เสียงฟ้าร้องดังออกมาในท้องฟ้ายามเย็น เมฆสีดอกกุหลาบก็ม้วนตัวไปมา และสายลมแห่งฤดูใบไม่ร่วงก็พลิ้วไหว หอบเอาใบไม้แห้งที่หล่นอยู่ตามพื้นดินให้ลอยขึ้นไป มันควรจะเป็นภาพที่สวยงาม เมื่อมีฝนตกในตอนเย็นของฤดูใบไม่ร่วง แต่ความสงบสุขเช่นนี้ได้ถูกทำลายลงโดยเงาร่างสองสาย ซึ่งได้ตกลงสู่พื้นเป็นครั้งคราว จากนั้นก็พุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้าในทันใด เกิดเสียงดังกระหึ่มตามมา เป็นการไล่ตามที่เกี่ยวพันถึงชีวิตและความตาย
เมิ่งฮ่าวซึ่งอยู่ด้านหน้า สองตาของเขาเปล่งประกาย หลังจากที่ก้าวถึงระดับขั้นเจ็ดของการรวบรวมลมปราณ เขาสามารถที่จะรักษาความเร็วสูงสุดบนกระบี่บินได้นานราวธูปไหม้หมดไปครึ่งดอก ด้วยความเร็วระดับนี้ เขาไม่สามารถที่จะทิ้งซ่างกวนซิวให้ห่างออกไปได้
หลังจากเวลาผ่านไป เขาก็ถูกบังคับให้ร่อนลงไปบนพื้น เขาต้องวิ่งออกไปให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้ไปสักพัก และจากนั้นก็เริ่มเหินบินขึ้นไปใหม่
ซ่างกวนซิวไล่ติดตามเขามาอย่างไม่ลดละ มันรู้ดีว่ามันจะปล่อยให้เมิ่งฮ่าวหนีไปไม่ได้ ถ้ามันปล่อยไป เมิ่งฮ่าวก็จะไปหลบซ่อนอยู่ที่ไหนสักแห่งในแคว้นจ้าวที่กว้างใหญ่นี้ และคงยากที่มันจะตามหาเจอได้อีกครั้ง
ในขณะนั้น มันก็มีความมั่นใจมากขึ้น จุดวิกฤตก็มาถึง มันรู้ว่าเมิ่งฮ่าวได้ครอบครองของวิเศษบางชิ้น มันไม่มั่นใจว่าของวิเศษนั้นคืออะไร แต่ก็มุ่งมั่นที่อยากจะได้มาเป็นของมัน
“เมิ่งฮ่าว, เจ้าหนีข้าไม่พ้นหรอก! เป้าหมายของข้าอยู่ที่ดินแดนด้านใต้ตลอดเวลา เหตุผลเดียวที่ข้ายังไม่บรรลุถึงขั้นพื้นฐานลมปราณ ก็เพราะว่าข้ายังไม่อยากจะไปถึงขั้นนั้น เจ้าก็เป็นเหมือนมดในสายตาของข้า! เจ้าจะเป็นหินรองรับเท้าให้ข้าก้าวไปสู่ขั้นพื้นฐานลมปราณ!”
ซ่างกวนซิวอยู่ในระดับขั้นเก้าของการรวบรวมลมปราณ ถึงแม้ว่ามันใกล้จะผ่านเข้าไปยังขั้นพื้นฐานลมปราณ แต่ระดับพลังลมปราณของมันก็ยังห่างไกลจากระดับขั้นนั้นมาก ซึ่งสามารถกล่าวได้ว่า ถึงแม้เมิ่งฮ่าวจะอยู่ในขั้นเดียวกับมัน พลังการฝึกตนของทั้งสองก็ยังคงแบ่งเป็นสองระดับอยู่ดี ซึ่งก็หมายความว่า ไม่ใช่ซ่างกวนซิวเร็วกว่าเท่านั้น แต่เป็นเพราะว่าจากสถานะการเป็นผู้อาวุโสในสำนักเอกะเทวะ ทำให้มันได้รับของวิเศษระดับสูงได้มากกว่า
ยันต์อาคมส่งเสียงหวีดหวิงแหวกฝ่าอากาศ พาซ่างกวนซิวเคลื่อนที่ไปข้างหน้าด้วยพลังไม่ธรรมดา มือของมันจับแผ่นหยกโบกสะบัดชายแขนเสื้อที่กว้างใหญ่ หมอกสีเขียวก็พุ่งออกมารวมตัวกันเป็นขวดสีเขียว สูงประมาณครึ่งตัวคน พุ่งตรงเข้าไปที่ตัวเมิ่งฮ่าว
ดวงตาของเมิ่งฮ่าวสาดประกายจ้า และเขาก็ตบลงไปที่ถุงเก็บสมบัติ กระบี่บินสิบเล่มก็ปรากฎขึ้น พุ่งตรงไปที่ขวดเวท เมื่อพวกมันปะทะกัน กระบี่บินทั้งสิบเล่มก็ระเบิดแตกกระจายกลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้ิย คล้ายดอกเห็ดบานออกไปในทุกทิศทาง ขวดเวทก็แตกออกเป็นเสี่ยงๆ ด้วยเช่นกัน แต่ซ่างกวนซิวก็เพิ่มความเร็วมากขึ้น และกระโดดลอยขึ้นไปในก้อนเมฆ พยายามที่จะลดระยะห่างระหว่างมันและเมิ่งฮ่าว
ในขณะนั้นเอง เมิ่งฮ่าวก็หันกลับมาในทันใด มือของเขาก็ขยับเป็นรูปแบบของการร่ายอาคม ดาบสายลมก็ปรากฎขึ้นสามเล่ม พวกมันไม่ได้พุ่งตรงไปที่ซ่างกวนซิว แต่บินเป็นรุปแบบรูปวงกลมอยู่ด้านหลังของมัน เร็วขึ้นและเร็วมากยิ่งขึ้น ก่อให้เกิดเป็นแรงดึงดูดซึ่งดูดเอาเศษกระบี่บินที่แตกกระจัดกระจายอยู่ภายใน กลายเป็นกระแสน้ำวนของเศษกระบี่บินหมุนวนไปมาอย่างรวดเร็ว
ทันใดนั้นกระแสน้ำวนของเศษกระบี่บินก็ระเบิดออกมา เสียงระเบิดดังกึกก้อง แต่เมิ่งฮ่าวไม่ได้หันกลับไป เศษกระบี่บินอันแหลมคมพุ่งออกมา ซ่างกวนซิวถูกกระแทกจนพุ่งไปข้างหน้า เศษเสื้อผ้าของมันปลิวว่อน สายตาของมันลุกโชนไปด้วยความโกรธ
“เจ้าได้ก้าวถึงระดับขั้นเจ็ดของการรวบรวมลมปราณแล้ว!” ซ่างกวนซิวจ้องมองไป ขณะที่เมิ่งฮ่าวเร่งความเร็วจนห่างไกลออกไป มันยังคงไล่ตามต่อไปด้วยความระมัดระวังมากขึ้น มันรู้ดีว่าเมิ่งฮ่าวเป็นคนเจ้าเล่ห์อย่างยิ่ง และไม่สามารถดูแคลนได้ มันต้องใช้พลังทั้งหมดของมัน
เมื่อมันได้คิดไปถึงวิธีที่เมิ่งฮ่าวเพิ่งใช้ไป ด้วยการรวบรวมเศษชิ้นส่วนของกระบี่เข้าด้วยกัน ซ่างกวนซิวต้องถึงกับผงะไปเล็กน้อย ถ้าพลังการฝึกตนของเมิ่งฮ่าวสูงกว่านี้ จากการโจมตีเมื่อครู่นี้ ถึงจะไม่สามารถสังหารมันได้ แต่ก็อาจจะทำให้มันบาดเจ็บสาหัสได้
“มันอายุยังน้อย แต่ก็น่ากลัวนัก การระเบิดกระบี่ก็แค่ทำให้ไขว้เขว บัดซบ!” มันเร่งความเร็วเพิ่มขึ้น ร่างกลายเป็นลำแสงพุ่งไล่ตามเมิ่งฮ่าวไป
บุคคลทั้งสองพุ่งผ่านยามเย็นในขณะที่ท้องฟ้าเริ่มมืดลง จนกระทั่งจันทร์สกาวมองลงมา จ้องไปที่ร่างอันสลัวเรือนรางของพวกมัน
สีหน้าของเมิ่งฮ่าวเคร่งเครียด เขากินแกนอสูรเข้าไปเล็กน้อย ถึงแม้ว่าทะเลเหนือได้แสดงเต๋าต่อเขา และเขาก็ได้ก้าวข้ามไปอีกระดับ แต่สถานการณ์ตอนนี้ของเขาไม่ดีสักเท่าไหร่ เขาอยู่ระดับขั้นเจ็ดของการรวบรวมลมปราณ แต่ก็ไร้หนทางที่จะหนีจากการตามล่าครั้งนี้ได้ เขาตกอยู่ในสถานการณ์ค่อนข้างจะวิกฤตอย่างแท้จริง
“ต้องมีสักวันที่ข้าจะสังหารเจ้าผู้นี้!” เมิ่งฮ่าวคิด เมื่อเขาพิจารณาถึงการเป็นศัตรูกันระหว่างคนทั้งสอง เขาก็เริ่มคิดได้ว่าทั้งหมดนี้อาจจะเป็นเพราะความโลภของซ่างกวนซิว ครั้งแล้วครั้งเล่า มันช่างกวนใจเป็นอย่างยิ่ง
มองกลับไปที่ซ่างกวนซิว เมิ่งฮ่าวกัดฟันแน่น เมื่อพลังของกระบี่บินเริ่มหายไป เขาก็ร่อนลงไปที่พื้น วิ่งตรงเข้าไปในป่าบนภูเขา เขามุ่งไปข้างหน้า ไม่ได้ตรงไปที่สำนักเอกะเทวะ แต่ไปทางตะวันออกของภูเขาต้าชิง ซึ่งมีภูเขาขึ้นต่อเนื่องกันเป็นลูกโซ่และไปเชื่อมต่อกับพื้นที่ราบและเมืองหลวงของแคว้นจ้าว
ภูเขาที่บริเวณนี้มีอยู่มากมาย มากกว่าอาณาเขตที่อยู่รายรอบของสำนักเอกะเทวะมากนัก โซ่แห่งภูเขานี้กว้างใหญ่ที่สุดในแคว้นจ้าว และเป็นที่รู้จักกันในนามของ เกราะแห่งแคว้น ต่อให้มองจากที่ห่างไกล ก็ไม่สามารถมองเห็นส่วนที่เหลือของมันได้ และเมื่อมองในยามราตรี พวกมันก็สูงขึ้นมาจนเหมือนส่วนหลังของมังกรที่นอนหลับอยู่ ยาวเป็นลูกคลื่นต่อเนื่องกันไปไร้ที่สิ้นสุด
เมิ่งฮ่าวก้มหน้าลง เร่งความเร็วลึกเข้าไปในเทือกเขาเกราะแห่งแคว้น นี่ไม่ใช่เป็นครั้งแรกที่เขาได้บินเพื่อชีวิตของตัวเองในช่วงสามปีที่ผ่านมานี้ จากประสบการณ์ของเขาในปีนั้นบนภูเขาสีดำ เมิ่งฮ่าวรู้ดีว่าจะไขว่คว้าหาโอกาสให้ตัวเองได้อย่างไร เขาบินไปด้วยความเร็วสูงสุดเท่าที่จะทำได้ มุ่งหน้าลึกเข้าไป และลึกมากขึ้น เข้าไปในเขตเทือกเขา
ซ่างกวนซิวไม่ได้ช้าแม้แต่น้อย ไม่ว่าเมิ่งฮ่าวจะไปที่ไหน มันก็ไล่ตามไป จิตใจของมันถูกกำหนดไว้ มันจะสังหารเมิ่งฮ่าว และเอาของวิเศษไป และมันก็รู้ว่ามันไม่ได้มีเวลามากนัก ต้นไม้ยาที่มันได้ปลูกไว้ ตอนนี้ก็เติบโตจนได้ที่และพร้อมที่จะเก็บเกี่ยวแล้ว ถ้ามันไปไม่ทัน ต้นไม้ยาก็จะเหี่ยวเฉา ซึ่งก็จะทำลายแผนการในอนาคตของมัน
ในการประเมินของมัน คงต้องใช้เวลาหนึ่งหรือสองวันในการไล่ตามเมิ่งฮ่าว ซึ่งเป็นการล่าช้ามากที่สุดเท่าที่จะยอมรับได้ ดังนั้น มันจึงไล่ตามเข้าไปในภูเขาต่อไปโดยไม่ลังเล
ประมาณหนึ่งพันหลี่ห่างจากจุดที่เมิ่งฮ่าวและซ่างกวนซิวเข้าไปในเทือกเขาเกราะแห่งแคว้น ของแคว้นจ้าว มีภูเขาอันสูงเด่นเป็นสง่าอยู่ลูกหนึ่ง
ยอดบนสุดของภูเขาลูกนี้แทงทะลุไปถึงก้อนเมฆ และสามารถมองเห็นได้จากที่อันห่างไกลแสนไกล ครึ่งทางขึ้นไปจนถึงยอดของภูเขานี้ทุกสิ่งทุกอย่างปกคลุมไปด้วยหิมะสีขาว มันมีขนาดใหญ่มหึมา ใหญ่กว่าภูเขาทุกลูกที่อยู่รอบๆ มัน และบนยอดสูงสุดของมันก็ดูเหมือนมีประกายของลำแสงพุ่งออกมาปกคลุมภูเขาลูกนี้ไว้ราวกับสายน้ำที่ไหลลงมา
ด้านข้างของภูเขาลูกนี้ ก็เป็นภูเขาอีกลูกหนึ่ง ซึ่งด้านบนสุดของมันเหมือนจะถูกหั่นออกไป ทำให้เกิดเป็นลานเรียบอันกว้างใหญ่ บนลานแห่งนั้นมีผู้ฝึกตนเกือบร้อยคนสวมใส่ชุดยาวสีขาวยืนอยู่
พวกมันทั้งหมดเป็นคนหนุ่มสาว ที่อายุน้อยสุดก็ประมาณสิบเอ็ด หรือสิบสองปี อายุมากสุดก็สิบเจ็ด หรือสิบแปดปี สีหน้าของพวกมันเต็มไปด้วยความหวังและกระตือรือล้น บางคนในกลุ่มของพวกมันดูเหมือนว่าจะปกปิดพลังการฝึกตนของมันไว้ และสีหน้าของพวกมันก็ดูภาคภูมิใจและแข็งกร้าว
บางคนในกลุ่มนั้น อยู่ในระดับขั้นเจ็ดหรือแปดของการรวบรวมลมปราณ และมีส่วนน้อยที่อยู่ถึงระดับเก้า ที่อ่อนแอสุดก็อยู่ที่ระดับห้าหรือหก ไม่มีสำนักไหนในแคว้นจ้าวที่จะมีศิษย์เช่นนี้ เห็นได้ชัดว่า ใครก็ตามที่รวบรวมกลุ่มของผู้เยาว์เช่นนี้ได้ ต้องเป็นสำนักใหญ่ที่มาจากดินแดนด้านใต้เท่านั้น
เสื้อผ้าของพวกมันทั้งหมดอยู่ในรูปแบบเดียวกัน และพวกมันก็เปล่งประกายของความมีสง่าราศรีออกมา ราวกับว่าพลังของพวกมันมีผลกระทบต่อทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่รอบๆ ตัวมัน บางคนก็มีพรสวรรค์ที่โดดเด่น และพวกมันทั้งหมดก็เต็มไปด้วยพละกำลัง เห็นได้ชัดว่าพวกมันเป็นคนในดินแดนแห่งผู้ฝึกตน
“นี่คือศิษย์สายนอกบางส่วนของข้า” เสียงที่แสดงความพึงพอใจกล่าวขึ้นพร้อมหัวเราะ “ท่านคิดว่าอย่างไร, ซ่งเหล่าไกว้?” ที่เบื้องหน้าของกลุ่มบุคคลพวกนี้ ใกล้กับขอบของลานกว้าง ชายชราสองคนนั่งขัดสมาธิอยู่ กระดานโกะวางอยู่ระหว่างคนทั้งสอง บุคคลที่หัวเราะก็เป็นหนึ่งในชายชราทั้งสองนี้ ผมของมันขาวทั้งศีรษะ สวมใส่ชุดยาวสีขาว ท่าทางราวกับเซียนผู้หลุดพ้น
สองตาของมันส่องประกายราวสายฟ้า และเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ มันยังคงหัวเราะอย่างต่อเนื่อง
ผู้ที่นั่งอยู่ด้านตรงข้ามของมันก็คือ ซ่งเหล่าไกว้ สวมใส่ชุดยาวสีดำเลื่อมพรายดูมันระยับ เส้นผมยาวสีเทาของมันกระจายไม่เป็นระเบียบ และมีรอยยิ้มอันลึกลับอยู่บนใบหน้าของมัน
“ยอดเยี่ยม, ยอดเยี่ยม สำนักจื่อยิ่น (ชะตาม่วง) ของท่าน คู่ควรกับการถูกเรียกว่าเป็นหนึ่งในห้าสำนักที่ยิ่งใหญ่ในดินแดนด้านใต้อย่างแท้จริง มีแววเห็นได้ชัดท่ามกลางศิษย์สายนอกของท่าน อู๋ติงชิว” ซ่งเหล่าไกว้ยิ่ม และสายลมอันหนาวเย็นราวกับฤดูใบไม้ผลิก็กระจายออกไป จิตใจของกลุ่มศิษย์ที่มองดูอยู่ก็เหมือนว่าจะสั่นสะท้านกันทุกคนไป
“ดี ดี พวกเรามาเดิมพันกัน” ชายชราในชุดยาวสีขาวกล่าวขึ้นพร้อมรอยยิ้ม ตาของมันส่องประกาย มือของมันขยับไปมา ทันใดนั้นก้อนหินขนาดใหญ่ก็ปรากฎขึ้น ขนาดประมาณศีรษะคน กระแทกลงไปยังพื้นข้างกายมัน
หินก้อนนี้มีสีดำและทึบแสง แต่ก็มีแสงเรืองรองสีดำที่สามารถมองเห็นได้ส่องประกายอยู่ด้านใน แสงระยิบระยับส่องประกายแปลบปลาบอยู่มากมายในนั้น ราวกับว่ามันประกอบขึ้นมาจากอัญมณีมากมาย
“นี่เป็นเดิมพันของข้า ผลึกแห่งสวรรค์!” สายตาของชายชราชุดยาวมีขาวเปล่งประกายเมื่อมองไปที่ซ่งเหล่าไกว้
“ไม่มีปัญหา” ซ่งเหล่าไกว้กล่าว สะบัดชายแขนเสื้อ “นี่คือสะเก็ดดาว ที่ท่านอยากได้” เหล็กก้อนใหญ่ก็ปรากฎขึ้น ขนาดเท่ากำปั้น มันส่งประกายสีดำออกมา ราวกับว่ามันสามารถกลืนทุกสิ่งทุกอย่างที่เห็น เห็นได้ชัดว่ามันไม่ใช่สิ่งของธรรมดา
“เห็นธงบนยอดเขานั่นหรือไม่? ถ้าศิษย์ของท่านสามารถหยิบธงนั่นมาได้ ท่านก็ชนะ แต่ถ้าศิษย์สำนักจื่อยิ่นด้อยฝีมือไม่สามารถไปถึงยอดเขาได้ ผลึกแห่งสวรรค์ ก็จะเป็นของข้า” มันหัวเราะอย่างสบายใจ
“ไม่ต้องกังวล” ชายชุดยาวสีขาวกล่าวด้วยความมั่นใจและการเยาะเย้ย “ศิษย์ของข้าต้องเอาธงเล็กๆ ผืนนั้นมาได้อย่างแน่นอน พวกมันจะเก็บเอาของวิเศษบนภูเขานั้นมาให้หมด และสังหารสัตว์อสูรที่ท่านได้สร้างไว้ให้เรียบสิ้น อย่าได้กลับคำเมื่อถึงเวลานั้นนะ!”
“ข้าได้ท่องเที่ยวไปทั่วทั้งสวรรค์และพื้นปฐพีมานานกว่าสี่ร้อยปี และไม่เคยที่จะกลับคำที่พูดไปแม้แต่ครั้งเดียว ข้าได้นำของวิเศษและหินลมปราณมาเก็บไว้จนเต็มภูเขานั่น เช่นเดียวกับสัตว์อสูรที่หายากมากมาย ที่ข้าได้สร้างขึ้นมา แต่จงจำคำพูดของข้าไว้ เมื่อไหร่ที่ภูเขานั่นถูกเปิด ใครก็ตามที่อยู่ใต้ระดับขั้นพื้นฐานลมปราณสามารถเข้าไปได้ทุกคน เป็นเวลาเจ็ดวัน นี่ก็รวมถึงศิษย์ของสำนักจื่อยิ่นของท่านด้วย เช่นเดียวกับศิษย์ของสำนักอื่นๆ ใครก็เข้าได้!”
“ใครก็ตามที่มีความสามารถ ก็จะได้รับของวิเศษ ถึงจะเอาออกมาได้ทั้งหมด ข้าก็จะไม่ขมวดคิ้วแม้แต่นิดเดียว หากข้ากลับคำพูดนี้ ข้าก็จะไม่ใช่คนแซ่ซ่ง!” ซ่งเหล่าไกว้พูดทุกคำพูดด้วยศีรษะที่ยกสูงขึ้น ดูแข็งกร้าว น้ำเสียงแน่วแน่ไม่แปรเปลี่ยน
“อย่างไรก็ดี ใครก็ตามที่ด้อยฝีมือ เอาของวิเศษไปไม่ได้ และไม่สามารถขึ้นไปจนถึงจุดสูงสูดของภูเขาลูกนั้น ก็จะกลายเป็นอาหารของสัตว์อสูร นี่เป็นโชคชะตาของพวกมัน” เมื่อได้พุดเช่นนี้ รอยยิ้มของมันก็เริ่มเย็นเยียบขึ้น และดวงตาของมันก็เต็มไปด้วยการเยาะเย้ย
“ศิษย์สำนักจื่อยิ่นของข้าทั้งหมดโดดเด่นท่ามกลางพวกมันด้วยกันเอง” อู๋ติงชิวกล่าวพร้อมกับจ้องเขม็งไปที่ซ่งเหล่าไกว้ เสียงของมันดังออกมา “การกวาดล้างภูเขาของท่านมันง่ายสำหรับพวกมันเช่นเดียวกับการพลิกฝ่ามือ”
“สองร้อยหลี่รอบๆ ภูเขาของวิเศษนั้น มีสัตว์อสูรท่องเที่ยวไปอย่างอิสระอยู่ ข้าได้เพาะพื้นดินบริเวณนั้นด้วยดินจากส่วนลึกของทะเลตะวันออก ซึ่งไม่เคยได้รับแสงแดดมาเป็นเวลาถึงหนึ่งหมื่นปี ข้ายังได้ย้ายยอดของภูเขาเทียนซานจากดินแดนด้านใต้มาเป็นจุดสูงสุดของภูเขาลูกนั้น ใช้เวลาตลอดวงจรหกสิบปีสกัดมันขึ้นมา และหลอมรวมเข้าไปในภูเขานั่น ไม่มีที่ไหนในโลกนี้ที่จะเหมือนมันอีกแล้ว สัตว์อสูรแต่ละตัวของที่นี่ก็เป็นชนิดที่หายากซึ่งข้าได้รวบรวมมา พวกมันทั้งโหดเหี้ยมและไม่ธรรมดา ข้ายังได้รวบรวมสัตว์อสูรกลายพันธุ์จากทุกที่มาด้วย ข้าคิดว่าศิษย์นับร้อยของท่าน คงไม่เพียงพอที่จะเป็นอาหารให้กับสัตว์อสูรของข้า!” ซ่งเหล่าไกล้จ้องกลับไปที่อู๋ติงชิว ค่อยๆ ลูบเคราอย่างช้าๆ