วันจันทร์ที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2560

ตอนที่ 59 : ไม่อาจเห็นฉางอาน

Posted By: wuxiathai - 23:08
แคว้นจ้าวอยู่ในทิศใต้ของดินแดนด้านใต้ ซึ่งเชื่อมต่อกับดินแดนด้านตะวันตก ซึ่งพื้นที่ทั้งสองนี้แยกออกจากกันกับดินแดนหนานซานโดยมีทะเลหยินเหอคั่นกลาง ถึงแม้ว่า เป็นไปได้ที่เมื่อนานมาแล้ว ดินแดนหนานซานไม่ได้ถูกแยกออกมาเช่นนี้
เพื่อขยายความให้ชัดเจนยิ่งขึ้น แคว้นจ้าวอยู่ที่ขอบริมสุดของดินแดนด้านใต้ ไกลออกไปจากทะเล มีเพียงแต่ข้ามเทือกเขามากมายไปเท่านั้น ถึงจะได้เห็นทะเลหยินเหออันกว้างใหญ่ไร้ขอบเขต
อาณาเขตของแคว้นจ้าวไม่ได้กว้างใหญ่มากนัก และไม่มีประชากรอยู่อย่างหนาแน่น อย่างไรก็ตามในเมืองหลวงก็ยังคงเป็นสถานที่อันจอแจพลุกพล่าน ถึงแม้ว่าจะเป็นยามพลบค่ำที่เต็มไปด้วยหิมะที่กำลังตกลงมา บ้านเรือนจุดโคมไฟสว่างไสว ทำให้ทุกคนที่อยู่ด้านในอบอุ่น
ใครก็ตามที่ไม่มีบ้านของตัวเอง ต้องเดินอยู่ในคืนที่หิมะตกหนักเช่นนี้ ต้องรู้สึกโดดเดี่ยวเงียบเหงาอย่างสุดที่จะบรรยาย
เมิ่งฮ่าวเดินอยู่บนถนนใต้ท้องฟ้าอันมืดมิด ฝูงชนที่ปกติแล้วพบเห็นได้ทั่วไปตลอดทั้งวันก็มองไม่เห็นในทุกที่ ใครก็ตามที่กำลังเดินอยู่ ก็จะสวมใส่หมวกที่สานจากไม้ไผ่ปีกกว้าง ก้มหน้าลงเดินอย่างเร่งรีบไปตามถนน
มองออกไปยังที่ห่างไกล เมิ่งฮ่าวเพิ่งจะได้เห็นรูปร่างที่ใหญ่โต สิ่งปลูกสร้างที่โดดเด่น มันก็คือ
เจดีย์แห่งถัง
มันสูงเกือบจะถึงเก้าร้อยฉื่อ สูงจนเกือบจะคล้ายภูเขา สามารถที่จะดึงดูดความสนใจของทุกคนที่อยู่ในเมืองนี้ได้ หิมะอยู่รายรอบมัน แต่ไม่สามารถที่จะกลบหลักฐานที่ฮ่องเต้ของแคว้นจ้าว, นักศึกษา และบุคคลอีกมากมาย ได้อุทิศเวลาก่อสร้างและดูแลมันได้
มันหันหน้าไปทางดินแดนตะวันออก, ต้าถัง และ ฉางอาน
เมิ่งฮ่าวไม่เคยได้มายังเมืองหลวงมาก่อน รวมถึงเจดีย์แห่งถังด้วย เขาไม่เคยเห็นมันมาก่อน แต่เมื่อเขาเดินตามถนนตรงไปที่มัน เขาก็รู้ว่านี่คือเจดีย์แห่งถังอย่างแน่นอน
เขามักจะจินตนาการไปว่าสักวันหนึ่งเขาจะกลายเป็นขุนนาง และเขาก็จะสามารถขึ้นไปถึงชั้นบนสุดของมัน จ้องมองออกไปทั่วแผ่นดิน
เขามองไปที่เจดีย์แห่งถังที่ตั้งอยู่ที่นั่น ท่ามกลางฝนหิมะที่โปรยปรายลงมา เป็นเวลานาน
“ก่อนที่มารดาและบิดาได้หายตัวไป” เขาพึมพำกับตัวเอง “สายลมสีม่วงพัดอยู่ด้านนอก ผู้คนต่างก็กล่าวว่า มันเป็นลางดี และเซียนอมตะก็ปรากฎขึ้นในท้องฟ้า…” เขาเดินตรงไป จ้องไปที่เจดีย์แห่งถัง
เขาคิดเกี่ยวกับทุกอย่างที่ได้เกิดขึ้นในคืนนั้น เขาไม่เคยลืมมันเลย คืนนั้น เขาได้สูญเสียวัยเด็กไป จากคืนนั้นเป็นต้นมา เขาก็ไม่มีบิดาและมารดาให้พึ่งพิงอีกต่อไป นั่นเป็นจุดเริ่มต้นแห่งความเข้มแข็งของเขา
แล้วมันก็เป็นจุดที่เขาเริ่มใฝ่ฝันที่จะเดินทางไปยังดินแดนตะวันออกอันห่างไกล ไปยังต้าถัง!
ข่าวลือกระจายออกไปว่าบิดามารดาของเขาได้ตายไปแล้ว แต่เมิ่งฮ่าวคิดว่าพวกเขาแค่หายตัวไป  พวกเขายังอยู่ข้างนอกนั่น ที่ไหนสักแห่ง เขาไม่เคยลืมชุดยาวสีม่วงที่บิดาของเขาใส่ในคืนนั้น เมื่อเขายืนอยู่ข้างหน้าต่าง มองออกไปที่ลมสีม่วง และไม่ลืมสายตาของบิดาที่ได้มองกลับมา เป็นสายตาแห่งความกระวนกระวายใจ
เขาไม่เคยลืมคืนนั้น และไม่เคยลืมมารดาที่ร้องไห้โดยไร้เสียงออกมา
เขาไม่เคยพูดเรื่องเหล่านี้ให้ใครฟัง แต่เก็บมันฝังลึกลงไปภายในจิตใจของเขา
เมื่อเจดีย์แห่งถังเริ่มใกล้เข้ามา ใกล้เข้ามามากขึ้น เขาก็สงสัยว่าทำไมเขาถึงได้คิดเกี่ยวกับเรื่องในอดีตนี้ขึ้นมาในทันที เขาถอนหายใจออกมา กระจายออกไปในสายลมหนาวของหิมะ ลมหายใจนี้ไม่เคยจะออกไปจากเมืองหลวงแห่งนี้ ไม่ไปจากแคว้นจ้าว หรือ ดินแดนด้านใต้ ไม่สามารถข้ามทะเลหยินเหอ และไม่ไปถึงฉางอาน
“บางทีเป็นเพราะว่ามารดามักจะพูดถึงอาณาจักรต้าถัง” เขาพึมพำ “นางบอกข้าว่าในเมืองหลวงของทุกประเทศ จะมีเจดีย์แห่งถังอยู่ และผู้คนก็บอกว่าด้วยการไปยังเจดีย์แห่งถังนั้น ก็เหมือนกับการไปยังฉางอาน โดยไม่ต้องไปที่อยู่นั่นจริงๆ”
เมื่อเขาเข้าไปถึงบริเวณที่อยู่รอบๆ เจดีย์แห่งถัง ก็มองขึ้นไป
หิมะตกหนักมากขึ้น และสายลมแห่งฤดุหนาวก็ครวญครางอยู่รอบตัวเขา หิมะก่อตัวมากขึ้น และมากขึ้นบนหลังคาเจดีย์ จากจุดที่เขายืนอยู่ เขาสามารถมองได้อย่างชัดเจนว่า มันได้ถูกสร้างขึ้นมาด้วยการดูแลเอาใจใส่เป็นอย่างดี ฐานด้านล่างมีแปดด้าน และมันสูงขึ้นไปเหมือนเจดีย์ขนาดใหญ่
มันถูกสร้างขึ้นมาจากวัสดุสีเขียว และมองดูคล้ายกับในจินตนาการของเขา
แม้หิมะจะตกหนัก แต่ก็มีทหารเดินลาดตระเวณอยู่รอบๆ บริเวณนั้น เขตพื้นที่นี้…เป็นสถานที่เฉพาะสำหรับขุนนางระดับสูง และบุคคลที่มีอำนาจเท่านั้นที่จะเข้าไปได้ เพื่อสักการะและประกอบพิธี
แต่เหล่าทหารไม่เห็น เมื่อร่างของเมิ่งฮ่าวผ่านเข้าไปในเจดีย์
ด้านในมีบันไดแบบโบราณวนขึ้นไป ค่อยๆ วนไปจนถึงชั้นบนสุด ผนังถูกแกะสลักด้วยลวดลายที่มีสีสันสวยงาม พรรณาถึงดินแดนตะวันออก, ต้าถัง และฉางอาน
“ข้าจำได้ มารดาได้อธิบายเกี่ยวกับต้าถังให้ข้าฟัง แต่ตอนนั้นข้ายังเล็กมาก จึงไม่ค่อยเข้าใจมากนักในเรื่องที่นางได้พูดถึง แต่ตอนนี้เมื่อข้าคิดกลับไป วิธีการที่นางอธิบายถึงดินแดนตะวันออก, ต้าถัง และฉางอาน…มันก็เหมือนกับว่านางได้เห็นมันด้วยตาของตัวเอง ถ้าไม่ เหตุใดนางถึงได้อธิบายทุกสิ่งได้อย่างละเอียดเช่นนั้น? มันก็เหมือนกับภาพแกะสลักพวกนี้”
เขาตรวจสอบมันตั้งแต่บันไดชั้นล่าง จนในที่สุดก็มาถึงชั้นบนสุดของเจดีย์ และในภาพแกะสลักชิ้นสุดท้าย ได้แสดงถึงวิถีชีวิตและวัฒนธรรม ทัศนียภาพที่สวยงาม สิ่งตื่นตานับไม่ถ้วน ตำนานเรื่องเล่ามากมาย ทั้งหมดนี้สร้างแรงบันดาลใจให้ผู้พบเห็นได้เป็นอย่างดี
ด้านนอก เสียงหวีดหวิวของหิมะดังอยู่ในอากาศ ฟันฝ่าสายลมที่รุนแรง มานอนแน่นิ่งแน่นหนาอยู่บนหลังคาชั้นบนสุดของเจดีย์ เมิ่งฮ่าวสูดลมหายใจลึกๆ และมองออกไปยังที่ห่างไกล มีเพียงสิ่งเดียวที่เขาเห็นได้ก็คือ หิมะ เขาไม่สามารถเห็นดินแดนตะวันออก หรือต้าถัง หรือฉางอาน
“ไม่อาจมองเห็นฉางอานจากที่นี่ได้” เขาพึมพำเสียงเบาๆ ยืนอยู่ที่นั่นอย่างเงียบๆ หมกมุ่นอยู่กับความคิดที่ผุดขึ้นมาอย่างนับไม่ถ้วน เขาไม่ใช่ขุนนางตำแหน่งสูง นี่เป็นจุดที่ใช้ประกอบพิธีสักการะต่อสวรรค์ เขาเป็นผู้ฝึกตน, ผู้ฝึกตนที่อยู่ระดับแปดของการรวบรวมลมปราณ
“ข้าเดินไปบนเส้นทางที่แตกต่างจากที่ผ่านมา แต่ทิศทางก็เป็นเช่นเดียวกัน” สายลมโชยพัดเส้นผมของเขาพลิ้วไปมา และหิมะก็เกาะติดบนร่างโดยไม่ละลาย ราวกับว่ามันได้ยืนยันชีวิตของเขา ราวกับว่าเขาก็เป็นหิมะด้วยเช่นกัน
ผ่านไปสักพัก เขานั่งขัดสมาธิและเริ่มเข้าฌาณอย่างเงียบๆ
ตลอดทั้งราตรีนั้น หิมะตกหนักมากขึ้น แสงไฟส่องอยู่ในบ้านที่อยู่ในเมืองหลวงแห่งนี้ จากจุดบนสุดของเจดีย์แห่งถัง ทุกสิ่งทุกอย่างดูดำมืดและเงียบสงบ ภายในความเงียบและมืดมิด เมิ่งฮ่าวมองเห็นตัวเองเมื่อหลายปีมาแล้ว ย้อนกลับไปยังเมืองหยุนเจี๋ย ท่ามกลางหิมะ
ราตรีแห่งหิมะค่อยๆ ผ่านไป
อรุณรุ่ง เมิ่งฮ่าวลืมตาขึ้น มันยากที่จะบอกว่าเขาจ้องไปที่ดวงตะวันที่กำลังลอยขึ้นมา หรือเป็นดวงตะวันที่ลอยขึ้นมากำลังมองมาที่เขาก่อน
เมืองเริ่มกลับมามีชีวิตขึ้นอีกครั้งด้วยแสงแห่งรุ่งอรุณ ในไม่ช้า ถนนก็เต็มไปด้วยฝูงชน เมิ่งฮ่าวมองไปยังโลกมนุษย์ที่แผ่ออกไปตรงหน้า
เขาสังเกตอย่างเงียบๆ ดูวิถีแห่งคนธรรดาทั้งหมดนี้ไปจนกระทั่งราตรีมาเยือน จนแสงแห่งอรุณรุ่งพุ่งจับขอบฟ้า หนึ่งวัน, สองวัน, สามวัน
เจ็ดวันผ่านไป เมิ่งฮ่าวจ้องลงไปยังทุกสิ่ง ตอนแรก ดวงตาของเขาดูริบหรี่และอ่อนแอ แต่จากนั้นมันก็เริ่มสว่างสดใส และในที่สุดก็ สงบเยือกเย็น
มีบางอย่างได้เปลี่ยนไปในจิตใจของเขา เขาได้บรรลุถึงขั้นของการรู้แจ้งเกี่ยวกับชีวิตของตัวเอง ในยามเช้าตรู่ของวันที่แปด เขามองลงไปเห็นกลุ่มขุนนางและทหารมาถึงเจดีย์แห่งถังเพื่อที่จะประกอบพิธีสักการะบูชา บุรุษวัยกลางคนยืนอยู่ที่นั่นในชุดยาวสีทอง ด้านหลังของมันเป็นกลุ่มของผู้คนมากมาย ยืนอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย มันทำพิธีบวงสรวงต่อสวรรค์และพื้นปฐพี เช่นเดียวกับสามัญชนมากมายตลอดทั้งเมืองนี้
เมิ่งฮ่าวยืนขึ้น เมื่อพวกมันเริ่มโค้งคำนับต่อสวรรค์ เขาออกจากเจดีย์ไป หลบหลีกการโค้งคำนับจากพวกมัน ยืนไปบนพัดวิเศษ เตรียมทะยานออกไปข้างหน้า รู้ว่านี่เป็นเวลาของเขาที่ต้องจากไปแล้ว เมื่อเขาเตรียมตัวจะจากไป ก็เหลียวหลังมองกลับไปยังเจดีย์อีกครั้งหนึ่ง
ในตอนนั้นเอง ดวงตาของเขาก็เบิกกว้าง
เขามองไปเห็นผู้คนที่โขกศีรษะอยู่ด้านนอกของเจดีย์แห่งถังค่อยๆ พร่าเลือน เกิดเป็นประกายแพรวพราวซึ่งคนธรรมดาไม่สามารถเห็นได้ มีแต่คนที่เต็มไปด้วยพลังลมปราณเท่านั้นถึงจะมองเห็น
แสงพุ่งขึ้นไป ส่งผลให้เมฆม้วนตัวไปมา ครั้นแล้วกระแสน้ำวนขนาดใหญ้ก็ปรากฎขึ้น นี่ก็เช่นกันที่สายตาของคนธรรมดาไม่สามารถเห็นได้ แต่ไม่ใช่เมิ่งฮ่าว เขาสามารถเห็นกระแสน้ำวนนี้ได้ชัดเจน และก็เป็นเหตุให้เขาต้องสูดลมหายใจเข้าไปลึกๆ เขาดูจะสั่นไปทั้งตัว
ข้างในของกระแสน้ำวน เขามองเห็น…ลานที่ไร้ขอบเขตของโครงกระดูกและซากปรักหักพัง เต็มไปด้วยรังสีที่น่ากลัว และหมอกสีดำที่บิดตัวงอไปมา เขามองไม่เห็นรายละเอียดมากเท่าไหร่ แต่สัมผัสได้ถึงความลึกลับและน่าสยดสยองของบรรยากาศที่ม้วนตัวออกมา
จิตใจของเขาสั่นสะท้าน โดยเฉพาะเมื่อเขาสังเกตเห็นในหมอกสีดำของกระแสน้ำวนนั้น มีโลงศพขนาดใหญ่อยู่ใบหนึ่ง ที่นั่น ท่ามกลางซากปรักหักพัง นั่งขัดสมาธิอยู่ข้างๆ โลงศพ เป็นซากศพที่แห้งเหี่ยว ซึ่งในทันใดนั้น มันก็ลืมตาขึ้นมา ดวงตาของมันสีเทาราวกับขี้เถ้า และภายในดวงตานั้นมีจุดสีทึมๆ ของแสงเจ็ดจุด หมุนวนไปมาราวกับดวงดาว สายตาของซากศพนั้นพุ่งออกมาจากด้านในของกระแสน้ำวนนั้น ตรงเข้ามาที่เมิ่งฮ่าว
จิตใจของเขาสั่นระรัว และเขาก็ปิดตาลงโดยไม่รู้ตัว เมื่อเขารู้สึกถึงความเจ็บปวดราวถูกแทงอยู่ในดวงตา เขารู้สึกราวกับว่าดาวเจ็ดดวงนั้นได้มาปรากฎอยู่ในม่านตาของเขาเอง เช่นเดียวกับที่อยู่ในดวงตาสีเทาเหมือนขี้เถ้านั้น
ทันใดนั้น ริ้วรอยความแห้งเหี่ยวก็เริ่มปรากฎขึ้นทั่วร่างกาย และกลุ่มหมอกสีดำที่น่ากลัวก็เริ่มซึมออกมาจากรูขุมขนของเขา
ด้วยความตกใจ เมิ่งฮ่าวถอยหนีออกไปด้วยความเร็วสูงสุด เวลาเดียวกันนั้น กระแสน้ำวนก็ถูกดูดขึ้นไปในก้อนเมฆในทันที ความรู้สึกที่ถูกบีบคั้นบดขยี้ก็หายไปด้วยเช่นกัน และทุกอย่างก็กลับมาเป็นปกติเหมือนเดิม ราวกับว่าสิ่งที่เขาเพิ่งได้เห็นนั้น เกิดขึ้นจากภาพลวงตา
แต่ตอนนี้ ร่างของเขาก็ยังคงแห้งลีบ และกลุ่มควันแห่งความตายก็ยังคงซึมออกมา สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปหลายครั้ง มองลงไปยังเจดีย์แห่งถัง แสงที่เปล่งประกายออกมาไม่มีอีกแล้ว แต่คนกลุ่มนั้นก็ยังคงทำพิธีกันต่อไป ใบหน้าของเขาหมองคล้ำลง และโดยไม่ลังเล เขาบังคับพัดวิเศษให้พุ่งออกไปเต็มกำลัง ร่างของเขากลายเป็นลำแสงและหายลับตาไป
เขาเพิ่มความสูงขึ้นไปจากเมืองหลวง มองกลับไปยังเจดีย์แห่งถังหลายครั้ง มองกวาดไปทั่วท้องฟ้า และความสงสัยก็เกิดขึ้นภายในใจ
“มันไม่น่าใช่ภาพลวงตา เจดีย์แห่งถัง…จริงๆ แล้วมันเป็นสถานที่เยี่ยงไรกันแน่? เดิมทีข้าคิดว่ามันเป็นสถานที่ของมนุษย์ธรรมดา แต่เห็นได้ชัดว่ามันไม่ใช่! สถานที่ในกระแสน้ำวนคืออะไร…? ซากปรักหักพัง, รังสีแห่งความตาย, โครงกระดูกทั้งหมดนั่น…” ศีรษะของเขาเริ่มมึนงงเมื่อคิดเกี่ยวกับซากศพกลางซากปรักหักพังที่เขาได้เห็น
ดวงตาของมันเต็มไปด้วยความแข็งกระด้าง, ดุร้าย และน่ากลัว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ดาวเจ็ดดวงข้างในม่านตาสีเทาของมัน เมื่อเขาคิดเรื่องนี้ ร่างของเขาก็หนาวสั่น และเริ่มมีเหงื่อซึมออกมา
“และโลงศพ…นั่น” เมิ่งฮ่าวสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความหวาดกลัว
“ใครอยู่ในโลงศพนั่น และทำไมถึงได้มาปรากฎขึ้นภายในกระแสน้ำวนนั่น ทำไม…? มันมีอะไรที่เกี่ยวข้องกับเจดีย์แห่งถัง…? มันมีอะไรที่เกี่ยวข้องกับต้าถังในดินแดนตะวันออก?” เมิ่งฮ่าวเริ่มคิดมากขึ้น มองกลับไปที่เจดีย์แห่งถังอีกครั้ง
ความรู้สึกกลัวภายในจิตใจรุนแรงขึ้น เขาสูดลมหายใจเข้าลึกๆ อีกครั้ง ร่อนไปข้างหน้าเล็กน้อย ก่อนที่จะลงไปบนพื้นและวิ่งต่อไป
เขาเริ่มคิดไปถึงการถูกจ้องมาโดยซากศพที่อยู่ในกระแสน้ำวนนั้น…ช่างเป็นหายนะโดยแท้…

About wuxiathai

Organic Theme is officially developed by Templatezy Team. We published High quality Blogger Templates with Awesome Design for blogspot lovers.The very first Blogger Templates Company where you will find Responsive Design Templates.

Copyright © 2015 ผนึกสวรรค์ สยบมาร สะท้านเทพ

Designed by Templatezy | Distributed By Gooyaabi Templates