก็ปั่นป่วนไปมาในทันใด ภายในถุงสมบัติของเมิ่งฮ่าว หยกผนึกอสูรสั่นระรัว เขาหยิบเอาแผ่นหยกออกมาด้วยดวงตาที่สาดประกาย
ทันทีที่เขาดึงมันออกมา เสียงกระหึ่มก็ดังก้องอยู่ในศีรษะ และตัวอักษรก็ปรากฎขึ้นในจิตใจ
“ความเข้าใจจากโบราณกาล, การหลอมรวมแห่งอสูร ถูกตัดขาดโดยหัตถ์ของผู้ผนึกอสูร น่าเสียดาย; เถ้าธูปหนึ่งชุ่นที่ลูกหลานสักการะ”
จู่ๆ ตัวอักษรก็ปรากฎขึ้น และหายไปอย่างรวดเร็ว เลือนลางลงภายในจิตใจของเมิ่งฮ่าว ทุกสิ่งทุกอย่างกลับมาเป็นปกติเหมือนเดิม แต่ดวงตาของเมิ่งฮ่าวก็สาดประกายเจิดจ้า เขาจ้องลงไปยังหมอกภายในหุบเขา จากนั้นก็มองกลับไปที่หยกผนึกอสูร
“ถูกตัดขาดโดยหัตถ์ของผู้ผนึกอสูร…สำนักผนึกอสูร, หยกโบราณ, อสูร…หยกผนึกอสูรนี้มีความลับอะไรซุกซ่อนอยู่…?” เมิ่งฮ่าวเงยหน้าขึ้น
มองไปรอบๆ ก็เห็นว่า เหล่าชาวบ้านมากมาย ที่อยู่บนสะพานแขวน ได้มองเห็นเขา ความหวาดกลัวปรากฎขึ้นบนใบหน้าของพวกมัน แต่ละคน คุกเข่าลง และเริ่มโขกศีรษะมาที่เขา
ทันใดนั้น, เสียงเสียดสีอากาศแหลมเล็ก ก็ดังออกมาจากหนึ่งในหุบเขาด้านอื่น สองลำแสงที่มีสีสันก็ปรากฎขึ้น คฤธรขนาดใหญ่สองตัวบินออกมา บนหลังของมันแต่ละตัว ยืนไว้ด้วยบุคคลหนึ่งคน
ทั้งสองคนมีอายุประมาณสี่สิบปี สวมใส่ชุดยาวสีน้ำเงิน และสีเขียวที่ถักทอกันอย่างซับซ้อน ใบหน้าของพวกมันค่อนข้างจะคล้ำ และผอมแห้ง หนึ่งในนั้นมีอรพิษลายสีเขียวสลับน้ำเงินเข้ม พันอยู่รอบๆ แขน ดวงตาของอสรพิษน้อยตัวนั้นดูน่ากลัว และเมื่อมันแลบลิ้นออกมา หมอกจางๆ ก็พ่นออกมาจากปากของมัน
บุรุษอีกคน มีตะขาบอยู่บนไหล่ ค่อยๆ ส่ายไปมาช้าๆ ยาวประมาณหนึ่งคืบ และมีสีสันมากมาย เห็นได้ชัดว่า มีพิษเป็นอย่างยิ่ง
บุรุษทั้งสองนั้น, หนึ่งอยู่ที่ระดับเก้า ขั้นรวบรวมลมปราณ, อีกคนอยู่ที่ขั้นสูงสุดของระดับแปด พวกมันดูไม่มีความเป็นมิตรมากนัก มาหยุดอยู่ห่างจากเมิ่งฮ่าวประมาณ สามร้อยจ้าง (1 จ้าง = 10 ฟุต) จ้องมองมาที่เขาด้วยสายตาที่เย็นชา
สีหน้าของเมิ่งฮ่าวยังคงสงบนิ่งเหมือนเช่นเคย เก็บหยกผนึกอสูร และมองไปที่พวกมัน เขาเคยพบกับผู้ฝึกตนมากมายในแคว้นจ้าว ที่มีพลังฝึกตนเท่ากับสองคนนี้
ขณะที่พวกมันมองมาที่เขา เสียงแหวกฝ่ากาศแหลมเล็กอื่น ก็ดังออกมา จากหุบเขาอีกด้าน คางคกที่มีปีกสีม่วง บินออกมา ตามด้วยกลุ่มหมอกเมื่อมันบินมา ดูเหมือนว่าคางคกตัวนี้ มีพลังฝึกตน ขั้นรวบรวมลมปราณ บนหลังของมัน มีชายชรานั่งขัดสมาธิอยู่
ชายชราสวมใส่ชุดที่ถักทอ เป็นลวดลายสีแดงและเหลือง ใบหน้าของมันวาดด้วยสี เป็นลวดลายของหน้ากากชนิดหนึ่ง ดูดุร้ายเป็นอย่างยิ่ง ขณะที่มันบินออกมาสมทบกับ สองคนที่กำลังสำรวจดูเมิ่งฮ่าวอยู่
พลังฝึกตนของชายชราไม่ธรรมดาเป็นอย่างยิ่ง มันอยู่ที่จุดสูงสุดของระดับเก้า ขั้นรวบรวมลมปราณ เมื่อเห็นมัน สีหน้าของสองคนนั้นก็เปลี่ยนไป
ชายชราจ้องไปที่เมิ่งฮ่าว ขมวดคิ้วขณะที่มันพยายามจะประเมินพลังฝึกตนของเขา “ข้าเป็นหัวหน้าของหมู่บ้านหลิงฉาน (วิญญาณคางคก)” มันกล่าว “ถ้าท่านเพียงแค่ผ่านมา, สหายเต๋า, โปรดเดินทางต่อไป ที่นี่ไม่ยินดีต้อนรับผู้ฝึกตนจากที่อื่น”
สีหน้าของเมิ่งฮ่าวยังคงสงบนิ่งเหมือนเคย พลังลมปราณอันเข้มข้นของที่นี่ เป็นสิ่งที่เขาตามหามานานถึงครึ่งปี ถ้าเขาจากไป ก็ยากที่จะบอกได้ว่า เขาจะหาสถานที่อื่น ที่เหมือนกับที่นี่ได้อีกเมื่อไหร่
โดยปกติ เขาก็แค่ไม่สนใจ และเดินทางต่อไป แต่ด้วยปฏิกิริยาแปลกๆ ของหยกผนึกอสูร ได้ทำให้เขาเกิดความสนใจในสถานที่นี้ จึงตัดสินใจที่จะไม่จากไป
เขาไม่พูดจา มือขวาขยับในรูปแบบของการสร้างเวทอาคม และกระบี่บินก็ลอยออกมาเล่มแล้วเล่มเล่า รวมตัวกันเป็นพิรุณกระบี่ มากกว่าหนึ่งร้อยเล่มในทันที หมุนวนไปมาอยู่รอบๆ บริเวณนั้น สร้างเป็นสายน้ำแห่งกระบี่หมุนวนไปมา จากนั้นก็เริ่มขยายตัวออกไปในทุกทิศทาง
สีหน้าของชายชราบนหลังคางคก และบุรุษทั้งสองคนก็เปลี่ยนไปในทันที เมิ่งฮ่าวชี้ลงไปยังหนึ่งในหุบเขานั้น กระบี่ก็พุ่งตรงไป เสียงระเบิดดังออกมา เมื่อพวกมันกระแทกไปยังหน้าผา และแกะสลักออกเป็นถ้ำที่เรียบง่าย
“โปรดให้ข้า อยู่ในถ้ำนั้นสักสองสามเดือน” เมิ่งฮ่าวพูดเสียงเย็นชา ไม่มองไปที่พวกมันอีก เขาพุ่งตรงไปยังถ้ำแห่งนั้น
ภาพอันน่าตกใจของกระบี่บินมากกว่าร้อยเล่ม ทำให้เฒ่าคางคกนั้นขมวดคิ้ว สองผู้ฝึกตนที่เหลือก็ดูท่าทางลังเล
บุรุษที่มีอสรพิษพันรอบๆ แขน จ้องไปที่เมิ่งฮ่าว ขณะที่เขาเข้าไปในถ้ำ มันยกแขนขึ้นมา และอสรพิษตัวนั้นก็กลายเป็นประกายเลือนลางสีดำ เมื่อมันพุ่งตรงไปยังเมิ่งฮ่าว
ขณะที่มันใกล้เข้ามา ความดำมืด และ เย็นชาก็ปรากฎขึ้นในดวงตาของเมิ่งฮ่าว