หนึ่งครั้ง, มันทนได้ สองครั้ง, สามครั้ง, สี่ครั้ง หรือแม้แต่ห้าครั้ง มันก็ยังคงอดทนอย่างต่อเนื่อง พอถึงครั้งที่หก มันก็อับอายจนกลายเป็นความโกรธ และไม่สามารถจะทนได้อีกต่อไป แหพันสวรรค์ เป็นสิ่งของที่ล้ำค่าสำหรับมัน มากกว่าม้วนภาพวาดนั่น มันสามารถรัดพันห่อหุ้มศัตรู และเป็นอาวุธเวทของมันมาหลายปี ยิ่งผู้ใช้มีพลังการฝึกตนสูงขึ้นเท่าไหร่ ประสิทธิภาพของมันก็ยิ่งสูงตามขึ้นไปด้วยเท่านั้น
มันได้วางแหพันสวรรค์ไว้บนภูเขาสมบัติเพื่อที่จะแสดงถึงความสง่างามของมัน เพื่อให้คนเห็นและอยากได้ มันคิดว่าแหพันสวรรค์คงจะปลอดภัยเมื่อวางไว้ที่นั่น และไม่เคยคิดว่าจะมีใครสามารถที่จะเอามันไปได้ ซึ่งตอนนี้ มันได้เริ่มคลุ้มคลั่งไปเรียบร้อยแล้ว และไม่คาดหวังสิ่งอื่นใด นอกจากคิดจะบดขยี้เมิ่งฮ่าวให้แหลกเละคามือ เอาม้วนภาพวาดและแหพันสวรรค์กลับมา
แต่ทันใดนั้น อู๋ติงชิวก็หัวเราะเยาะเย้ยออกมา โบกสะบัดชายแขนเสื้อของมัน และไปยืนอยู่เบื้องหน้าของซ่งเหล่าไกว้ ขวางทางมันไว้
“สหายทางเต๋าซ่ง เป็นผู้ฝึกตนที่มีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วในดินแดนด้านใต้ ท่านกำลังจะทำอะไร? ก่อนหน้านี้ ท่านบอกว่ามีเวลาเจ็ดวัน ใครก็ตามสามารถที่จะมาที่นี่ และของวิเศษของภูเขาสมบัติทั้งหมดก็พร้อมที่จะให้เอาไปได้ อย่าบอกข้านะว่าท่านกำลังจะกลับคำพูด?”
“ท่านนำเอายอดที่สูงสุดของภูเขาเทียนซานมาที่นี่ด้วยตัวเอง พื้นดินก็เพาะขึ้นมาจากดินที่ลึกที่สุดของทะเลตะวันออก ซึ่งไม่เคยได้รับแสงแดดมาเป็นเวลาหมื่นปี ข้าจำได้ว่ามีใครบางคนบอกว่า ผู้ฝึกตนคนไหนก็ตาม ที่อยู่ในขั้นรวบรวมลมปราณไม่มีทางที่จะเอาชนะสัตว์อสูรที่อยู่ในป่านั่นได้ ซ่งเหล่าไกว้การแสดงออกเช่นนี้ ช่างเป็นการขาดการวางตัวที่ดีเป็นอย่างยิ่ง ถ้าเรื่องนี้เผยแพร่ออกไป ท่านต้องเสียหน้าอย่างแน่นอน”
อู๋ติงชิวหัวเราะต่อไป เห็นได้ชัดว่าจะไม่ยอมให้ซ่งเหล่าไกว้ไปที่แห่งใดทั้งสิ้น
สีหน้าของซ่งเหล่าไกว้ดูบิดเบี้ยวขึ้นมากกว่าเดิม เต็มไปด้วยความเจ็บปวดรวดร้าวอันขมขื่น ก่อนหน้านี้ มันได้พูดด้วยความอิ่มอกอิ่มใจเป็นอย่างยิ่ง แต่ขณะนี้ ทุกสิ่งที่มันได้พูดไปก็ย้อนกลับมาเข้าตัวมันทั้งสิ้น หลังจากผ่านไปสักพัก มันก็ตบไปที่ถุงเก็บสมบัติ หยิบเอาเม็ดยาสงบใจออกมาสองเม็ดใหญ่และกลืนลงไป จากนั้นมันก็ถอนหายใจยาวออกมา
ทันใดนั้น สายตาของมันก็ส่องประกาย และก็เพ่งจิตสำนึกของมันไปที่เมิ่งฮ่าว ตั้งใจที่จะหาข้อมูลของหอกเหล็กเพิ่มเติม ในตอนแรก มันไม่ได้สนใจเมิ่งฮ่าวแม้แต่น้อย เพ่งจิตสำนึกไปดูว่าหอกเหล็กทำงานอย่างไร เมื่อมันแสดงจิตสำนึกออกไปเช่นนั้น อู๋ติงชิวก็หัวเราะและโบกสะบัดแขนเสื้อ เกราะเรืองแสงก็ปรากฎออกมาปกคลุมทั่วลานที่ราบนั้นในทันที ขวางกั้นการเพ่งจิตสำนึกของซ่งเหล่าไกว้ไปจนหมดสิ้น
“การใช้จิตสำนึกไปตรวจสอบผู้ฝึกตน ระดับการรวบรวมลมปราณรุ่นที่ต่ำกว่า? ซ่งเหล่าไกว้ ท่านยินยอมที่จะเสียหน้า?” เห็นได้ชัดว่าอู๋ติงชิวไม่ยอมให้ซ่งเหล่าไกว้ทำอะไรได้ทั้งสิ้น มันหัวเราะขึ้นมาอย่างมีความสุข ซ่งเหล่าไกว้ดูท้อแท้มากกว่าเดิม ไม่สามารถทำสิ่งใดได้ยกเว้นโบกสะบัดชายแขนเสื้อของมัน เกราะป้องกันอีกอันก็ปรากฎขึ้นครอบอยู่เหนือเกราะอันแรก
“หอกเหล็กของเจ้าเด็กนั่นช่างไม่ธรรมดาอย่างยิ่ง” มันกล่าว “ถ้าท่านไม่ยอมให้ข้าตรวจสอบมันด้วยการเพ่งจิตสำนึกของข้า ข้าก็จะไม่ยอมให้ท่านทำได้เช่นเดียวกัน”
สองชั่วยามผ่านไป เมิ่งฮ่าวก็มาถึงจุดสูงสุดของยอดเขา เขาเดินขึ้นไปพร้อมหอกเหล็กในมือ ในที่สุดก็สังเกตเห็นธงผืนใหญ่ที่ปักอยู่บนพื้น ใต้ธงผืนนั้นมีถุงอยู่ใบหนึ่ง พื้นผิวของมันเต็มไปด้วยสีสันที่ยุ่งเหยิงวุ่นวาย ดูแล้วทำให้รู้สึกเหมือนกับว่ามันสามารถดึงดูดจิตใจของคนดูออกมาได้ ทุกสิ่งที่อยู่รอบๆ มัน ดูเหมือนว่าจะเป็นระลอกคลื่นสั่นไหวไปมาและเลือนลางพร่ามัว เมื่อเมิ่งฮ่าวมองไปที่มัน ก็สัมผัสได้ถึงความกระหายอยากได้และเริ่มหายใจแรงขึ้น เขาหยิบถุงหลากสีนั้นขึ้นมา และเวลาเดียวกันนั้นเอง ธงก็ตกลงมาสู่พื้น
เสียงพูดคุยดังกระหึ่มท่ามกลางพวกที่มุงดูอยู่ในป่าสัตว์อสูร เมื่อพวกมันเห็นเมิ่งฮ่าวเดินขึ้นไปบนภูเขาอย่างใจเย็น เก็บรวบรวมหินลมปราณและเม็ดยาได้จำนวนมาก เมื่อธงล้มลงมา เสียงพูดคุยก็ดังมากขึ้นกว่าเดิม
พวกมันจ้องไปที่เมิ่งฮ่าวด้วยความตกใจและอิจฉา จากนั้นก็เห็นเขาหายไปในอีกด้านของภูเขา
ซ่างกวนซิวจ้องไปที่เมิ่งฮ่าวอย่างอาฆาตแค้นเมื่อเขาหายไป มันไม่กล้าจะไล่ตามเขาไป มีมากมายหลายสิ่งเกี่ยวกับเมิ่งฮ่าวที่มันไม่รู้ ถึงแม้ว่ามันมีความตั้งใจจะสังหารเขารุนแรงมากกว่าที่แล้วมาก็ตามที มันยังรู้อีกว่าเกือบจะสายมากไปแล้ว ที่จะไปให้ถึงต้นไม้ยาของมัน มันกัดฟัน กระทืบเท้าไปบนพื้น ดูมีความขมขื่นมากมายอยู่ลึกๆ ข้างใน แต่โทสะของมันก็ปัดความหดหู่ออกไป มันอาจจะสังหารเมิ่งฮ่าวได้สักวันหนึ่ง ถ้ามันสามารถคิดหาวิธีการได้
เมื่อได้เห็นเมิ่งฮ่าวหายไปจากอีกด้านของภูเขา เสียงหัวเราะของอู๋ติงชิวก็ดังออกมา กระจายไปทั่วลานกว้างแห่งนั้น ซ่งเหล่าไกว้จ้องจนตาถลนเมื่อเห็นเมิ่งฮ่าวเอาถุงแห่งจักรวาลของมันไป ใบหน้าของมันซีดขาวไร้สีเลือด และดูเหมือนว่าหัวใจของมันได้แตกสลายไป ตอนนี้มันเสียใจมากขึ้นกว่าเดิมที่ได้วางถุงแห่งจักรวาลไว้บนภูเขานั่น มันไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่เกิดขึ้น เวลานี้ มันไม่สามารถทนต่อไปได้อีกอย่างแท้จริง มันสะบัดชายแขนเสื้อ และเตรียมตัวที่จะไล่ตามเจ้าเด็กบัดซบนั่นไป แต่ก่อนที่มันจะไปได้ อู๋ติงชิวก็ขวางกั้นมันไว้อีกครั้ง
“อู๋ติงชิว, ท่านยังกล้าที่จะมาขวางข้าอีก!” ซ่งเหล่าไกว้ตะโกนด้วยหัวใจที่แหลกสลาย “ธงก็ได้ตกลงมาแล้ว ท่านก็ไม่ใช่ผู้ชนะในการพนันครั้งนี้ และข้าก็ไม่ได้แพ้เช่นกัน การทดสอบครั้งนี้จบลงแล้ว ถ้าท่านยังขืนมาขวางทางข้าต่อไป ท่านอย่าได้มาตำหนิว่าข้าไม่เกรงใจ!”
“สหายทางเต๋าซ่ง, พวกเราตกลงกันมาก่อนหน้านี้ว่า พวกเราทั้งสองไม่อาจจากไปก่อนที่การเล่นโกะจะจบลง ท่านเป็นผู้ยิ่งใหญ่, เป็นผู้ฝึกตนที่มีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วดินแดนด้านใต้ อย่าบอกข้านะว่าท่านกำลังจะกลับคำพูด? เมื่อข้ากำลังจะจากไปก่อนหน้านี้ ท่านก็ไม่ยอมให้ข้าไป ตอนนี้ท่านตั้งใจจะจากไปก่อนที่การเล่นโกะของพวกเราจะจบลง?”
อู๋ติงชิวหัวเราะออกมาเมื่อมันใช้คำพูดของซ่งเหล่าไกว้โจมตีกลับไป ไร้ร่องรอยของการขมวดคิ้วเหลืออยู่บนใบหน้าของมัน ซึ่งตอนนี้ก็เต็มไปด้วยรอยยิ้มที่เบิกกว้าง เห็นได้ชัดว่ามันไม่ต้องการให้ซ่งเหล่าไกว้จากไป เมื่อได้เห็นถุงแห่งจักรวาลถูกหยิบฉวยไป ก็ยิ่งทำให้จิตใจของมันเต็มไปด้วยความสุข ซ่งเหล่าไกว้เคยเอาถุงแห่งจักรวาลนั้นมากวัดแกว่งเยาะเย้ยมันเกือบร้อยปี เมื่อได้เห็นซ่งเหล่าไกว้ทุ่มหินใส่เท้าตัวเองเช่นนี้ ก็ทำให้มันมีความสุขมากยิ่งขึ้น
“เจ้า…” ซ่งเหล่าไกว้จ้องอย่าอาฆาตไปที่อู๋ติงชิว และไม่พูดจาอยู่สักพัก จากนั้นมันก็กัดฟันแน่น และกระทืบเท้าลงไป สร้างความสั่นสะเทือนไปทั้งภูเขาจนดูเหมือนว่ามันจะพังทะลายลงไป แต่เมื่อพิจารณาถึงสถานะและศักดิ์ศรี มันก็ไม่สามารถทำอะไรได้มากไปกว่านั่งกลับลงไปและเริ่มเล่นโกะอีกครั้งนึง
แน่นอนว่า อู๋ติงชิวไม่ยอมให้ซ่งเหล่าไกว้อยู่สุขสบายโดยง่ายดายเช่นนี้ มันลูบเคราไปมองดูสีหน้าอันบิดเบี้ยวน่าเกลียดของซ่งเหล่าไกว้ไปด้วย หัวเราะขึ้นมา มันค่อยๆ หยิบเม็ดโกะขึ้นมาอย่างช้าๆ และพยายามทำท่าคิดมากไปบนสีหน้าของมัน หลังจากที่เวลาผ่านไปนาน, นานมาก มันก็ค่อยๆ วางเม็ดโกะไปบนกระดานอย่างช้าๆ สีหน้าของมันเคร่งขรึมจริงจัง ราวกับว่ามันพยายามที่จะทำให้การเล่นโกะครั้งนี้ยืดออกไปอีกหลายเดือน
“ออกไปจากภูเขานั่น” อู๋ติงชิวกล่าว ส่งกระแสเสียงจนได้ยินไปทั่วศิษย์ชุดขาวของมัน “หลังจากที่ข้าจบการเล่นโกะนี้ ข้าจะนำพวกเจ้ากลับไปที่สำนัก ในตอนนี้ การทดสอบขั้นต่อไปของพวกเจ้าก็คือ ตามหาบุรุษที่เจ้าได้เห็นบนยอดเขานั่น ข้าชอบหอกวิเศษของมัน นำหอกนั่นกลับมาให้ข้า และใครที่ทำได้ก็จะได้เลื่อนขั้นเป็นศิษย์สายใน!” ศิษย์ทุกคนที่ได้ยินเช่นนี้ก็กระตือรือร้นขึ้นมาในทันใด
“สำนักจื่อยิ่นอันสง่างามของดินแดนด้านใต้กำลังจะสังหารผู้คนเพื่อเอาของวิเศษจริงๆ?” ซ่งเหล่าไกว้กล่าวขึ้น มันรู้สึกหดหู่เศร้าซึมเป็นอย่างยิ่ง ติดอยู่ในสถานที่นี้ก็เพราะคำพูดของมันเอง แต่ถึงแม้ว่ามันจะเกลียดเมิ่งฮ่าวอย่างไรก็ตาม มันก็จะไม่ยอมพลาดโอกาสที่จะสร้างความลำบากให้กับอู๋ติงชิว
จ้องไปที่ซ่งเหล่าไกว้, อู๋ติงชิวกล่าวว่า “ฟังให้ดี, พวกเจ้าต้องไม่สร้างความเดือดร้อนให้บุคคลผู้นั้น พวกเจ้าต้องแลกเปลี่ยนกับมัน ไม่ใช่ปล้นชิงมัน ใครก็ตามที่ฝ่าฝืนคำสั่งนี้ต้องถูกขับออกจากสำนัก!” การเคลื่อนไหวในการเล่นโกะตาต่อไปของมัน ก็ยิ่งช้ากว่าก่อนหน้านี้ขึ้นไปอีก
ศิษย์สำนักจื่อยิ่นกระจายออกไปทั่วทุกทิศทาง บางคนก็วนไปรอบๆ ภูเขาสมบัติเพื่อตามหาเมิ่งฮ่าว บางคนก็วิ่งไปด้วยความเร็วเท่าที่จะเร็วได้ในทิศทางอื่น ด้วยความหวังว่าจะสกัดกั้นเขาได้ทัน
การทดสอบของพวกมันก่อนหน้านี้ล้มเหลวโดยสิ้นเชิง มีบางสิ่งที่พวกมันยอมรับไม่ได้ อย่างไรก็ตาม พวกมันก็ไม่ได้ตำหนิเมิ่งฮ่าว แต่ยอมรับเขามากกว่า โดยเฉพาะพวกมันทั้งหมดก็ได้เป็นสักขีพยานในเหตุการณ์อันโชกเลือดก่อนหน้านี้
พวกมันทั้งหมดตั้งใจอย่างแน่วแน่ที่จะได้หอกเหล็กมาจากเมิ่งฮ่าว พวกมันยินดีจะแลกเปลี่ยนทุกอย่างเพื่อให้ได้หอกนั้นมา ถ้าเขาไม่ยินดีที่จะแลกเปลี่ยน ก็จะต้องคิดวิธีการบางอย่างเพื่อเอามาให้ได้
ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม พวกมันทั้งหมดก็ได้ยินคำพูดของผู้อาวุโสอู๋อย่างชัดเจน พวกมันต้องแลกเปลี่ยน ไม่ใช่ปล้นชิง แต่…ผู้อาวุโสอู๋ ก็ไม่เคยพูดว่าห้ามใช้กำลัง
ขณะที่ศิษย์ชุดขาวกระจายกันออกไป เมิ่งฮ่าวก็มาถึงด้านล่างของภูเขาสมบัติ เก็บรวบรวมหินลมปราณและเม็ดยาได้เพิ่มขึ่นเมื่อเขาจากไป ถึงแม้ว่าเขาไม่เคยเห็นซ่งเหล่าไกว้และอู๋ติงชิว เขาก็คาดคิดว่าสถานที่นี้ต้องเป็นสถานที่ทดสอบซึ่งก่อตั้งขึ้นมาของบางสำนัก
ถึงแม้ว่าซ่างกวนซิวไม่ได้ไล่ตามเขามาอีก เขาก็รู้ว่าคนที่ทำการทดสอบครั้งนี้ต้องไม่ยินดีเป็นแน่ ในการที่เขาสอดแทรกเข้าไป ดังนั้นเขาก็ยังคงใช้ความเร็วสูงสุดพุ่งตรงไปข้างหน้า หัวใจของเขาเต้นระรัวและสีหน้าของเขาก็เต็มไปด้วยความกระตือรือร้น
ถุงเก็บสมบัติของเขาเต็มทั้งหมด สิ่งที่เขาได้มาในครั้งนี้มากกว่าครั้งไหนๆ ที่ผ่านมา ตั้งแต่เข้ามาในโลกของผู้ฝึกตนแห่งนี้ แต่ก็ต้องยกเว้นที่ได้จากในถ้ำของมังกรปีกวารี เขาเก็บหินลมปราณและเม็ดยาได้เรื่อยๆ ตลอดทาง
แน่นอนว่า ยิ่งเขาเก็บสิ่งของได้มากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งพยายามเคลื่อนที่ไปให้เร็วมากขึ้นเท่านั้น กัดฟันแน่นและกลืนแกนอสูรลงไปอย่างต่อเนื่อง เขาเคลื่อนที่ไปให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ สามวันผ่านไป จนกระทั่งเขาได้ออกมาจากเขตของเทือกเขานั้นในที่สุด เขาดูทั้งเหนื่อยล้าและฮึกเหิมในเวลาเดียวกัน และตอนนี้สิ่งที่เขาต้องทำก็คือ หาสถานที่ ที่เขาจะสามารถตรวจสอบทุกสิ่งที่ได้มาอย่างปลอดภัย เมื่อเขามุ่งไปข้างหน้า ก็สังเกตเห็นในที่ห่างไกลออกไป ปรากฎเป็นกำแพงเมืองอยู่
เขาอยู่ทางตะวันออกของแคว้นจ้าว และเมืองนี้ก็ดูโอ่อ่างดงามอย่างไม่ธรรมดา ล้อมรอบด้วยประกายแสงอันอ่อนโยน เป็นเกราะป้องกันซึ่งคนธรรมดาไม่อาจจะมองเห็นได้ มีแต่ผู้ฝึกตนเท่านั้นที่จะสัมผัสได้
“สถานที่นี้…ดูไม่เหมือนเมืองของคนธรรมดา มันจะเป็นเมืองของผู้ฝึกตนหรือไม่?” เขาจ้องไปด้วยความประหลาดใจ นึกไปถึงแผนที่ของแคว้นจ้าวที่เขาเคยเห็น ในแผนที่นั้นไม่ได้แสดงเมืองอะไรในสถานที่นี้ ที่ประตูเมือง มีผู้คนเข้าและออกอยู่ตลอดเวลา ส่วนใหญ่จะเป็นผู้ฝึกตนที่อยู่นะดับขั้นรวบรวมลมปราณ
เขาตัดสินใจที่จะไม่เข้าไปในเมือง แต่เขามาเจอถ้ำที่อยู่ในภูเขาใกล้เมืองนั้นแทน ด้วยการปกปิดตัวเองอยู่ข้างใน เขาสูดลมหายใจเข้าลึกๆ จากนั้นก็เริ่มเอาทุกสิ่งทุกอย่างออกมาจากถุงเก็บสมบัติและจัดเรียงมัน
“นี่เป็นเม็ดยาอะไร? มันมีกลิ่นหอมอย่างน่าเหลือเชื่อ ยังรุนแรงกว่าเม็ดยาลมปราณเกราะอีก…และขวดใบนี้ มียาอยู่สามเม็ดข้างใน ทุกเม็ดก็โปร่งใสราวผลึก พวกมันต้องเป็นเม็ดยาวิเศษอย่างแน่นอน” เขาเลียริมฝีปาก เอาสิ่งของทั้งหมดออกมาจากถุงเก็บสมบัติอีกสองใบ และหลังจากนับทุกสิ่งเสร็จสิ้น ก็พบว่ามีเม็ดยาเจ็ดสิบแปดเม็ด ซึ่งมีอยู่หลากหลายชนิด แต่ละเม็ดก็ดูเหมือนว่าจะเข้มข้นกว่าเม็ดยาลมปราณเกราะ มือของเมิ่งฮ่าวเริ่มสั่น
เขาต้องใช้เวลานานในการรวบรวมสติของตัวเอง เพื่อระงับความตื่นเต้นลง เขาดึงถุงเก็บสมบัติอีกสิบใบออกมา
“มีหินลมปราณมากมายบนภูเขาสมบัตินั่น ข้าแค่หยิบชิ้นที่ข้าสังเกตเห็น และไม่ได้ตั้งใจดูอย่างจริงจัง แต่ก็ยังได้มามากมาย…” เขาเริ่มหายใจลำบากขึ้นอีกครั้งเมื่อมองไปที่หินลมปราณทั้งหมด เมื่อเขานับมัน ก็พบว่ามีถึงแปดพันเจ็ดร้อยหกสิบสี่ก้อน!
“ข้ารวยแล้ว! รวย!” เขาพึมพำ จากนั้นดึงถุงเก็บสมบัติใบอื่นออกมา ข้างในก็เป็นกระบี่บิน, หอก, ธงสองผืน, ม้วนภาพวาด, แหสีดำ พวกมันเป็นอาวุธเวททั้งหมด
เขายิ้มจนหน้าเกือบจะแยกออกจากกันเมื่อเอาของวิเศษออกมา นี่เป็นของที่พิเศษเป็นอย่างยิ่งเมื่อเขาเอาม้วนภาพและแหสีดำออกมา พวกมันเปล่งประกายความแข็งแกร่งของพลังลมปราณออกมา ทำให้หัวใจของเขาเต้นถี่เร็ว เขาค่อยๆ กางม้วนภาพออกมา และแสงสว่างจ้าก็ส่องประกายออกมา ทำให้ทั่วทั้งถ้ำเต็มไปด้วยแสงสว่าง และส่องไปที่ใบหน้าของเมิ่งฮ่าวด้วย
ด้านใน, เขาได้เห็นภาพวาดของภูเขาและแม่น้ำ ซึ่งมีสิ่งมีชีวิตที่น่ามหัศจรรย์อยู่มากมาย พวกมันถูกวาดขึ้นมา แต่ดูเหมือนมีชีวิต เมื่อเขาเปิดม้วนภาพออกมา ก็เหมือนกับจะได้ยินเสียงร้องคำรามของสัตว์อสูรนับหมื่นตัวดังก้องรำไรอยู่ในหูของเขา ทำให้ใจของเขาสั่นและเผลอปล่อยมือออกจนภาพหล่นลงไปบนพื้น
หลังจากเวลาผ่านไปสักครู่ เขาจึงฟื้นคืนมาจากความตกใจ ตาของเขาส่องประกาย เขาทำตัวให้เยือกเย็นและหยิบภาพนั้นขึ้นมาอีกครั้งเพื่อตรวจสอบมัน เห็นได้ชัดว่ามันเป็นของวิเศษที่มีค่าอย่างน่าเหลือเชื่อ หัวใจของเมิ่งฮ่าวก็เต้นรัวเร็วขึ้นกว่าเดิม
“ของวิเศษ! ช่างเป็นของวิเศษอะไรเช่นนี้!” เขากล่าว สูดลมหายใจเข้าลึกๆ จากนั้นก็ดึงแหสีดำออกมา เดินออกไปนอกถ้ำ เขาแผ่พุ่งพลังลมปราณบางส่วนเข้าไป จากนั้นก็โยนมันไปในอากาศ
แหสีดำก็ยืดขยายออกมาในทันที ขนาดใหญ่ขึ้นและใหญ่มากขึ้น และบินสูงขึ้นไปในท้องฟ้า ดูเหมือนว่ามันใหญ่พอที่จะเอาภูเขาใส่เข้าไปได้ทั้งลูก เหมือนกับเมฆสีดำอันทรงอานุภาพ ภูเขาเริ่มสั่นสะเทือน และรอยแตกก็ปรากฎขึ้นบนพื้นผิวของมัน ราวกับว่าจะถล่มลงมาในบัดนั้น พลังของแหสีดำเพิ่มมากขึ้น ทำให้จิตใจของเมิ่งฮ่าวสั่นสะท้านด้วยความประหลาดใจ เขายกมือขึ้น ส่งพลังลมปราณออกไป ทำให้เมฆสีดำค่อยๆ หดตัวลง กลายเป็นลำแสงสีดำพุ่งกลับเข้ามาหาเขา จากนั้นก็กลายเป็นแหสีดำเล็กๆ หลังหนึ่ง
เขาคว้าจับแหดำไว้ รู้สึกแห้งไปทั้งปาก สูดลมหายใจเข้าชั่วครู่ สำรวมจิตใจ ดวงตาเปล่งประกาย
“ของชิ้นนี้ยังดีกว่าของวิเศษที่ดีที่สุดของสำนักเอกะเทวะซะอีก” เขาคิด หัวใจสั่นระรัว จากนั้นเขาก็หยิบของชิ้นสุดท้ายออกมา ถุงหลากสี