เมิ่งฮ่าวรู้สึกค่อนข้างขัดแย้งกันเองอยู่ภายในใจ เขายืนอยู่บนพัดวิเศษที่เพิ่งจะได้มา ใช้พลังลมปราณมากที่สุดเท่าที่จะรวบรวมได้แผ่พุ่งเข้าไปในตัวพัด เพื่อหนีไปด้วยความเร็วสูงสุด เขากลัวว่าถ้าเขาช้ากว่านี้แม้แต่นิดเดียว เขาก็จะถูกโจมตีและแย่งชิงของทั้งหมดไป
“ครั้งแรกข้าได้ล่วงเกินซ่งเหล่าไกว้” เมิ่งฮ่าวกล่าว “จากนั้นก็เป็นสำนักจื่อยิ่น (ชะตาม่วง)…แต่มันไม่ใช่ความผิดของข้า พวกมันบังคับข้าให้แลกเปลี่ยนกันเอง” ภายในใจ เขาคิดว่าตัวเองไม่ผิด ในเวลานั้น เขาไม่มีทางเลือกยังไงก็ต้องแลกหอกนั่น…ถอนหายใจครั้งแล้วครั้งเล่า, เขาพยายามไปให้เร็วขึ้น ใกล้เข้าไปมากขึ้น และมากขึ้นกับเทือกเขาเกราะแห่งแคว้น
“ข้าต้องหาสถานที่เพื่อหลบซ่อนตัวสักพัก ถ้ามีใครบางคนไล่ตามมา ข้าก็จะตกอยู่ในอันตรายเป็นอย่างยิ่ง…” เมิ่งฮ่าวขมวดคิ้ว พลังของพัดวิเศษได้จางหายไป และเขาก็ร่อนลงไปที่พื้น ซ่อนพัดไว้และเริ่มออกวิ่ง
“เมื่อไหร่นะข้าถึงจะก้าวไปขั้นพื้นฐานลมปราณ? ถึงตอนนั้นข้าก็จะเหาะได้อย่างแท้จริง!”
สองวันผ่านไป ช่วงเวลานั้นเมิ่งฮ่าวไม่ได้พักเลยแม้แต่น้อย เขาวิ่งไปตลอดเวลา คิดไปว่าเขาไม่ได้พักเลยสักนิดได้อย่างไร ตอนที่ซ่างกวนซิวไล่ตามเขามาตั้งแต่ภูเขาต้าชิง แต่ตอนนั้นเขาไม่มีทางเลือก คิดไปว่าจะเกิดอะไรขึ้นถ้าเขาไม่ได้คิดไปในทางเลวร้ายที่สุดในตอนนั้น
ในขณะเดียวกันนั้นเอง ลึกเข้าไปในเทือกเขาเกราะแห่งจ้าว บนลานกว้างข้างๆ ภูเขาสมบัติ อู๋ติงชิวถือเม็ดโกะอยู่พร้อมยิ้มอย่างมีความสุข หลังจากที่ใช้ความคิดไปไม่ต่ำกว่าครึ่งชั่วยาม มันก็ค่อยๆ วางเม็ดหมากไปบนกระดาน
ใบหน้าของซ่งเหล่าไกว้แข็งกระด้างราวแผ่นเหล็ก ด้วยการแค่นเสียงอย่างเย็นชา มันก็กระแทกเม็ดหมากไปบนกระดาน
“ซ่งเหล่าไกว้ พลังการฝึกตนของท่านสูงส่ง ไม่ควรที่จะปล่อยให้ตัวเองอยู่ในอารมณ์เช่นนี้” อู๋ติงชิวลูบเคราไป ก็หัวเราะไปด้วย มันดูนิ่งสงบเหมือนกับสายลมเย็น “ผู้ฝึกตนเช่นพวกเรา ควรจะระงับลมปราณและทำจิตใจให้เรียบสงบ ถึงแม้ว่าจะมีภูเขาจะถล่มอยู่รอบๆ ตัว สีหน้าของพวกเราก็ไม่ควรเปลี่ยน แต่ดูท่านสิ! ท่านไม่สบายใจเนื่องจากเด็กรุ่นหลังที่ไม่รู้ว่าเป็นใคร?”
“ถ้าพวกเราสับเปลี่ยนกัน ท่านก็จะเป็นเช่นเดียวกัน” ซ่งเหล่าไกว้กล่าวด้วยความขุ่นเคือง
“ไม่มีทาง! ถ้าข้า, อู๋ อยู่ในสถานการณ์เช่นท่าน ข้าก็จะยกย่องชมเชยมัน และจะไม่รู้สึกโกรธอย่างเด็ดขาด ในสำนักจื่อยิ่น พวกเราฝึกการควบคุมอารมณ์ และจะไม่ยอมให้บางสิ่งบางอย่างเช่นนี้มากระตุ้นโทสะของพวกเราได้อย่างง่ายดาย ไม่ต้องโมโห ซ่งเหล่าไกว้, แต่ถ้าท่านยังเป็นเช่นนี้อยู่ต่อไป ท่านก็ต้องมาเรียนรู้จากสำนักจื่อยิ่นบ้างแล้ว” อู๋ติงชิว หัวเราะ เห็นได้ชัดว่าค่อนข้างมีความสุขกับตัวของมันเอง
“เช่นนี้เป็นอย่างไร” มันกล่าวต่อ “หลังจากที่พวกเราจบการเล่นโกะครั้งนี้ ท่านก็ไปที่สำนักจื่อยิ่นพร้อมข้า ข้าจะยอมให้ท่านอ่านตำราคุณธรรมแห่งการฝึกตนของสำนัก ท่านจะได้เข้าใจความหมายของคำว่า ระงับลมปราณและทำจิตใจให้เรียบสงบ” รอยยิ้มของอู๋ติงชิวกว้างซะจน รอยย่นปรากฎบนใบหน้าของมันมากมาย
ซ่งเหล่าไกว้แค่นเสียงต่ำอยู่ในลำคอ ไม่ยอมที่จะตอบคำ และมองอย่างเรียบๆ ไปยังที่ห่างไกล รอยยิ้มของอู๋ติงชิวเข้มข้นขึ้น และมันก็มองไปยังที่ไกลออกไปเช่นเดียวกัน อย่างรวดเร็ว เงาร่างสองสายก็มองเห็นได้วิ่งทะลุป่าตรงเข้ามาหาพวกมัน มันก็คือ เชียนสุ่ยเหิน และหลู่ซ่ง พวกมันจับหอกเหล็กอยู่ระหว่างกลางมุ่งหน้าเป็นเส้นตรงมาที่ลานกว้างนี้ ตามมาด้วยกลุ่มศิษย์สำนักจื่อยิ่นคนอื่นๆ
เชียนสุ่ยเหิน และหลู่ซ่งย่างเท้าก้าวขึ้นไปบนลานกว้าง และทั้งสองก็เริ่มพูดขึ้นมาพร้อมกันว่า
“คารวะผู้อาวุโสอู๋, ศิษย์ทำงานสำเร็จลุล่วง ได้ของวิเศษจากการแลกเปลี่ยนมาแล้ว”
“คารวะผู้อาวุโสอู๋, โชคดี ที่ศิษย์ทำหน้าที่ได้ไม่พลาด แลกหอกมาได้”
ซ่งเหล่าไกว้มีสีหน้าดุร้ายน่ากลัว ในขณะที่อู๋ติงชิวส่งเสียงหัวเราะดังออกมา
“ยอดเยี่ยม ทำได้ดีมาก เจ้าทั้งสอง” มันหัวเราะ “ข้าจะนำมันไปด้วยตัวเอง เพื่อเลื่อนขั้นเจ้าทั้งสองคนให้เป็นศิษย์สายใน พวกเจ้าไม่ได้สร้างความลำบากใจให้กับเจ้าเด็กนั่น ใช่หรือไม่?”
“ศิษย์ของรายงานว่า พวกเราทำการแลกเปลี่ยนกันอย่างยุติธรรม” เชียนสุ่ยเหินรีบเอ่ยขึ้น ข้างกายมัน หลู่ซ่งก็พยักหน้าอย่างหนักแน่น ดูท่าทางตื่นเต้น “พวกเราไม่ได้สร้างความเดือดร้อนให้มันเลย”
“ซ่งเหล่าไกว้ มา, มาดูของวิเศษนี้ด้วยกัน, หอกศักดิ๋สิทธิ์” อู๋ติงชิวหัวเราะ มันสะบัดแขนเสื้อ และหอกเหล็กก็ลอยเข้าไปหามัน
ทันทีที่หอกเหล็กสัมผัสกับมือของมัน สีหน้าของอู๋ติงชิวก็เปลี่ยนไป ดวงตาของมันแวบขึ้นเมื่อมันตรวจสอบเข้าไปใกล้ๆ ซ่งเหล่าไกว้ที่มีสีหน้าน่ากลัวก็มองใกล้เข้าไปเช่นเดียวกัน ครั้นแล้ว ดวงตาของมันก็เริ่มเปล่งประกาย มันค่อยๆ เปิดปากออก จากนั้นก็ยิ้มขึ้นในทันที
ใบหน้าของอู๋ติงชิวเริ่มน่าเกลียดมากขึ้นและมากขึ้นเรื่อยๆ ไม่ว่ามันจะดูในแง่มุมไหน หอกเล่มนี้ก็ยังคงเป็นหอกธรรมดาอยู่นั่นเอง แต่มันก็ยังไม่ยอมรับความเป็นจริง มันชี้หอกสุ่มไปที่สัตว์อสูรที่อยู่ไกลออกไปด้านล่างของภูเขา เจ้าสิ่งมีชีวิตตัวนั้นไม่ได้รู้สึกหรือสังเกตเห็นแม้แต่น้อย
สีหน้าของมันน่าเกลียดจนถึงที่สุด มันค่อยๆ เงยหน้าขึ้น มองอย่างเย็นชาไปที่เชียนสุ่ยเหิน และหลู่ซ่ง
เมื่อพวกมันเห็นสายตาของอู๋ติงชิวที่มองมา ความตื่นเต้นของพวกมันก็หายไป และร่างก็เริ่มสั่น ดวงตาของพวกมันเต็มไปด้วยความว่างเปล่า
“พวกเจ้าได้แลกเปลี่ยนอะไรกับหอกเล่มนี้?” อู๋ติงชิวถามรวดเดียวจบ
เชียนสุ่ยเหินดูท่าทางกังวล กล่าวว่า “ศิษย์ให้หินลมปราณไปสองพันก้อน, ตี้หลิงตาน (เม็ดยาลมปราณปฐพี) เจ็ดเม็ด, ตั๋วหมิงติง (ตะปูทะลุนรก) ของสำนักหนึ่งตัว และ…และชงไถตาน (เม็ดยาประจุไต้ฝุ่น) อีกหนึ่งเม็ด”
สีหน้าของอู๋ติงชิวถมึงทึงขึ้นเรื่อยๆ
จากนั้น หลู่ซ่งก็กล่าวขึ้น “ศิษย์ให้หินลมปราณไปหนึ่งพันก้อนห้าร้อยก้อน, เทียนสุ่ยตาน (เม็ดยาวารีสวรรค์) สามเม็ด, เทียนเหอซ่าน (พัดทางช้างเผือก) และหนึ่งเม็ดยาเวท”
ซ่งเหล่าไกว้ระเบิดเสียงหัวเราะออกมา มันเป็นเสียงหัวเราะของการปลดปล่อย ราวกับว่าสภาวะเศร้าซึมที่ถูกกักเก็บไว้เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมาของมัน ทันใดนั้นก็หายไปในทันที
อู๋ติงชิวเริ่มใกล้จะคลุ้มคลั่ง แต่เมื่อมันได้ยินราคาที่ศิษย์ทั้งสองได้จ่ายไป ตามด้วยเสียงหัวเราะอย่างมีความสุขของซ่งเหล่าไกว้ โทสะของมันก็ระเบิดออกมา มันส่งเสียงคำรามอย่างดุร้ายออกมาในทันที “ดีแต่ทำเรื่องโง่ๆ! หอกเหล็กนี้เป็นของปลอม!”
เสียงที่ดังก้องออกมาราวกับเสียงฟ้าร้อง ทำให้กระดานโกะป่นเป็นผุยผง รอยร้าวปรากฎขึ้นบนพื้นผิวของภูเขาใต้เท้าของมัน เชียนสุ่ยเหิน และหลู่ซ่ง ล่วงลงไปกองที่พื้น โลหิตพุ่งกระจายออกจากปากของพวกมัน สมองของพวกมันหมุนติ้ว เมื่อคำหนึ่งคำของอู๋ติงชิวดังก้องอยู่ในใจของพวกมัน
“ปลอม…” พวกมันตะลึงอ้าปากค้าง
คำพูดราวสายฟ้านี้พุ่งออกไปทุกทิศทางตามไปด้วยเสียงคำรามของมัน กระจายออกไปทั่วเกือบครึ่งของเทือกเขาเกราะแห่งจ้าว และดังไปถึงเมืองตงเซี่ยว (เมืองแห่งความประณีตทิศตะวันออก)
ในที่สุดมันก็มาถึงหูของซุนหัว ทำให้มันเต็มไปด้วยความสับสน หลังจากผ่านไปชั่วครู่ สีหน้าของมันก็เปลี่ยนไป และความตกตะลึงก็ปรากฎอยู่เต็มใบหน้าของมัน
“หอกเล่มนั้นเป็นของปลอม?” มันมองไปที่เพื่อนๆ และก็เห็นถึงความตระหนักในข้อเท็จจริงปรากฎขึ้นบนใบหน้าของพวกมันเช่นเดียวกัน
“มันไม่น่าเป็นไปได้ที่หอกเหล็กเล่มนั้นจะเป็นของปลอม, มันจะ…?”
ภายในไป่เจินเก๋อ (ศาลาร้อยสมบัติ) เฉี่ยวหลิงอยู่ระหว่างการแนะนำอาวุธเวทให้กับผู้ฝึกตนที่มาซื้อ เมื่อนางได้ยินเสียงด้านนอกนั้น มหัศจรรย์, นางคิดกลับไปยังหอกเหล็กของเมิ่งฮ่าว และใบหน้าของนางก็แสดงท่าทีแปลกๆ ออกมา
ด้านข้างของกระถางปรุงยา บุรุษวัยกลางคนลืมตาขึ้น และมันก็ส่องประกายแห่งการเยาะเย้ยออกมา ไม่มีการพูดจา มันปิดตาลงอีกครั้ง
ไกลออกไปจากลานกว้างในเทือกเขาเกราะแห่งจ้าว เมิ่งฮ่าวก้มหน้าลง และวิ่งเร็วขึ้นกว่าเดิม
เสียงหัวเราะของซ่งเหล่าไกว้แยกออกเป็นลูกคลื่นตลอดแนวเทือกเขา สีหน้าของอู๋ติงชิวดูไม่ได้น่ากลัวขึ้นมากเท่าไหร่ มันเป็นผู้อาวุโสของสำนักจื่อยิ่น ได้ถูกหลอกลวงโดยผู้ฝึกตนที่อยู่ระดับการรวบรวมลมปราณ ถึงแม้ว่าไม่ได้เกี่ยวข้องกับมันโดยตรง มันก็ต้องเสียหน้าอย่างแน่นอนถ้าเรื่องนี้ถูกแพร่กระจายออกไป
มันอยากจะกระชากเมิ่งฮ่าวลงมาในทันที มองกลับไปที่เชียนสุ่ยเหิน และหลู่ซ่ง ซึ่งยืนด้วยความกลัวอยู่ที่นั่น มันรู้สึกรังเกียจสองคนนี้ แต่ก็แอบถอนหายใจอยู่ข้างใน ศิษย์พวกนี้อยู่ในสำนักตลอดเวลา และไม่เคยมีประสบการณ์ในการติดต่อกับคนนอก พวกมันเป็นดอกไม้ที่ถูกเลี้ยงไว้ในบ้าน ไร้ประสบการณ์และไม่สามารถจัดการกับกลอุบายใดๆ ได้
ด้วยเสียงทุ้มต่ำในลำคอที่เย็นชา มันโยนหอกเหล็กลงไปบนพื้น และก้าวไปข้างหน้าสองสามก้าว ส่งจิตสัมผัสออกไปค้นหาเมิ่งฮ่าว แต่ในตอนนั้นเอง ซ่งเหล่าไกว้ก็เดินไปด้านหน้าเพื่อขวางทางมันไว้ หัวเราะด้วยความอิ่มเอมใจ
“สหายเต๋าอู๋, ได้โปรดอย่าได้อารมณ์เสีย” มันกล่าว “สำนักจื่อยิ่นของท่านเน้นที่การระงับลมปราณและทำจิตใจให้เรียบสงบ เพื่อควบคุมอารมณ์ อย่าให้เรื่องเล็กน้อยเช่นนี้มากระตุ้นโทสะของท่านได้ เมื่อเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น ท่านควรที่จะไปศึกษาตำราคุณธรรมแห่งการฝึกตนของสำนักให้มากกว่านี้อีกสักเล็กน้อย”
ซ่งเหล่าไกว้หัวเราะอย่างมีความสุข ก่อนหน้านี้ ไม่ว่ามันจะกล่าวยังไงมันก็ถูกกันไม่ให้จากไป ดังนั้นแน่นอนว่าตอนนี้ มันก็จะทำสิ่งเดียวกันนี้กับอู๋ติงชิว
“ท่าน…” สีหน้าของอู๋ติงชิวขมึงทึงขึ้นเรื่อยๆ และจ้องนิ่งไปที่ซ่งเหล่าไกว้ แต่ก็ไม่พูดอะไรออกมา
“ท่านทำลายกระดานโกะไป ทำให้พวกเราไม่สามารถเล่นจนจบได้ในตอนนี้” ซ่งเหล่าไกว้พูดพร้อมรอยยิ้ม “เช่นนี้เป็นอย่างไร ท่านจะพาข้าไปที่สำนักจื่อยิ่นด้วย ใช่หรือไม่? ดี, ไปกันเถอะ! พวกเราจะได้สนทนาและเล่นโกะกันไปด้วยสักสองสามเดือน”
ความหดหู่เศร้าใจได้หายไปอย่างไร้ร่องรอยจากจิตใจของมัน เมื่อมองเห็นอู๋ติงชิวเป็นเช่นนี้ ก็ทำให้มันยิ่งมีความสุขมากขึ้น สำหรับของวิเศษที่เมิ่งฮ่าวเอาไป มันไม่ได้ใส่ใจมากเท่าไหร่ สิ่งที่สำคัญสำหรับมันมากที่สุดก็คือ การได้เห็นโทสะอย่างรุนแรงและการถูกฉีกหน้าหยามหยันบนใบหน้าของอู๋ติงชิว
มันฉุดดึงอู๋ติงชิวไว้ เห็นได้อย่างชัดเจนว่ามันตั้งใจที่จะไม่ยอมให้ขัดขืน
จิตใจของอู๋ติงชิวเต็มไปด้วยความโศกเศร้า มันจ้องไปที่ซ่งเหล่าไกว้ จากนั้นก็ถอนหายใจยาวออกมา มันรู้ดีว่าซ่งเหล่าไกว้ต้องไม่ยอมให้มันไล่ตามเมิ่งฮ่าวไปแน่ มันกระทืบเท้าด้วยโทสะ จากนั้นก็ยอมให้ซ่งเหล่าไกว้ดึงมันขี้นไปในอากาศ
“เจ้าพวกโง่ไร้ประโยชน์ ไม่ทันคน” อู่ติงชิวพูด มองลงไปยังเชียนสุ่ยเหิน และหลู่ซ่งที่ยืนตัวสั่นอยู่ที่พื้น “การเลื่อนขั้นศิษย์สายในล้มเหลวโดยสิ้นเชิง ให้กลับไปยังสำนัก และไปนั่งเข้าฌาณตามลำพังโดยทันที!” ศิษย์คนอื่นๆ มองมาด้วยสีหน้าซีดขาว
“บัดซบ, เมิ่งฮ่าว” หลู่ซ่งพูด ก้มหน้าลง ใบหน้าของมันบิดเบี้ยวด้วยโทสะ “ข้าจะไม่มีวันลืมเรื่องนี้ เจ้าสารเลวไร้ยางอาย!” มันกัดฟันแน่นเมื่อนึกไปถึงสีหน้าประหม่าเหนียมอายของเมิ่งฮ่าว และดูเหมือนว่าดวงตาของมันเกือบจะปะทุออกมาด้วยเปลวเพลิง
มันไม่เคยพบเห็นใครที่หน้าด้านไร้ยางอายเช่นนี้มาก่อนในชั่วชีวิตของมัน เห็นได้ชัดว่าหอกเล่มนั้นเป็นของปลอม ใบหน้าของมันเต็มไปด้วยความเจ็บปวด เมื่อมันนึกถึงสิ่งที่มันต้องจ่ายออกไป เมื่อมันนึกไปถึงโอกาสที่ต้องสูญเสียไปในการเข้าเป็นศิษย์สายใน มันมีโทสะมากจนเกือบจะกระอักออกมาเป็นโลหิต
“ไร้ยางอาย! น่ารังเกียจ!” เชียนสุ่ยเหินพูด เมื่อคิดถึงสิ่งของล้ำค่าของมัน มันเก็บหอกเหล็กขึ้นมา “เมิ่งฮ่าว เจ้ามันคนขี้โกงอย่างแท้จริง!” เมื่อมันคิดไปถึงการล้มเหลวในการเลื่อนขั้นเป็นศิษย์สายใน มันก็ดูเหมือนจะใกล้คลุ้มคลั่ง จากนั้นมันก็คิดเกี่ยวกับหินลมปราณ, เม็ดยาทั้งหมด และอาวุธเวท ทำให้ความเกลียดชังของมันต่อเมิ่งฮ่าวพุ่งขึ้นไปจนถึงท้องฟ้า
มันทั้งสอง จ้องมองซึ่งกันและกัน แลกเปลี่ยนสีหน้าความเจ็บปวดกัน
“พวกเราจะวางหอกเล่มนี้ไว้ด้านบนในสำนัก เพื่อเตือนใจว่าพวกเราต้องสังหารเมิ่งฮ่าวให้จงได้!”
รังสีสังหารอันดุร้ายเข้มข้นอยู่ดวงตาของพวกมัน และเมื่อการทดสอบจบลง พวกมันก็ต้องกลับสำนัก ความเคียดแค้นและแรงอาฆาตซุกซ่อนอยู่ภายในจิตใจของพวกมัน ไม่อาจที่จะลบเลือนได้
ในเวลาเดียวกันนั้น เมิ่งฮ่าวทั้งหวาดกลัวเป็นอย่างยิ่ง และรู้สึกว่าเขาได้ถูกกล่าวหาอย่างผิดๆ จนต้องถอนหายใจออกมา และเพิ่มความเร็วขึ้นไปอีก วิ่งโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ติดต่อกันเจ็ดวัน ในที่สุด เขาก็ค้นพบถ้ำแห่งเซียนในภูเขาลึก ด้วยความเหนื่อยล้า เขานั่งขัดสมาธิ และเริ่มเข้าฌาณกำหนดลมหายใจ
“มันคุ้มค่าหรือไม่…?” เขาถอนหายใจให้กับตัวเอง รู้สึกเหนื่อยกับการวิ่งมาตลอดหลายวันที่ผ่านมา แต่ก็กลัวที่จะถูกจับมากกว่า ตอนนี้เข้ารู้สึกเหน็ดเหนื่อยจนแทบขาดใจตาย
สองวันหลังจากนั้นตอนรุ่งอรุณ เขาลืมตาขึ้น และเริ่มต้นการวิ่งหนีอีกครั้ง ผ่านไปครึ่งเดือน เขาไม่กล้าที่จะให้ใครเห็น ในที่สุด ลึกเข้าไปยังภูเขาที่ห่างไกล เมื่อเขารู้สึกปลอดภัย เขาใช้กระบี่บินเพื่อขุดเจาะเป็นถ้ำ จากนั้นก็ขังตัวอยู่ด้านในเพื่อเข้าฌาณ