สีหน้าของเมิ่งฮ่าวเปลี่ยนไป ทันใดนั้นเขาก็เห็นกลุ่มหมอกกระเพื่อมไปมา และจากนั้นบุรุษที่ส่งเสียงร้องโหยหวนสูงประมาณเก้าสิบฉื่อก็ปรากฎขึ้น เขาใส่ชุดยาวที่ขาดรุ่งริ่ง พุ่งตรงเข้ามาหาเมิ่งฮ่าว
บุรุษผู้นั้นแผ่กระจายคลื่นความร้อนอันอำมหิตออกมา ซึ่งได้กลายเป็นรังสีสังหารอันเหี้ยมโหด เมื่อเห็นมันใกล้เข้ามา เมิ่งฮ่าวก็รีบถอยหลังหลบโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเร็วมาก ร่างของบุรุษผู้นั้นก็เร่งความเร็วขึ้น และในชั่วแค่การกระพริบตาหนึ่งครั้ง มันก็อยู่ห่างจากเมิ่งฮ่าวแค่ไม่กี่ก้าว ทันใดนั้น มันก็มองไปเห็นกุญแจหยกในมือของเขา และสายตาของมันก็เต็มไปด้วยความหวาดหวั่นและเกรงกลัว
จิตใจเมิ่งฮ่าวปั้นป่วนไปมา เขาแผ่พุ่งพลังลมปราณจากร่างของเขาเข้าไปสู่กุญแจหยก และทันใดนั้นมันก็เริ่มส่องประกายสีแดงราวโลหิต แสงจากกุญแจหยกส่องไปที่ร่างของบุรุษชุดขาดรุ่งริ่ง ทำให้เมิ่งฮ่าวมองเห็นมันได้ชัดเจนยิ่งขึ้น มันมีอายุประมาณวัยกลางคน ร่างกายของมันผอมแห้งซูบโซ ราวกับเป็นวิญญาณอันชั่วร้าย
เสียงกรีดร้องโหยหวนที่อาจทำให้ โลหิตจับตัวเป็นก้อนแข็งอันเนื่องมาจากความกลัว ดังออกมาจากปากของมันเมื่อมันถอยออกไป เคลื่อนที่ไปด้วยความเร็วอันสุดแสนจะเหลือเชื่อ หายไปท่ามกลางกลุ่มหมอก
เหงื่อไหลลงมาจากหน้าผากของเมิ่งฮ่าว และเขาก็สูดลมหายใจเข้าไปลึกๆ ความรู้สึกของเขาต่อบุรุษวัยกลางคนเป็นความรู้สึกเช่นเดียวกับที่เขามีต่อผู้อาวุโสโอวหยาง ความน่าเกรงขามอย่างไร้ที่สิ้นสุด
“อย่าบอกข้านะว่า มันเป็นผู้ฝึกตนระดับพื้นฐานลมปราณ?” เมิ่งฮ่าวลังเล ยังคงระมัดระวังตัวอยู่ เขาเดินตามทิศทางของแสงสีแดงราวโลหิต มุ่งไปข้างหน้าอย่างระมัดระวัง หลังจากผ่านไปสองเค่อ (1 เค่อ = 15 นาที) เขาก็หายจากอาการตกใจ ร่างหลายร่างปรากฎขึ้น และแต่ละร่างของพวกนั้นก็ดูเหมือนว่าจะมีระดับการฝึกตนเทียบเท่ากับผู้อาวุโสโอวหยาง บางร่างก็ดูเหมือนว่าจะมีความแข็งแกร่งเท่ากับเจ้าสำนักเฮ่อหลัวฮว่า
“พวกมันอาจจะเป็น…มนุษย์กล?” เมื่อเข้าไปตรวจดูใกล้ๆ ก็พบว่าร่างพวกนั้นจริงๆ แล้วดูเหมือนไม่มีชีวิต พวกมันลอยไปมารอบๆ ตัวเขาเป็นวงกลม ไม่มีใครเข้ามาใกล้เขา ดูเหมือนว่าจะเกรงกลัวต่อกุญแจหยกในมือเขา
เวลาผ่านไปจนเพียงพอที่จะให้ธูปไหม้หมดไปหนึ่งดอก และพวกมันก็ค่อยๆ หายจากไป เมิ่งฮ่าวเดินต่อไปตรงไปข้างหน้าด้วยความมึนงง จากนั้นเขาก็ต้องหายใจด้วยความตื่นเต้น ดวงตาเต็มไปด้วยความว่างเปล่า
“นี่…นี่…” เขาพึมพำ เบื้องหน้าของเขาเป็นภูเขา สูงประมาณเก้าร้อยฉื่อ (1 ฉื่อ = 23 เซนติเมตร) ถ้าเป็นภูเขาธรรมดาทั่วไปก็ไม่ทำให้เมิ่งฮ่าวแสดงท่าทีเช่นนี้ แต่นี่เป็นภูเขาที่สร้างมาจาก…หินลมปราณ
หินลมปราณมากมายจนนับไม่ถ้วนเรียงซ้อนก่อตัวกันเป็นภูเขาหินลมปราณ!
เมิ่งฮ่าวไม่เคยเห็นหินลมปราณมากมายเช่นนี้มาก่อนในตลอดชีวิตของเขา ศีรษะของเขาหมุนงุนงง และเขาก็อยากจะเก็บมันไปให้หมดโดยไม่รู้ตัว แต่หลังจากที่เดินไปข้างหน้าหนึ่งก้าว เขาก็ต้องหยุดลง ภูเขาหินลมปราณมีสีเทา และดูเหมือนว่ามันได้ถูกปกคลุมไปด้วยละอองหมอก มันเป็นเขตอาคมป้องกันซึ่งปกป้องไม่ให้ใครมาแตะต้องมัน
เมิ่งฮ่าวพยายามที่จะทดลองดู,ไม่ค่อยยินดีที่จะยอมแพ้ เมื่อเขาเดินเข้าไปห่างจากภูเขาหินลมปราณประมาณหนึ่งร้อยแปดสิบฉื่อ ทันใดนั้นเขาก็รุ้สึกถึงความอำมหิตของอันตรายที่ใกล้เข้ามา จึงได้แต่หยุดและมองไปที่ภูเขาหินลมปราณด้วยการถอนหายใจยาว
เขารู้ดีว่าถ้าเข้าไปใกล้กว่านี้ ร่างกายและวิญญาณของเขาก็อาจจะสูญสลายกลายเป็นเถ้าธุลี
จากนั้นเขาก็หันหลังกลับ และจากไปอย่างไม่ค่อยเต็มใจนัก ปล่อยภูเขาหินลมปราณไว้ด้านหลัง
เวลาผ่านไปชั่วธูปไหม้หมดดอก เมื่อเขาเดินตามแสงสีแดงราวโลหิตไป ในไม่ช้าภาพเลือนลางของอาคารก็ปรากฎขึ้นในกลุ่มหมอกตรงหน้าของเขา มันมีลานบ้าน ซึ่งเต็มไปด้วยต้นไม้ที่แห้งเหี่ยวและหญ้าที่รกรุงรัง มีก้อนหินวางอยู่ตรงกลางของลานบ้าน ขนาดประมาณครึ่งตัวคน มันเป็นเพียงสิ่งเดียวที่ไม่สามารถจะบอกได้ว่ามันมีสีดำ หรือสีขาว และไม่มีกลุ่มหมอกลอยอยู่ใกล้ๆ มันเลย
กุญแจหยกลอยตรงไปที่หินก้อนใหญ่นั้น จากนั้นก็หยุดลอยอยู่ข้างบนของมัน แสงสีแดงราวโลหิตเริ่มจางหายไป
เมิ่งฮ่าวเดินตรงไปและตรวจดูพื้นที่รอบๆ ก้อนหิน นี่ต้องเป็นหนึ่งในพื้นที่สำหรับการนั่งกัมมัฏฐาน เขานังลงขัดสมาธิบนก้อนหิน และมองไปที่กุญแจหยกที่ลอยอยู่ตรงหน้าเขา ดวงตาของเขาเริ่มเปล่งประกาย
“ตลอดหลายปีมานี้ ผู้คนมากมายมาที่นี่ และไม่มีใครเลยที่จะประสบความสำเร็จในการนั่งกัมมัฏฐาน เมื่อแสงสีแดงราวโลหิตของกุญแจหยกเริ่มจางหายไป ก็หมายความว่าเวลาแห่งการนั่งกัมมัฏฐานได้มาถึงแล้ว” เมิ่งฮ่าวขมวดคิ้ว ความต้องการอย่างแรงกล้าต่อความอยากรู้ในความลับ ของตำรารวบรวมลมปราณเผาไหม้อยู่ในจิตใจของเขา เดิมทีหวังเถิงเฟยควรจะได้รับโอกาสนี้ และเมิ่งฮ่าวก็รู้ว่าเขามีพรสวรรค์ที่สุดแสนจะธรรมดา โอกาสที่เขาจะประสบความสำเร็จคงน้อยมาก
เขาไม่รอให้แสงของกุญแจหยกเลือนหายไป แต่มองไปที่มันด้วยประกายแปลกๆ ซึ่งฉายอยู่ในดวงตาของเขา หลังจากที่เวลาผ่านไปชั่วครู่ เขากัดฟันจากนั้นก็ยื่นมือไปคว้ากุญแจหยกไว้ด้วยความดื้อรั้น
“เวลานี้, ข้าไม่สนว่าจะเกิดอะไรขึ้นทั้งนั้น ข้าจะต้องได้เรียนรู้คัมภีร์สุดยอดวิญญาณให้จงได้!” ความมุ่งมั่นกระจายอยู่ในเสียงของเขา เมื่อเขาตบไปที่ถุงเก็บสมบัติ และหยิบเอากระจกทองแดงออกมา พร้อมด้วยหินลมปราณอีกหนึ่งกำมือ เขาเตรียมที่จะเริ่มการผลิตกุญแจหยกอีกชิ้น
เมิ่งฮ่าวอยู่ในเขตสำนักสายในมาหนึ่งเดือน ศิษย์สำนักสายในได้รับหินลมปราณที่ใหญ่กว่าและมากกว่าหินลมปราณของศิษย์สายนอกมากนัก รวมถึงกำไรที่เขาได้จากร้านขายยาแบบเร่งด่วน และการประจบเอาใจต่อเขาของศิษย์สายนอกอีกหลายคน จึงเป็นที่มั่นใจได้ว่าถุงเก็บสมบัติของเขาต้องเต็มไปด้วยหินลมปราณมากมาย
แต่ทันใดนั้น สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไป เมื่อพบว่าหินลมปราณที่ได้รับจากสำนักไม่สามารถที่จะใช้ในการผลิตกุญแจหยกได้ มันไม่ใช่ว่ากระจกทองแดงได้สูญเสียความสามารถของตัวมันเอง แต่เป็นเพราะว่าไม่มีหินลมปราณเพียงพอนั่นเอง แม้แต่หินลมปราณระดับกลางก็ใช้ไม่ได้
เขาจ้องไปที่กุญแจหยกชั่วครู่ก่อนที่จะหยิบเอาหินลมปราณ ขนาดใหญ่พิเศษที่เหลืออยู่เจ็ดถึงแปดก้อนออกมา ลังเลอยู่สักพัก จากนั้นก็กัดฟัน ดวงตาแดงกร่ำ วางหินลมปราณก้อนใหญ่พิเศษนั้นหนึ่งก้อนไปบนกระจก และก่อนที่จะวางก้อนที่สองต่อไป กระจกทองแดงก็เริ่มส่องแสงที่มองไม่เห็นออกมา และทันใดนั้น กุญแจหยกสิบห้าชิ้นก็ปรากฎ เมิ่งฮ่าวจ้องมองไปด้วยความตะลึง เดิมทีเขาคิดว่าคงต้องใช้หินลมปราณมากกว่านี้ ที่จะกระตุ้นให้กระจกทำงาน แต่ตอนนี้มันก็จบลงด้วยการที่เขามีผลึกโลหิตถึงสิบห้าชิ้น
นี่เป็นผลึกโลหิตซึ่งสร้างขึ้นมาจากโลหิตของท่านปรมาจารย์เอกะเทวะ มองไปที่ผลึกโลหิตสิบห้าชิ้นที่ปรากฎขึ้นทำให้เมิ่งฮ่าวงงงัน
“หิน…หินลมปราณแบบไหนกันนี่?” เขานั่งด้วยความมึนงง คิดย้อนกลับไปตอนที่เขาใช้หินลมปราณก้อนใหญ่พิเศษนี้ถึงสองพันก้อน หัวใจของเขาก็ปวดร้าวด้วยความเสียใจ
หินลมปราณก้อนใหญ่พิเศษพวกนี้ต้องเป็นสิ่งที่ไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน
ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดของเมิ่งฮ่าวก็คือคัมภีร์สุดยอดวิญญาณ เขากัดฟันและหยิบผลึกโลหิตขึ้นมา ส่งพลังลมปราณเข้าไป เมื่อเป็นเช่นนี้ แสงสีแดงราวโลหิตก็กระจายปกคลุมไปรอบๆ ตัวของเมิ่งฮ่าว และก็เริ่มได้ยินเสียงคลุมเครือไม่ชัดเจนดังอยู่รอบๆ บริเวณนั้น จากนั้นสติของเมิ่งฮ่าวก็หลุดลอยเข้าไปอยู่ในความเลอะเลือนที่คล้ายกับความฝัน ไม่รับรู้ถึงกาลเวลาที่ผ่านไป
ในขณะเดียวกันนั้น ฉื่อชิงและเฉินฟ่าน ที่อยู่ในพื้นที่การนั่งกัมมัฏฐานของพวกเขา ก็ถูกปกคลุมไปด้วยแสงสีแดงราวโลหิต พรสวรรค์ของทั้งสองก็เกินกว่าพวกธรรมดาทั่วไป ดังนั้นโอกาสที่จะได้รับความรู้จากคัมภีร์ก็ค่อนข้างมีมาก ในอาณาเขตการนั่งกัมมัฏฐานของปรมาจารย์เอกะเทวะ, ทุกสิ่งทุกอย่างขึ้นกับพรสวรรค์ ดังนั้นจึงถูกเรียกว่า โชค ก็คือสิ่งเดียวกัน
หลังจากช่วงเวลาของการนั่งกัมมัฏฐานผ่านไป แสงสีแดงที่ปกคลุมรอบๆ เมิ่งฮ่าวก็จางลง และเขาก็เริ่มที่จะได้สติกลับคืนมา และดูเหมือนว่าค่อนข้างจะล้มเหลว หลังจากเวลาผ่านไปชั่วครู่ เขาก็ฟื้นคืนสติกลับมาอย่างสมบูรณ์ และจิตใจของเขาก็ว่างเปล่า ไม่มีแม้แต่เศษเสี้ยวของข้อมูลของคัมภีร์สุดยอดวิญญาณอยู่ในหัวของเขาเลย
เขาถอนหายใจออกมา เหมือนที่คาดคิดไว้ เขาหยิบผลึกโลหิตออกมาอีกชิ้น และเริ่มการตามหาความรู้ในคัมภีร์สุดยอดวิญญาณอีกครั้ง เวลาผ่านไป และแม้แต่จะใช้ผลึกโลหิตไปถึงสิบสี่ชิ้น เขาก็ยังคงไม่ประสบความสำเร็จ จนรู้สึกเสียใจ และไม่แน่ใจว่าเขาควรจะเดินหน้าต่อไปหรือไม่ เขากัดฟันหยิบหินลมปราณก้อนใหญ่พิเศษออกมา และผลิตกุญแจหยกผลึกโลหิตเพิ่มขึ้น อีกครั้งหนึ่งที่เขาส่งพลังไปกระตุ้นกุญแจหยกทำให้แสงสีแดงราวโลหิตของมัน ปกคลุมไปทั่วร่างของเขา และเขาก็เริ่มทำการค้นหาคัมภีร์สุดยอดวิญญาณอีกครั้ง
ในเวลานี้ แสงสีแดงราวโลหิตที่ปกคลุมตัวของฉื่อชิงและเฉินฟ่านก็ได้จางหายไป อย่างไรก็ตาม พวกเขาก็ไม่ได้ลุกขึ้น ยังคงนั่งกัมมัฏฐานต่อไป โดยไม่มั่นใจว่าเมื่อไหร่ถึงจะได้รับความรู้จากคัมภีร์สุดยอดวิญญาณ
สำหรับเมิ่งฮ่าว ดูเหมือนว่าเขาจะใกล้บ้าไปแล้ว พยายามที่จะกระตุ้นผลึกโลหิตให้ทำงาน ครั้งแล้วครั้งเล่าต่อไปเรื่อยๆ เพื่อจะประสบความสำเร็จในการตามหาความรู้จากคัมภีร์สุดยอดวิญญาณ ใครก็ตามที่ได้มาเห็นฉากเหตุการณ์นี้ คงจะต้องเป็นบ้าด้วยความอิจฉาเป็นแน่
หลังจากที่กระตุ้นหยกโลหิตให้ทำงานไปทั้งหมดยี่สิบเจ็ดชิ้น ทันใดนั้นเมิ่งฮ่าวก็ได้ยินคำพูดที่คล้ายกับเสียงพึมพำอยู่ข้างๆ หูของเขาในโลกของความเลอะเลือนที่คล้ายกับความฝันนั้น เขาได้ยินอย่างชัดเจนอยู่สองคำ
“สุดยอด…วิญญาณ…”
เมื่อเมิ่งฮ่าวลืมตาขึ้น ดวงตาของเขาก็เต็มไปด้วยความมุ่งมั่น โดยไม่ลังเล เขาหยิบกุญแจหยกผลึกโลหิตชิ้นที่ยี่สิบแปดออกมา และตามหาคัมภีร์อีกครั้ง
โดยในครั้งนี้ ฉื่อชิงและเฉินฟ่าน ได้กลับไปที่แท่นบวงสรวง และรอเมิ่งฮ่าวอยู่ที่นั่น พวกเขารู้สึกแปลกใจเล็กน้อยที่ไม่เห็นเมิ่งฮ่าว แต่พวกเขาก็ไม่รู้ว่าเมิ่งฮ่าวได้มุ่งหน้าไปทางไหน จึงไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะออกตามหาเขา พวกเขาจึงตัดสินใจนั่งรอเขาอยู่ที่ด้านหน้าของแท่นบวงสรวง
จนกระทั่งถึงวันที่สาม พวกเขาก็เริ่มที่จะหมดความอดทน และรู้สึกกังวลขึ้นเล็กน้อย แน่นอนว่าพวกเขาไม่ได้คิดไปว่าเมิ่งฮ่าวอาจจะประสบความสำเร็จในการตามหาคัมภีร์แม้แต่น้อย แต่วิตกว่าเขาอาจจะได้รับอุบัติเหตุอย่างใดอย่างหนึ่ง
“มีบางอย่างเกิดขึ้นกับศิษย์น้องเมิ่ง?” เฉินฟ่านพูดด้วยความกังวล
ฉื่อชิงไม่ได้ตอบกลับ แต่สีหน้าแสดงความวิตก
หลังจากที่พูดคุยตกลงกันเล็กน้อย พวกเขาก็ตัดสินใจที่จะเริ่มค้นหาเมิ่งฮ่าว แต่น่าเสียดายที่มีพวกมนุษย์กลมากมายปรากฎขึ้นตลอดเวลา ทำให้การค้นหาของพวกเขาเป็นไปอย่างล่าช้า
ในเวลาเดียวกันนั้น เมิ่งฮ่าวที่นั่งอยู่ ผมยุ่งกระเซิง ดวงตาแดงกร่ำ พึมพำกับตัวเองด้วยความไม่รู้สึกตัว ดูเหมือนว่ามันเป็นการแสดงออกอย่างชัดเจน ถึงความตั้งใจของเขาที่จะได้คัมภีร์สุดยอดวิญญาณมาครอบครองให้จงได้ เขาหยิบผลึกโลหิตชิ้นที่สี่สิบสามออกมา และแสงสีแดงราวโลหิตก็ปกคลุมไปรอบๆ ตัวเขา อันที่จริงแล้ว พื้นที่บริเวณนี้แสงสีแดงไม่เคยหายไปเลย เมิ่งฮ่าวได้ใช้ความพยายามอย่างมุ่งมั่นเต็มที่เพื่อตามหาคัมภีร์สุดยอดวิญญาณ เมื่อไหร่ก็ตามที่เขามีผลึกโลหิตน้อยลง เขาก็จะผลิตมันเพิ่มขึ้นมาอีก
ณ ขณะนี้ เขาเริ่มที่จะได้ยินเสียงอย่างชัดเจน แต่ด้วยความไม่แน่ใจ เขาจึงพยายามต่อไป
มีบางสิ่งบางอย่างที่ไม่มีใครสังเกตเห็นได้ ไม่ว่าเฉินฟ่าน หรือ ฉื่อชิง หรือ เจ้าบ้าเมิ่งฮ่าว หลังจากที่ผลึกโลหิตหยุดการเรืองแสง มันก็ได้กลายร่างเป็นแสงสีแดงที่ยากจะมองเห็น แล้วก็ลอยลงไปที่พื้นและผ่านเข้าไปข้างในห้องลึกลับแห่งหนึ่งที่อยู่ใต้สุสานแห่งนี้
ภายในห้องนั้น ร่างผอมแห้งนั่งขัดสมาธิอยู่ ดูเหมือนจะตายไปแล้ว กลิ่นอายความตายฟุ้งกระจายทั่วไปทั้งห้อง
ทุกครั้งที่มีแสงสีแดงราวโลหิตผ่านเข้ามาในห้อง ร่างนั้นก็จะดูดซับมันเข้าไป และร่างนั้นก็ค่อยๆ เปลี่ยนไปอย่างช้าๆ เมื่อแสงจุดที่สามผ่านเข้าไปในร่างนั้น ก็ดูเหมือนว่าเริ่มมีพลังแห่งชีวิตเกิดขึ้นในร่างนั้น
แสงแห่งชีวิตสลัวริบหรี่ อย่างไรก็ตาม ร่างนั้นก็ไม่สามารถทำอะไรได้ยกเว้นนั่งอยู่ที่นั่น
นี่ก็คือปรมาจารย์เอกะเทวะ กุญแจหยกผลึกโลหิตถูกสร้างขึ้นมาจากโลหิตและพลังลมปราณของมันเอง หลังจากที่ถูกกระตุ้น หยดโลหิตก็จะกลับคืนมาที่มัน ยังชีวิตให้ดำรงอยู่ต่อไป ถ้าปราศจากโลหิตพวกนี้ มันก็อาจจะตายไปแล้ว
เดิมที ปรมาจารย์เอกะเทวะได้วางแผนไว้ว่าจะเลื่อนการตายของมันในรูปแบบนี้ออกไป จนกระทั่งพลังชีวิตสุดท้ายอันโหดเหี้ยมและทะเยอทะยานของมันได้ดับลง จากนั้นมันก็ผ่านเข้าไปสู่ความใกล้ตาย ตกอยู่ในห้วงแห่งความสิ้นหวัง มันใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ในช่วงหลับลึก ตื่นขึ้นมาเพียงครั้งคราวในเวลาสั้นๆ จากนั้นก็จมกลับลงไปในห้วงนิทราต่อไป มันไม่มีพลังเพียงพอที่จะใช้ในเรื่องฟุ่มเฟือยไร้สาระได้อีก
สำหรับกุญแจหยก, นี่เป็นการเตรียมการของมันเมื่อหลายปีมาแล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะกุญแจหยกนี้ มันก็อาจจะตายไปตั้งแต่ร้อยปีที่ผ่านมา
“ยังมีกุญแจหยกอีกสามชิ้นสุดท้าย…” ตอนนี้มันได้กลับมาแล้ว มันได้สติกลับคืนมา มันถอนหายใจจากนั้นก็หลับต่อไป รับรู้ว่ามันอาจจะไม่มีโอกาสตื่นขึ้นมาอีกเลย
แต่ทันใดนั้น แสงสีแดงราวโลหิตจุดที่สี่ ก็ผ่านเข้ามาในห้องลับนี้ และหลอมรวมเข้ากับร่างของมัน มันตื่นขึ้นมาอีกครั้งด้วยความตกใจ
“ข้า…ไม่มีกุญแจหยกเหลืออยู่อีกแล้ว รึว่าข้าจำผิดไป…หือ?” ในขณะที่มันกำลังพูดกับตัวเอง แสงสีแดงราวโลหิตจุดที่ห้า ก็ลอยมาตามเส้นทางซึมเข้าไปในร่างของมัน
มันเฝ้าจับตาดูด้วยความมึนงง เมื่อแสงสีแดงราวโลหิต จุดที่หก, เจ็ด, แปด ปรากฎขึ้น…ผ่านไปสามวัน แสงสีแดงราวโลหิตนับไม่ถ้วนปรากฎขึ้น จากหนึ่งไปเรื่อยๆ หลอมรวมเข้าไปในร่างของมันอย่างต่อเนื่อง จิตใจของปรมาจารย์เอกะเทวะพลุ่งพล่านด้วยความตื่นเต้น และใบหน้าของมันก็เต็มไปด้วยความหวัง ทันใดนั้นดวงตาของมันก็เบิกโพลง
“นี่…บัดซบ, มันไม่ใช่โลหิตของข้าอย่างแน่นอน แต่มันก็ชัดเจนว่าเป็นผลึกโลหิตของข้า เกิดอะไรขึ้น? เกิดบ้าอะไรขึ้นมา?”