มิ่งฮ่าวจ้องมองไปด้วยความซึมเซา จิตใจหมุนคว้าง ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกี่ยวกับเรื่องแปลกประหลาด และมหัศจรรย์ที่เขาเคยเห็นมาในชีวิตนี้ ไม่สามารถจะเทียบได้กับสิ่งที่น่าตกใจ ซึ่งเขาได้เห็นตรงเบื้องหน้า
จิตใจของเขาว่างเปล่า ราวกับว่าเขาได้สูญเสียความสามารถในการคิดไป ทำได้เพียงแต่ยืนนิ่งอยู่ที่นั่น และมองไปด้วยความมึนงง
ปรมาจารย์เอกะเทวะ จริงๆ แล้วก็คือ…เศษเสี้ยววิญญาณของเต่าดำตัวใหญ่มหึมานี้!
และแคว้นจ้าว ก็ตั้งอยู่บนพื้นดินที่อยู่บนหลังของมัน!!
ตัวเขาเอง ก็ได้อาศัยอยู่บนหลังของปรมาจารย์เอกะเทวะ มาเป็นเวลายี่สิบปี ไม่ต้องสงสัยเลยว่า ทำไมมันถึงถูกเรียกว่า เอกะเทวะ การพึ่งพาเชื่อถือจนเป็นหนึ่งเดียว
ไม่ใช่มีเพียงแค่บุคคลใดบุคคลหนึ่งที่คิดเช่นนี้ แต่เป็นกับผู้คนทั้งแคว้น! ผู้ฝึกตน และมนุษย์ธรรมดา ต่างก็เชื่อถือพึงพามันจนเป็นหนึ่งเดียวเช่นกัน!
หลังจากปรมาจารย์เอกะเทวะ ได้ถูกผนึกไว้ มันก็เริ่มจำศีล แต่ก็ยังคงแบ่งเศษเสี้ยววิญญาณของมัน ซึ่งตั้งใจที่จะทำลายทายาทรุ่นหลังของสำนักผนึกอสูรออกมา
ตอนนี้มันก็สมเหตุสมผลว่า ทำไมสำนักเอกะเทวะเคยมีชื่อเดิมว่าสำนักผนึกอสูร ถึงแม้ว่าในตอนนี้จะมีผู้คนน้อยมากที่รู้เรื่องนี้ และทำไมสำนักเอกะเทวะ ถึงถูกเรียกว่าเป็นสำนักอันชั่วร้าย และต้องต่อสู้กันเองอย่างโหดเหี้ยมอำมหิต
ร่างที่มาจากจิตวิญญาณความตั้งใจอันแรงกล้าของมัน สามารถฝึกพลังแห่งเซียนจนกระทั่ง ได้บรรลุถึงขั้นตัดวิญญาณ แล้วร่างจริงของมัน…จริงๆ แล้ว จะมีความแข็งแกร่งถึงเพียงไหน?!
ยังมีหลายสิ่งหลายอย่างที่เมิ่งฮ่าวยังคงไม่เข้าใจ ยกตัวอย่างเช่น ถ้าปรมาจารย์เอกะเทวะ แข็งแกร่งมากขนาดนี้ ทำไมมันถึงไม่ช่วยตัวเองให้หลุดจากผนึกมาตั้งแต่ตอนแรก? ถ้าเขาไม่ปรากฎตัวขึ้น มันก็จะตายไป? เมื่อดูจากพลังความแข็งแกร่งจากร่างจริงของมัน ทำไมมันต้องดูดกลืนพลังของผู้ฝึกตนคนอื่นๆ?
ลอยขึ้นไปพร้อมด้วยพื้นดินที่เป็นอาณาเขตของแคว้นจ้าว ผู้ฝึกตนขั้นวิญญาณแรกก่อตั้งเทียมทั้งสามคน ก็จ้องดูด้วยความตกใจในสิ่งทั้งหมดที่เกิดขึ้น จิตใจของพวกมันหมุนคว้างมึนงง
และความประหลาดใจก็ปกคลุมไปบนใบหน้า พวกมันไม่ทันแม้แต่จะรู้สึกหวาดกลัว ทำได้เพียงแค่จ้องมองไปด้วยจิตใจอันว่างเปล่า พวกมันแทบไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่ได้เห็น
เทียนจีซ่างเหรินก็ตกอยู่ในความงุนงง จนพูดไม่ออกด้วยเช่นกัน เมื่อมันมองขึ้นไปเห็นศีรษะอันใหญ่โตมหึมานั้น ซึ่งใหญ่กว่าร่างของมันมากมายนัก ในความเป็นจริง ศีรษะนั้นใหญ่จนไม่สามารถมองจากด้านหนึ่งไปสิ้นสุดที่อีกด้านหนึ่งได้ ความกลัวเริ่มส่องประกายออกมาจากดวงตาของมัน
มันจะคาดคิดได้อย่างไรว่า ปรมาจารย์เอกะเทวะ ที่มันด่าทอสาปแช่ง และท้าทายให้ออกมาต่อสู้กันนั้น…จะกลายเป็นเช่นนี้?
ขณะที่เสียงของปรมาจารย์เอกะเทวะดังออกมา คำพูดของมันแทงเข้าไป ในหูของเทียนจีซ่างเหริน ทำให้ร่างของมันสั่นสะท้าน และหัวสมองมึนงง ความต้องการต่อสู้ของมันทั้งหมดก็ลดหายไป
ปรมาจารย์เอกะเทวะ ไม่มีความจำเป็นต้องโจมตีออกมา ตอนนี้มันได้ปรากฎตัวขึ้นอย่างแท้จริง และได้สร้างแรงกดดันไปบนตัวของเทียนจีซ่างเหริน ทำให้ร่างของมันสั่นสะท้านโดยไม่ได้ตั้งใจ โลหิตของเทียนจีซ่างเหริน ดูเหมือนราวกับว่าจะหยุดไหลเวียน
ความรู้แจ้งแห่งเต๋า ซึ่งได้มาพร้อมกับการตัดวิญญาณของมัน ได้พังทลายลง มันอ่อนแอราวกับตัวแมลง ปรมาจารย์เอกะเทวะสามารถบดขยี้มัน ด้วยการหายใจเพียงแค่ครั้งเดียวเท่านั้น
แรงกดดันอันน่ากลัว กระจายออกมาจากหัวเต่า ซึ่งทำให้ปากของเทียนจีซ่างเหรินเริ่มแห้งไป ถึงแม้ว่ามันจะมีพลังฝึกตนที่ไม่ธรรมดา แต่เหงื่อเย็นเยียบก็ยังไหลออกมาทั่วร่างของมัน
ระฆังเทียนจีที่ด้านข้าง ไม่ได้ทำให้มันรู้สึกอุ่นใจขึ้นแม้แต่น้อย แม้แต่จิตสัมผัสที่ได้รับมาจากเซียนแห่งรุ่งอรุณ ก็ไม่ได้ทำให้มันรู้สึกปลอดภัยขึ้นแม้แต่นิดเดียว
ตอนนี้มันเข้าใจแล้วว่า ทำไมปรมาจารย์เอกะเทวะ ถึงไม่ได้สนใจแม้แต่น้อย เมื่อมันกล่าวถึงเซียนแห่งรุ่งอรุณ แน่นอนว่าปรมาจารย์เอกะเทวะ ไม่ต้องสนใจ เมื่อมีร่างจริงที่ไม่ธรรมดาเช่นนี้
และตอนนี้ มันก็รู้ว่าทำไมปรมาจารย์เอกะเทวะ ถึงไม่เกรงกลัวเซียนแห่งรุ่งอรุณ…
ยิ่งไปกว่านั้น มันยังมีความประหลาดใจมากยิ่งขึ้น เมื่อนึกได้ถึงบันทึกโบราณทั้งหมดที่ได้ศึกษามา แคว้นจ้าวได้เกิดขึ้นมานานมาก, นานเป็นอย่างยิ่ง ซึ่งทำให้มันรู้สึกตกใจมากยิ่งขึ้นเมื่อคิดไปว่า สิ่งใดเกิดขึ้นก่อน…ปรมาจารย์เอกะเทวะ หรือแคว้นจ้าว?!
ถ้าแค้วนจ้าวเกิดขึ้นก่อน มันก็รู้สึกยอมรับได้ง่ายขึ้น แต่ถ้าปรมาจารย์เอกะเทวะเกิดขึ้นก่อน…เมื่อคิดเช่นนี้ เทียนจีซ่างเหรินก็เริ่มสั่นรุนแรงมากขึ้น มันรู้สึกราวกับว่า ผิวหนังของมันกำลังจะระเบิดออกมา
“อืม, เรามาสู้กัน?” เมื่อคำพูดดังออกมาจากปรมาจารย์เอกะเทวะ แต่ละคำก็ดังก้องราวเสียงฟ้าร้อง เสียงสนั่นกึกก้องนี้ ทำให้ร่างของเทียนจีซ่างเหริน ถูกเหวี่ยงไปด้านหลังหลายพันหลี่ โลหิตกระจายออกมาจากปากของมัน
ระฆังก็ดูเหมือนจะกลายเป็นระฆังธรรมดาไปในทันที เต็มไปด้วยรอยร้าว และแตกหักเป็นจำนวนมากมายหลายจุด
“ไม่…ไม่จำเป็นต้องสู้” เทียนจีซ่างเหรินตาลีตาเหลือกรีบพูดขึ้นมา ด้วยใบหน้าซีดขาว “ตอนนี้, ข้า ซึ่งเป็นผู้เยาว์รุ่นหลัง เพียงแค่ล้อเล่น ท่านปรมาจารย์…เหลาจู่ (บรรพบุรุษ)…โปรดอย่าได้ถือสา…” ดวงตาขนาดใหญ่มหึมาสองดวง ของปรมาจารย์เอกะเทวะจ้องไปที่เทียนจีซ่างเหริน, และมันก็กลัวจนตัวสั่น
“ถ้าไม่ได้สองฝ่ามือที่โจมตีลงมาของเจ้า ข้าก็คงไม่สามารถออกมาได้ เจ้าสารเลวบัดซบกลุ่มนั้น ได้ผนึกข้าไว้นานหลายปี ผนึกเพิ่งจะอ่อนแอลงเมื่อไม่นานมานี้ แต่การที่จะทำลายมันได้ ข้าจำเป็นต้องฟื้นฟูพลังฝึกตนของข้าเพิ่มอีก แต่แล้วท่ามกลางเรื่องทั้งหมดนี้ มีบางคนได้ปลดปล่อยพลังของขั้นตัดวิญญาณออกมา ทำให้พลังของผนึกอ่อนแอลงมากขึ้น ในที่สุดข้าก็สามารถทำลายมันออกมาจนได้!”
เสียงของมันระเบิดออกมาในทุกทิศทาง เมื่อเมิ่งฮ่าวได้ยินคำพูดนี้ ร่างของเขาก็สั่นสะท้าน
“เดิมที ข้าวางแผนว่าจะใช้เศษเสี้ยววิญญาณของข้าทำลายผนึกนี้ไป แต่มันและข้ามีความเห็นไม่ค่อยตรงกัน ถึงข้าจะมีความรู้ของคัมภีร์สุดยอดวิญญาณ ข้าก็ยังไม่สามารถทะลวงไปถึงระดับต่อไปของขั้นตัดวิญญาณ ขณะที่ข้ากำลังจะทะลวงผ่านในขั้นตอนสุดท้าย ข้าก็ถูกหลอกลวงจากเจ้าสารเลวน้อยที่น่ารังเกียจนั้น บัดซบ, ทุกคนจากสำนักผนึกอสูร ล้วนแล้วแต่เป็นตัวสารเลวทั้งสิ้น! ขโมยพลังลมปราณที่ข้าจำเป็นต้องใช้ในการทำลายผนึก, เอาตะเกียงอสูรของข้าไป…”
มันแผดเสียงคำรามออกมา จนเมิ่งฮ่าวอยากจะหนีไป เขารู้ว่าปรมาจารย์เอกะเทวะกำลังพูดถึงใครอยู่
“เจ้าทำได้ดีมาก, ดีจริงๆ โชคดีที่เจ้าโจมตีลงมา ช่วยให้ข้าทำลายผนึกได้ ข้าต้องตอบแทนเจ้าเป็นอย่างดี”
เมื่อได้ยินคำพูดของปรมาจารย์เอกะเทวะ เทียนจีซ่างเหรินอ้าปากค้างด้วยความตกใจ จากนั้นสีหน้าของมันก็เปลี่ยนเป็นความดีใจอย่างที่สุด มันจะคาดคิดได้อย่างไรว่าผลลัพธ์จะเป็นเช่นนี้? มันช่างเป็นผู้ที่โชคดีจริงๆ!
ขณะที่มันกำลังประสานมือด้วยความเคารพ ปรมาจารย์เอกะเทวะก็อ้าปากขึ้น ด้วยความรวดเร็วจนมองตามไม่ทัน งับกัดไปที่ตัวมันในทันที
เทียนจีซ่างเหริน และระฆังเทียนจีของมัน ก็ถูกกลืนลงไปในทันที!
เสียงขบเคี้ยวดังออกมาจากปากของปรมาจารย์เอกะเทวะ แต่ไม่มีเสียงแผดร้องด้วยความหวาดกลัวออกมา เมื่อเมิ่งฮ่าวเห็นเช่นนั้น ก็เริ่มหายใจรุนแรงขึ้น ถอยหลังออกไปโดยไม่รู้ตัว เขาคุ้นเคยกับความไร้เหตุผลของปรมาจารย์เอกะเทวะเป็นอย่างยิ่ง
ทันใดนั้น ศีรษะของปรมาจารย์เอกะเทวะ ก็เหวี่ยงไปรอบๆ เพื่อค้นหาเมิ่งฮ่าว มันหยุดลงหลายร้อยหลี่ตรงหน้าเขา จ้องมองมา
เมิ่งฮ่าวเค้นรอยยิ้มออกมา เขาไม่เคยเชื่อในสิ่งที่ปรมาจารย์เอกะเทวะ ได้พูดกับเทียนจีซ่างเหริน แต่ถึงแม้เขาจะไม่เชื่อ สีหน้าของเขาก็ไม่แสดงออกว่า สิ่งที่ปรมาจารย์ได้พูดไปไม่ใช่เรื่องจริง
“ยินดีด้วยกับการออกมาจากการนั่งกัมมัฏฐาน, ท่านปรมาจารย์ พลังอำนาจของท่านครอบคลุมไปทั่ว ท่าน…”
“ตอนนี้เจ้ารู้ความจริงแล้ว, เจ้าหวาดกลัวหรือไม่?” เสียงของปรมาจารย์เอกะเทวะ ดังออกมาราวฟ้าร้อง และมันจ้องไปที่เมิ่งฮ่าว เสียงของมันดังมากจนเกือบจะทำให้หูหนวกได้ จนเมิ่งฮ่าวต้องกระอักโลหิตออกมา
“พวกเจ้าทั้งหมดในสำนักผนึกอสูร ต่างก็เป็นตัวสารเลวกันทั้งสิ้น” ปรมาจารย์เอกะเทวะพูดขึ้นช้าๆ จ้องไปที่เมิ่งฮ่าว ”เจ้าสารเลวพวกนั้นก็เป็นเช่นนี้ และเจ้าก็เป็นเช่นเดียวกัน เด็กน้อย เจ้าหลอกลวงข้า อืม, ลืมมันไปเถอะ ถึงอย่างไร เจ้าก็เป็นศิษย์ของสำนักเอกะเทวะ ให้ข้าอวยพรเจ้าด้วย…”
ขณะที่ปรมาจารย์เอกะเทวะพูดอยู่นั้น ศีรษะของเมิ่งฮ่าวก็เริ่มมึนงง เขาคิดไปถึงสิ่งที่เพิ่งจะเกิดขึ้นกับเทียนจีซ่างเหริน และสมองของเขาก็เริ่มหมุนติ้ว เมื่อเขาพยายามคิดว่าต้องทำอะไรดี
ทันใดนั้น ประกายแห่งความคิดก็แวบขึ้นมา เมื่อเขาจำบางอย่างได้
เขาจำได้ถึงสิ่งที่เด็กผู้หญิง กู๋อี่ติงซานอวี่ ได้พูดกับเขาที่ทะเลเหนือ
“พี่ใหญ่, กลิ่นอายของมัน…ใต้เท้าของท่าน อย่าไปกระตุ้นตอแยมัน โปรดจำไว้…เส้นทางอันยิ่งใหญ่ของการผนึกอสูร, เช่นเดียวกับคัมภีร์”
ในตอนนั้น, เมิ่งฮ่าวไม่เข้าใจคำพูดของนาง แต่ตอนนี้ เขาก็เข้าใจในทันที “มัน” ที่อยู่ใต้เท้าของเขา…ไม่ใช่ใครอื่น นอกจาก ปรมาจารย์เอกะเทวะ!
อย่าไปกระตุ้นตอแยมัน โปรดจำไว้…เส้นทางอันยิ่งใหญ่ของการผนึกอสูร, เช่นเดียวกับคัมภีร์
“เส้นทางอันยิ่งใหญ่ของการผนึกอสูร, เช่นเดียวกับคัมภีร์ อย่าไปกระตุ้นตอแยมัน…” จิตใจของเมิ่งฮ่าวแวบขึ้นราวสายฟ้า เมื่อสิ่งนี้เกิดขึ้น ปรมาจารย์เอกะเทวะก็พูดจบลงพอดี
“…อวยพรเจ้าให้พบกับความโชคดี ข้าต้องตอบแทนเจ้าเป็นอย่างดี!”
ทันทีที่มันพูดจบ เมิ่งฮ่าวก็ยกมือขึ้น ตบลงไปที่ถุงเก็บสมบัติ ทันใดนั้น, หยกผนึกอสูรก็ปรากฎขึ้นอยู่ในมือ
เมื่อมันปรากฎขึ้น สายลมอันรุนแรงก็พัดกรรโชกมาที่ใบหน้าเขา เมื่อสายลมอ่อนจางลง ศีรษะของปรมาจารย์เอกะเทวะ ก็ห่างจากเขาไม่ถึงยี่สิบเจ็ดฉื่อ
ท้ายของศีรษะอันใหญ่โตนี้ ไม่สามารถมองเห็นได้ มีเพียงสิ่งเดียวที่เมิ่งฮ่าวพอจะเห็นได้ก็คือ ผิวหนังเหี่ยวย่นสีดำ และดวงตาที่ใหญ่โตราวกับเมืองขนาดใหญ่
ดวงตาที่ดูเหมือนว่ากำลังดิ้นรนอยู่
“เต๋าโบราณ” เมิ่งฮ่าวรีบพูด ท่องบรรทัดแรกจากแผ่นหยกผนึกอสูรออกมา
”ปรารถนาที่จะปิดผนึกสวรรค์เป็นอย่างยิ่ง; สร้างคุณความดีเพื่อทั้งหมดในขุนเขา; ทัณฑ์แห่งเต๋าที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ ของเก้าขุนเขาและทะเล; จะคงอยู่ชั่วนิรันดร์!”
ขณะที่คำพูดหลุดออกมาจากปากของเมิ่งฮ่าว ปรมาจารย์เอกะเทวะก็ยกศีรษะอันใหญ่โตของมันขึ้น และแผดเสียงร้องดังกระหึ่มก้องออกมา เมื่อคลื่นเสียงกระจายออกไป อากาศในบริเวณนั้นก็ถูกกระแทกจนกลายเป็นระลอก
ทันใดนั้น เครื่องหมายลึกลับเก้าเหลี่ยม ก็ปรากฎขึ้นบนหน้าผากของ ปรมาจารย์เอกะเทวะ เครื่องหมายนี้ดูเก่าแก่โบราณและปรัมปราคร่ำคร่า ฝังลึกเข้าไปในหน้าผากของมัน กระพริบแสงริบหรี่ และร่างของปรมาจารย์เอกะเทวะก็สั่นสะท้าน
“หยุด! คัมภีร์ผนึกอสูร และสำนักผนึกอสูรอันบัดซบ!!” ความดุร้ายปรากฎขึ้นบนใบหน้าของมัน และส่งเสียงแผดร้องที่สั่นสะเทือนไปถึงสวรรค์ออกมาอีก จากนั้นก็จ้องไปที่เมิ่งฮ่าว ซึ่งกำลังมีจิตใจที่หนักอึ้ง เมื่อเขามองกลับไปยังปรมาจารย์เอกะเทวะ
“เจ้าสารเลวพวกนั้น ช่างชั่วร้ายนัก” ปรมาจารย์เอกะเทวะคิดอยู่ภายในใจ
”ถึงแม้ผนึกจะถูกทำลายไปแล้ว แต่เครื่องหมายผนึกนี้ ก็ยังคงฝังแน่นอยู่ในจิตวิญญาณของข้า บังคับให้ข้าต้องเป็นผู้คุ้มครองเต๋า แห่งผู้ผนึกอสูรรุ่นที่เก้า นี่ไม่มีทางเป็นไปได้! สำนักผนึกอสูรได้ทำการต่อต้านสวรรค์ และเกิดพิบัติภัยขึ้นอย่างช่วยไม่ได้ พวกมันเข้าใจว่าเลขเก้า เป็นตัวเลขที่โดดเด่น และศักดิ์สิทธิ์ อันเนื่องมาจากเต๋าแห่งสวรรค์ พวกมันรู้ว่าผู้ต่อต้านอันยิ่งใหญ่ของสวรรค์ จะมาจากผู้ผนึกอสูรรุ่นที่เก้า ดังนั้น พวกมันจึงเตรียมการป้องกันไว้ก่อน โดยให้ข้ากลายเป็นผู้คุ้มครองเต๋า แห่งผู้ผนึกอสูรรุ่นที่เก้า แต่เจ้าเด็กน้อยนี้ อยู่แค่ขั้นรวบรวมลมปราณอันต่ำต้อย! มันจะกลายมาเป็นเจ้านายของข้าได้อย่างไร? เจ้าสารเลวบัดซบพวกนั้น! ที่ข้าต้องเปลี่ยนชื่อจากสำนักผนึกอสูร เป็นสำนักเอกะเทวะ และกำหนดกฎข้อบังคับ เพื่อให้ศิษย์ทั้งหมดของมันตกหลุมพราง ต่อสู้จนตายกันไปเอง ทั้งหมดนี้ ก็หวังว่าจะป้องกันใครบางคน เช่นเจ้าเมิ่งฮ่าวนี้ ปรากฎตัวขึ้น!”
สายหมอกเริ่มลอยขึ้นมาจากทะเลเหนือ ซึ่งแน่นอนว่ามันเป็นส่วนหนึ่งของพื้นดินในแคว้นจ้าว ซึ่งตั้งอยู่บนหลังของปรมาจารย์เอกะเทวะ ด้านในของกลุ่มหมอกนั้น เรือลำหนึ่งก็ปรากฎขึ้นอย่างลี้ลับ ชายชรา และเด็กผู้หญิงยืนอยู่ที่หัวเรือ มองขึ้นไปยังปรมาจารย์เอกะเทวะ พวกมันประสานมือ และโค้งคำนับไปที่ปรมาจารย์เอกะเทวะ ด้วยความเคารพอย่างที่สุด
“กู๋อี่ติงซานอวี่ ขอคารวะท่านปรมาจารย์” เด็กผู้หญิงกล่าว ด้วยเสียงชัดเจน และไพเราะน่าฟัง ดังก้องออกมาพร้อมกับแสง และเสียงแห่งจิตวิญญาณ
“อา, เจ้าคือจิตวิญญาณแห่งสายฝน ที่ตกลงมาในเดือนสามของปีอี่ติงสมัยโบราณนั้น เจ้าตกลงมาบนหลังของข้า…และกลายมาเป็นทะเลสาบ”
เด็กผู้หญิงยิ้ม และพยักหน้า จากนั้นก็มองไปที่เมิ่งฮ่าว และขยิบตาให้
เมิ่งฮ่าวสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ในที่สุด เขาก็เข้าใจถึงความหมาย ชื่อแปลกๆ ของเด็กผู้หญิงนี้แล้วในตอนนี้
ปรมาจารย์เอกะเทวะ ส่งเสียงแค่นอย่างเย็นชาออกมา มองไปที่เด็กผู้หญิง จากนั้นก็จ้องขึ้นไปในท้องฟ้า เมิ่งฮ่าวมองตามขึ้นไป และก็เห็นมีบางสิ่งปรากฎขึ้นเป็นรูปร่างสีแดงโลหิตอันพล่าเลือน
ร่างนั้นประสานมือ และโค้งคารวะไปที่ปรมาจารย์เอกะเทวะ จากนั้นก็หายลับไป
ปรมาจารย์เอกะเทวะ ก้มศีรษะลงมา และมองไปที่เมิ่งฮ่าวอีกครั้ง “ดีมาก, เมิ่งฮ่าว ในวันข้างหน้า เจ้าอยู่ให้ไกลจากข้า!”
มันพ่นลมหายใจออกมาจากปาก ทำให้เมิ่งฮ่าวลอยขึ้นไปในท้องฟ้า เมื่อถูกกระแทกจากสายลมสีดำ เมิ่งฮ่าวก็ถูกโยนออกไปจากแคว้นจ้าว หล่นลงไปยังชายขอบของหลุมยักษ์ที่อยู่บนพื้นโลก
“ไอ้บ้า! ข้าไม่อยากจะเห็นหน้ามัน ชั่วชีวิตของข้า, ข้าจะไม่มีวันถือว่ามันคือเจ้านายของข้า ข้าจะไปจากที่นี่ ยิ่งไกลมากเท่าไหร่ก็ยิ่งดี มันจะไม่มีทางหาข้าพบ สำหรับสมบัติของข้าที่มันเอาไป ก็ดี, ถือว่าเป็นค่าตอบแทนสำหรับพวกมัน หนี้ทั้งหมดของพวกเราถือว่าหายกัน เช่นนี้ก็ดี มันทำให้ข้ารู้สึกดีขึ้นเล็กน้อย และข้าก็สามารถฝึกพลังแห่งเซียนได้ต่อไป”
ดวงตาของปรมาจารย์เอกะเทวะสาดประกาย จากนั้นร่างของมันก็หันกลับ เมิ่งฮ่าวมองไปที่เต่ายักษ์ ที่มีแคว้นจ้าวอยู่บนหลัง กลายเป็นลำแสงขนาดใหญ่…จากนั้นก็หายลับไปในเส้นขอบฟ้า
มันกำลังมุ่งตรงไปยังทะเลเทียนเหอ บางทีนี่อาจเป็นเหตุผลที่ว่า ทำไมเกาะแห่งเซียนถึงได้อุบัติขึ้นมาในตำนาน ถ้ามีใครพยายามค้นหามัน ก็จะไม่มีทางหาพบ แต่เมื่อมันปรากฎขึ้น ใครก็ตามที่ก้าวเท้าขึ้นไปบนเกาะนั้น ก็จะพบว่ามันเป็นเกาะที่มีมนุษย์ธรรมดาอาศัยอยู่
เกาะนั้น แน่นอนว่าเป็น แคว้นจ้าว
เวลาผ่านไป และในที่สุดท้องฟ้าก็เงียบสงบขึ้นอีกครั้ง เมิ่งฮ่าวยืนอยู่ที่นั่น มองลงไปยังหลุมที่กว้างและลึกนั้น จากนั้นก็มองไปยังทิศทาง ที่ปรมาจารย์เอกะเทวะหายตัวไปอย่างเงียบๆ
เวลาผ่านไป และสายฝนก็เริ่มตกลงมาอย่างกระทันหัน ค่อยๆ ไหลลงไปในหลุมยักษ์ ที่เคยเป็นแคว้นจ้าวมาก่อนอย่างช้าๆ หลายปีหลังจากนั้น พื้นที่แห่งนี้ก็จะกลายเป็นทะเล
เมิ่งฮ่าวยืนอยู่ท่ามกลางแผ่นผืน ของสายฝนที่กำลังตกลงมา ถอนหายใจยาวออกมา ภาพแห่งอดีตมากมายแวบผ่านจิตใจ ทุกอย่างดูเหมือนจะน่าเหลือเชื่ออย่างคิดไม่ถึง เมื่อนึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดนี้ ก็เหมือนกับภาพในจินตนาการราวความฝัน
แคว้นจ้าวจากไปแล้ว…เมิ่งฮ่าวมองไปรอบๆ ในสายฝน จากนั้นก็มองขึ้นไปยังท้องฟ้าอันมืดสลัว ครุ่นคิดถึงชีวิตตลอดช่วงสี่ปีที่ผ่านมา
“ข้าเริ่มต้นจากการเป็นนักศีกษา…” เขาพึมพำ ”ชีวิตของข้าก็เหมือนกับหิมะ ข้าอยู่ได้เพียงแค่ในฤดูหนาว ถึงข้าจะใฝ่ฝันถึงฤดูร้อน ของโลกมนุษย์ปุถุชนคนธรรมดา แต่นั่นก็ไม่ใช่ชีวิตของข้าอีกต่อไป…”
หลังจากเวลานานผ่านไป เขาหันหลังกลับ ล้อมรอบไปด้วยสายฝนที่กำลังตกลงมา อีกครั้งที่เขาเริ่มเดินไปบนเส้นทาง ซึ่งนำเขาห่างออกไปจากรากเหง้าดั้งเดิมของตัวเอง
เขาเดินไปอย่างโดดเดี่ยวท่ามกลางสายฝน ในที่สุด ก็ดูเหมือนว่าได้หลอมรวมเข้าเป็นหนึ่งเดียวกับสายฝนนั้น ถึงแม้ว่าจะมีลมร้อนพัดผ่านมา ก็ไม่อาจจะทำอะไรเขาได้ เพราะนี่คือชีวิตของเขาเอง
ชีวิตประกอบไปด้วยประสบการณ์หนึ่ง ต่อด้วยอีกประสบการณ์หนึ่งไปเรื่อยๆ หรืออาจจะพูดได้ว่า ชีวิตคือ ประสบการณ์อันมากมายที่หลอมรวมเข้าด้วยกัน ประสบการณ์ที่แตกต่าง ก็จะนำไปสู่ชีวิตที่ต่างกันออกไป ถ้าใครคนหนึ่งพบเจอกับสายลมแห่งความขมขื่นหนาวเหน็บ คนผู้นั้นก็จะกลายเป็นหิมะ ถ้าใครคนหนึ่งถูกแผดเผาด้วยความร้อน คนผู้นั้นก็จะกลายเป็นสายฝน…
ไม่ว่าประสบการณ์ที่ได้รับในชีวิตคืออะไร มันก็จะปั้นแต่งคนที่พบเจอให้กลายเป็นบุคคลเช่นนั้น นั่นเป็นสิ่งที่ทำให้ชีวิตช่างมหัศจรรย์ยิ่งนัก
“ดินแดนด้านใต้, ข้ามาแล้ว! แต่ก่อนที่ข้าจะไปที่นั่น, ข้าต้องบรรลุขั้นพื้นฐานลมปราณ!” ขณะที่เขาเดินผ่านในสายฝน เขาเงยหน้าขึ้น ดวงตาสาดประกายเจิดจ้า
เขาไม่เคยลืมความตั้งใจอันดื้อรั้นที่จะบรรลุถึงพลังอันแข็งแกร่ง ซึ่งเขาได้มีประสบการณ์ภายใต้หัตถ์ยักษ์ที่กำลังโจมตีลงมาของเทียนจีซ่างเหริน ในโลกแห่งนี้ มีเพียงความแข็งแกร่งเท่านั้น ถึงจะคงอยู่ได้ตลอดไป
“เดี๋ยวนะ, แสงสีแดงโลหิตนั่น มาจากไหน…?”
ด้วยคำถามที่ยังคงวนเวียนอยู่จิตใจ เมิ่งฮ่าวหายลับตาไปยังจุดที่ห่างไกล
…………………………………………….
จบภาคแรก — ปรมาจารย์เอกะเทวะ