เมื่อเครื่องหมายปรากฎขึ้นในท้องฟ้าเหนือสำนักเอกะเทวะ ศิษย์ทั้งหมดในเขตสำนักสายนอกจ้องมองขึ้นไปด้วยความรู้สึกกลัวและตกใจ สมองของพวกมันหมุนติ้วไปมา ดวงตาของพวกมันเต็มไปด้วยความว่างเปล่า ไม่สามารถที่จะเข้าใจในสิ่งที่พวกมันเห็นได้
เมื่อมองไปที่ตัวอักษรสีทองที่มีอยู่เต็มท้องฟ้า จิตใจของพวกมันสั่นสะท้าน เจ้าอ้วนซึ่งกำลังถูตะไบฟันของมันด้วยกระบี่เกล็ดปลาอยู่ ส่งเสียงร้องออกมาด้วยความตกใจ หลีกเลี่ยงการเฉือนลิ้นตัวเองไปได้อย่างหวุดหวิดเมื่อมันอ้าปากค้างมองภาพตรงหน้า
ซ่างกวนซิว ซึ่งไปนั่งเข้าฌาณเพียงลำพัง ทันใดนั้นก็เงยหน้าขึ้น เมื่อมันเห็นสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น ร่างกายของมันก็เริ่มสั่น และดวงตาของมันก็ส่องประกายด้วยความไม่อยากเชื่อ สีหน้าของมันเปลี่ยนไป ราวกับว่าทันใดนั้น มันเพิ่งจะคิดได้ถึงบางสิ่งที่น่ากลัวอย่างมาก มันลุกขึ้นยืนทันที และทันใดนั้นอาคมเคลื่อนย้ายทางไกลก็ปรากฎขึ้น ซึ่งเป็นสิ่งที่มันได้จัดเตรียมไว้แล้วหลายปีก่อนหน้านี้
ด้วยความเร็วเท่าที่จะเร็วได้ มันก้าวเท้าเข้าไปในเขตอาคม จากนั้นก็หายไปในทันที
ในห้องโถงหลักบนภูเขาตะวันออก เมื่อเมิ่งฮ่าว, ฉื่อชิง และเฉินฟ่าน ปรากฎตัวขึ้น สีหน้าของเฮ่อหลัวฮว่าก็สลดลง มองขึ้นไปยังท้องฟ้า สีหน้าของท่านเริ่มซีดลง และก็เดินโซเซถอยไปด้านหลังสองสามก้าว
ผู้อาวุโสโอวหยางวิ่งออกไปจากห้องโถงหลัก มองขึ้นไปในท้องฟ้า ด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“พวกเจ้าได้ไปแตะต้องสิ่งของใดในเขตพื้นที่นั่งกัมมัฏฐานของท่านปรมาจารย์หรือไม่?” ผู้อาวุโสโอวหยางถาม เหลียวหลังกลับมามองพวกเขา สีหน้าของท่านเคร่งเครียดเช่นเดียวกับน้ำเสียงของท่าน
“เมื่อตอนที่พวกเรากำลังจะกลับ ศิลาตัวอักษรก็ปรากฎขึ้น” เฉินฟ่านกล่าว น้ำเสียงแสดงความเจ็บปวดในใจ “พวกเราวิตกว่าถ้านำมันออกมาพร้อมพวกเรา มันอาจจะนำมาซึ่งความหายนะแก่สำนัก ดังนั้นพวกเราจึงได้บันทึกตัวอักษรทั้งหมดไว้” มันหยิบเอาแผ่นหยกออกมา เช่นเดียวกับเมิ่งฮ่าว และฉื่อชิง พวกเขายื่นส่งมอบให้ผู้อาวุโสโอวหยาง
“นี่คือ…” ผู้อาวุโสโอวหยางขมวดคิ้ว และจากนั้นสายตาก็ส่องประกายด้วยความไม่เชื่อถือออกมา
“ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องไปศึกษามัน, มันเป็นของปลอม” เฮ่อหลัวฮว่าพูดขึ้นพร้อมกับถอนหายใจยาวออกมา “ศิลาตัวอักษรที่ส่งสัญญาณอยู่บนท้องฟ้านั่นด้วย ทั้งสองสิ่งนี้เป็นของปลอม” ท่านมองลงไปที่พื้น จากนั้นก็สั่นศีรษะ
“สำนักอื่นๆ จากแคว้นจ้าวคงจะมาถึงในไม่ช้านี้ สำนักเอกะเทวะคงไม่อาจจะหลีกเลี่ยงหายนะในครั้งนี้ พวกมันมาที่นี่เพื่อตามหาท่านปรมาจารย์” เฮ่อหลัวฮว่าโบกสะบัดแขนเสื้อ และเสียงกึกก้องก็ได้ยินไปทั่วทั้งสำนักเอกะเทวะ แสงอันอ่อนโยนก็พุ่งขึ้นมาครอบคลุมทุกสิ่งเอาไว้
“พวกเจ้าทั้งสามเป็นศิษย์สายใน เข้าไปรอในห้องโถงหลัก” เมื่อเสียงของท่านดังออกมา แสงอันเลือนลางก็พุ่งผ่านท้องฟ้ามาจากทั่วทุกทิศทาง จำนวนเกือบยี่สิบลำแสง มาพร้อมกับเสียงเสียดสีของอากาศแหลมสูง
เงาร่างเลือนลางมาถึงเขตอาคมป้องกันซึ่งอยู่รอบๆ สำนักเอกะเทวะ และเมื่อพวกมันสัมผัสเขตอาคม ทั้งสวรรค์และพื้นปฐพีก็สั่นสะเทือน ยอดเขาหลักทั้งสี่สั่นราวกับว่ามันจะพังถล่มลงมา ทันใดนั้นความเงียบก็ปกคลุมไปทั่วทั้งป่าในภูเขา สัตว์ป่าทั้งหมดล้วนตัวสั่นไปด้วยความหวาดกลัว ไม่กล้าที่จะส่งเสียงแม้สักเล็กน้อย
ทั้งยี่สิบคนในท้องฟ้า มีอยู่หกคนอยู่ตรงกลาง สี่คนเป็นบุรุษ และสองคนเป็นสตรี พวกมันทั้งหมดเป็นผู้สูงอายุ อยู่ในชุดยาวหรูหรา และพลังซึ่งกระจายออกมาจากพลังการฝึกตนของพวกมันก็น่าตกใจเป็นอย่างยิ่ง
แต่ละคนในบุคคลทั้งหกนี้ ก็มีผู้ฝึกตนสองหรือสามคนอยู่ด้านหลัง เป็นผู้ติดตาม ซึ่งผู้ติดตามแต่ละคนก็มีพลังการฝึกตนเสมอกับผู้อาวุโสโอวหยาง บุคคลทั้งยี่สิบคนนี้ คือ ผู้ที่มีความแข็งแกร่งมากที่สุดในแคว้นจ้าวทั้งหมด และตอนนี้พวกมันก็อยู่ที่นี่แล้ว สำนักเอกะเทวะ แรงกดดันจากพวกมันราวกับเมฆสีดำที่ปกคลุมท้องฟ้า
“สำนักเอกะเทวะ!” เสียงดังกระหึ่มออกมา เป็นระลอกคลื่นคล้ายสายฟ้า สิ่งก่อสร้างที่ประกอบกันเป็นสำนักสายนอก ดูเหมือนว่าจะพังทลายลงมาได้ทุกเมื่อ ศิษย์สายนอกจำนวนมากมายกระอักโลหิตออกมา ความกลัวปกคลุมอยู่บนใบหน้าของพวกมัน
“สำนักลมยะเยือกช่างแข็งแกร่งยิ่งนัก” เฮ่อหลัวฮว่าพูดด้วยเสียงทุ้มต่ำในลำคอ เสียงของท่านดังออกมาราวกับเสียงฟ้าผ่า เมื่อท่านยืนอยู่บนจุดสูงสุดของยอดเขา ข่มเสียงที่เพิ่งพูดออกมาก่อนหน้านี้ ท่านยกมือขวาขึ้น และเสียงทุ้มต่ำก็ดังออกมาราวกับว่ามีสายลมที่มองไม่เห็นปรากฎขึ้น
พุ่งตรงไปที่ตัวบุคคลซึ่งเพิ่งจะพูดไปเมื่อก่อนหน้านี้ หมุนวนอยู่รอบตัวมัน ทันใดนั้นก็เปลี่ยนเป็นสีดำและกลายร่างเป็นปากที่ใหญ่มหึมา กำลังจะกลืนกินผู้ฝึกตนที่อยู่ขั้นก่อตั้งแกนลมปราณของสำนักลมยะเยือกผู้นั้น ทำให้สีหน้าของมันเปลี่ยนไป และรีบหลบออกไปอย่างรวดเร็วโดยไม่ลังเล
“พอ, พอแล้ว” หนึ่งในผู้ฝึกตนขั้นก่อตั้งแกนลมปราณที่แข็งแกร่งเอ่ยขึ้น มองลงมายังเฮ่อหลัวฮว่า เสียงของมันแผ่วเบาแต่ก็เต็มไปด้วยพลัง มันสวมใส่ชุดยาวสีม่วงซึ่งมีภาพขลุ่ยปักอยู่ มันขมวดคิ้ว ยกมือขึ้น และลมสีดำรูปปากใหญ่มหึมาก็กระจายหายไป “สหายทางเต๋าเฮ่อ, เครื่องหมายบนท้องฟ้า มาจากสำนักเอกะเทวะของท่าน ได้โปรดส่งมอบมาให้พวกข้า”
ความตายที่ไร้เสียงกระจายเต็มไปทั่วทั้งเขตสำนักสายนอก เมื่อศิษย์สายนอกรู้สึกถึงเงาแห่งความตายกำลังคลืบคลานมาปกคลุมพวกมัน ภายในห้องโถงหลัก เมิ่งฮ่าว, เฉินฟ่าน และฉื่อชิง นั่งอยู่ในความเงียบ พวกเขารู้ว่าพวกที่ด้านนอกซึ่งมีพลังการฝึกตนที่น่าตกใจ ไม่ว่าใครคนใดคนหนึ่งก็สามารถทำลายพวกเขาทั้งสามด้วยการโบกสะบัดมือเพียงแค่ครั้งเดียว
จิตใจของเมิ่งฮ่าวเต้นระรัว เมื่อเขามองไปที่พวกมัน นี่เป็นครั้งแรกของเขาที่ได้เห็นบุคคลซึ่งแข็งแกร่งเช่นนี้ ในความคิดของเขาทันใดนั้น ก็เต็มไปด้วยความปรารถนาอันรุนแรงที่อยากจะกลายเป็นผู้แข็งแกร่งมากกว่านี้
เฮ่อหลัวฮว่ายืนอยู่บนจุดสูงสุดของภูเขาตะวันออก มองขึ้นไปยังกลุ่มของคนเหล่านั้น หลังจากเวลาผ่านไปชั่วครู่ ท่านก็ถอนหายใจออกมา
“พวกท่านต้องการให้ข้าส่งอะไรให้? ข้าไม่ทราบว่าเครื่องหมายนี้ส่งมาจากไหน”
“ยอมจำนนซะเถอะ จะได้ไม่ต้องมีการต่อสู้” บุรุษในชุดยาวสีม่วงกล่าวด้วยใบหน้าเคร่งขรึม “ยกเลิกเขตอาคมป้องกันของสำนักเอกะเทวะทั้งหมด ปล่อยให้พวกข้าค้นหาได้โดยอิสระ นี่ก็หมายถึงพวกเจ้ายอมแพ้ ถ้าไม่ยอม ถึงแม้พวกเราจะเป็นสหายผู้ฝึกตนในแคว้นจ้าวด้วยกัน พวกข้าก็จะทำลายเขตอาคมป้องกันให้หมด จากนั้นก็กำจัดสำนักเอกะเทวะให้หมดสิ้น”
“กำจัดสำนักเอกะเทวะ…” ทันใดนั้นเฮ่อหลัวฮว่าก็หัวเราะขึ้นมา เสียงดังขึ้นและดังขึ้น สะท้อนไปทั่วสำนักเอกะเทวะ เมื่อท่านหัวเราะ ก็มองไปที่ผู้อาวุโสโอวหยางที่ยืนอยู่ข้างๆ ซึ่งดูเหมือนว่าพร้อมที่จะสู้จนตัวตาย ท่านยังได้มองไปที่ศิษย์สายในสามคน ซึ่งกำลังนั่งด้วยสีหน้าเคร่งขรึมอยู่ในห้องโถงหลักอีกด้วย จากนั้นก็จ้องมองไปที่กลุ่มศิษย์สายนอก ซึ่งถูกปกคลุมไปด้วยโลหิต ท่านรู้ว่าไม่มีความหวังเหลืออยู่เลย ไร้หนทางอย่างแท้จริง
ท่านจะสู้กลับไปได้อย่างไร? ท่านจะแน่ใจได้อย่างไรว่าศิษย์สายนอกจะมีชีวิตอยู่จนถึงวันต่อๆ ไป? ท่านจะหลีกเลี่ยงหายนะครั้งนี้ได้อย่างไร?…
“ตราบเท่าที่ข้ายังเป็นเจ้าสำนักเอกะเทวะแห่งนี้ ข้าก็จะไม่ยอมให้ใครมาข่มเหงและลบหลู่มันโดยเด็ดขาด แต่ข้าก็ไม่มีหนทางใดเลยจริงๆ ที่จะปกป้องทุกคนไว้ได้…” เสียงหัวเราะของท่านเต็มไปด้วยความปวดร้าวขมขื่น แต่ก็ยังมีเศษเสี้ยวแห่งความหวังเหลืออยู่
“ถึงแม้ว่าพวกเจ้าจะไม่กำจัดสำนักเอกะเทวะแห่งนี้ ข้าก็เกรงมันคงจะไม่สามารถคงอยู่ได้อีกต่อไป ดังนั้น…ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ข้าขอสลายสำนักเอกะเทวะ ข้าไม่ต้องการภูเขาอันน้อยนิดนี้อีกต่อไป!” ท่านสะบัดชายแขนเสื้อ และลอยขึ้นไปในท้องฟ้า ผู้อาวุโสโอวหยางมองดูด้วยความตกตะลึง จากนั้นก็ติดตามเฮ่อหลัวฮว่าไป ทั้งสองลอยอยู่กลางอากาศ มองลงมายังสำนักเอกะเทวะ ซึ่งเคยเป็นบ้านของพวกเขาในรอบหลายๆ หกสิบปีที่ผ่านมา สีหน้าของคนทั้งสองเต็มไปด้วยความปวดร้าวเศร้าใจ
“ศิษย์ทั้งหลาย, ฟังคำสั่งข้า สำนักเอกะเทวะ ได้ถูกลบไปแล้ว ตั้งแต่นี้เป็นต้นไป พวกเจ้าไม่ใช่ศิษย์ของสำนักอีกต่อไป โลกแห่งนี้จะไม่มีสำนักเอกะเทวะอีกแล้ว!” ดวงตาของเฮ่อหลัวฮว่าเต็มไปด้วยเส้นเลือด กลุ่มบุคคลทั้งยี่สิบคนจากแคว้นจ้าวเริ่มส่งเสียงหัวเราะอย่างเย็นชา เมื่อพวกมันได้ยินเสียงที่สร้างความตกตะลึงของเฮ่อหลัวฮว่า
“พวกเจ้าพอใจแล้วยัง?” ท่านถาม “ของวิเศษหรือเครื่องหมายใดๆ ที่นี่ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับข้าอีกแล้ว และไม่เกี่ยวกับเด็กที่ไร้สังกัดเช่นพวกมันด้วยเช่นกัน ถ้าพวกเจ้ายังกล้าที่จะทำร้ายใครก็ตาม ข้าก็จะระเบิดเขตอาคมป้องกัน และ…พวกเราทั้งหมดก็จะแตกดับไปด้วยกัน” เสียงของท่านแสดงถึงความแน่วแน่เด็ดเดี่ยว และแฝงไว้ด้วยความขมขื่น ทำให้จิตใจของผู้ฝึกตนในแคว้นจ้าวเหล่านั้นสั่นสะท้านเล็กน้อย
“สหายทางเต๋าเฮ่อ เมื่อท่านได้ตัดสินใจเช่นนี้ แน่นอนว่าพวกข้าจะไม่สร้างความลำบากใจให้กับท่าน” หญิงชราหนึ่งในหกคนที่แข็งแกร่งกล่าวขึ้น “สำนักเอกะเทวะถูกลบชื่อไปแล้ว ถ้าท่านหลีกทางให้ พวกข้าก็จะไม่สร้างปัญหาใดๆ ให้กับศิษย์เหล่านั้น ขอให้ท่านสบายใจได้” สายตาของนางราวกับสายฟ้าเมื่อมองไปทั่วสำนักเอกะเทวะ นางสามารถบอกได้ว่าสิ่งที่ส่งเครื่องหมายออกมา มีต้นกำเนิดมาจากที่แห่งนี้ แต่ก็ไม่ได้เกิดขึ้นมาจากเงื้อมมือใครทั้งสิ้น
เมิ่งฮ่าวมองขึ้นไปในท้องฟ้า และเมื่อคำพูดของเฮ่อหลัวฮว่าดังก้องอยู่ในหูของเขา เขาก็ได้นึกไปถึงกฎแห่งป่า ถึงแม้ว่าเจ้าสำนักจะแข็งแกร่งมากเพียงไร แต่ท่านก็ยังคงถูกบีบบังคับให้ล้มเลิกสำนัก
เฉินฟ่านไม่พูดอันใด แต่เดินโซเซถอยหลังไปสองสามก้าวด้วยขาที่สั่นน้อยๆ ฉื่อชิงก้มหน้าลง
“เมื่อได้ยินคำรับรองของสหายทางเต๋าจากเถียนเหล่า ข้าก็สบายใจขึ้น” เฮ่อหลัวฮว่าสะบัดชายแขนเสื้อ และเขตอาคมป้องกันก็หายไป จากนั้นท่านก็เตรียมตัวจากไป ตามติดไปด้วยผู้อาวุโสโอวหยาง
บางคนในกลุ่มของคนที่ลอยอยู่บนท้องฟ้ามองเฮ่อหลัวฮว่าด้วยสายตาที่เปล่งประกาย เห็นได้ชัดว่าไม่ต้องการให้ท่านจากไป แต่ความในใจของพวกมันก็ถูกจับได้โดยหญิงชราผู้นั้น
ด้านในของห้องโถงหลัก สีหน้าของเฉินฟ่านซีดขาว มันถอยไปด้านหลังอีกสองสามก้าว จนกระทั่งไปยืนพิงที่รูปปั้นของปรมาจารย์เอกะเทวะ
ในเวลานั้นเอง เสียงกึกก้องก็ดังไปทั่วท้องฟ้า และสายฟ้าหลากสีก็พุ่งใกล้เข้ามา เสียงหัวเราะอย่างเย็นชาดังไปทั่ว สร้างความตกใจกลัวให้กับผู้ฝึกตนทั้งหลายลึกเข้าไปถึงแกนในของร่างกาย แม้แต่สีหน้าของผู้ฝึกตนจากแคว้นจ้าวก็ปรากฎความตื่นกลัว
“ห้ามให้ผู้ใดจากไป” เสียงกระหึ่มดังมา ทันใดนั้นเขตป้องกันขนาดใหญ่ก็กางออกไปทั่วทั้งสำนักเอกะเทวะ ปกคลุมทุกสิ่งทุกอย่างภายใต้รัศมีหลายหลี่จนนับไม่ถ้วน ไม่มีใครสามารถจากไป แม้ว่าจะต้องการไปก็ตาม
สีหน้าของเฮ่อหลัวฮว่าเปลี่ยนไป ท่านมองไปบนท้องฟ้า และก็เห็นภาพของหลัวผาน (เข็มทิศจีน)ขนาดใหญ่มหึมา มีเส้นผ่าศูนย์กลางกระมาณเก้าร้อยฉื่อ ด้านบนของหลัวผานยืนไว้ด้วยสตรีสาววัยกลางคนหน้าตาสวยงาม สวมใส่อาภรณ์ยาวหรูหราสีเขียวเข้ม รวบผมด้วยปิ่นรูปนกเฟิ่ง (นกฟีนิกซ์) มีผู้ฝึกตนสิบสองคนยืนอยู่รายรอบตัวนาง ซึ่งส่วนใหญ่เป็นสตรีและมีหน้าตาสวยงามด้วยเช่นกัน สีหน้าของพวกนางดูหยิ่งยโสและเย็นชาเมื่อพวกนางมองลงมายังเบื้องล่าง
“ถูกต้อง, ไม่อนุญาตให้ใครจากไปแม้แต่คนเดียว” ทันใดนั้นอากาศเหมือนกับจะถูกแยกออก และบุรุษในชุดเกราะร่างสูงใหญ่ก็ปรากฎกายขึ้น บนไหล่สะพายไว้ด้วยกระบี่สีทองเล่มใหญ่ และมีผู้ติดตามสิบสองคนเช่นเดียวกัน ผู้ติดตามทั้งหมดรูปร่างสูงใหญ่ และสีหน้าของพวกมันก็เต็มไปด้วยรังสีสังหาร
“จ้าวซานหลิง ผู้พิทักษ์เต๋า จากสำนักจินซวง (เกล็ดน้ำค้างทองคำ)” สตรีสาววัยกลางคนหน้าตาสวยงาม ผู้ซึ่งยืนอยู่ตรงกลางของหลัวผานกล่าวขึ้น เสียงของนางเย็นชา “เจ้าช่างมีจมูกไวอะไรเช่นนี้” เสียงของนางก่อให้เกิดระลอกคลื่นกระจายไปทั่วในท้องฟ้า
“แม้แต่สตรีในสำนักเฮยเซ่อไช (กระชอนดำ) ยังมาได้” จ้าวซานหลิงกล่าวตอบพร้อมกับหัวเราะ “แล้วทำไมบุรุษของสำนักจินซวงมาไม่ได้?”
จากนั้น ก็มีเสียงดังออกมาจากด้านนอกของเขตอาคมป้องกัน แสงเย็นเยียบพุ่งลงมาจากท้องฟ้า และเมื่อมันมาถึง มันก็เจาะทะลุผ่านแสงของเขตอาคมป้องกัน ปรากฎเป็นกระบี่บินยาวเกือบเก้าร้อยฉื่อพุ่งผ่านส่วนที่ถูกทำลายลงมา
กระบี่สีฟ้ารูปร่างโบราณลอยลงมา ล้อมรอบด้วยการหมุนวนของความหนาวเย็นที่รุนแรง ซึ่งทำให้เกล็ดหิมะเริ่มตกลงมาทั่วทั้งพื้นที่โดยรอบของสำนักเอกะเทวะ ผู้ที่กำลังยืนอยู่ด้านบนสุดของกระบี่ก็คือบุรุษวัยกลางคน
มันสวมใส่ชุดยาวของนักศึกษา และยืนมือไพล่หลัง มีเพียงมันคนเดียวที่ยืนอยู่ด้านบนสุดของกระบี่เล่มใหญ่ยักษ์ แต่รังสีที่แผ่ออกมาจากบุคคลผู้นี้สามารถที่จะบุกไปทั่วทั้งสวรรค์ชั้นฟ้าโดยไร้ผู้ต่อต้าน
“สำนักกูตู๋เจี้ยน! (กระบี่เดียวดาย)” เฮ่อหลัวฮว่าเอ่ยขึ้น สีหน้าของท่านเปลี่ยนไป ท่านรู้จักตัวตนของนักศึกษาที่มาจากสำนักกูตู๋เจี้ยนผู้นี้ สำนักกูตู๋เจี้ยนเป็นสำนักอันดับหนึ่งในดินแดนด้านใต้ สำนักนี้มีคำขวัญกล่าวไว้ว่า “เมื่อกระบี่เดียวดายปรากฎ แม้สวรรค์ยังต้องสั่นสะเทือน”