วันจันทร์ที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2560

ตอนที่ 38 : ตำรารวบรวมลมปราณของคัมภีร์สุดยอดวิญญาณ

Posted By: wuxiathai - 22:49
สองเดือนผ่านไปราวกระพริบตา เมิ่งฮ่าวอยู่ในเขตสำนักสายในตลอดช่วงที่ผ่านมา เขาไม่ค่อยไปที่เขตสำนักสายนอกบ่อยนัก เจ้าอ้วนก็ได้เริ่มคุ้นเคยกับการเอาตัวรอดในแบบฉบับของมันเองและค่อนข้างจะไปได้ดีทีเดียวราวกับมัจฉาในสายน้ำ
เวลาส่วนใหญ่ของเมิ่งฮ่าวถูกใช้ไปในหอเวท
วันหนึ่ง เขานั่งขัดสมาธิอ่านบันทึกไม้ไผ่ด้วยสีหน้าอันสงบเยือกเย็น เขายกมือขวาขึ้น และเริ่มขยับนิ้วทำท่าสร้างรูปแบบเวทอาคม เกิดเป็นแสงเวทหมุนอยู่รอบๆ มือของเขา และสะท้อนเป็นเงาริบหรี่ไปบนใบหน้าของเขา
น้ำรูปทรงกลมปรากฎขึ้น แต่หลังจากนั้นก็สลายกลายเป็นหมอกและลอยกระจายออกไปรอบๆ บริเวณนั้นในทันที เมิ่งฮ่าวขมวดคิ้ววางบันทึกไม้ไผ่ในมือลง สอดมือเข้าไปในชุดยาวของเขา และดึงเอาแผ่นหยกออกมา
มันเป็นแผ่นหยกสีขาวบริสุทธิ์และด้านในก็มีเงาเลือนลาง ราวกับว่าเต็มไปด้วยสายหมอก เมื่อมองเข้าไปดูใกล้ๆ ก็จะพบว่าจริงๆ แล้วผิวของมันโปร่งแสงราวผลึก
“เฉินฟ่าน, ฉื่อชิง, เมิ่งฮ่าว มาที่ห้องโถงหลักบนภูเขาตะวันออก” น้ำเสียงอันภูมิฐานถูกส่งออกมาจากแผ่นหยกนี้ ซึ่งฟังออกได้อย่างง่ายดายว่าเป็นเสียงของเจ้าสำนักเฮ่อหลัวฮว่า
เมิ่งฮ่าวม้วนเก็บบันทึกไม้ไผ่ ยืนขึ้นและเดินออกจากประตูหลักของหอเวทไปอย่างเงียบๆ ตรงไปสู่ยอดเขาของภูเขาตะวันออก
เกือบจะเป็นเวลาเดียวกับที่เขาเดินออกไป เงาร่างของบุคคลสองคนก็พุ่งตรงไปที่ยอดเขา หนึ่งมีใบหน้าที่สุภาพอ่อนโยน และอบอุ่น เต็มไปด้วยความเที่ยงธรรม ศิษย์พี่เฉินฟ่าน อีกหนึ่งก็เป็นผู้ที่มีความงามอย่างยิ่งยวดแต่เย็นชา ศิษย์พี่หญิงฉื่อชิง
ฉื่อชิงจ้องมองไปที่เมิ่งฮ่าว นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาได้พบกัน ตั้งแต่เจอกันยามเย็นเมื่อเดือนที่แล้ว
ทั้งสามเร่งความเร็วตรงไปบนยอดเขาตะวันออก ในที่สุดก็มาถึงห้องโถงหลัก ที่ให้ความรู้สึกถึงความโบราณเก่าแก่ของมัน การตกแต่งอย่างสวยงามอลังการให้ความรู้สึกว่ามันได้ผ่านมาหลายรุ่นมากแล้ว นี่เป็นสถานที่สำคัญของสำนักเอกะเทวะ สถานที่ซึ่งตลอดเวลาที่ผ่านมา มีเพียงแต่ศิษย์สายในของสำนักเท่านั้นที่จะเข้ามาได้
ภายในของห้องโถงหลักมีรูปปั้นอยู่เก้ารูป รูปปั้นหน้าสุดเป็นรูปชายชรา สีหน้าไม่ได้แสดงความโกรธอันใด แต่เต็มไปด้วยความองอาจ ดวงตาสีดำของรูปปั้นดูเหมือนจะส่องประกายเต็มไปด้วยความมีชีวิตชีวาออกมา มือซ้ายยกขึ้นมาอยู่เบื้องหน้าของรูปปั้น เชิดคางขึ้นราวกับว่ากำลังมองลงมายังทุกสรรพสิ่งในโลกนี้ และเหมือนกับว่าจะมีประกายที่ยากจะอธิบายเปล่งออกมาจากรูปปั้นนี้ ก่อให้เกิดบรรยากาศที่ชวนให้เคารพยำเกรง ด้านหลังของรูปปั้นรูปแรก ก็มีรูปปั้นอีกแปดรูปจัดเรียงกันเป็นระเบียบเรียบร้อย รูปปั้นทั้งหมดดูสูงส่งสง่างามราวกับเซียนอมตะในตำนาน
เมิ่งฮ่าวเคยมาที่นี่ตั้งแต่ในช่วงเจ็ดวันแรกของเขาในเขตสำนักสายใน เขาได้คุกเข่าโขกศีรษะให้กับเหล่ารูปปั้นทั้งหมดนี้ และทราบดีว่าชายชราที่ดูเยือกเย็นเปี่ยมความองอาจไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นปรมาจารย์เอกะเทวะนั่นเอง สำหรับรูปปั้นรูปอื่นๆ ก็เป็นท่านปรมาจารย์คนอื่นๆ ของสำนักเอกะเทวะ
เจ้าสำนักเฮ่อหลัวฮว่า ยืนอยู่ใต้บรรดารูปปั้น กำลังหันหลังให้เมิ่งฮ่าวและพวก เมื่อพวกเขาเดินเข้าไป เจ้าสำนักเฮ่อหลัวฮว่าจ้องมองไปที่รูปปั้นราวกับว่ากำลังตกอยู่ในภวังค์ เป็นการยากที่จะบอกได้ว่าท่านกำลังคิดอะไรอยู่ ด้านข้างยืนไว้ด้วยผู้อาวุโสโอวหยาง ซึ่งได้พยักหน้าให้คนทั้งสามด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“ทำความเคารพต่อท่านปรมาจารย์” ผู้อาวุโสโอวหยางพูดด้วยเสียงทุ้มลึก
เมิ่งฮ่าว, ฉื่อชิง และเฉินฟ่าน โค้งตัวต่ำเพื่อคำนับท่านปรมาจารย์เอกะเทวะด้วยสีหน้าเศร้าหมอง
“ข้าเข้าสังกัดสำนัก ตั้งแต่ที่ท่านปรมาจารย์เอกะเทวะได้สูญหายไปเมื่อหนึ่งร้อยปีมาแล้ว” เฮ่อหลัวฮว่าพูดขึ้น “ในตอนนั้น สำนักเอกะเทวะยังคงเจริญรุ่งเรืองอยู่” เฮ่อหลัวฮว่าถอนหายใจและหมุนตัวกลับมา เมิ่งฮ่าว, เฉินฟ่าน และแม้แต่ฉื่อชิงก็จ้องมองไปที่ท่านด้วยสายตาที่เปล่งประกาย
เฮ่อหลัวฮว่าเงียบไปสักพัก ก่อนที่จะพูดต่อไปอย่างช้าๆ “พวกเจ้าก็ได้อ่านเรื่องราวเกี่ยวกับท่านปรมาจารย์เอกะเทวะในบันทึกโบราณไปแล้ว และก็ได้ทราบว่าสำนักพวกเราได้เคยมีความรุ่งโรจน์อย่างไรบ้าง…พวกเราเคยมีความเข้าใจอย่างถ่องแท้กับระดับทั้งสามของพื้นฐานการก่อตั้งลมปราณ ข้าได้เรียกพวกเจ้ามาในวันนี้ ก็เพื่อที่จะอธิบายถึงความจริงให้กระจ่าง
“ความรุ่งโรจน์ของสำนักเอกะเทวะ ก็สืบเนื่องมาจากท่านปรมาจารย์เอกะเทวะทั้งหมด เนื่องด้วยพลังการฝึกตนของท่าน ทำให้ท่านได้ครอบครองทั้งแคว้นจ้าว ชื่อเสียงของท่านยังได้สร้างความสั่นสะเทือนไปถึงดินแดนด้านใต้ ทั้งหมดนี้ก็เป็นเพราะว่าตำราเล่มหนึ่งในคัมภีร์สุดยอดวิญญาณ”
เมื่อเฮ่อหลัวฮว่าพูด สองตาของเฉินฟ่านก็เริ่มส่องประกายเจิดจ้า แม้แต่ฉื่อชิง สองตาก็เริ่มคมกล้าขึ้น
มีเพียงเมิ่งฮ่าวที่จ้องมองไปด้วยสายตาอันว่างเปล่า เขาไม่ทราบว่าคัมภีร์สุดยอดวิญญาณคืออะไร
“ตำรารวบรวมลมปราณ?” เฉินฟ่านถามเสียงเบา มันเป็นศิษย์รุ่นพี่ของสำนักสายใน และรู้ความลับมากมาย แต่ก็ทำได้แต่เพียงการคาดเดา
“คัมภีร์สุดยอดวิญญาณ คือ หนึ่งในสามคัมภีร์ชิ้นเอกอันยิ่งใหญ่ของดินแดนหนานซาน” เฮ่อหลัวฮว่าพูดต่อไปอย่างนุ่มนวล “คัมภีร์เล่มนี้ได้ถูกส่งต่อกันมาจากรุ่นสู่รุ่นตั้งแต่ครั้งโบราณ เดิมทีมันประกอบด้วยตำราเจ็ดเล่ม แต่ส่วนใหญ่ได้หายสาบสูญไป ตกทอดมาถึงปัจจุบันนี้ก็เหลือแค่สามเล่ม
หนึ่งในนั้นก็คือ ตำรารวบรวมลมปราณ ซึ่งได้อธิบายถึงวิธีการฝึก การจัดตั้งลมปราณขั้นพื้นฐานโดยสมบูรณ์ เล่มที่สอง คือ ตำราพี้นฐานลมปราณ อธิบายถึงวิธีการฝึก การก่อตั้งแกนลมปราณสีม่วง ซึ่งไม่ใช่แกนลมปราณสีแดง หรือแกนลมปราณหลากสี เล่มที่สาม ก็คือ ตำราจัดตั้งแกนลมปราณ ซึ่งทำให้ใครก็ตามที่เรียนรู้ สามารถที่จะสร้างร่างเกิดใหม่สี่สี…
พูดอีกอย่างก็คือ ตำราแต่ละเล่ม ช่วยให้ผู้ฝึกบรรลุถึงแต่ละขั้นที่แข็งแกร่งยิ่งๆ ขึ้นไป”
“ในปีนั้น ท่านปรมาจารย์เอกะเทวะได้ครอบครองตำรารวบรวมลมปราณเล่มสมบูรณ์นั้น เหตุผลที่ทายาทของตระกูลหวังเข้าสังกัดสำนักเอกะเทวะ ก็เพราะว่าตำรารวบรวมลมปราณของคัมภีร์สุดยอดวิญญาณนั่นเอง”
สองตาของเมิ่งฮ่าวสาดประกาย และหัวใจเริ่มเต้นรัว เขาเคยได้ยินศิษย์พี่เฉินพูดถึงระดับที่แตกต่างกันของพื้นฐานลมปราณ ตอนนี้เขาก็ได้ทราบแล้วว่า ตำรารวบรวมลมปราณเล่มสมบูรณ์ที่ท่านปรมาจารย์เอกะเทวะได้ครอบครองนั้น สามารถสร้างพลังลมปราณได้แข็งแกร่งแค่ไหน เขาเข้าใจแล้วว่าทำไมหวังเถิงเฟยถึงได้เข้าสังกัดสำนักเอกะเทวะ
“ถ้าข้าได้ครอบครองมัน…” ความปรารถนาอันแน่วแน่ในจิตใจของเมิ่งฮ่าว ทันใดนั้นก็เริ่มลุกโชนจนร้อนขึ้นมา
“น่าเสียดาย แม้แต่ข้าก็ยังไม่เคยเห็นตำรารวบรวมลมปราณเล่มนั้น โดยไม่ต้องเอ่ยถึงคนอื่น” เฮ่อหลัวฮว่ากล่าว “รายละเอียดจากตำราไม่ได้ถูกเขียนลงไป มันเพียงอยู่ในความทรงจำของท่านปรมาจารย์เท่านั้น” เมิ่งฮ่าวยังคงอยู่ในความเงียบ และสีหน้าของเฉินฟ่านก็แสดงถึงความเข้าใจ ฉื่อชิง เงยหน้าขึ้นไปมองที่รูปปั้นของท่านปรมาจารย์เอกะเทวะ
ความเงียบปกคลุมไปทั่วห้องโถงหลัก
“สี่ร้อยปีผ่านไป และทุกคนในโลกภายนอกคิดว่าท่านปรมาจารย์ได้ตายไปตั้งแต่การนั่งกัมมัฏฐานของท่าน มีเพียงข้าและไม่กี่คนที่รู้ว่าท่านปรมาจารย์…ยังไม่ได้ตายอย่างแน่นอน” เมื่อคำพูดของเฮ่อหลัวฮว่าดังเข้าไปในหูของเมิ่งฮ่าว เหมือนกับว่าคำพูดนั้นได้กลายเป็นเสียงระเบิดดังกึกก้องของสายฟ้า
“สี่ร้อยปีที่แล้ว พลังการฝึกตนของท่านปรมาจารย์ ได้บรรลุถึงขั้นสุดท้ายของวิญญาณเริ่มก่อตั้ง และท่านก็ได้มาถึงจุดสุดท้ายของชีวิต การที่ใครสักคนจะก้าวไปให้ถึงขั้นตัดวิญญาณในตำนาน คนผู้นั้นจะต้องมีชีวิตอยู่ถึงหนึ่งพันปีเป็นอย่างน้อย ถ้าไม่เช่นนั้น จะไปต่อต้านสวรรค์เพื่อที่จะตัดวิญญาณได้อย่างไร?”
“ท่านปรมาจารย์เลือกที่จะนั่งกัมมัฏฐานเพียงลำพัง เพื่อที่จะตัดวิญญาณของร่างกายและเพื่อกำเนิดใหม่ มันเป็นการนั่งกัมมัฏฐานถึง…สี่ร้อยปี”
“เมื่อท่านได้ไปนั่งกัมมัฏฐานสี่ร้อยปีที่ผ่านมา ท่านปรมาจารย์ได้ทิ้งคำสั่งไว้ว่า ทุกๆ หนึ่งร้อยปี ท่านจะส่งกุญแจหยกซึ่งสร้างมาจากโลหิตของท่านเองออกมา จากนั้นศิษย์สายในที่โดดเด่นในแต่ละรุ่นก็สามารถใช้กุญแจหยกนี้เข้าไปในเขตนั่งกัมมัฏฐานของท่านได้ ด้วยการช่วยเหลือของพลังลมปราณและโลหิตที่อยู่ในกุญแจหยก ศิษย์โดดเด่นเหล่านั้นน่าจะมีโอกาส ถ้าโชคดี ก็จะได้รับความรู้ที่ท่านปรมาจารย์ได้แผ่กระจายอยู่ตลอดในพื้นที่นั้น ความรู้เกี่ยวกับ…คัมภีร์สุดยอดวิญญาณ” เสียงของเฮ่อหลัวฮว่าดังก้องออกมา เมิ่งฮ่าวเงยหน้าขึ้น เช่นเดียวกับเฉินฟ่าน และฉื่อชิง
“สำเร็จก็คือสำเร็จ ล้มเหลวก็คือล้มเหลว ถ้าสำนักยังรุ่งโรจน์เหมือนเดิม แน่นอนว่าคงมีศิษย์ก่อนหน้านี้ทำได้สำเร็จไปแล้ว แต่สองร้อยปีที่ผ่านมา ได้เกิดเหตุไม่คาดคิดขึ้นกับท่านปรมาจารย์ ทำให้ท่านเกือบจะเอาชีวิตไม่รอด หลังจากนั้น โอกาสที่จะบรรลุในการนั่งกัมมัฏฐานของท่านก็เริ่มลดน้อยลง และเขตอาคมป้องกันก็แข็งแกร่งเพิ่มขึ้น ท่านปรมาจารย์ไม่ได้ส่งกุญแจหยกออกมาอีกเลย จนกระทั่งห้าปีก่อน…ท่านก็ส่งออกมาสามชิ้น”
“กุญแจหยกสามชิ้นบอกให้รู้ว่าบุคคลสามคนสามารถเข้าไปได้ และแสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งของเขตอาคมป้องกันในพื้นที่นั่งกัมมัฏฐานของท่านปรมารย์ด้วยเช่นกัน และหมายความว่ามีพื้นที่เพียงสามแห่งเท่านั้น ที่การบรรลุจะเกิดขึ้น” เสียงของเฮ่อหลัวฮว่าดังก้องกระหึ่มไปทั่วห้องโถงหลัก ท่านได้โบกสะบัดแขนเสื้อด้านขวา ริ้วสีแดงเลือดสามเส้นก็พุ่งตรงไปที่เมิ่งฮ่าว, เฉินฟ่าน และฉื่อชิง หยุดลอยอยู่ตรงหน้าพวกเขา
มันคือ ผลึกโลหิตบนแผ่นหยกเนื้อเนียน ซึ่งรู้จักกันในนามว่า กุญแจหยก
“พวกเจ้าทั้งสาม คือศิษย์สายในที่เหลืออยู่ตอนนี้ ดังนั้นข้าจึงได้ส่งมอบกุญแจหยกให้ จะได้รับความรู้จากคัมภีร์สุดยอดวิญญาณมาหรือไม่ ขึ้นอยู่กับโชคชะตาของพวกเจ้าแล้ว” จากนั้น ท่านก็สะบัดชายแขนเสื้อขึ้นอีกครั้ง และรูปปั้นของท่านปรมาจารย์เอกะเทวะก็เริ่มมีเสียงหึ่งๆ เกิดขึ้น สองตาสาดประกายสว่างจ้าออกมาอย่างไร้ที่สิ้นสุด และกระแสน้ำวนก็เริ่มก่อตัวอยู่เบื้องหน้ารูปปั้นนั้น
“เข้าไป” เฮ่อหลัวฮว่าพูด เสียงดังราวฟ้าผ่า “ขอให้พวกเจ้ามีโชคได้รับความรู้กลับมา” เมิ่งฮ่าวและพวกเหมือนจะกลายเป็นลำแสง เมื่อพวกเขากำกุญแจหยกไว้ในมือจนแน่นและพุ่งเข้าไปในกระแสน้ำวนนั้น หายเข้าไปข้างใน
ด้านนอก กระแสน้ำวนยังคงอยู่ แต่ถ้าปราศจากกุญแจหยก ไม่ว่าใครหรือแม้แต่ผู้ฝึกตนที่อยู่ในขั้นวิญญาณแรกก่อตั้งก็ไม่สามารถเข้าไปได้
มองดูไปที่กระแสน้ำวนนั้น ผู้อาวุโสโอวหยาง เอ่ยขึ้นอย่างเงียบๆ “ใครจะไปรู้ได้ว่า ใครคนใดคนหนึ่งในพวกเขา อาจจะได้คัมภีร์สุดยอดวิญญาณกลับมาก็เป็นได้ หรือ…บางทีพวกเขาอาจจะกลับมามือเปล่า”
“มันขึ้นอยู่กับโชคชะตาของแต่ละคน ไร้ประโยชน์ที่จะคิดมากเกี่ยวกับเรื่องนี้” เฮ่อหลัวฮว่านั่งลงขัดสมาธิข้างกายผู้อาวุโสโอวหยาง และเริ่มเข้าฌาณ
เมื่อเมิ่งฮ่าวเข้าไปในกระแสน้ำวนนั้น ความมืดก็ปรากฎอยู่ตรงหน้าบังคับให้เขาต้องปืดตาลง เสียงก้องกระหึ่มดังอยู่ในหูของเขา จากนั้นก็ได้ยินเสียงกรีดร้องแปลกๆ ดังมาจากทั่วทุกทิศทาง หลังจากที่ผ่านไปนานราวเป็นปี ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกว่าร่างกายสั่นสะเทือน และจากนั้นเสียงก็หยุดลง เสียงกรีดร้องกลายเป็นความเงียบแทน เขาลืมตาขึ้นก็พบว่าตัวเองได้มายืนอยู่ตรงด้านบนสุดของแท่นบวงสรวง ซึ่งสูงหลายฉื่อ เขามองไปรอบๆ
สถานที่นี้กว้างใหญ่มหาศาล ด้านบนขึ้นไปเป็นพื้นดินสีดำ มีก้อนผลึกเล็กๆ กระจายอยู่เต็มไปหมด ส่องประกายราวดวงดาว สาดแสงสลัวไปรอบๆ มองอะไรได้ไม่ชัดเจน ราวกับว่าทุกสิ่งทุกอย่างในที่นี้ถูกครอบไว้ด้วยตาข่าย มีอาคารมากมายโผล่ขึ้นมาจากสายหมอก
“ช่างเปล่าเปลี่ยวอะไรเช่นนี้! ราวกับว่าไม่เคยมีใครอยู่ที่นี่มาเป็นร้อยปีแล้ว” มันคือเสียงของเฉินฟ่าน ลอยมาจากบางแห่งที่ไกลออกไป ในที่สุดมันก็ปรากฎกายขึ้น เดินฝ่าสายหมอกมาจากตำแหน่งที่พอจะมองเห็นได้ว่าเป็นแท่นบวงสรวงอีกแท่นหนึ่ง สูงหลายฉื่อเช่นเดียวกัน
“ดินด้านบนมีเขตอาคมป้องกันอยู่ ที่นี่คือสุสานของสำนัก” เฉินฟ่านเอ่ยขึ้น
ฉื่อชิงปรากฎขึ้นจากทิศทางอื่น สวมใส่ชุดยาวสีเงิน ทำให้มองดูสวยงามอย่างไร้ที่เปรียบเปรย
“ข้าเข้าสังกัดสำนักก่อนพวกเจ้าทั้งสอง” เฉินฟ่านกล่าว “มีอยู่ครั้งหนึ่งที่ข้าทำหน้าที่อารักขาที่ห้องโถงหลัก ทำให้ข้าทราบถึงความลับบางอย่างที่เจ้าทั้งสองไม่รู้ ที่นี่คือสุสานของสำนักเอกะเทวะอย่างแน่นอน ตรงขึ้นไปด้านบนก็คือเขตพื้นที่สำนักสายนอก”
เมิ่งฮ่าวเดินลงมาจากแท่นบวงสรวงไปยืนใกล้กับเฉินฟ่านและฉื่อชิง มองไปรอบๆ ยังภาพสลัวเลือนลางของอาคารรายรอบพวกเขา เขาสามารถมองเห็นต้นไม้และดอกไม้ที่แห้งเหี่ยวอยู่มากมายเต็มไปหมด ทุกสิ่งทุกอย่างในที่นี้ดูเหมือนกับมีกลิ่นอายแห่งความตายอยู่เต็มไปหมด
“สายหมอกก็เป็นเขตอาคมป้องกันเช่นกัน” เมิ่งฮ่าวกล่าวพร้อมขมวดคิ้ว “มันทำให้ทุกอย่างในที่นี่ ปรากฎเป็นสีดำและสีขาว ไม่มีสีอื่นปนอยู่เลย”
“ถูกต้อง” เฉินฟ่านพูดด้วยสีหน้าเคร่งเครียด “อย่าไปแตะต้องมัน เนื่องจากท่านปรมาจารย์อยู่ในช่วงอ่อนแอ ทำให้ไม่สามารถควบคุมมันได้ พวกเรามาใช้กุญแจหยกเพื่อตามหาสถานที่นั่งกัมมัฏฐานของพวกเรากันเถอะ” มันมองดูมาที่เมิ่งฮ่าวและฉื่อชิง
“ไม่รู้ว่าต้องใช้เวลานานเท่าไหร่ถึงจะได้ความรู้มา หากจะกลับออกไปก็ต้องรอทุกคนมาให้ครบก่อน แล้วค่อยออกไปพร้อมกัน ศิษย์น้องหญิงฉื่อ, ศิษย์น้องเมิ่ง ข้าหวังว่าพวกเจ้าจะโชคดี” มันส่งพลังลมปราณเข้าไปในกุญแจหยก ครั้นแล้วสีแดงเลือดก็ส่องประกายจ้า และลอยออกไป เฉินฟ่านเดินตามไป ในไม่ช้าก็หายไปในที่ห่างไกล
ฉื่อชิงพยักหน้าให้กับเมิ่งฮ่าว จากนั้นก็เดินตามประกายสีแดงเลือดของกุญแจหยก ที่ส่องประกายเจิดจ้าออกไปในทิศทางที่ต่างกับเฉินฟ่าน
เมิ่งฮ่าวมองไปรอบๆ จากนั้นในขณะที่กำลังจะพุ่งลมปราณเข้าไปในกุญแจหยก ทันใดนั้น เสียงกรีดร้องโหยหวนก็ดังออกมา มันใกล้เข้ามา ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ จนกระทั่งห่างจากเมิ่งฮ่าวประมาณเก้าสิบฉื่อ

(จบตอน)

About wuxiathai

Organic Theme is officially developed by Templatezy Team. We published High quality Blogger Templates with Awesome Design for blogspot lovers.The very first Blogger Templates Company where you will find Responsive Design Templates.

Copyright © 2015 ผนึกสวรรค์ สยบมาร สะท้านเทพ

Designed by Templatezy | Distributed By Gooyaabi Templates