วันจันทร์ที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2560

ตอนที่ 42 : ใครกล้าแตะต้องมัน!?

Posted By: wuxiathai - 22:52

“ที่แท้ก็เป็นสหายทางเต๋า โจวเหยียนอวิ๋น นั่นเอง” สตรีสาวหน้าตาสวยงามวัยกลางคนเอ่ยขึ้น ทักทายมันด้วยการประสานมือ แม้แต่เจ้าตัวใหญ่จ้าวซานหลิง ก็ทักทายโจวเหยียนอวิ๋น อย่างเงียบๆ ด้วยการประสานมือด้วยเช่นกัน ความเกรงกลัวซ่อนอยู่ในสีหน้าของมัน
เมื่อมองเห็นทั้งหมดมาพร้อมหน้ากันเช่นนี้ จิตใจของเมิ่งฮ่าวก็รู้สึกเริ่มมีแรงกดดัน นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นบุคคลที่แข็งแกร่งมากมายจากหลายสำนัก เขามีความประทับใจเป็นพิเศษกับการปรากฎกาย ของคนในสามสำนักที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของดินแดนด้านใต้อันกว้างไพศาล ซึ่งเฉินฟ่านได้เคยบอกเขาก่อนหน้านี้
“ดินแดนด้านใต้…” เมิ่งฮ่าวสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ฉื่อชิงยืนอยู่ข้างกายเขาอย่างสงบเงียบ โดยไม่อาจคาดเดาได้ว่านางคิดอะไรอยู่
ด้านในของห้องโถงหลัก เฉินฟ่าน สีหน้าซีดขาว ยกมือขวาขึ้นด้วยความโศกเศร้า และกดลงไปยังจุดลับบนรูปปั้น
ทันใดนั้น ทางเข้าของเขตพื้นที่นั่งกัมมัฏฐานของปรมาจารย์เอกะเทวะก็ปิดลงโดยไร้เสียง และหายไปในที่สุด อันที่จริงแล้ว ไม่ว่าใครทั้งด้านในและด้านนอกของสำนัก ไม่มีผู้ใดเลยจะรับรู้ได้ถึงสิ่งที่เกิดขึ้นนี้ แม้แต่โจวเหยียนอวิ๋น และคนอื่นๆ ที่มาจากดินแดนด้านใต้
“ท่านปรมาจารย์, ศิษย์น้อยเฉินผู้นี้ จะช่วยให้ท่านปลอดภัย ไร้เสียงใดๆ ไปรบกวนท่าน” เฉินฟ่านพูด เสียงของเขาเต็มไปด้วยถูกต้องเที่ยงธรรม “ข้าจะไม่ยอมให้บุคคลพวกนี้มารบกวนการนั่งกัมมัฏฐานของท่าน”
เฉินฟ่านเป็นคนซื่อสัตย์และมีความจริงใจต่อสำนัก ตั้งใจที่จะปกป้องปรมาจารย์ของตัวเอง แม้ว่ามันจะเป็นการเสี่ยงมากสักเพียงใด เมื่อแผนการของมันสำเร็จ มันก็ถอนหายใจออกมาด้วยความรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง
ในเวลาเดียวกันนั้น ในห้องลับใต้สุสานของสำนักเอกะเทวะ ปรมาจารย์เอกะเทวะมองดูเหตุการณ์ที่กำลังดำเนินไปด้วยความอิ่มอกอิ่มใจ เต็มไปด้วยความตื่นเต้น
“ในไม่ช้า, พวกมันก็จะค้นพบทางเข้าเขตพื้นที่นั่งกัมมัฏฐานของข้า จากนั้นพวกมันก็จะโจมตีเข้ามาและเปิดห้องลับนี้ สุดท้าย, ข้าก็ไม่ต้องติดอยู่ในนี้อีกต่อไป” ในขณะที่มันกำลังพูดประโยคนี้ด้วยความตื่นเต้น ทันใดนั้นสีหน้าของมันก็เปลี่ยนไป
“นี่…นี่…บัดซบ! เจ้า…เจ้า…เจ้ากำลังทำอะไร?!” มันมองไปที่เฉินฟ่าน ซึ่งเริ่มขยับตัว ด้วยความระมัดระวังอย่างสูงสุด, ปรมาจารย์เอกะเทวะมองด้วยความงุนงง เมื่อประตูทางเข้าในเขตพื้นที่กัมมัฏฐานค่อยๆ หายไปอย่างเงียบๆ ไร้ซึ่งร่องรอยให้สืบค้นต่อไป มันไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่ได้เห็น
แน่นอนว่า นี่เป็นการป้องกันที่มันได้ติดตั้งสำรองไว้เมื่อหลายปีมาแล้ว เผื่อในกรณีที่มีศัตรูผู้แข็งแกร่งบุกรุกเข้ามา มันได้ส่งต่อความลับนี้ให้กับผู้สืบทอด และได้ถูกส่งต่อกันมาจากรุ่นสู่รุ่น เป็นวิธีป้องกันไม่ให้ผู้บุกรุกผ่านเข้าไปยังเขตกัมมัฏฐาน
เมื่อใดที่การป้องกันนี้ถูกเปิดใช้งาน จะไม่มีใครสามารถค้นหาทางเข้าได้ ยกเว้นบางคนที่อยู่ในขั้นตัดวิญญาณ เมื่อตอนที่มันได้ติดตั้งการป้องกันนี้ มันรู้สึกเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ เพราะมันรู้ดีว่ามันจะต้องมีความปลอดภัยอย่างแน่นอน
แต่มันไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าวันนี้ในที่สุดก็ได้มาถึง ปีก่อนๆ หน้านี้ มันได้ลืมไปเลยว่าได้เคยสร้างการป้องกันแบบนี้ไว้ แต่…มีบางคน ที่ยังไม่ลืม
“บัดซบ! ข้าควรจะทิ้งคำสั่งไว้ ไม่ให้รับใครก็ตามที่มีนิสัยแบบชาวบ้านทั่วไปเข้ามาในสำนัก! ไม่…คนที่ถูกต้องเที่ยงธรรม, ไม่…คนดี, เด็กบัดซบ, เจ้า, เจ้า, เจ้า…” มันนั่งอยู่ที่นั่นด้วยความมึนงง พึมพำกับตัวเอง อยากจะร้องไห้แต่ก็ไร้น้ำตาให้หลั่งริน
มันคิดไปถึงศิลาตัวอักษร ซึ่งปล่อยออกไปด้วยแผนการอันระมัดระวังของมัน ด้วยโลหิตที่มันได้เสียสละไป และทั้งหมดนี้ก็ต้องพังทลายลงไปด้วยมือของคนเพียงคนเดียว แน่นอนว่า คนผู้นี้มีความตั้งใจดี แต่เมื่อมันคิดเกี่ยวกับความเด็ดเดี่ยวกล้าหาญ และความซื่อสัตย์ของคนผู้นี้ ร่างกายของปรมาจารย์เอกะเทวะก็เริ่มสั่นขึ้นมา
ในขณะที่มันกำลังรู้สึกถึงความสิ้นหวังอย่างแรงกล้า โจวเหยียนอวิ๋น แห่งสำนักกูตู๋เจี้ยน (กระบี่เดียวดาย) ก็มาถึง โจวเหยียนอวิ๋นมองไปทั่วทั้งสำนัก ส่งจิตสัมผัสของมันข้ามไปค้นหา เช่นเดียวกับสตรีหน้าตาสวยงามจากสำนักเฮยเซ่อไช (กระชอนดำ) และเจ้าตัวใหญ่ จ้าวซานหลิง cแห่งสำนักจินซวง (เกล็ดน้ำค้างทองคำ) ด้วยพลังจิตสัมผัสที่แข็งแกร่งของพวกมัน ได้กระจายค้นหาอย่างละเอียดไปทั่วทั้งสำนักเอกะเทวะ
ผู้ฝึกตนแห่งแคว้นจ้าวมองดูด้วยความหวาดกลัว จากนั้น พวกมันก็เริ่มค้นหาด้วยจิตสัมผัสด้วยเช่นกัน
หลังจากผ่านไปสักพัก โจวเหยียนอวิ๋น แห่งสำนักกูตู๋เจี้ยน ขมวดคิ้ว มันสัมผัสได้ถึงรังสีของคัมภีร์สุดยอดวิญญาณในเขตภูเขานี้ และก็รู้ว่ามันไม่ใช่เกิดจากการกระทำของศิษย์สำนักเอกะเทวะ แต่มันก็ยังหาต้นตอไม่เจอ
ไม่เพียงแต่มัน สตรีสวยงาม และจ้าวซานหลิง ก็ขมวดคิ้วด้วยเช่นกัน พวกมันมองลงไปยังพื้นดิน และเริ่มต้นการค้นหาของแต่ละคนต่อไป
ผู้ฝึกตนแห่งแคว้นจ้าวก็ทำเช่นเดียวกัน และในไม่ช้าก็มีผู้คนอยู่กันเต็มในสำนักเอกะเทวะ เมิ่งฮ่าวและพวกถูกให้ออกไปจากห้องโถงหลัก จากนั้นมันก็ถูกค้นหาไปทั่วทั้งห้องโถงนั้น ในท้องฟ้า เครื่องหมายแปลกๆ ที่เกิดขึ้นก็เริ่มจางหายไป และแน่นอนว่าไม่มีใครหาเบาะแสเจอแม้แต่ชิ้นเดียว
คนพวกนั้นได้ค้นหาแม้แต่ใต้พื้นดิน และเช่นเดียวกันพวกมันก็กลับขึ้นมาพร้อมมือเปล่า
พวกมันมองไปที่เครื่องหมายที่ค่อยๆ จางลง เปลี่ยนรูปเป็นแสงผลึกและในที่สุดก็หายไป รังสีของคัมภีร์สุดยอดวิญญาณก็หายไปด้วย ราวกับว่ามันได้เกิดขึ้นมา และจากไปพร้อมกับครื่องหมายนั้น
สำนักเอกะเทวะ เริ่มค่อยๆ เงียบเสียงลง ไม่มีของวิเศษที่มีค่าพอถูกพบเจอ แม้แต่ถ้ำมังกรในภูเขาสีดำก็ถูกค้นหา ศพของมังกรได้ถูกหวังเถิงเฟยเคลื่อนย้ายออกไปนานมาแล้ว เหลือไว้แต่ถ้ำที่ว่างเปล่า
เมื่อความมืดมาเยือน พวกที่ค้นหาก็ได้ข้อสรุป กลุ่มคนที่มาจากสามสำนักใหญ่ของดินแดนด้านใต้ดูค่อนข้างจะกระอักกระอ่วน พวกมันได้ใช้หินลมปราณมากมายเพื่อที่จะหายตัวมาที่นี่ แต่ผลที่ได้ก็คือสองมือที่ว่างเปล่า พวกมันต้องจากไปด้วยความรู้สึกได้ไม่คุ้มเสีย
“เด็กคนนี้ไม่เลวเลย” โจวเหยียนอวิ๋นกล่าว ยืนอยู่บนกระบี่ใหญ่ยักษ์เล่มนั้น ลอยอยู่กลางอากาศ สายตาของมันกวาดไปทั่วพื้นบริเวณนั้น ตกกระทบไปที่เฉินฟ่าน “ถ้าเจ้ายินดีที่จะเข้าเป็นศิษย์ของสำนักกูตู๋เจี้ยน ก็มากับข้าไปที่ดินแดนด้านใต้”
ระหว่างที่มันได้ค้นหาคัมภีร์สุดยอดวิญญาณนั้น มันได้สังเกตเห็นถึงพรสวรรค์ของเฉินฟ่าน และก็ตรงกับความต้องการของมัน มันยังได้สังเกตเห็นถึงบุคลิกอันชอบธรรมของเฉินฟ่านเป็นพิเศษ ซึ่งตรงกับวิธีการฝึกตนของสำนักกูตู๋เจี้ยนด้วยเช่นเดียวกัน
เมื่อมันพูด มันก็ยกนิ้วขึ้น และเฉินฟ่านก็ลอยขึ้นไปในอากาศ ท่ามกลางสายตาของเมิ่งฮ่าว, ฉื่อชิง และศิษยสายนอกทั้งหมด ลอยตรงไปที่โจวเหยียนอวิ๋น
ผู้ฝึกตนที่มาจากแคว้นจ้าวมองดูด้วยความริษยา รู้ดีว่าบุรุษหนุ่มผู้นี้ช่างโชคดีเพียงไร เฮ่อหลัวฮว่า และผู้อาวุโสโอวหยาง มองดูอย่างเงียบๆ ความรู้สึกของพวกท่านค่อนข้างจะสับสน ท้ายที่สุด พวกท่านก็ทราบว่าสำนักเอกะเทวะเล็กเกินไป พวกท่านจะยินดีเป็นอย่างยิ่งถ้าศิษย์สายในมีโอกาสที่จะเดินไปบนเส้นทางที่ดีกว่า
“ศิษย์เฉินฟ่าน…” เฉินฟ่านเริ่ม ใบหน้าของมันเต็มไปด้วยความรู้สึกอันสับสน มองลงไปยังสำนักเอกะเทวะ, มองไปที่เฮ่อหลัวฮว่า และผู้อาวุโสโอวหยาง ขณะที่ทั้งสองก็ได้พยักหน้าอย่างเงียบๆ แสดงถึงการอนุญาต มันมองไปที่เมิ่งฮ่าว และฉื่อชิง จากนั้นความมุ่งมั่นก็ปรากฎอยู่เต็มสีหน้า
“ข้าขอขอบคุณสำหรับโอกาสที่ท่านผู้อาวุโสได้ประทานให้” มันกล่าว เงยหน้ามองไปที่โจวเหยียนอวิ๋น “แต่ศิษย์เป็นคนของสำนักเอกะเทวะ ชั่วชีวิตนี้ ข้าไม่สามารถสังกัดสำนักอื่นได้อีก” มันรู้ดีว่าถ้ามันตกลง มันจะมีโอกาสอันดีมากมายรออยู่ในอนาคต แต่ก็มีบางสิ่งที่บุรุษไม่สามารถทำได้ สำหรับมัน มีเพียงสำนักเดียวเท่านั้นในชั่วชีวิตของมัน
คำพูดของมันดูเหมือนว่าจะทำให้ผู้ฝึกตนจากแคว้นจ้าวขยับตัวเล็กน้อย ศิษย์เยี่ยงนี้คือของวิเศษสำหรับทุกๆ สำนัก! และความรู้สึกเสียดายก็แสดงอยู่บนใบหน้าของพวกมัน การปฏิเสธสำนักกูตู๋เจี้ยนด้วยกิริยาเช่นนี้ ช่างเป็นการรนหาที่ตายอย่างแท้จริง
เฮ่อหลัวฮว่าไม่พูดอะไร มองดูเฉินฟ่าน ด้วยความรู้สึกสับสนมากกว่าเดิม ถอนหายใจลึกๆ อยู่ภายในใจ แปลกใจที่เด็กผู้นี้ช่างดื้อรั้นโดยไม่จำเป็น
สองตาโจวเหยียนอวิ๋นสาดประกาย มันจ้องไปที่เฉินฟ่านสักพัก จากนั้นก็พูดอย่างแห้งแล้ง “เจ้ารู้หรือไม่คำว่า ‘สำนักกูตู๋เจี้ยน’ มีความหมายต่อดินแดนด้านใต้ถึงเพียงไหน?”
เฉินฟ่านเงียบไปชั่วครู่ จากนั้นก็พยักหน้า มันได้ศึกษาบันทึกโบราณมา ดังนั้นแน่นอนว่ามันได้รู้เกี่ยวกับสำนักกูตู๋เจี้ยน สำนักอันดับหนึ่งในดินแดนด้านใต้
“ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็ต้องรู้สถานะของข้าในสำนัก” สีหน้าของโจวเหยียนอวิ๋นเคร่งขรึม และดวงตาของมันส่งรังสีสังหารออกมา แม้แต่ท้องฟ้าที่อยู่รอบๆ ตัวมันก็เริ่มมืดลง ราวกับว่ามันได้ฉีกขาดจากพลังรังสีสังหารของโจวเหยียนอวิ๋น
“ข้ารู้จักสำนักกูตู๋เจี้ยนดีเช่นเดียวกับรู้จักท่าน, ผู้อาวุโสโจว” เฉินฟ่านกล่าวด้วยเสียงแผ่วเบา “ทุกคนรู้จักท่าน ท่านเป็นผู้พิทักษ์เต๋ารุ่นปัจจุบันนี้ พลังการฝึกตนของท่านลึกล้ำยิ่ง และชื่อเสียงของท่านก็สั่นสะเทือนไปทั่วทั้งดินแดนด้านใต้”
“ถ้าเจ้ารู้จักข้า เจ้าก็ควรจะรู้ว่าเจ้าได้พลาดอะไรไป หากเจ้ายกเลิกโอกาสนี้ไป” เสียงของโจวเหยียนอวิ๋นเริ่มเย็นชาขึ้น เช่นเดียวกับบรรยากาศรอบบริเวณในตอนนี้
“สำนักกูตู๋เจี้ยนมีประวัติศาสตร์อันยาวนานมาถึงหมื่นปี ทั้งอาคารสถานที่ฝึกตน ทั้งศิษย์ในสำนักที่แข็งแกร่ง ทั้งความรุ่งโรจน์ที่มาจากศิษย์ของสำนัก ผู้เยาว์เฉินฟ่านทราบถึงเรื่องพวกนี้เป็นอย่างดี” มันเงยหน้าขึ้น ไม่ยอมก้มศีรษะลง สองตาของมันสาดประกายไม่มีเครื่องหมายของการเสียใจ
โจวเหยียนอวิ๋นมองไปที่มัน ทันใดนั้นก็เริ่มส่งเสียงหัวเราะดังขึ้นมา
“เดิมที ข้าตั้งใจจะให้เจ้าเป็นศิษย์สายนอกธรรมดาคนหนึ่ง แต่ด้วยนิสัยเช่นนี้…ยอดเยี่ยม, ยอดเยี่ยม! เจ้าจะต้องเป็นศิษย์ส่วนตัวของข้า!” รอยยิ้มของโจวเหยียนอวิ๋นเต็มไปด้วยการยอมรับ ด้วยการโบกสะบัดชายแขนเสื้อ มันก็ดึงเฉินฟ่านขึ้นมายืนบนกระบี่ใหญ่ยักษ์เล่มนั้น และเตรียมตัวจะจากไป
เมื่อได้เห็นการกระทำของสำนักกูตู๋เจี้ยน สตรีวัยกลางคนผู้สวยงามก็คิดได้ว่า การนำศิษย์ที่มีคุณสมบัติเพียงพอกลับไปด้วย เป็นหนทางเดียวที่จะป้องกันไม่ให้การเดินทางมาครั้งนี้ ต้องกลับไปด้วยการสูญเสียโดยสิ้นเชิง
“เด็กผู้หญิงนั้นไม่เลวเลย สำนักเฮยเซ่อไช ต้องการนาง”
นางได้สังเกตดูฉื่อชิงมาเป็นเวลานานพอสมควร และรู้สึกพอใจกับความสวยงามและความเย็นชาของฉื่อชิง โดยไม่รอให้ฉื่อชิงพูดจา นางก็งอนิ้วดึงฉื่อชิงขึ้นมาบนหลัวผาน (เข็มทิศจีน) ทุกคนมองไปด้วยความอิจฉา เมื่อหญิงสาวทั้งหมดรวมทั้งหลัวผานได้กลายเป็นแสงคดเคี้ยวเตรียมจะจากไป
เจ้าอ้วนยืนอยู่ที่นั่น กำลังถูตะไบฟันของมันอยู่ ในสายตาของมัน การสลายสำนักก็หมายความว่าตอนนี้มันเป็นอิสระแล้ว ความรู้สึกของมันเต็มไปด้วยความสับสนปนความสุข มันได้จากบ้านมาเพียงไม่กี่ปี ซึ่งก็หมายถึง เมื่อมันกลับไปที่เมืองหยุนเจี๋ย บ้านเรือนและเจ้าสาวที่บิดาของมันได้เตรียมไว้ให้มันก็ยังคงรอมันอยู่ ในไม่ช้า มันก็จะสามารถมีความสุขกับชีวิตของคนรวย
“แย่มาก ที่ข้าอาจจะไม่ได้เจอเมิ่งฮ่าวอีก โอ พวกเราเป็นพี่น้อง ข้าต้องช่วยมันจ่ายเงินที่เป็นหนี้ลุงโจวคืนไป ในที่สุด ข้าก็จะได้ดูดซับความมั่งคั่งจากหมู่บ้านที่อยู่รอบๆ และจากนั้น ก็ทั่วทั้งแคว้นจ้าว ฮา ฮา ฮา! ข้า, หลี่ฟูกุ้ย ก็จะกลายเป็นเศรษฐีที่รวยที่สุดในโลก!”
ยิ่งมันได้คิดเกี่ยวกับแผนการของมันมากเท่าไหร่ มันก็ยิ่งมีความสุขมากขึ้นเท่านั้น มันยืนอยู่ที่นั่น ถูตะไบฟันของมันไปและรู้สึกถึงความมุ่งหวังในอนาคตข้างหน้าไปด้วย
ในตอนนั้นเอง เจ้าตัวใหญ่จ้าวซานหลิง แห่งสำนักจินซวง มันแสดงออกช้าไปเล็กน้อย หลังจากที่ได้เห็นศิษย์สายในของสำนักเล็กๆ นี้ ถูกพาตัวไป มันก็จ้องมองไปที่เมิ่งฮ่าว มันถึงกับผงะไปเล็กน้อย เมื่อมันสังเกตเห็นเงาลางๆ ของรังสีอสูรแผ่กระจายอยู่ในตัวของเมิ่งฮ่าว
มันบ่นอุบอิบกับตัวเอง จากนั้นก็มองกวาดไปยังศิษย์ที่เหลืออยู่ เมื่อมันมองเห็นเจ้าอ้วนยืนอยู่ในกลุ่มของศิษย์สายนอก มันจ้องด้วยความประหลาดใจ เมื่อเจ้อ้วนกำลังถูตะไบฟันของมันด้วยกระบี่บิน ตาของมันเปล่งประกาย และมันก็ลืมเมิ่งฮ่าวและรังสีอสูรไปโดยสิ้นเชิง
“เจ้าอ้วนผู้นี้ฝึกฝนตนเองได้อย่างไร? มันได้สร้างกลุ่มฟันลมปราณขึ้นมา ในสำนักของข้า วิชา การสร้างฟันลมปราณได้หายสาปสูญไปเมื่อแปดร้อยปีมาแล้ว ด้วยฟันลมปราณ ก็จะสามารถกัดหินลมปราณด้วยปากของตัวเองได้ ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็น เป็นอย่างยิ่งที่จะต้องฝึกฝนวิชานี้ ดูเหมือนว่าการมาเที่ยวนี้ไม่ได้สูญเสียไปทั้งหมด ถ้าข้านำเจ้าเด็กน้อยนี่ไปกับพวกเรา มันก็จะเป็นของวิเศษของสำนักพวกเรา”
สองตาของมันลุกโชนปานเปลวเพลิง จ้าวซานหลิง ยกมือขวาขึ้นและคว้าจับไปที่เจ้าอ้วนซึ่งมีสีหน้ามึนงงอยู่ “เด็กน้อย, จากนี้ไป เจ้าเป็นศิษย์สายในของสำนักจินซวง ในดินแดนด้านใต้” มันโยนเจ้าอ้วนที่เบิกตาจนกว้างเข้าไปในถุงผ้าสีเทา เสียงกรีดร้องของเจ้าอ้วนได้ยินอย่างเลือนรางเมื่อมันหายเข้าไปในถุงผ้า
จ้าวซานหลิงหันหลังกลับ ตามติดไปด้วยผู้ติดตาม มุ่งหน้าตรงไปที่รอยแยกกลางอากาศ เตรียมตัวจะจากไป เช่นเดียวกับโจวเหยียนอวิ๋น และสตรีวัยกลางคนผู้สวยงาม
แต่ทันใดนั้น จ้าวซานหลิงดูเหมือนว่าจะนึกอะไรขึ้นมาได้ มันหันหลังกลับมองไปที่สำนักเอกะเทวะ และสายตาของมันก็จ้องไปที่เมิ่งฮ่าว
เมื่อมันทำเช่นนี้ มันก็หยุดการเตรียมที่จะจากไปลง สตรีวัยกลางคนผู้สวยงามแห่งสำนักเฮยเซ่อไช และโจวเหยียนอวิ๋นก็หยุดด้วยเช่นกัน
เมิ่งฮ่าวเริ่มตัวสั่น เมื่อบุรุษร่างสูงใหญ่มองมาที่เขา ราวกับว่ามันสามารถมองทะลุผ่านตัวเขาได้หมด ราวกับว่าสายตาของมันสามารถเจาะทะลุเข้าไปถึงส่วนลึกสุดในร่างกายของเขาได้ แม้แต่แกนอสูรซึ่งลอยอยู่ในทะเลสาบลมปราณของเขา
“นี่…” ดวงตาของบุรุษร่างสูงใหญ่หดแคบลง จากนั้นก็เริ่มส่องประกายออกมา เมื่อช่วงที่แล้ว มันไม่ได้สนใจศิษย์ที่ดูอ่อนแอคนนี้เลย และสนใจเพียงเจ้าอ้วนเท่านั้น แต่มีบางสิ่งที่ดึงดูดสายตาของมันเกี่ยวกับเมิ่งฮ่าว มันหันกลับมา และเริ่มเดินตรงไปที่เขา
“ข้าต้องการเด็กผู้นี้ด้วย!” มันพูดด้วยเสียงดังราวฟ้าผ่า สีหน้าของเมิ่งฮ่าวเปลี่ยนเป็นเย็นยะเยือก และรู้สึกราวกับว่าร่างของเขาได้ถูกป่นกลายเป็นชิ้นๆ ทะเลสาบลมปราณของเขาเริ่มเดือดพล่าน และก็รู้สึกราวกับว่าแกนอสูรต้องการจะฉีกร่างของเขาพุ่งออกมาโดยพลังที่มองไม่เห็น
ความเจ็บปวดกระจายไปทั่วร่าง และต้องหลั่งเหงื่ออันเย็นเยียบออกมา เขารู้สึกอีกครั้งหนึ่งราวกับว่าร่างกายของเขากำลังจะถูกบดขยี้ และเขาก็กำหมัดจนแน่น เขาไม่สามารถจะต่อต้านอะไรได้
ผ่านไปชั่วครู่ เสียงระเบิดก็ดังกึกก้องออกมาจากข้างในของสำนักเอกะเทวะ มันเป็นเสียงที่มีพลังอันแข็งแกร่งซึ่งสร้างความสั่นสะเทือนไปทั่วทั้งสวรรค์และพื้นปฐพี ในท่ามกลางของการเคลื่อนไปที่เมิ่งฮ่าว โจวเหยียนอวิ๋นและสตรีวัยกลางคนผู้สวยงาม รวมถึงบุรุษร่างสูงใหญ่ ทันใดนั้นก็แสดงสีหน้าตกใจ พวกมันหันหน้าไป ดวงตาเต็มไปด้วยความประหลาดใจ
“ข้ามีทายาทเหลืออยู่ในสำนักเอกะเทวะเพียงแค่คนเดียว ใครกล้าแตะต้องมัน!?”

About wuxiathai

Organic Theme is officially developed by Templatezy Team. We published High quality Blogger Templates with Awesome Design for blogspot lovers.The very first Blogger Templates Company where you will find Responsive Design Templates.

Copyright © 2015 ผนึกสวรรค์ สยบมาร สะท้านเทพ

Designed by Templatezy | Distributed By Gooyaabi Templates