สองเดือนผ่านไป เมิ่งฮ่าวนั่งขัดสมาธิอยู่ในถ้ำแห่งเซียนในส่วนลึกของภูเขา ทันใดนั้นเสียงฟ้าผ่าก็ดังขึ้น ส่งผลให้พวกสัตว์ป่าที่อยู่ในบริเวณนั้นแตกกระเจิงกันออกไป แผ่นหินขนาดใหญ่ที่เขาได้ตัดมาเพื่อปิดปากถ้ำ ทันใดนั้นก็แตกกระจายกลายเป็นชิ้นๆ
เศษหินสาดกระจายออกไปในทุกทิศทางเมื่อเมิ่งฮ่าวได้โผล่ออกมาจากถ้ำแห่งเซียน ผมของเขาห้อยลงมาราวกับเสื้อคลุมรอบๆชุดยาวนักศึกษา ดวงตาของเขาส่องประกายคล้ายสายฟ้า รังสีที่สร้างความตกตะลึงให้แก่ผู้ที่พบเห็น และกลิ่นหอมอันน่ารื่นรมย์ ก็แผ่กระจายออกมาจากร่างของเขา
ความปิติยินดีปรากฎเต็มอยู่บนใบหน้า หลังจากที่ได้นั่งเข้าฌาณเพียงลำพังเป็นเวลานาน เขาก็ส่งเสียงหัวเราะซึ่งดังก้องไปทั่วและส่งผลให้สัตว์ป่าวิ่งกันกระเจิงออกไปไกล
“ระดับแปดของการรวบรวมลมปราณ!” เขากล่าว กำหมัดจนแน่น ดวงตาสาดแสงจ้า ซึ่งจะมองเห็นได้ชัดเจนมากยิ่งขึ้นถ้าเป็นเวลากลางคืน
เวลาสองเดือนแห่งการเข้าฌาณ เริ่มขึ้นจากความวิตกกังลและอันตรายที่ใกล้เข้ามา ความรู้สึกนั้นค่อยๆ หายไปอย่างช้าๆ เมื่อเขาได้ฝึกฝนตนเอง และใช้หินลมปราณมากกว่าหนึ่งหมื่นก้อน เพื่อสร้างเม็ดยาเพิ่มขึ้น ซึ่งเขาได้เอาไปใช้ในการเข้าฌาณ
เขาไม่ต้องการที่จะตกอยู่ในสถานการณ์ที่อันตรายอีกครั้ง เขาจำเป็นต้องกลายเป็นผู้ที่แข็งแกร่ง ถึงจะก้าวข้ามบุคคลที่มาคุกคามเขาได้
“ข้าต้องเป็นผู้แข็งแกร่ง ไม่มีอย่างอื่นนอกจาก ต้องแข็งแกร่งขึ้นเท่านั้น!”
เขายืนอยู่ด้านนอกของถ้ำแห่งเซียน หายใจเอาอากาศบริสุทธิ์ของภูเขาเข้าไป ดวงตาเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น
เขาเคยเป็นนักศึกษาธรรมดา เป็นศิษย์ของลัทธิขงจื๊อ แต่สามปีที่ผ่านมาทำให้เขาต้องมุ่งเน้นไปที่การฝึกฝนภายในร่างกายของตัวเอง หลังจากที่เขาได้พบเจอเหตุการณ์ต่างๆ มากมาย บุคลิกของเขาก็ได้แตกต่างไปจากเดิมเป็นอย่างมาก ความยืนกรานดื้อรั้นในตอนนี้ก็เห็นได้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น
เขาเคยยืนกรานที่จะปฏิเสธการยอมแพ้ หลังจากสอบตกในการแข่งขันคัดเลือกขุนนาง เขาเคยยืนกรานที่จะต่อสู้ในสำนักเอกะเทวะ เขาเคยยืนกรานเมื่อยืนต่อหน้าหวังเถิงเฟย และตอนนี้เขายืนกรานในความหวังสำหรับอนาคต
การจะกลายเป็นผู้แข็งแกร่ง ก็เช่นเดียวกับการกลายเป็นผู้ร่ำรวย มันเป็นความฝันที่ไม่ต้องการเหตุผล ถ้าเหตุผลเป็นสิ่งที่จำเป็น บางทีมันก็จะเกิดความกลัวต่อการเป็นคนยากจนหรืออ่อนแอ นั่นคือสิ่งที่เมิ่งฮ่าวศรัทธาเชื่อถือ
“ชีวิตก็คือเปลวไฟที่เผาไหม้อยู่ตลอดเวลา เต็มไปด้วยความเจริญงอกงาม ในการมีชีวิตอยู่ คนผู้นั้นต้องเข้มแข็ง และต้องไม่ยอมก้มหัวให้ใครหรือสิ่งใด” เขามองขึ้นไปบนท้องฟ้า คิดถึงเกี่ยวกับสำนักเอกะเทวะ เขาคิดไปถึงความหยิ่งผยองของผู้ฝึกตนจากแคว้นจ้าว เขาคิดไปถึงความเย็นเยียบของบุคคลที่พยายามจะสังหารเขา เขาคิดไปถึงการจ้องมองของผู้พิทักษ์เต๋าวัยกลางคน ซึ่งยืนอยู่ข้างหวังเถิงเฟยในคืนนั้น
“มารดาและบิดาของข้า หายตัวไปเมื่อข้ายังเยาว์วัย ถ้าข้าไม่ยืนกรานที่จะพัฒนาตัวเอง ข้าก็คงจะไม่มีชีวิตรอดมาจนถึงวันนี้ แต่ข้าอาจจะฆ่าตัวตายเพราะความสิ้นหวังไปแล้ว ถ้าข้าไม่ยืนกรานที่จะแข็งแกร่งขึ้นตลอดช่วงเวลาที่อยู่ในสำนักเอกะเทวะ ข้าก็ไม่มีวันที่จะได้กลายเป็นศิษย์สายในของสำนัก ความดื้อรั้นยืนกรานเรียกร้องให้ต้องปรับปรุงพัฒนาตัวเอง นี่เป็นหนทางที่จะมุ่งไปสู่อนาคตของข้า”
เขาปล่อยลมหายใจยาวออกมา จากนั้นก็ยกมือขึ้นและสะบัดชายแขนเสื้อ ลำแสงสีดำก็ปรากฎขึ้นรวมตัวกันเป็นตะปูสีดำ เปล่งประกายสีดำออกมา พุ่งตรงไปที่หินใหญ่ที่อยู่ใกล้ๆ บริเวณนั้น
เสียงระเบิดดังออกมา และหินก้อนใหญ่ซึ่งสูงมากกว่าห้าสิบสี่ฉื่อ ก็ทรุดตัวลงมาเป็นชิ้นๆ กระจายไปด้วยชิ้นส่วนของน้ำแข็งสีดำ พวกมันตกลงไปบนพื้น ปรากฎเป็นความหนาวเย็นอันรุนแรงแผ่ออกมา
ด้วยการดูอย่างพึงพอใจ เมิ่งฮ่าวโบกสะบัดมือ ตะปูสีดำก็ลอยกลับมาหาเขา เขาโบกสะบัดมืออีกครั้ง และครั้งนี้ลำแสงหลากสีก็หมุนวนอยู่รอบๆ ร่างของเขา พัดขนนกก็ปรากฎขึ้น ลอยกลับด้านหลัง ตรงไปด้านหน้าตามการเคลื่อนไหวของนิ้วมือ ทันใดนั้น เกิดเสียงดังขึ้นเมื่อพัดขนนกแยกกระจายออกมา
ลำแสงสิบหกลำหมุนเป็นวงกลมอยู่รอบตัว ขนนกทั้งสิบหกชิ้นก็คล้ายเป็นกระบี่บิน หมุนวนอย่างรวดเร็วและรุนแรง พวกมันขยับตามการเคลื่อนไหวของมือเขา หมุนปั่นอย่างรวดเร็วรอบๆ ร่างของเมิ่งฮ่าว สร้างเป็นเกราะคุ้มกันอันแข็งแกร่ง จากพลังลมปราณของเขาที่แผ่พุ่งเข้าไป
จากนั้นขนนกก็กลับมาเป็นพัดเหมือนเดิม และตกลงมาวางนิ่งบนมือของเขา
“โชคร้ายที่ข้ามีหินลมปราณไม่พอ เจ้ากระจกทองแดงกินพวกมันไปหมด การคัดลอก ตี้หลิงตาน (เม็ดยาลมปราณปฐพี) หนึ่งเม็ด ใช้หินลมปราณหนึ่งร้อยก้อน ก็ไม่เลวนัก, เทียนสุ่ยตาน (เม็ดยาวารีสวรรค์) ยาชนิดนี้ช่วยได้มากเมื่อบรรลุถึงระดับแปดของการรวบรวมลมปราณ แต่ก็ใช้หินลมปราณตั้งห้าร้อยก้อน ค่อนข้างแพงยิ่งนัก…”
เมื่อคิดถึงหินลมปราณ เขาก็ขมวดคิ้ว ด้วยจำนวนหนึ่งหมื่นก้อนที่เขามี ตอนนี้ยังมีเหลืออยู่ไม่มากนัก ช่วงเวลาสองเดือนที่เขาใช้ในการก้าวข้ามระดับเจ็ดจนไปถึงระดับแปด ก็ได้กินเม็ดยาตี้หลิงไปมากกว่าแปดสิบเม็ด ซึ่งเกือบจะเป็นการกินสองเม็ดต่อหนึ่งวัน ก่อนที่เขาจะบรรลุถึงระดับแปดของการรวบรวมลมปราณ
“ในวันข้างหน้า” เขาพึมพำกับตัวเอง “ข้าก็ต้องใช้พลังลมปราณมากขึ้นเพื่อก้าวข้ามระดับสูงๆ ขึ้นไป” เมื่อมองเข้าไปด้านในของถุงเก็บสมบัติ ก็ยืนยันได้ว่าเขามีเม็ดยาเทียนสุ่ยเหลือเพียงแค่ห้าเม็ด เขาได้กินไปหนึ่งเม็ด และจากการคำนวณคร่าวๆ ว่า ถ้าจะบรรลุถึงระดับเก้าของการรวบรวมลมปราณ ก็ต้องใช้เม็ดยาเทียนสุ่ยถึงหนึ่งร้อยห้าสิบเม็ด
“ข้ารู้ว่าข้าต้องการพลังลมปราณที่มากมายยิ่งนัก แต่เป็นเพราะว่าข้าได้กินแกนอสูรเข้าไปมากเกินไป จึงทำให้ร่างกายของข้าไม่ยอมรับเม็ดยาหรือไม่?” เขาลังเล ไม่แน่ใจว่าจะยืนยันความคิดนี้ได้อย่างไร ถ้ามันเป็นเรื่องจริง เขาก็อาจจะต้องใช้เม็ดยาเทียนสุ่ยมากกว่าที่คิดคำนวณไว้ หรือบางทีอาจจะต้องใช้เม็ดยาชนิดอื่นแทน
“เม็ดยาเทียนสุ่ยถึงหนึ่งร้อยห้าสิบเม็ด…นั่นเท่ากับหินลมปราณเจ็ดหมื่นก้อน…แต่ถ้าไม่มีเม็ดยาพวกนี้, ข้าก็ต้องใช้เวลานานมาก กว่าจะรวบรวมพลังลมปราณด้วยตัวเองได้ รวมถึงพรสวรรค์ที่อยู่ในระดับธรรมดาของข้า ซึ่งก็หมายความว่ามันต้องใช้เวลานานมากขึ้นไปอีก…” เขาถึงกับต้องถอนหายใจออกมา เมื่อคิดเกี่ยวกับถุงเก็บสมบัติที่ว่างเปล่า
เขามีหินลมปราณขนาดใหญ่พิเศษสามก้อนหรือมากกว่านั้น แต่เขาก็ไม่กล้าจะใช้มัน ยิ่งเขามีความก้าวหน้าในการฝึกตน เขาก็ยิ่งตระหนักถึงความใจร้อนไม่รอบคอบในการลอกเลียนแบบกระบี่ไม้เมื่อปีที่ผ่านมา เห็นได้ชัดว่าหินลมปราณขนาดใหญ่นี้เป็นของที่พิเศษอย่างไม่ธรรมดา มิฉะนั้นเขาก็คงไม่สามารถลอกเลียนแบบกุญแจหยกผลึกโลหิตได้อย่างแน่นอน
“ข้าจะไม่ใช้หินลมปราณขนาดใหญ่นี้ จนกว่ามันจะถึงคราวจำเป็นจริงๆ” เขาพูดอย่างเฉียบขาด “บางทีพวกมันอาจจะมีประโยชน์อย่างอื่นในวันข้างหน้า” พัดที่อยู่ใต้เท้าของเขาเริ่มที่จะส่องแสงสว่างขึ้นมา และร่างของเขาก็กลายเป็นลำแสงพุ่งออกไปยังที่ห่างไกล
เขาออกเดินทางไปอย่างเงียบๆ โคจรพลังลมปราณให้หมุนเวียนไปทั่วร่าง ในที่สุด แสงของพัดวิเศษก็เริ่มจางลง และเริ่มเปลี่ยนเป็นพัดธรรมดามากขึ้น เมื่อเขาเคลื่อนที่ไปไกลขึ้น และไกลมากยิ่งขึ้น เขาก็เริ่มสบายใจมากขึ้นกว่าเดิม
“หลังจากผ่านมาหลายเดือน ศิษย์สำนักจื่อยิ่น (ชะตาม่วง) คงจากไปหมดแล้วอย่างแน่นอน” เขาเดินทางไปด้วยความระวังตัว ในที่สุดก็โผล่ออกมาจากเทือกเขา มองไปยังที่ห่างไกลออกไป ถ้าเขาจำไม่ผิด พื้นที่แถบนี้น่าอยู่จะใกล้เคียงกับเมืองหลวงของแคว้นจ้าว
เมื่อนานมาแล้ว เขามีความปรารถนาตลอดทั้งกลางวันและกลางคืนที่จะไปที่เมืองหลวง ความต้องการนี้เป็นความฝันอันดับสองของเขา รองจากการไปท่องเที่ยวที่อาณาจักรต้าถังในดินแดนตะวันออก เขาถอนหายใจออกมาเมื่อคิดไปถึงการสอบในสามปีนั้น และเป็นช่วงเวลาสามปีแห่งการล้มเหลว ไม่เคยแม้แต่จะได้เข้าไปสอบในรอบสุดท้ายที่เมืองหลวง อีกสามปีต่อมาก็ได้ผ่านไป และในที่สุดเขาก็มาถึงแล้วในตอนนี้ ไม่ได้เป็นนักศึกษา แต่เป็นผู้ฝึกตน
เมื่อเขามาใกล้จะถึงเมืองหลวง เขาก็หยุดการเหินบิน และเริ่มเดินไปตามถนนใหญ่ เขามัดรวบผมให้เรียบร้อย และด้วยชุดนักศึกษา ก็ทำให้เขาดูเหมือนนักศึกษาคนเดิมที่เขาเคยเป็น ถึงแม้ว่าเมื่อก่อนเขาค่อนข้างจะไม่สูงมาก หลังจากผ่านการฝึกตนมาหลายปี ทำให้ตอนนี้สูงและหุ่นดีสมส่วน ผิวก็ยังคงคล้ำอยู่เล็กน้อย แต่ก็ดูแข็งแรงให้ความรู้สึกกระฉับกระเฉงออกมา
เขาเดินไปด้วยความเหม่อลอย ขณะนี้เป็นช่วงเดือนสาม ซึ่งมักจะมีหิมะตกลงมาในแคว้นจ้าว เมื่อเมิ่งฮ่าวเดินไป ความมืดของยามเย็นก็เริ่มปกคลุมไปรอบๆ บริเวณนั้น และเกล็ดหิมะก็เริ่มค่อยๆ ตกลงมาอย่างช้าๆ
ในที่สุด พื้นดินก็ปกคลุมเต็มไปด้วยสีขาว ราวกับผ้าห่มขนนก
สายลมพัดพาหิมะลอยมาอยู่บนศีรษะของเมิ่งฮ่าว มันไม่ได้ละลายไป แต่เริ่มรวมตัวเข้าด้วยกันมากขึ้น
ทุกที่ทางนิ่งเงียบและสงบ เมื่อเขาเดินเข้าใกล้ และใกล้มาเรื่อยๆ ที่กำแพงเมืองหลวง รถม้าคันหนึ่งแล่นใกล้เข้ามาทางด้านหลังของเขา เพิ่มความเร็วมากยิ่งขึ้น ราวกับว่าบุคคลที่อยู่ในรถม้าเกรงว่าประตูเมืองกำลังจะปิดในไม่ช้านี้
รถม้าผ่านเมิ่งฮ่าวไป เตะคลื่นของเกล็ดหิมะลอยขึ้นมาตามทางที่ผ่านไป เมื่อมันผ่านพ้น สายลมก็โชยพัดให้ผ้าม่านของประทุนรถให้ลอยขึ้น เผยให้เห็นนักศึกษาหนุ่มกำลังนั่งอ่านตำราอยู่ภายใน
เมิ่งฮ่าวมองไปที่มันอย่างสงบเงียบ นึกถึงรูปลักษณ์ที่คล้ายกันนี้ของเขาเมื่อหลายปีที่ผ่านมา ณ ขณะนี้ ดูจากภายนอกเมิ่งฮ่าวมีอายุยี่สิบแล้วอย่างเห็นได้ชัดเจน แต่ภายใน เขารู้สึกว่าแก่กว่านี้มาก
เขาถอนหายใจออกมาอย่างแผ่วเบา ด้านหน้า, รถม้าหยุดลง และผ้าม่านก็เลิกขึ้น นักศึกษาหนุ่มน้อยผู้นั้นมองกลับมาที่เขา จากนั้นก็ก้าวลงมาจากรถม้า และคำนับเมิ่งฮ่าวด้วยการประสานมือ
“ท่านพี่, ท่านกำลังจะไปยังเมืองหลวงเพื่อสอบเป็นขุนนางใช่หรือไม่?”
เมิ่งฮ่าวรีบคำนับตอบกลับไป “หลายปีที่ผ่านมา ข้าฝันที่จะทำเช่นนั้น แต่ความฝันเหล่านั้นก็นานมากแล้ว จนกระทั่งจางหายไป ข้าแค่ต้องการจะไปดูเจดีย์แห่งถังเท่านั้น”
“ช่างน่าเสียดายนัก, ท่านพี่” มันกล่าว ดูท่าทางเสียใจ “กิริยาท่าทางของท่านดูสุภาพเรียบร้อย ข้าคิดว่าบางทีพวกเราจะเป็นสหายร่วมสมัครสอบกันได้ ท่านแน่ใจหรือว่า ต้องการยกเลิกในการเป็นขุนนาง?” นักศึกหนุ่มดูแล้วก็น่าจะมีอายุเท่ากับเมิ่งฮ่าว
เมิ่งฮ่าวส่ายศีรษะอย่างเงียบงัน
“อืม, ไม่เป็นไร” นักศึกหนุ่มกล่าว มันมองดูท่าทางแบบนักศึกษาของเมิ่งฮ่าว และยิ้มอย่างอบอุ่นออกมา “หิมะเริ่มตกหนักขึ้นเรื่อยๆ และก็ทำให้ยากและยากมากขึ้นเรื่อยๆ ในการเดินทางไปตามถนน ถ้าสายมากไป ท่านก็ไม่สามารถเข้าเมืองได้ พี่ท่าน, ทำไมไม่เข้ามานั่งในรถกับข้า? พวกเราน่าจะมีเวลาพอที่จะเข้าไปในเมืองได้”
เมิ่งฮ่าวมองขึ้นไปบนท้องฟ้า จากนั้นก็มองกลับไปยังนักศึกษาผู้นั้น เขาโค้งคำนับแสดงถึงความนับถือเป็นอย่างยิ่ง จากนั้นก็ก้าวขึ้นไปในประทุนรถ
เปลวไฟปะทุอยู่ในเตาถ่านเล็กๆ ด้านใน ขจัดความหนาวเย็นอันรุนแรงออกไป ควบคู่ไปกับความจริงที่ว่า มีคนรับใช้เก่าแก่ของตระกูลมาช่วยขับรถม้า ทำให้เห็นได้ชัดว่านักศึกษาผู้นี้มาจากตระกูลที่ร่ำรวย
สารถีชราสวมใส่หมวกที่สานจากไม้ไผ่ และมีมือที่หยาบใหญ่หนา ดูเหมือนว่าน่าจะเป็นผู้ที่ได้ฝึกวรยุทธ์มาบ้าง
“ข้ามีนามว่าเจิ้งยง” นักศึกษากล่าวด้วยรอยยิ้ม ถูมือเพิ่มความอบอุ่นไปมา “ท่านพี่ไม่ต้องเกรงใจหรอก พวกเราต่างก็เป็นนักศึกษา และนักศึกษาก็ควรจะช่วยเหลือซึ่งกันและกัน เมื่อไหร่ก็ตามที่เป็นไปได้”
“ข้านามว่าเมิ่งฮ่าว” เขากล่าวพร้อมกับยิ้มเล็กน้อย “ขอบคุณท่านมาก, ท่านพี่เจิ้ง” เขามองไปที่ตำราซึ่งวางอยู่ด้านข้างของเจิ้งยง มันคือตำราหลี่จี้ ซึ่งดูเก่าแก่เป็นอย่างมาก และเห็นได้ชัดว่าไม่ใช่ฉบับคัดลอก แต่น่าจะเป็นตำราฉบับโบราณดั้งเดิม
“ท่านแซ่เมิ่ง?” เจิ้งยงกล่าวด้วยสีหน้าที่สดใส ภายในประทุนรถค่อนข้างจะคับแคบ แต่มันก็ยังคงยืนขึ้น และคารวะเมิ่งฮ่าวด้วยความเคารพ “ด้วยแซ่ซึ่งมีเกียรติภูมิอันสูงส่งเช่นนี้ ท่านต้องเป็นลูกหลานของชิ่งฟู่เป็นแน่! การไร้ซึ่งมารยาทของข้าก่อนหน้านี้ ขอให้ท่านพี่เมิ่งโปรดให้ขภัยข้าด้วย”
เมิ่งฮ่าวยืนขึ้นและคารวะกลับคืนไป “ไม่มีความจำเป็นที่จะทำเช่นนี้ ท่านพี่เจิ้ง มันก็เป็นแค่แซ่ บรรพบุรุษของข้าอาจจะเป็นลูกหลาน แต่สำหรับข้า, ข้าได้สอบตกครั้งแล้วครั้งเล่า ทำให้ข้ารู้สึกละอายใจเป็นอย่างยิ่ง” ทั้งสองนั่งกลับลงไป
“ท่านพี่เมิ่ง, เมื่อครู่นี้ท่านกล่าวผิดไปแล้ว” เจิ้งยงกล่าวอย่างเคร่งขรึม “แซ่ของท่าน จะนำท่านไปสู่ความโชคดี มันได้ส่งผ่านมาสู่ท่านจากครั้งโบราณกาล ด้วยการเป็นลูกหลานของชิ่งฟู่ ถึงแม้ว่าท่านไม่สามารถสอบผ่านได้ แต่ตราบเท่าที่ท่านยังมีความเมตตา และคุณธรรมอยู่ภายในใจ ท่านก็สามารถมีชีวิตอยู่อย่างมีคุณค่าตามหลักของท่านขงจื๊อ”
เมิ่งฮ่าวคิดอย่างเงียบๆ ไปชั่วครู่ จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นมองไปที่นักศึกษาที่นั่งอยู่เบื้องหน้า “ท่านพี่เจิ้ง” เขากล่าวเสียงแผ่วเบา “อะไรคือความหมายที่แท้จริงของลัทธิขงจื๊อ?”
“มารยาท, เมตตากรุณา, ความจงรักภักดี และการรักษาจิตวิญญาณ” มันตอบโดยไม่ลังเล “ทั้งหมดนี้คือลัทธิขงจื๊อ”
เมิ่งฮ่าวไม่ตอบ เขามองผ่านผ้าม่านออกไปยังเกล็ดหิมะซึ่งลอยอยู่เต็มในอากาศ หลังจากผ่านไปสักพัก เขาก็พูดขึ้นอีกครั้งด้วยเสียงเย็นชา “แล้วความหมายของชีวิตคืออะไร?”
“ชีวิต?” เจิ้งยงกล่าว ดูแปลกใจ มันลังเลอยู่ชั่วครู่ ไม่กล่าวอะไรออกมาอีก
ด้านในประทุนรถม้าเริ่มเงียบลง ได้ยินแต่เสียงของหิมะที่ตกลงมา เมื่อลอยผ่านหน้าต่างเข้ามา เมิ่งฮ่าวก็ยกมือขึ้นและยื่นออกไปด้านนอก เกล็ดหิมะก็สะสมอยู่บนมือของเขา
“หิมะมีอยู่เพียงแค่ช่วงฤดูหนาว” เขากล่าวเสียงแผ่วเบา “และคงอยู่ได้เพียงแค่ในสายลมหนาว ดังนั้น ชีวิตของมันก็จะคงอยู่ได้เพียงแค่ช่วงฤดูหนาวเท่านั้น” เขาดึงมือกลับเข้ามาในประทุนรถ และยื่นมือเข้าไปใกล้เตาถ่านนั้น หิมะก็เริ่มละลาย กลายเป็นหยดน้ำ ซึ่งไหลผ่านร่องรอยบนฝ่ามือของเขา
“หิมะมีชีวิตอยู่แค่ช่วงฤดูหนาวเท่านั้น เมื่อมันเข้าไปใกล้ไฟ มันก็ตาย นั่นก็คือชีวิตของมัน มันอาจจะใฝ่ฝันอยากจะอยู่ถึงฤดูร้อน แต่…มันก็ทำได้เพียงแค่คิดเท่านั้น ในมือของข้า หิมะได้กลายเป็นน้ำ เพราะว่านี่ไม่ใช่โลกของมัน…” เขายกมือกลับมา และสะบัดน้ำออกไปด้านนอกหน้าต่าง ที่นั่น ด้วยสายตาที่มองอยู่ของนักศึกษาหนุ่ม มันก็กลายเป็นหิมะขึ้นอีกครั้ง
เจิ้งยงจ้องมองราวเป็นใบ้ ความลึกล้ำปรากฎอยู่ในดวงตาของมัน ในที่สุด รถม้าก็ผ่านเข้าเมืองไป
“ขอบคุณที่ให้ข้านั่งมาด้วย, ท่านพี่เจิ้ง” เมิ่งฮ่าวกล่าวเสียงเย็นชา “ข้าต้องไปแล้ว” เขาคารวะอย่างสุภาพ และก้าวเท้าลงมาจากประทุนรถ จากนั้นก็ย่างเท้าข้ามถนนที่เต็มไปด้วยหิมะออกไป
“ใฝ่ฝันถึงฤดูร้อน” เจิ้งยงพึมพำกับตัวเอง “แต่คงอยู่ได้เพียงในความหนาวเหน็บของฤดูหนาว ทำได้เพียงแค่มองออกไปยังที่ห่างไกล…นั่นคือหิมะ” มันมองเมิ่งฮ่าวหายลับไปในที่ห่างไกล หลังจากนั้นสักพัก มันก็ลงจากประทุนรถและโค้งตัวลงต่ำคารวะไปยังทิศทางที่เมิ่งฮ่าวหายไป
หิมะเริ่มปกคลุมตัวมัน แต่มันก็รู้ว่าเมื่อไหร่ที่มันกลับเข้าไปในประทุนรถ หิมะก็จะตายไป มันไม่มีทางที่จะลืมสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้นนี้ และสิ่งที่เพิ่งจะได้เห็นและได้ยิน หลายปีหลังจากนี้ หลังจากที่มันกลายเป็นสานุศิษย์ของขงจื๊อในแคว้นจ้าว มันก็คงคิดกลับไปถึงราตรีในฤดูหนาวที่มีสายลมแรง เมื่อได้เห็นหิมะที่ค่อยๆ ละลายกลายเป็นน้ำ และมันก็จะคิดถึงนักศึกษานามว่า เมิ่งฮ่าว