“นี่…ดูแล้วคล้ายกับถุงเก็บสมบัติ, แต่ใหญ่กว่าเล็กน้อย” เมิ่งฮ่าวย้ายมันกลับมาอยู่ในของเขา จากนั้นก็แผ่พุ่งพลังลมปราณเข้าไปเล็กน้อย ทันใดนั้น ร่างของเขาก็เริ่มสั่น ราวกับว่ามันได้โดนกระแทกจากสายฟ้าที่มองไม่เห็น ดวงตาของเขาเบิกกว้าง แสดงให้เห็นถึงความประหลาดใจเป็นอย่างยิ่ง หลังจากที่เวลาผ่านไปนาน เขาก็ก้มหน้าลงและมองเข้าไปในถุง
“มันใหญ่มาก…” เขาพึมพำ มันก็คือถุงเก็บสมบัติ แต่ข้างในมีขนาดใหญ่มากจนดูเหมือนว่ามันสามารถเก็บได้ทั้งสวรรค์และปฐพี ด้านในมีหมอกอยู่เลือนลางและไร้ขอบเขต ซึ่งทำให้หัวใจของเมิ่งฮ่าวสั่นระรัวขึ้นในทันใด
ดูเหมือนว่าทั้งภูเขาและแม่น้ำก็สามารถที่จะเก็บอยู่ด้านในของมันได้ ถึงแม้ว่ามันจะว่างเปล่า แต่ความจุที่ใหญ่โตเช่นนี้ก็เพียงพอที่จะเรียกมันว่าของวิเศษอันล้ำค่า
ลิ้นและปากของเมิ่งฮ่าวแห้งขึ้นกว่าเดิม หินลมปราณทำให้เขามีความสุข เม็ดยาทำให้เขาตัวสั่นด้วยความกระตือรือล้น และจากนั้นก็เป็นอาวุธเวท ม้วนภาพวาดได้สร้างความตกตะลึงให้กับเขา และอานุภาพของแหสีดำก็ทำให้เขาตัวสั่นสะท้าน แต่ถุงใบนี้ทำให้หัวของเขาต้องหมุนติ้ว ต้องใช้เวลานานกว่าจะดึงตัวเองออกมาจากภวังค์นั้นได้
“ข้ารวยแล้ว นี่เป็นความมั่งคั่งที่แท้จริง…” เมิ่งฮ่าวพึมพำกับตัวเอง จับถุงหลากสีไว้แน่น แต่หลังจากนั้นสีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปในทันที
“ถ้านั่นเป็นการทดสอบของสำนักใหญ่จริงๆ มันต้องเป็นเรื่องใหญ่แน่ๆ ที่ข้าสอดแทรกเข้าไป พวกมันต้องไม่ยอมให้ข้าหนีไปพร้อมกับสมบัติมากมายเช่นนี้เป็นแน่” หัวใจของเขาเริ่มเต้นรัว และความขัดแย้งก็ปรากฎขึ้นในหัว อย่างไรก็ตาม เขาก็มุ่งมั่นที่จะไม่ยอมยกเลิกสมบัติที่เขาได้มา
เขาจัดทุกอย่างให้เป็นระเบียบด้วยความระมัดระวัง จากนั้นก็หายใจเข้าลึกๆ และมองออกไปที่บรรยากาศยามเย็น เขาออกมาจากถ้ำและไปจากภูเขา มองอย่างครุ่นคิดไปที่กำแพงเมืองที่อยู่ห่างออกไปไกล
“ข้ามีเม็ดยามากมาย” เขาพึมพำกับตัวเองเมื่อจ้องไปที่เมืองด้วยสายตาที่เปล่งประกาย “แต่ข้าไม่สามารถแยกแยะชนิดของพวกมันได้ ดังนั้นข้าอาจจะไม่ปลอดภัยถ้ากินมันเข้าไป” เขาเริ่มต้นเดินตรงไปที่เมืองนั้น
เขาเคลื่อนที่ไปอย่างรวดเร็ว และไม่ช้าก็มาถึงประตูเมือง ซึ่งด้านบนมีอักษรสามตัวเขียนไว้ว่า
ตง เซี่ยว เฉิง (เมืองแห่งความประณีตทิศตะวันออก)
ตัวอักษรพวกนี้ให้ความรู้สึกเก่าแก่โบราณ และเห็นได้ชัดว่าผ่านแดดลมฝนมานานหลายปี พื้นผิวสีจางๆ ของพวกมัน ก็ทำให้รู้สึกว่าตัวอักษรพวกนี้ได้เห็นคนผ่านมาและผ่านไปมากมายนับไม่ถ้วน
“ความประณีตก็คล้ายกับการฝึกตน และที่นี่ก็เป็นทิศตะวันออก ความหมายของชื่อเมืองนี้ค่อนข้างตรงไปตรงมาดีแท้” เมิ่งฮ่าวคิดอยู่ภายในใจ
เมื่อเมิ่งฮ่าวย่างเท้าเข้าไปในประตูเมือง ก็มองเห็นบุคคลสองคนกำลังยืนคุยกันอยู่ที่นั่น พวกมันมองมาที่เมิ่งฮ่าว
“สหายเต๋า ช่วยจ่ายภาษีก่อนที่จะเข้าเมืองด้วย” รอยยิ้มของมันหายไปเมื่อมันรู้สึกถึงแรงกดดันจากพลังการฝึกตนของเมิ่งฮ่าว
“สหายเต๋า ข้าสามารถบอกได้จากการมองว่าท่านมาจากสำนักใหญ่ ส่วนตัวข้ามาจากสำนักเล็กๆ และเพิ่งจะลงมาจากภูเขา ข้ามาที่นี่เป็นครั้งแรก ขอให้สหายเต๋าทั้งสองท่านได้โปรดชี้แนะเกี่ยวกับถสานที่นี้ให้ข้าสักหน่อย?” เมิ่งฮ่าวมีความเป็นนักศึกษาอยู่ในสายเลือด และพูดจาด้วยความสุภาพเรียบร้อย ผู้ฝึกตนสองคนที่อยู่ในระดับขั้นต่ำนั้นก็รู้สึกประทับใจขึ้นในทันที และบุรุษหนุ่มที่เพิ่งจะได้พูดไปก่อนหน้านี้ก็หัวเราะขึ้นมา
“พูดได้ดี, พูดได้ดี! สหายเต๋า พลังการฝึกตนของท่านค่อนข้างดี ถ้านี่เป็นครั้งแรกที่ท่านออกจากสำนักมา ข้าก็คิดว่าชื่อของท่านคงจะเป็นที่รู้จักในอนาคตนี้เป็นแน่” บุรุษหนุ่มผู้นั้นยิ้มไปด้วยขณะที่พูด ใครบางคนที่มีพลังการฝึกตนเช่นนี้ แต่ก็มาปฏิบัติกับมันด้วยความสุภาพก็ทำให้มันรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง
“ที่นี่คือเมืองตงเซี่ยว ค้นพบโดยสามพันธมิตรสำนักใหญ่ของแคว้นจ้าว และเป็นหนึ่งในเมืองใหญ่สำหรับผู้ฝึกตนในแคว้นจ้าวด้วยเช่นกัน การที่จะเข้าไปในเมือง ท่านต้องจ่ายภาษีด้วยหินลมปราณหนึ่งก้อน”
“จริงๆ แล้วต้องจ่ายเป็นหินลมปราณสามก้อน แต่สำหรับท่าน แค่ก้อนเดียวก็พอ ได้โปรดจำไว้ว่า ห้ามมีการต่อสู้กันในเมืองนี้ ผู้ฝ่าฝืนจะต้องถูกลงโทษอย่างรุนแรงโดยสามสำนักใหญ่ ท่านอย่าได้ลืมเรื่องนี้นะ” มันยื่นส่งแผ่นไม้ให้เมิ่งฮ่าว
เมิ่งฮ่าวรีบขอบคุณมันและจ่ายหินลมปราณไปหนึ่งก้อน จากนั้นเขาก็คารวะด้วยการประสานมือ และผ่านประตูเมืองเข้าไป
เขารู้สึกเสียดายหินลมปราณอยู่เล็กน้อย ถึงมันจะเพียงแค่ก้อนเดียว แต่มันก็ยังคงเป็นเงินในความคิดของเมิ่งฮ่าว เขาอาจจะมีมากกว่าแปดพันก้อนในถุงเก็บสมบัติ แต่เขาก็มีความคุ้นเคยถึงความกระหายของกระจกทองแดงเกี่ยวกับหินลมปราณ และรู้ดีว่าจริงๆ แล้วมันก็ไม่ได้มากมายนัก
“ช่างเป็นค่าภาษีที่แพงอะไรเช่นนี้! ถ้าข้าไม่มีความจำเป็นต้องมาที่นี่ ข้าจะไม่จ่ายมัน” เขาเดินผ่านเข้าเมืองไปอย่างรวดเร็ว มองไปรอบๆ เป็นช่วงเวลาพลบค่ำพอดี แต่ในเมืองก็ยังคงเนืองแน่นไปด้วยผู้คนที่เดินไปมาอยู่ทุกที่ ท้องถนนก็เต็มไปด้วยร้านค้า ร้านส่วนใหญ่ก็จะมีจุดเรืองแสงเปล่งประกายออกมาด้วยสีสันที่สดใส ด้วยการมองแค่ครั้งเดียวก็แน่ใจได้ว่านี่ไม่ใช่สถานที่ธรรมดาอย่างแน่นอน
ทุกคนเป็นผู้ฝึกตน เมื่อเขาเดินผ่านเข้าไปในเมือง เขาไม่เห็นคนธรรมดาแม้แต่คนเดียว อย่างไรก็ตาม ผู้ฝึกตนทั้งหมดนี่ก็อยู่ในขั้นการรวลรวมลมปราณกันทั้งสิ้น เมื่อกวาดมองไปในฝูงชน เมิ่งฮ่าวก็เห็นมีเพียงแค่สามคนที่เหมือนเขา ซึ่งอยู่ในระดับขั้นเจ็ด ส่วนใหญ่อยู่แค่ระดับหกหรือต่ำว่า
เมิ่งฮ่าวเดินไปตามถนนที่กว้างใหญ่สายหนึ่ง เพื่อมองหาร้านค้าที่ขายเม็ดยา เขาไม่ได้ต้องการที่จะซื้อมัน แต่อยากจะถามข้อมูลมากกว่า สามวันผ่านไป ช่วงเวลาที่ผ่านมานั้น เมิ่งฮ่าวได้เดินสำรวจไปทั่วเมือง เข้าร้านขายเม็ดยาไปมากกว่าสามสิบร้าน
แต่เขาก็ได้แค่ข้อมูลเกี่ยวกับชนิดของเม็ดยาไปแค่ แปดสิบหรือเก้าสิบชนิดในถุงเก็บสมบัติของเขาเท่านั้น และเมิ่งฮ่าวก็ตื่นเต้นมากเกี่ยวกับเม็ดยาที่เขาได้เรียนรู้ ทุกเม็ดล้วนแต่มีราคาแพงมาก หนึ่งในนั้นเป็นเม็ดยาก่อตั้งลมปราณ ซึ่งมีค่าเท่ากับหินลมปราณห้าสิบก้อน ใช้ได้กับระดับเจ็ดของการรวบรวมลมปราณเท่านั้น
ในถุงเก็บสมบัติของเขา มีอยู่ทั้งหมดแปดเม็ด
“แย่มาก ยังมีเม็ดยาอีกมากมายหลายชนิด ที่ข้ายังคงไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับมัน” ในวันที่สาม เมิ่งฮ่าวลังเลสักพัก แต่ในที่สุดก็เดินเข้าไปในอาคารที่ดูหรูหราเป็นอย่างยิ่ง ในเขตตะวันตกของเมือง
มันเป็นอาคารสูงสามชั้นและจุดเรืองแสงก็เปล่งประกายออกมาอย่างสวยงาม แม้จะอยู่ในที่ห่างไกล ก็สามารถเห็นแสงสว่างของมันได้ ก่อนหน้านี้ เมิ่งฮ่าวสังเกตเห็นว่าคนที่เข้าไปส่วนใหญ่จะอยู่ในระดับหกของการรวบรวมลมปราณ แต่ก็มีบางคนอยู่ระดับแปดหรือเก้า และดูเหมือนว่าที่นี่จะเป็นอาคารเดียวที่พวกมันยินดีจะเข้าไป
เมื่อเขาเห็นชื่อของอาคารหลังนี้ ก็ทำให้เขาอยากจะเข้าไปข้างในมากยิ่งขึ้น
ไป่เจินเก๋อ (ศาลาร้อยสมบัติ)
ด้านในเต็มไปด้วยรั้วที่แกะสลักอย่างสวยงาม และพื้นหินอ่อน ทุกสิ่งดูเหมือนว่าจะทำขึ้นมาจากหยก และเมื่อเขาเดินเข้าไปด้านใน เมิ่งฮ่าวก็รู้สึกถึงพลังลมปราณที่หนาแน่นพุ่งเข้ามาปะทะใบหน้า สิ่งของมากมายหลายชิ้นที่จัดวางเรียงรายอยู่อย่างเป็นระเบียบ ก็ส่องประกายวาววับกระทบสายตาของเขา ขวดเม็ดยา, กระบี่บิน, ไข่มุก, ธง และสิ่งของอื่นๆ อีกมากมาย มองเห็นได้อยู่ในทุกที่
ไม่ค่อยมีผู้ฝึกตนอยู่ด้านในมากมายนัก ดังนั้นมันจึงค่อนข้างเงียบ พวกมันเดินไปรอบๆ แบ่งเป็นกลุ่มๆ กลุ่มละสี่หรือห้าคน ทุกกลุ่มก็จะมีหญิงสาววัยเยาว์สวมใส่ชุดยาวสีชมพูเดินเป็นเพื่อน เสียงของหญิงสาวเหล่านั้นแผ่วเบาและฟังแล้วสบายใจ และพวกนางก็ตอบได้ทุกคำถามที่เกี่ยวกับสิ่งของหลายหลายเหล่านั้น
แต่ก็ไม่มีสิ่งของชิ้นใดเลยที่สร้างความสนใจให้เมิ่งฮ่าว ที่เป็นจุดสนใจของเขาจริงๆ แล้วอยู่ที่ชั้นสองที่ไกลออกไป ใกล้กับบันไดมีกระถางปรุงยาใบใหญ่มหึมาตั้งอยู่ กลุ่มควันรอยวนเวียนอยู่รอบๆ กระถางใบนั้น และมีบุรุษวัยกลางคนในชุดยาวสีดำนั่งอยู่ข้างๆ มันนั่งขัดสมาธิ หลังตั้งตรง สีหน้าไร้ความรู้สึก หลับตาและฝึกสูดลมหายใจอยู่
พลังมากมายกระจายออกมาจากร่างของมัน แต่ยากที่จะรู้สึกได้ ถ้ามันต้องการปกปิด แต่ถ้าไม่ อาคารทั้งหลังนี้อาจจะพังทะลายลงมาก็เป็นได้
“ผู้ฝึกตนขั้นพื้นฐานลมปราณ…” ม่านตาของเมิ่งฮ่าวหดแคบลง บุรุษวัยกลางคนผู้นี้แผ่กระจายรังสีชนิดเดียวกับของท่านผู้อาวุโสโอวหยางออกมา ทำให้เมิ่งฮ่าวสังเกตเห็นได้ในทันทีว่า มันเป็นผู้ฝึกตนที่อยู่ระดับขั้นพื้นฐานลมปราณ ซึ่งสูงกว่าทุกคนที่อยู่ในที่นี้
“ข้าอยากจะรู้ว่าเมื่อไหร่ที่ข้าจะมีโอกาสได้เป็นผู้ฝึกตนที่อยู่ระดับขั้นพื้นฐานลมปราณ” หลังจากที่เขามีประสบการณ์ในสำนักเอกะเทวะในตอนนั้น จิตใจของเขาก็เต็มไปด้วยความตั้งใจที่จะกลายเป็นผู้ที่แข็งแกร่ง ตอนนี้ เขาก้มหน้าลงต่ำ แต่ดวงตาเต็มไปด้วยความมุ่งมั่นและความยืนกรานดื้อรั้น ความตั้งใจของเขารุนแรงมากขึ้นกว่าเดิม
“ด้วยการใช้วิธีการของคัมภีร์สุดยอดวิญญาณ เมื่อก้าวถึงขั้นพื้นฐานลมปราณ ก็จะเป็นขั้นพื้นฐานไร้ตำหนิ ซึ่งมีความแข็งแกร่งยิ่งกว่ารอยร้าวลมปราณ หรือ แยกส่วนลมปราณมากนัก ข้าจะเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดท่ามกลางผู้ฝึกตนขั้นพื้นฐานลมปราณ”
เขาสูดลมหายใจเข้าลึกๆ และเงยหน้าขึ้น หญิงสาวในชุดยาวสีชมพูเดินเข้ามาหาเขา หน้าตาสวยงาม และมีรอยยิ้มที่ผ่อนคลายบนใบหน้า นางต้อนรับเมิ่งฮ่าวด้วยการก้มตัวลงเล็กน้อย ทำให้ด้านหน้าของชุดยาวตกลงมา เผยให้เห็นถึงความอ่อนนุ่มสีขาวอันอุดมสมบูรณ์ปรากฎออกมา
“พี่ท่านเต๋า, ต้องการให้ช่วยหรือไม่?” นางกล่าว
ใบหน้าของเมิ่งฮ่าวก็เปลี่ยนเป็นสีแดงในทันที และเขาก็พึมพำกับตัวเองว่า ไม่ควรที่จะไปมองสิ่งที่ไม่ควรมองเลย แม้จะมีความมุ่งมั่นเช่นนี้ แต่สายตาของเขาก็มองต่ำลงไปอย่างช่วยไม่ได้ และจิตใจของเขาก็เริ่มเต้นรัว ถึงแม้ว่าเขาได้อยู่ในสำนักเอกะเทวะมาสามปี แต่เขาก็ไม่เคยใช้เวลากับศิษย์สตรีคนไหนนอกจากศิษย์พี่หญิงฉื่อ สำหรับสิ่งที่เขาได้เห็นในตอนนี้ เขาก็ไม่เคยได้เห็นแบบนี้มาก่อนในชีวิต ปกติสีผิวบนใบหน้าของเขาค่อนข้างคล้ำเล็กน้อย แต่ในตอนนี้ก็ไม่สามารถที่จะบอกได้ว่าเป็นสีอะไรกันแน่
“ท่านมีแผ่นหยกที่สามารถอธิบายเกี่ยวกับรายละเอียดของเม็ดยาหรือไม่?” เขาถามพร้อมกับส่งเสียงกระแอมไอแห้งๆ ออกมา พยายามที่จะปกปิดความเอียงอายของเขาเอาไว้
ถึงหญิงสาวผู้นี้จะอายุยังเยาว์ แต่ด้วยหน้าที่การงานก็ทำให้นางค่อนข้างจะมีประสบการณ์ ทำให้รู้สึกได้ในทันทีถึงความประหม่าเขินอายของเมิ่งฮ่าว และรู้สึกว่ามันตลกนิดหน่อย ในตลอดสายตาของนาง ก็ได้เห็นลูกค้ามากมายหลายหลาก แต่มีส่วนน้อยที่เป็นเช่นเมิ่งฮ่าว นางถอยหลังและส่งเสียงหัวเราะขึ้นมาเล็กน้อย จากนั้นก็ยิ้มและโน้มตัวเข้าไปใกล้เขามากยิ่งขึ้น ทำให้เขาสูดได้กลิ่นหอมจากตัวนาง
เมื่อกลิ่นหอมโชยมาแตะจมูก ใบหน้าของเมิ่งฮ่าวก็ยิ่งแดงมากขึ้น ดวงตาของเขาไม่มีวี่แววของความใคร่ แต่เบิกกว้างและใสกระจ่างมากกว่า พื้นฐานของเขาเป็นคนที่ไม่มีความต้องการในเรื่องของชู้สาวอยู่แล้ว เขาแค่ไม่มีประสบการณ์เกี่ยวกับหญิงสาวเท่านั้น จึงทำให้ใบหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นเช่นนี้
“แน่นอน เรามีแผ่นหยกที่เกี่ยวกับเม็ดยา” หญิงสาวกล่าวพร้อมกับขยิบตาให้ “โปรดตามผู้น้อยมา, พี่ท่านเต๋า” นางพบว่าอาการประหม่าเขินอายที่เพิ่มขึ้นของเขา ช่างน่ารักเป็นอย่างยิ่ง นางหันหลังกลับ เอวบิดพลิ้วไหว รูปร่างโค้งเว้าของนางน่าดูยิ่ง เมิ่งฮ่าวจำต้องดูอย่างช่วยไม่ได้ และจิตใจของเขาก็เริ่มเต้นรัวขึ้นอีกครั้ง ด้วยรอยยิ้มอันขมขื่นเขาถอนหายใจออกมาเบาๆ และรีบเดินตามไป
หญิงสาวนำเขาไปยังชั้นที่ขัดกันเป็นตารางตาข่าย ซึ่งวางเต็มไปด้วยชิ้นหยกมากมายหลายชนิด ท่ามกลางชิ้นหยกพวกนั้น บนชั้นสีขาว มีแผ่นหยกสามชิ้น จารึกด้วยตัวอักษร ซานเหมยอวี้ (สามแผ่นหยก) “นี่เป็นแผ่นหยกที่ใช้แนะนำถึงเม็ดยาเกือบทุกชนิดที่หาได้ในแคว้นจ้าวแห่งนี้ แต่ก็เป็นแผ่นที่คัดลอกมา ดังนั้นเนื้อหาด้านในค่อนข้างจะไม่ค่อยชัด”
เมื่อนางเห็นเมิ่งฮ่าวยกมือขึ้นมาจะหยิบแผ่นหยกนั้น หญิงสาวก็ยิ้มและเอ่ยขึ้น “ท่านไม่สามารถดูมันได้จนกว่าจะซื้อมันไป ซานเหมยอวี้ ราคาหนึ่งร้อยหินลมปราณ” เมื่อนางยิ้ม ลักยิ้มอันสวยงามก็ปรากฎขึ้นสองข้างแก้ม เมื่อนางมองไปที่เมิ่งฮ่าว ก็คิดไปว่า ถึงแม้ว่าใบหน้าของเขาค่อนข้างคล้ำไปบ้าง แต่ก็ยังคงมีเสน่ห์ของความเป็นนักศึกษาและความอ่อนเยาว์อยู่
เมื่อกลิ่นหอมในตัวหญิงสาวกระจายไปรอบๆ ตัวเมิ่งฮ่าว เขาก็ดึงมือกลับมาและบังคับตัวเองให้มองไปที่แผ่นหยกสามชิ้นนั้น ดูเหมือนว่ามันจะแพงมากไปหน่อย และเขาก็ลังเลที่จะจ่ายหินลมปราณมากมายปานนั้นไป
“มีสิ่งอื่นที่ให้ข้อมูลได้มากกว่านี้อีกหรือไม่?” เขาถามหลังจากผ่านไปสักพัก กัดฟันแน่น จุดประสงค์หลักที่เขามาที่นี่ก็เพื่อที่จะซื้อแผ่นหยกแบบนี้
“มีแน่นอน!” หญิงสาวตอบพร้อมกับขยิบตาให้เขาอีกครั้ง “โปรดตามผู้น้อยมา” นางนำเมิ่งฮ่าวไปอีกมุมหนึ่ง จากนั้นก็ชี้ไปที่แผ่นหยกบนชั้นวางของ มันมีรอยร้าวเล็กๆ อยู่ด้วย
“นี่ไม่ใช่แผ่นคัดลอก มันเป็นแผ่นหยกโบราณซึ่งบันทึกข้อมูลของเม็ดยามากมายหลายชนิดของดินแดนด้านใต้ ทั้งมีข้อมูลเกี่ยวกับเม็ดยาพิษและวิธีการขจัดไว้ด้วย ยิ่งไปกว่านั้น มันยังมีภาพที่เด่นชัดของเม็ดยาจริงอยู่อีกด้วย แต่เสียดายที่มันมีรอยร้าว และอาจจะแตกหักไปในไม่ช้า ท่านสามารถอ่านมันได้แค่สี่หรือห้าครั้งเท่านั้น”
เมื่อได้ยินคำพูดของนาง จิตใจของเมิ่งฮ่าวก็สั่นสะท้านด้วยความตื่นเต้น เขาต้องการมัน ไม่ใช่สำหรับการใช้ในระยะยาว แต่เพื่อที่จะแก้ปัญหาสถานการณ์ในปัจจุบันนี้ของเขา
“พี่ท่านเต๋า, ผู้น้อยหวังว่าท่านคงไม่ถือสา” หญิงสาวกล่าวพร้อมรอยยิ้ม โน้มตัวเข้ามาใกล้ และพูดเสียงแผ่วเบา “ราคาของชิ้นนี้คือสองร้อยหินลมปราณ ท่านคงเข้าใจได้ว่าถ้ามันไม่มีรอยร้าว มันก็จะมีค่ามากกว่าหนึ่งพัน ถ้าท่านต้องการมันจริงๆ ผู้น้อยสามารถช่วยลดราคาให้ท่านได้ แต่…ท่านจะตอบแทนข้าอย่างไร?”